|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
คิดถึง
"คิดถึง" เป็นโจทย์ตะพาบ กิโลเมตรที่ 287 เป็นโจทย์ของ น้อง กะว่าก๋า ค่ะ คำอธิบายโจทย์ "คุณคิดถึงอะไรอยู่บ้าง เพราะอะไรจึงคิดถึงคน ๆ นั้น เหตุการณ์นั้น หรือสิ่งๆ นั้น" "คิดถึง" เป็นอารมณ์อย่างหนึ่งของคนเรา ค่ะ ความ"คิดถึง" จะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อ เราต้องมีความรัก ความผูกพันกับคน ๆ นั้น หรือสิ่งนั้น ๆ ด้วย เราจึงจะเกิด อารมณ์ " คิดถึง" ถ้าผูกพันมาก ก็ "คิดถึง" มาก ตามลำดับขั้นของความ ผูกพัน ค่ะ ชีวิตคนเราทุกคน จะต้องมีเรื่องราวต่าง ๆ ที่ทำให้เรา "คิดถึง" อย่าง แน่นอน เพียงแต่ว่า เราจะผูกพันกับอะไรบ้าง มากน้อยเพียงใดเท่านั้น สำหรับในชีวิตของฉัน ก็เหมือนกับคนอื่น ๆ มีเรื่อง ความรัก ความ ผูกพัน ซึ่งก่อให้เกิด ความ "คิดถึง" ตามมา นั่นเอง ความ "คิดถึง" นี้ เป็นทั้งความ "คิดถึง " ยามที่เรายังมีชีวิตอยู่แต่อยู่กัน คนละสถานที่ หรือ ความ "คิดถึง " ที่เราได้พลัดพราก จากกันไปแล้ว แต่เราก็ยังคิดถึงอยู่ บางความ "คิดถึง"มันผูกพันกันมากจนไม่มีการหาย "คิดถึง" ได้ นอกจาก เราจะ "คิดถึง" สิ่งมีชีวิต เช่น คน สัตว์ แล้ว สถานที่ที่เราเคยอยู่ เราก็ อาจจะผูกพันได้เช่นกัน ก็ทำให้เรา"คิดถึง" สถานที่นั้น ๆ ได้ ค่ะ
เรื่องที่ทำให้ฉัน "คิดถึง" เรื่องแรกเลย คือ พ่อของฉันเอง ค่ะ ฉันจำ ได้ว่า ในวัยเด็ก พ่อรักฉันมาก โดยแม่เล่าให้ฟังว่า ฉันมีส่วนคล้ายพี่สาว(ที่พ่อรักมาก) ซึ่งถึงแก่กรรมไปด้วยโรคไข้ทรพิษ ตอนพี่สาวถึงแก่กรรม อายุประมาณ 9 ขวบ พ่อรักพี่สาวคนนี้มาก เพราะว่าพี่สาวคนนี้ขยัน ช่วยงานที่บ้านทุกอย่าง คิดว่าน่าจะช่างพูดด้วยนะ พอพี่สาวถึงแก่กรรมไปไม่นาน ฉันก็เกิดมาดูโลกใบนี้ และอย่างที่แม่ เล่า ฉันคงมีหน้าตาคล้ายพี่สาวคนนี้ แต่นิสัยคงไม่เหมือนกันเลย เพราะวัยเด็ก ฉันเป็นคนเอาแต่ใจร้องไห้ เก่งป่วยบ่อย ขี้งอน ไม่ถูกใจ ก็งอน โกรธพ่อ โกรธแม่ (นิสัยไม่ดีเลย อย่าเอาเป็นตัวอย่างนะ) ไม่พูดกับท่าน บางครั้งก็อด อาหารประท้วง แต่พ่อก็ไม่ได้โกรธ พ่อเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ดูจากการแสดงออก ฉันรู้ว่า พ่อรักฉันมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันโกรธกับพ่อ ในช่วงใกล้ตรุษจีน ในวันตรุษจีน ทุกคนจะชอบมาก เพราะว่า รอแต๊ะเอียจากพ่อ จากแม่ และญาตินั่นเอง ปีนั้น พ่อเรียกลูกทุกคนไปรับแต๊ะเอีย จนเหลือฉันคนสุดท้าย ฉันคิดว่า ปีนี้ พ่อคงไม่ให้แเต๊ะเอียฉันแน่ แต่ สักพัก พ่อก็เรียกฉันไปรับแต๊ะเอีย โห ! เปิดซองดู ได้แต๊ะเอียมากกว่าน้องคนอื่นด้วยนะ หายโกรธพ่อเลย อิอิ อีกเรื่องหนึ่ง ที่ฉันจะลืมพ่อไม่ได้เลย คือ เรื่องของการได้เรียนหนังสือ ปรกติ คนจีน เขาไม่ต้องการให้ลูกสาวเรียนหนังสือสูง ๆ ให้จบ ป.4 ตามข้อบังคับของรัฐก็พอแม่ของฉันก็มีความคิดเช่นนี้ แต่พ่อของฉันไม่คิดเช่นนี้ พ่อตามใจฉัน อยากเรียนก็ให้เรียน ฉันก็ดิ้นรนเรียน ทำงานส่งตัวเองเรียนในช่วง ม.ปลาย เพราะแม่ส่งฉันเรียนลัด ถึง ม.ศ. 3 เท่านั้น พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ทำงานไม่ได้แล้ว ตอนนี้พ่อก็ป่วยกระเสาะกระแสะ แต่พ่อก็บอกแม่ว่า "ลูกสอบเอ็นทรานส์ ได้ ให้เรียนก็แล้วกัน ถึงจะปิดโรงงานน้ำหวานไป แล้ว(เพราะพ่อป่วยไม่มีใครดำเนินงานต่อ) เงินเก็บก็เหลือพอจะส่งให้จบ 4 ปีได้ ฉันก็ได้ไปเรียน ป.ตรี และมี อาชีพเลี้ยงตัวเองได้ นี่แหละ ที่เป็นสิ่งที่ ฉันจำได้ บุญคุณของพ่อ ความรัก ของพ่อ ที่มีต่อฉัน ทำให้ฉัน "คิดถึง" พ่อ ตลอดเวลา ถึงแม้ว่า พ่อจะจากฉันไปตั้งแต่ ปี 2514 ถึงปัจจุบัน ก็ 50 ปีแล้ว ถ้าตอนนั้นพ่อไม่บอกแม่เช่นนั้น ฉันก็อาจจะไม่ได้เรียนจบ ป. ตรี แน่นอน ค่ะ นี่คือ ความรัก ความผูกพันของฉันกับพ่อ ค่ะ ทุกปี ฉันต้องไปเคารพ ไป เยี่ยมพ่อที่สุสาน แถวหัวกุญแจจังหวัดชลบุรี เทศกาลสาร์ท บ้านฉันก็มีการไหว้บรรพบุรุษ ค่ะ เป็นความเชื่อ พ่อแม่ บรรพบุรุษ จะได้รับหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่อย่างน้อย สิ่งที่เราได้รับ ก็คือ ความสบายใจ ค่ะ มาชมรูปพ่อของฉัน ค่ะ ฉันเก็บรูปพ่อและแม่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ตลอดเวลา รูปพ่อดูจะเก่ามากค่ะ อิอิ พ่อฉันหล่อ นะคะ
รูปของพ่อฉัน ค่ะ พ่อหล่อ ค่ะ
คนที่ฉัน "คิดถึง" คนที่สอง ก็คือ แม่ ค่ะ แม่ฉันเป็นคนจีนมาจากแผ่น ดินใหญ่ กำพร้า ตั้งแต่เด็ก พี่ชาย (น้าชายฉัน) เป็นคนพามาอยู่ที่เมืองไทยตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ คิดว่านี่อาจจะ เป็นสาเหตุที่แม่ไม่คิดถึงความสำคัญของการศึกษา ส่วนพ่อนั้น เกิดที่ไทย พ่อเก่งภาษาจีน ส่วนภาษาไทยก็อ่านออกเขียน ได้ ค่ะ นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อเห็น ความสำคัญของการศึกษา ค่ะ แม่ก็รักฉันแหละ แต่บางครั้ง ฉันก็มี โกรธแม่บ้าง เพราะแม่รักลูกผู้ชายมากกว่าลูกผู้หญิง มีความคิดเห็นว่า ลูกผู้หญิงพอโตเป็นสาวก็ต้องแต่งงานก็ไปเป็นสมบัติ ของคนอื่นแล้ว ไม่ต้องเรียนหนังสือสูง ๆ เลย ความคิดของแม่มาเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ฉันเรียนจบและมีงานมีการ ทำ และเห็นความสำคัญของการศึกษา ช่วงเวลาที่ฉันกับแม่ผูกพันกันมากก็ตอนที่ฉันทำงานแล้ว เพราะเป็น ช่วงที่ น้องสาว หลานสาว แต่งงานกันไปหมด ส่วนน้องชาย ก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ติดเพื่อน ไม่ค่อยได้กลับบ้าน จึงเหลือฉัน กับแม่เพียงสองคน กินข้าวด้วยกันสองคน ถ้าฉันไม่ได้สอนภาคค่ำ แม่จะรอฉันกินข้าวมื้อเย็นด้วยกัน เงินเดือน ข้าราชการเพิ่งบรรจุใหม่รับเงินเดือน เดือนละ 1,550 บาท พวกเราต้องประหยัดกัน นาน ๆ ทีก็พาแม่ไปดูหนังบ้าง ไปเที่ยวชาย ทะเลบางแสน บ้าง ตอนนี้ เหลือเราสองคนแม่ลูก ฉันจึงยิ่งมีความผูกพันกับแม่มากยิ่งขึ้น หลังพ่อถึงแต่กรรมไป เมื่อ ปี 2514 แม่อยู่กับฉัน คอยให้กำลังใจ ให้คำปรึกษาเวลาที่ฉันมีปัญหาเรื่องงานบ้าง เรื่องเพื่อนที่ทำงานบ้าง โดยเฉพาะเรื่องของความรัก ตอนที่ฉันต้องตัดสินใจ เลิกลากับคนในอดีต ฉันมีแม่คอยเหนี่ยวรั้งจิตใจฉัน คอยให้กำลังใจ เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตของชีวิตในช่วงนั้น และในที่สุด ฉันก็สามารถก้าวพ้นวิกฤตของชีวิตในช่วงนั้นไป เข้าสู่ภาวะปรกติในเวลาไม่นานนัก ฉันมีความสุขอยู่กับแม่ ตามประสาแม่ลูกได้ประมาณ ถึงปี 2529 แม่ก็จากฉันไปอย่างไม่มีวัน กลับ ตอนที่แม่ถึงแก่กรรม ฉันแทบจะสติแตก เพราะว่า เราอยู่ด้วยกันสองแม่ลูกมานานมากปี 2517-2529 ( คือช่วง ที่ฉันเรียนจบจากบางแสน และรับราชการ) แม่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรมากนัก แค่กระเพาะปัสสาวะอักเสบเท่านั้น แค่ สองอาทิตย์แม่ก็จากฉันไป ปรกติแม่เป็นคนแข็งแรง ฉันจึงไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจรับเรื่องการจากไปของแม่เลย โชคดี ที่ เพื่อนร่วมงานของฉันดี คอยให้ข้อเตือนใจ กลัวฉันเป็นโรคซึมเศร้า เพื่อนร่วมงานพาไปเที่ยวบ้าง หมั่นโทรมาคุย บ้าง กว่าฉันจะดึงสติกลับมาและปลงแล้วยอมรับความจริงว่า ชีวิตต้องมีการพลัดพรากจากกันไม่เร็วก็ช้า แม่ก็อายุ 76 ปีแล้ว นี่ก็เป็น อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ฉันยังคง "คิดถึง" แม่อยู่เสมอ ถึงแม้แม่จะจากฉันไปถึง 35 ปีแล้วก็ตาม ถึงวันเช็งเม้ง ฉันก็จะเป็นผู้นำ น้อง หลาน เหลนและสะใภ้ทั้งหลาย (ตามแต่ใครจะว่าง) ไปเคารพ เยี่ยมพ่อกับแม่ที่สุสานทุกปี ค่ะ
รูปของแม่ฉัน ค่ะ แม่เป็นคนประหยัดไม่เคยเข้าร้านเสริมสวยเลย ค่ะ
ประมาณ 2 ปี เราก็จะทาสีสุสานของพ่อและแม่ให้ดูใหม่อยู่เสมอ ค่ะ
เมื่อทาสีเสร็จแล้ว บ้านพ่อและแม่สวยงาม เราก็เริ่มจัดอาหารและ เครื่องเซ่นไหว้พ่อแม่ ตามประเพณีของเรา ค่ะ
พี่น้อง หลาน สะใภ้ เหลน และ ลื่อ แล้ว ค่ะ
ฉันแถม แผนผังลำดับญาติไทยให้ด้วย นะคะ
เรื่องที่ทำให้ "คิดถึง" อันดับต่อไป ก็คือ เพื่อน ค่ะ คนแรกเป็นเพื่อนที่ เรียนร่วมมหาวิทยาลัยด้วยกันมา 4 ปี อยู่หอเดียวกัน เธอเป็นคนใต้ บ้านอยู่ปัตตานี เวลาลงมาเที่ยวกรุงเทพฯ ก็จะมาพักที่ บ้านฉัน ตลอดเวลา 4 ปี หลังจากจบการศึกษาไปแล้ว เราก็เขียนจดหมายติดต่อกันตลอดเวลา ถามสารทุกข์สุขดิบกัน มี ปัญหาก็ปรึกษาหารือกันตลอด ปัจจุบันไม่ได้เขียนจดหมายแล้ว เพราะว่าความเจริญก้าวหน้าของ เทคโนโลยี่ นั่นเอง โทรคุยกันก็สะดวกสบาย เธอเป็นคนใจดี รักเพื่อน รู้ว่าเพื่อนชอบกินสะตอ ลูกหยี ทุเรียนกวน เธอก็จะส่งมาให้กินเป็นประจำ นอกจากส่งให้ฉันแล้ว เธอยังส่งให้เพื่อนที่สนิทอีกหลายคน ถึงวันคล้ายวันเกิด วันขึ้นปีใหม่ เธอก็ไม่เคยลืมฉันเลย เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ปี2513 จนถึงปัจจุบัน 51 ปี แล้วค่ะ นี่เป็นความรัก ความผูกพัน ที่ก่อให้เกิด ความ "คิดถึง" ได้ตลอดเวลา ค่ะ มาชมภาพของเราค่ะ
เราไปเที่ยวจิวไจ่โกวด้วยกัน ค่ะ รูปนี้ถ่ายที่สนามบิน ค่ะ
ไปเที่ยวจิวไจ่โกว ด้วยกันค่ะ
เธอลงมาเที่ยวที่กรุงเทพฯ พักที่บ้านฉันและเราไปไหว้พระด้วยกันค่ะ
พาเยาว์ไปเที่ยว สามย่านมิตทาวน์ที่เปิดใหม่ ค่ะ
ฉันพาเยาว์ไปกินข้าวที่ร้านสบายใจไก่ย่าง ค่ะ
เพื่อนที่ฉันรักและผูกพัน จนก่อให้เกิดความ "คิดถึง" ได้อีกคนหนึ่ง คือ เพื่อนร่วมงานครั้งแรกในชีวิตรับราชการ ค่ะ เธอต่างศาสนากับฉัน เธอบรรจุหลังฉันน่าจะประมาณ สองสัปดาห์ เราต่างมาบรรจุรับราชการที่อิสลามวิทยาลัยแห่่งประเทศไทย เราสองคนต่างมาบรรจุใหม่ เราจึงสนิทสนมกันได้เร็ว ฉันเป็นพุทธ เขา เป็นอิสลาม เขาไม่กินหมู ส่วนฉันไม่กินเนื้อ โรงเรียนก็มีขายข้าวหมกไก่ ก๋วยเตี๋ยวไก่ที่ฉันกินได้เท่านั้น เธอ เป็น คนน่ารัก ใจเย็น พวกเราบางครั้งก็นำข้าว กับข้าว มากินที่โรงเรียน เธอจะทำทอดมันปลามาฝากฉันเสมอ เสาร์อาทิตย์ บางครั้งเราก็นัดกันไปช้อปปิ้งตามประสาสาว ๆ เดินพาหุรัด สำเพ็ง มาบุญครอง ตลอดระยะ 3 ปีที่ฉันสอนอยู่ที่ อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย เราสนิทสนมกัน กินด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน กลับบ้านด้วยกัน แต่เราก็ ต้องจากกัน เพราะโรงเรียนนี้ไกลจากบ้านฉันมากเหลือเกิน ฉันจึงต้องขอย้ายโรงเรียนมาที่โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทองเพื่อนรักฉัน คนนี้ ก็พาฉันมาส่งที่โรงเรียนใหม่ ระหว่างที่เราต้องจากกัน อยู่ต่างโรงเรียนกัน แต่เราก็ยังติดต่อกันอยู่ เสมอ ตอนแม่ของฉันถึงแก่กรรม เธอก็มางานศพ แม่ฉัน ซึ่งตามปรกติ คนอิสลามจะไม่เข้าวัด ไม่ฟังสวดของชาวพุทธ แต่เธอก็มา ค่ะ ฉันซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนคนนี้มาก ค่ะ เธอเป็นคนรักการสอนหนังสือมาก รักอิสลามวิทยาลัยฯ มาก ตลอด ชีวิตไม่ได้ย้ายโรงเรียนเลย เวลาโรงเรียนจัดงานอิสลามคืนถิ่น เธอจะเป็นคนจัดการนำรายชื่อครู เก่า ๆ ที่เคยสอนที่นี่ แล้วให้ทางธุรการ ออกหนังสือเชิญไปร่วมงาน เป็นคนให้คนรถของโรงเรียนมารับฉันกับ พี่ ๆ ที่ไปงานอิสลามคืนถิ่น เราผูกพันกัน ตั้งแต่ปี 2517 ถึงปัจจุบัน เราก็ยังติดต่อกันอยู่ มีโอกาสเราก็จะนัดกัน ไปทานข้าวกัน เวลาไปทานข้าว ก็ต้องเลือกร้านอิสลาม ค่ะ เธอเป็นคนเคร่งครัดมาก ค่ะ เรารักและผูกพันกันด้วยเหตุดังกล่าว จึง ทำให้เกิดความ "คิดถึง" เธออยู่เสมอ ช่วงโควิดก็ต้องห่างหายกันไป นัดกันไม่ได้ มาชมภาพของเธอ ค่ะ
เมื่อเธอเกษียณอายุราชการ เรานัดกันกินข้าวและมอบของที่ระลึกให้ค่ะ
งานอิสลามคืนถิ่น เธอก็มารับไปงาน ค่ะ
เรานัดพบกัน กินข้าวกัน เที่ยวที่สยามมิตทาวน์ ค่ะ
เรื่องสุดท้าย ที่ฉันผูกพันมากอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ น้องค้อกกี้ ของฉัน เรา อยู่ด้วยกันมา เป็นทั้งเหมือนลูก เหมือนเพื่อน เหมือนคู่ชีวิต เราอยู่ด้วยกันนานถึง 13 ปี เวลากิน เรากินด้วยกัน เวลานอน ก็นอน ด้วยกัน กลางวันฉันต้องไปสอนหนังสือ น้องค้อกกี้ต้องอยู่บ้านตัวเดียว ฉันเปิดพัดลมให้ไว้ กลัวมันร้อน กลับ จากสอนหนังสือแค่ได้เสียงไขกุญแจบ้าน ก็มารออยู่หน้าประตู พอฉันเข้าบ้าน ก็กระโดดขอให้อุ้ม ดีใจ ที่เราจะ ได้อยู่ด้วยกัน เห็นฉันหยิบสายจูง ก็รู้เลยว่า จะได้ไปเที่ยวไปถ่ายทุกข์ ช่างน่ารักแสนรู้มากหลังจากที่แม่ถึงแก่กรรม ไปตั้งแต่ปี 2529 ชีวิตฉันค่อนข้างเงียบเหงามาก ปีหนึ่ง ๆ ช่วงปิดเทอมถึงจะมีโอกาสไปเที่ยวกับเพื่อนที่ชอบเที่ยวด้วย กัน ชีวิตอยู่กับการสอนหนังสือ เตรียมการสอนสอนพิเศษบ้าง รับเด็กที่ผู้ปกครองเขาศรัทธาอยากให้ลูกเขามาเรียนพิเศษกับฉัน เมื่อ น้องชาย นำน้องค้อกกี้มาให้เลี้ยง มาตั้งแต่อายุน่าจะประมาณ สองเดือน ตัวเล็กมาก เหมือนจิงโจ้ตัวน้อย ๆ กระโดดเก่ง วิ่งสนุก รอบบ้าน เราอยู่ด้วยกันนานถึง 13 ปี ความรัก ความผูกพัน จึงเกิดขึ้นอย่างแน่นอนแต่.. เราจะรัก ผูกพันกันอย่างไร เมื่อถึงเวลา เราก็ต้องพลัดพรากจากกันอยู่ดี เราจากกันเมื่อปี 2552 หลังจากที่ฉันเกษียณมายังไม่ถึงปีเลย เฮ้อ! ถึงมันจะจากฉันไป สิบกว่าปีแล้ว ฉันก็ยังคง "คิดถึง" อยู่เสมอ และไม่เคยคิดที่จะเลี้ยงตัว ใหม่อีกเลย ค่ะ มาชมน้องค้อกกี้ของฉัน ค่ะ
น้องค้อกกี้ น้องหมาผู้เป็นทั้งลูก เป็นทั้งเพื่อน และเหมือนคู่ชีวิตที่ ร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่ด้วยกันถึง 13 ปี ค่ะ
ฉันเชื่อว่า ทุกคนย่อมมีเรื่องของความ "คิดถึง" ซึ่งจะมากหรือน้อย ฉันว่า ขึ้นอยู่กับ ความผูกพันที่มีต่อกัน ถ้าใครที่เคยมี ความรักฉันหนุ่มสาว เราจะเห็นชัดว่า ความ "คิดถึง" กันและกัน จะมี อิทธิพลต่อจิตใจของคนทั้งคู่ได้มากทีเดียว ยามที่รักกัน อยู่ห่างกัน ย่อม "คิดถึง" กัน ยิ่งคู่รักที่เคยผูกพัน เป็นห่วงเป็นใยจาก พื้นฐานของความเป็นเพื่อนมาก่อน แล้วมาเป็นคู่รักกัน เมื่อต้องเลิกรากันไป ย่อมจะต้องมีความ "คิดถึง" กันอย่างแน่นอน ผูกพันมาก ก็ "คิดถึง" มาก เป็นเรื่องธรรมดา ความ"คิดถึง" เช่นนี้ เป็นทุกข์มากกว่าสุข ดังนั้น ความ "คิดถึง" เช่นนี้ ถ้าเราทำจิตใจให้เข้มแข็ง ตัดความ "คิดถึง" นี้ ให้หมดสิ้นไป จะดีกว่า ค่ะ อิอิ
ตะพาบ "คิดถึง" บล็อกนี้ของฉัน เขียนขึ้นจาก ความทรงจำเกี่ยวกับ ความ "คิดถึง" ซึ่งมี ความ "คิดถึง" ในความทรงจำที่ดี มากกว่าไม่ดี ค่ะ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของชีวิต ที่คนเราจะต้องประสบทั้งเรื่องดีและไม่ดี ฉันคิดว่า ชีวิตคนเราสั้นนัก ต้องพยายาม "คิดถึง" แต่สิ่งที่ดีสำหรับ "หัวใจ" ของเรามากกว่า "คิดถึง" สิ่งที่ทำให้ชีวิตเราเจ็บปวดค่ะ ฉันก็หวังว่า จากการเล่าประสบการณ์ชีวิตของฉันเกี่ยวกับ ความ "คิดถึง" ท่านผู้อ่านจะได้ข้อคิด ได้ประโยชน์บ้างพอสมควร นะคะ สวัสดี ค่ะ
Create Date : 02 ตุลาคม 2564 |
Last Update : 6 ตุลาคม 2564 6:46:34 น. |
|
30 comments
|
Counter : 1184 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณหอมกร, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณkatoy, คุณ**mp5**, คุณThe Kop Civil, คุณทนายอ้วน, คุณเนินน้ำ, คุณกะว่าก๋า, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณtuk-tuk@korat, คุณเริงฤดีนะ, คุณสองแผ่นดิน, คุณnewyorknurse, คุณร่มไม้เย็น, คุณtoor36, คุณอุ้มสี, คุณSweet_pills, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณชีริว |
โดย: หอมกร วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:7:48:41 น. |
|
|
|
โดย: **mp5** วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:9:39:46 น. |
|
|
|
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:9:42:11 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:11:28:57 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:13:16:57 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:13:36:19 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 6 ตุลาคม 2564 เวลา:19:48:54 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 ตุลาคม 2564 เวลา:5:50:12 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 ตุลาคม 2564 เวลา:11:01:27 น. |
|
|
|
โดย: toor36 วันที่: 7 ตุลาคม 2564 เวลา:17:02:10 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 ตุลาคม 2564 เวลา:5:53:27 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 8 ตุลาคม 2564 เวลา:6:51:26 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 8 ตุลาคม 2564 เวลา:7:20:51 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 ตุลาคม 2564 เวลา:21:52:33 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 ตุลาคม 2564 เวลา:5:39:21 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 9 ตุลาคม 2564 เวลา:14:40:34 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 ตุลาคม 2564 เวลา:18:48:28 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 9 ตุลาคม 2564 เวลา:23:34:57 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 ตุลาคม 2564 เวลา:5:52:10 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 ตุลาคม 2564 เวลา:13:48:43 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 10 ตุลาคม 2564 เวลา:23:01:37 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 ตุลาคม 2564 เวลา:5:46:27 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ฝากข้อความหลังไมค์ |
|
Rss Feed |
| Smember | | ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]
|
เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ
http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif |
|
|
|
อาจารย์เล่าสนุกด้วย ขอบคุณนะคะ