มาเที่ยวลาวย้อนอดีตกับณ มนกันค่ะ

ไม่ได้อัพบล็อคเที่ยวนานเหมือนกับบล็อคอื่นๆ
ขอประเดิมอัพบล็อคด้วยการเล่าเรื่องเที่ยวสปป.ลาวละกันค่ะ

(พระธาตุหลวงเวียงจันทร์ภาพนี้จากตอนไปเที่ยวลาวเมื่อปี2549
ครั้งแรกที่ไปลาวคือ2546 )
ณ มนไปลาวมา4ครั้ง ครั้งแรกไปด้วยเรื่องงานสมัยโน้นนนน
ตั้งแต่พาผู้โชคดีจากโปรเจ็กร่วมกับภาพยนตร์เรื่อง15ค่ำเดือน11
ตอนนั้นแค่ข้ามไปไหว้พระที่เวียงจันทร์แล้วกลับมาดูบั้่งไฟพญานาคค่ะ น่าจะปี2546นะคะ
ไม่รู้จำปีผิดไหมเพราะนานมากๆ

(ประตูชัยที่ภูมิทัศน์เปลี่ยนไปทุกครั้งที่ไปค่ะ จากตอนแรกมีตึกสูงห้ามสูงเกินประตูชัย
ต่อมาก็มีตึกรามเกิดขึ้นมากมาย ตามเวลาที่ผ่านไป)

ภาพมุมสูงมองลงมาจากประตูชัย

(ภาพนี้ประตูชัยปี2556)


ภาพนี้ประตูชัยปี2566

รูปอาจไม่ตรงกับเรื่องที่เล่าซะทีเดียว เพราะรูปเยอะมากเลยค่ะ
ดูคำบรรยายใต้ภาพแล้วกันนะคะว่าเป็นที่ไหนบ้าง
ณ มนจะลงรูปคละๆ กันระหว่างปี2549-2556-2566
ส่วนปี2546 แทบไม่มีรูปค่ะ สมัยนั้นกล้องดิจิตัลยังเพิ่งเริ่มเตาะแตะ
ไฟล์รูปจากกล้องฟิล์มหายไปเป็นที่เรียบร้อยแหะๆ


เที่ยวแบบเป็นเรื่องเป็นราวก็คือปี2549 ไปกับทัวร์ค่ะ
ส่วนภาพที่เห็นนี่เป็นภาพตอนปี2556
ไปกับรุ่นพี่ ภาพนี้น่าจะเป็นวัดสีสะเกดที่เวียงจันทร์ค่ะ
เป็นอีกวัดที่งามมากๆ
ส่วนพี่เสื้อฟ้าคือพี่บั๋มคนที่ขับพาณ มนไปลาวปี2556และ2566



(ถนนหนทางเส้น13ช่วงเวียงจันทร์บ้านหินเหิบเมื่อปี2549
จอดแวะพักกันตรงนี้ค่ะ )

ถนนหนทางในลาวเมื่อปี2549กับ2556ยังถือว่าโอเคค่ะ
ปี2556ยังสามารถจอดแวะถ่ายรูปและซื้อส้มกันชิลด์ๆเลยค่ะ

ถนนปี2556

(แม่ค้าส้มรินถนนหมายเลข13 ถนนปี2556ยังสวยไม่มีหลุมบ่อ
จอดแวะซื้อผลไม้ ถ่ายรูปกันสบายๆ)
พอลาวมีการทำการค้าขาย สัมปนทานนั่นนี่มากมายกับจีน
ทำให้รถบรรทุกใหญ่จากจีนวิ่งเยอะมาก ถนนหมายเลข13
เกิดหลุมบ่อมากมายเลยค่ะ ผู้คนก็เดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงกันส่วนมาก
ถนนเลยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หน้าหนาวนี่ฝุ่นเยอะมากๆ

จุดเก็บเงินค่าทางด่วนที่จีนมาร่วมลงทุนกับลาว
ทางด่วนนี่ช่วยร่นเวลาได้มากจากการเดินทางจากเวียงจันทร์มาวังเวียง

จุดแวะพักกินข้าวกลางวันริมลำธารหลังจากออกมาจากวังเวียง
เพื่อมุ่งตรงไปหลวงพระบาง ทางค่อนข้างเป็นหลุมบ่อเยอะ
รถโขยกเขยกไปมาจนเวียนหัวเลยค่ะ
ได้แวะพักกินส้มตำแซบๆ พอโล่งหายเวียนหัวหน่อยค่ะ
ถนนใหม่หมายเลข4 ทางยังพอโอเคค่ะ

ยังดีที่มีรถไฟจากเวียงจันทร์ถึงหลวงพระบาง
และมีทางด่วนจากเวียงจันทร์มาวังเวียง
ใครสายชิลด์เอาท์ สายแบกเป้มาวังเวียงก็สบายหน่อย
แต่ถนนเลช13จากวังเวียงมากาสีนี่สุดทนมากค่ะ
ดีที่ทางลาวเขาทำถนนเลข4มาเสริมจากกาสีไปเชียงเงิน
รถเล็กเลยพอวิ่งได้ดีหน่อย

(น้ำซองปี2549 ดูสิคะสวยมากๆ)

(น้ำซองปี2556 พักที่รีสอร์ทริมน้ำ)

(น้ำซองปี2549 ใสมากชิลด์มากก ล่องเรือกันสนุกสนานค่ะ ที่พักสูงๆ แทบไม่มีเลย)
วังเวียงเปลี่ยนไปมากจากแต่ละครั้งที่ไปเยือน 2549
2556 -2566 ซึ่งปีหลังนี่ตึกสูงขึ้นมากมาย ผับบาร์ยังกับดอกเห็ด
ก็คงรองรับการท่องเที่ยวที่เติบโตมากๆนั่นแหละค่ะ
หนุ่มสาวชาวตะวันตกจะมาที่นี่มากกว่าหลวงพระบาง

(ปี2556 เลือกที่พักเป็นรีสอร์ทริมน้ำซองบรรยากาศดีมาก
และนี่คือพี่บั๋มสารถีที่ขับรถพาไปเที่ยวจากเมืองไทยค่ะ)


(วังเวียงปี2566 ตึกสูงเยอะแยะมากมาย เลยเลือกพักรร.ห่างแม่น้ำออกมา
เพราะราคารร.ริมน้ำแพงมาก)
ปี2566 ขาไปหลวงพระบางพี่บั๋มเลือกพาน้องและหลานพักที่อ่าวน้ำตง
แทนการพักวังเวียง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศค่ะ เป็นอ่างเก็บน้ำวิวดีมาก
ที่พักก็เยี่ยมค่ะ แต่คนไทยมักจะไปพักริมน้ำเฟืองกันมากกว่า



ทริปลาวปี2546เกิดจากงาน ปี2549เกิดจากอยากไปเที่ยว
เช่นเดียวกับทริปปี2556 แล้วทริปปี2566เกิดจากอะไร
ก็เกิดจากว่าในปี2556นั้นได้ไปไหว้พระที่หอพระม่านวัดเซียงทอง
ปกติหอพระนี้จะไม่ค่อยเปิดค่ะ แต่วันนั้นโชคดีมากที่หอพระเปิด
เลยไปขอพรเรื่องครอบครัวให้สมบูรณ์พร้อม

(วัดเซียงทองปี2549)


วัดเซียงทองภาพจากปี2549

(วัดเซียงทองปี2556)
พอขอพรเสร็จแล้วกลับมาเมืองไทย ปรากฏว่าณ มนมีเจ้าแฝดค่ะ
พอพี่บั๋มรู้ก็เลยบอกว่า เอาไว้เจ้าแฝดโตขึ้นเมื่อไหร่
พี่จะพาหนูนะกับหลานๆ ไปไหว้พระที่วัดเซียงทองนะ
เพราะเหมือนกับว่าหนูนะได้แฝดมาจากที่นี่
นั่นล่ะค่ะทริปลาวปี2566ก็เลยเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้



(หอพระม่านอยู่ด้านหลังโบสถ์หรือสิมวัดเซียงทอง
ไปขอพรตรงนี้แหละค่ะ กลับมาเลยมีเจ้าแฝด
ปล.นา่งแบบโดยพี่ปูและพี่หนู)

(พระประธานในโบสถ์วัดเซียงทอง)

พี่ใหญ่หน้าโรงเมี้ยนโกฐ

พร้อมหน้าพร้อมหน้าคณะทัวร์ปี2566

ภาพชุดนี้ปี2549 หน้าใสกันเชียวค่ะ55

สาวๆที่วัดใหม่สุวรรณพูมาราม
ปี2549เป็นทัวร์ที่สนุกมาเพราะกลุ่มเล็กรวมไกด์ไทยแล้วแค่6คน
แต่ในภาพคือไกด์ลาวนะคะ ปัจจุบันนี้น้องตูลี่สวยมากกกก

(พี่อ้วนกับหมูใส่ชุดเรียบร้อยใส่บาตรที่หลวงพระบางปี2556)
และแล้ว เจ้าแฝดก็ได้ไปไหว้พระที่วัดเซียงทองจนได้ค่ะ
แต่หอพระม่านไม่เปิดเลยไหว้แต่ด้านนอก และเข้าไปไหว้พระ
ที่หอพระใกล้ๆ กันแทนค่ะ

(เจ้าแฝดที่หอพระใกล้ๆกับหอพระม่าน เพราะปกติหอพระม่านจะไม่ค่อยเปิด)

(พระพุทธรูปในหอพระม่านศิลปะแบบพม่า ม่านก็คือพม่าค่ะ
ชาวม่านอพยพข้ามแม่น้ำโขงก็อัญเชิญพระมาด้วย
ประดิษฐานที่วัดเซียงทองแห่งนี้ค่ะ)

จากวัดเซียงทองก็มาเที่ยวที่อื่นๆ อย่างวัดใหม่สุวรรณพูมาราม


แฝดในวัดใหม่ฯ
ภาพเซ็ตล่างนี้จะเป็นจุดแวะพักรถบนถนนหมายเลข13 ณ มนจำชื่อไม่ได้ค่ะ แต่ใหญ่โตมาก
เพราะถนนเส้นนี้คือถนนสายหลัก

ปี2556เดินทางกันด้วยรถคันนี้ค่ะ

ปี2566 วิ่งถนนเส้นหมายเลข4 แวะพักที่ภูเก้าหลักค่ะ

ทางการเขาทำถนนหมายเลข4มาเสริมให้รถเล็กวิ่ง
จากเมืองกาสีไปเชียงเงิน จากนั้นจากเชียงเงินถึงหลวงพระบาง
ก็ต้องใช้หมายเลข13วิ่งอยู่ดี และผจญกับหลุมบ่อจนกระทั่งถึงหลวงพระบางค่ะ

น้ำตกตาดกวางสี น้ำตกเลื่องชื่อของหลวงพระบาง
ส่วนภาพล่างคือน้ำตกตาดแส้ ที่นี่ต้องนั่งเรือไปเที่ยวค่ะ
ไปถึงมีกิจกรรมแอดเวนเจอร์นิดๆ ทีมงานคนไทยไปทำให้ค่ะ


เท่าที่ไปเที่ยวรู้สึกชอบน้ำตกตาดแส้ในปี2556มาก
แต่ปี2566ไม่ได้ไป ไม่รู้เปลียนไปมากน้อยแค่ไหน
ในปี2556นั้น ต้องไปจอดรถแล้วลงเรือ สองฝั่งชาวบ้านปลูกผัก
ริมแม่น้ำกันเยอะเลย บรรยากาศดีมากค่ะ



อ้อ หอพระบางที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบางนั้น
ปี2549-2556 หอพระแห่งนี้ยังตกแต่งไม่เสร็จ
สามารถเข้าไปถ่ายรูปด้านในได้
ในปี2566เขาสร้างเสร็จแล้วค่ะ เข้าไปด้านในไม่ได้
ได้แต่กราบพระบางจากด้านนอกเท่านั้น

หอพระบางปี2549 เข้าไปถ่ายรูปได้ เลยจับเพื่อนมาเป็นนางแบบ

ภาพล่างคือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง


(ภาพนี้ในหอพระบางปี2556)



(พร้อมหน้าพร้อมตาหน้าหอพระบางปี2566)
เมื่อไปหลวงพระบางอาหารก็ต้องร้านประชานิยมนั่นล่ะนะ
ไม่แวะเดี๋ยวใครจะว่ามาไม่ถึงภาพนี้ปี2549

เซ็ตล่างนี้ปี2566ค่ะ


แต่เนื่องจากเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวเยอะ
ดังนั้นร้านคาเฟ่เก๋ๆในหลวงพระบางก็มีนะคะ มีเยอะซะด้วย
อ้อปี2566นี้มีคาเฟ่อเมซอนด้วยล่ะค่ะ

หน้าใสกันเชียว เพราะเป็นภาพปี2556ค่ะ555





ส่วนปี2549ปั่นจักรยานชมเมืองชิลด์มากไม่ค่อยเน้นคาเฟ่
เน้นร้านเมี่ยงข้าว และขนมข้างทางค่ะ555
แต่ปี2566รถเยอะมากปั่นจักรยานไม่ได้


ตอนเที่ยวหลวงพระบางนี่ที่สังเกตคือจาก20ปีที่ผ่านไป
คนทำงานในหลวงพระบางเปลี่ยนไปพอสมควรค่ะ

อย่างภาพนี้พี่ปูถ่ายที่รร.บัวหลวง
พักตอนปี2556 พอไปปี2566พนักงานที่มาทำงานจะคุยกับเราไม่ค่อยได้แล้ว
เมื่อก่อนเป็นคนลาวหลวงพระบางทำงานในร้านอาหาร ในเกสต์เฮาส์ในโรงแรม
แต่ตอนนี้จะเป็นหนุ่มๆ สาวๆ จากดอยสูงลงมาทำงานซะมากกว่าค่ะ
ทำให้สื่อสารกับคนงานในที่ต่างๆ ได้น้อยกว่าเมื่อก่อนที่เคยไปมา

พระธาตุพูสี

ตลาดกลางคืนที่ตอนนี้มีตลาดอาหารการกินแบบจ๊อดแฟร์บ้านเราด้วย

นอนหลวงพระบางสองคืนก้ได้เวลากลับค่ะ
ขากลับก่อนกลับไทยแวะนอนวังเวียงหนึ่งคืน
ในเมืองวังเวียงเปลี่ยนไปแบบเยอะมาก อย่างที่บอกค่ะ เยอะมากๆๆๆ จริงๆ
ตึกสูงขึ้นเยอะแยะไปหมดเลย โรงแรมติดริมน้ำซองเยอะมาก
ณ มนเลยเลือกพักห่างออกมากจากริมน้ำค่ะ เพราะค่าที่พักริมน้ำอัพราคาขึ้นไปมากอยู่
ผับบาร์ต่างๆ มีมากมายกว่าเดิมเยอะ

ริมแม่น้ำซองวังเวียง ปี2549
พี่บั๋ม พี่ที่พาไปเที่ยวแวะไปหาร้านข้าวร้านเดิมของเรา
ปรากฏว่าพี่เจ้าของร้านเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว เสียดายมากที่ไม่ได้เจอพี่เขา
เมื่อ10กว่าปีที่แล้ววังเวียงยังแบบเดินเที่ยวกันสบายๆ
พอสามสี่ทุ่มก็เงียบๆ แล้ว มีแค่ร้านนั่งกินดื่มที่ยังครึกครื้น
แต่ล่าสุดที่ไปคือผับบาร์ร้านกินดื่มนี่เปิดกันตั้งแต่เย็นเลยค่ะ

ก็นั่นล่ะนะความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาโลก คงไม่มีอะไรเหมือนเดิม
หรือจีรังยั่งยืนโดยไม่เปลี่ยนไป
และนี่ก็คือบล็อกเรื่องเล่าเดินทางท่องเที่่ยวของณ มน
ที่ค้างปีเลยทีเดียวกว่าจะเอามาเล่าไว้ในบล็อกนี้ แหะๆ

เพื่อนบล็อกท่านใดแวะมาอ่าน ณ มนขอบคุณมากนะคะ
ฝากคำทักทายกันไว้ได้น้า