:: กะก๋าแนะนำหนังสือ - พลังแห่งกรุณาคือการเยียวยาสูงสุด ::
:: พลังแห่งกรุณาคือการเยียวยาสูงสุด ::เขียน : ลามะโซปะ ริมโปเช แปล : ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน์
เมื่อชีวิตต้องพบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เจอกับโรคภัยไม่คาดฝัน เราจะรับมือกับมันได้อย่างไร ความเชื่อของการรักษาแบบตะวันตก เป็นโรคร้ายก็ต้องรักษา ต้องทำลายและฆ่าเชื้อโรคให้หมดสิ้นไปจากร่างกาย เมื่อป่วยต้องกินยา เมื่อเป็นเนื้อร้ายต้องผ่าตัดรักษา อวัยวะส่วนไหนมีปัญหาก็ตัดทิ้งไป
แต่การรักษาโรคในแนวคิดแบบธิเบตโบราณ จะมองย้อนกลับไปถึงต้นทางของโรคภัยไข้เจ็บ แนวทางการรักษาโรคจึงไม่ได้เริ่มต้นที่ร่างกาย หากแต่ย้อนกลับไปรักษาที่ “จิตใจ” ก่อนเป็นเบื้องต้น ความบกพร่องทางกายล้วนเกิดจากความบกพร่องทางใจ เช่น ความเห็นแก่ตัว ความหลงผิด ความเครียด ความโกรธ ความพยาบาท ความคิดชั่วคิดร้ายกับคนอื่น ความยึดมั่นถือมั่น ฯลฯ ทั้งหมด คือ “ความทุกข์” ที่ถูกสะสมไว้ในร่างกายและจิตใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนลดทอนพลังชีวิตไปเรื่อย ๆ และเกิดความป่วยไข้รูปแบบต่าง ๆ แสดงออกมาในที่สุด
การเยียวยาจึงต้องเริ่มต้นที่การเปลี่ยนแปลงความคิดที่มีกับตัวเอง ต้องเปลี่ยนมุมมองและความรู้สึกเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บของตนเอง การเยียวยามีส่วนเกี่ยวข้องกับวิธีคิดเป็นอย่างยิ่ง การมองโรคว่าเป็นโอกาสในการพัฒนาความเมตตากรุณาในตนเอง มองว่าความป่วยไข้คือโอกาสในการยกระดับจิตของตนเองเพื่อรู้ทันความเป็นไปของชีวิต จะนำไปสู่การยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นโดยไม่ฟูมฟายเสียใจหรือหมดหวังกำลังใจในชีวิต
มีตัวอย่างคนไข้จำนวนมากซึ่งเข้ารับการรักษาแพทย์แผนทางเลือกแบบธิเบต แล้วอาการป่วยหนักที่เผชิญอยู่กลับค่อย ๆ ดีขึ้น บางคนมีอาการเจ็บปวดน้อยลง บางคนค่อย ๆ ฟื้นฟูร่างกายได้ดีขึ้น บางคนเนื้อร้ายที่เป็นกลับมีขนาดเล็กลงหรือหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ แน่นอน...ปาฏิหาริย์ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนที่เข้ารับการรักษาแบบนี้ แต่ส่วนหนึ่ง วิธีการปฏิบัติตนในการรับการรักษาแบบธิเบตโบราณ คือ การสวดมนตร์ การปล่อยชีวิตสัตว์ การดื่มน้ำมนตร์ การทำพิธีกรรมต่ออายุ การระลึกถึงพระโพธิ์สัตว์ปางต่าง ๆ ฯลฯ ทั้งหมดเป็นกำลังใจที่สำคัญ เป็นศรัทธาซึ่งเกื้อหนุนให้การรักษาเกิดขึ้นจากภายในจิตใจของผู้ป่วยก่อน จากนั้นจึงกินยา หรือ เข้ารับการรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบันควบคู่กันไปด้วย
ที่สุดแล้วแม้การรักษานี้อาจจะไม่ได้ทำให้คนไข้หายป่วย แต่การเยียวยาจิตใจ จะทำให้คนไข้เกิดความหวังในการรักษา มีกำลังใจในการใช้ชีวิต หรือแม้แต่ยอมรับความจริงได้ เพราะรู้แล้วว่าไม่อาจมีใครหนีพ้นความตายไปได้เลยสักคน การยอมรับความตายที่เกิดขึ้นในชีวิต ทำให้เกิดสติและรู้ว่าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตอย่างไรให้ดีที่สุด
ความตายไม่ใช่ปัญหา แต่ความคิดของเราที่เกี่ยวกับความตายต่างหากที่สร้างปัญหา คนกลัวตาย เพราะไม่พร้อมจะปล่อยวางสิ่งต่างๆที่ตนเองยึดถือและแบกรับอยู่ ความห่วงกังวลซึ่งมีต่อคนรัก ครอบครัว สิ่งของที่เสาะแสวงหามาตลอดชีวิต ตำแหน่งหน้าที่การงาน อำนาจวาสนาที่มี ล้วนสร้างความเจ็บปวด งุนงงสับสน เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังต้องบอกลาสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ที่ครอบครองอยู่
หนึ่งในวิธีรักษาแบบธิเบต คือ การฝึกภาวนา หรือการกลับมาอยู่กับจิตของตนในทุกขณะ การภาวนา คือ การเปลี่ยนแปลงความคิด คือ การมองความจริงที่ตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่ในแง่บวก สุขหรือทุกข์เริ่มต้นจากความคิดที่เรามีกับตัวเอง ทุกสิ่งถูกกำหนดขึ้นจากจิตใจและวิธีคิดของเราเองทั้งสิ้น
การเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา การเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นความสุข หาใช่เกิดขึ้นได้จากใครอื่น หากแต่ต้องเป็นตัวเราที่ต้องทำความเข้าใจและยอมรับ ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราให้ได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นการเจ็บป่วยไข้ หรือการสูญเสียพลัดพรากใดใดก็ตาม
การเปลี่ยนความทุกข์และภาวะใกล้ตายให้กลายเป็นวิถีแห่งความรู้แจ้ง จึงนับเป็นหนทางที่ประเสริฐสุด เปลี่ยนโรคร้ายให้กลายเป็นโอสถในการรักษาชีวิต
การรักษาในแนวทางนี้จึงไม่มุ่งไปยังการรักษาโรคทางกายเพียงอย่างเดียว แต่จะเข้าไปกำจัดต้นตอสาเหตุที่แท้จริงของโรคร้ายด้วย นั่นคือ อกุศลกรรม ความหลงผิด หรือวิบากกรรมต่าง ๆ ซึ่งเราเคยได้ก่อไว้ในอดีต
เราสามารถแปรเปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นความสุขได้ โดยไม่ต้องหยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำอยู่ เพราะคิดว่ามันคือปัญหา แต่สิ่งที่เราควรหยุด คือ การหยุดไม่ให้ปัญหาต่างๆ รบกวนความคิดของเรา เหมือนบางคนป่วย แล้วโทษโชคชะตา โทษสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้ตนเองต้องป่วย วิธีคิดเช่นนี้คือการนำความทุกข์ไปซ้อนทับความทุกข์ ยิ่งคิด ยิ่งเครียด ยิ่งเครียดก็ยิ่งซ้ำเติมตัวเองให้ป่วยหนักกว่าที่เป็น ในขณะที่บางคนป่วยด้วยโรคเดียวกัน อาการเดียวกัน กลับมองเห็นโรคร้ายว่าเป็นโอกาสในการการเปลี่ยนแปลงตนเอง เปลี่ยนแปลงวิธีคิดของตนเอง จนถึงขนาดสามารถใช้โรคร้ายของตนเองนั้น เป็นบทเรียนเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ดีดีและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ๆ ได้
สิ่งนี้จึงขึ้นอยู่กับมุมมองที่เรามีต่อสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนา เพราะเอาเข้าจริงไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่จะต้องทำให้ตัวเองกังวลและหวาดกลัวกับโรคภัยไข้เจ็บซึ่งเกิดขึ้น
หากปัญหานั้นแก้ไขได้ เราไม่ควรเป็นทุกข์กับมัน เพราะถ้าปัญหานั้นมีวิธีแก้ไข เราเพียงแต่ต้องหาวิธีแก้ไขปัญหานั้นให้พบ แต่หากมันเป็นปัญหาซึ่งแก้ไขไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไรที่จะไปทุกข์กับมัน สิ่งที่ต้องทำ คือ การยอมรับความจริง และเดินหน้าไปพร้อม ๆ กับความจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิต
สำหรับคนที่ยังแข็งแรง ย่อมไม่คิดถึงความป่วยไข้ ยังคงใช้ชีวิตได้ด้วยดีมีความสุข มีความหวัง มีพลัง ที่จะทำสิ่งต่าง ๆ จนบางครั้งก็ทำให้เราหลงลืมและประมาท เพราะเข็มนาฬิกาชีวิตนั้นเดินทางอย่างซื่อสัตย์ ความตายเดินทางเข้ามาใกล้ตัวเราและคนที่เรารักในทุกวินาที โรคร้ายก็เช่นกัน มันซุ่มอย่างสงบในร่างกายเราเพื่อรอวันเผยตัว
ไม่มีใครอยากป่วย ไม่มีใครอยากแก่ ไม่มีใครอยากเจ็บ ไม่มีใครอยากตาย แต่มีใครกันเล่าที่จะหนีพ้นสัจธรรมแห่งความเป็นจริงนี้ได้
ไม่อยากรู้ ก็ต้องรู้ ไม่อยากป่วย ก็ต้องป่วย ไม่อยากตาย ก็ต้องตาย แต่เราจะรับมือกับทุกสิ่งซึ่งกำลังเคลื่อนเข้าสู่ชีวิตได้อย่างไร มีเพียงการฝึกฝนตนด้วยสติ ด้วยการยอมรับความจริง ด้วยความเข้าใจในความเป็นจริงแห่งชีวิตเท่านั้น ที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่และจากไปอย่างงดงาม
สิ่งนี้ใครก็ไม่อาจทำให้เราได้ เพราะใครทำ ใครรู้ ใครได้ ใครเลือกหนทางได้ถูกต้อง จุดหมายสุดท้ายของชีวิตก็งดงาม
Create Date : 05 มกราคม 2564 |
|
32 comments |
Last Update : 17 กรกฎาคม 2565 6:56:42 น. |
Counter : 411 Pageviews. |
|
|
ขอขอบคุณครับคุณก๋าที่แวะไปทักทาย