Farvel...min pasient: 2
ฉันเดินเข้าไปในห้อง อากาศในห้องค่อนข้างเย็นเพราะเราต้องการให้ความเย็นรักษาสภาพศพไว้ก่อนจะย้ายลงไปห้องเย็น คนไข้นอนอยู่บนเตียง เหมือนนอนหลับ รับเวรจากเพื่อนร่วมงานก็บอกว่าเค้าผ่านไปได้ด้วยดี ญาติโอเค จะไม่กลับมาดูคนไข้อีกให้เราเข็นคนไข้ลงไปได้เลย แต่เราจะรอช่วงค่ำ ๆ ให้คนไข้คนอื่น ๆ เข้านอนกันก่อน ก่อนที่เราจะเข็นลงไป ที่นี่ค่อนข้างให้ความเคารพกับคนไข้ที่เสียชีวิตไปแล้ว สำคัญคือเราไม่ต้องการให้คนไข้ที่ยังอยู่เห็นคนไข้ที่เสียชีวิตหรือเห็นตอนเราเข็นคนไข้ไปห้องเย็น...
การดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายของที่นี่ค่อนข้างให้ความสำคัญมาก มีมอร์ฟีนก็ฉีดให้ไปทุกสอง-สี่ชั่วโมงก็ว่ากันไปค่ะ ไม่อยากให้คนไข้มีความเจ็บปวดคือสิ่งสำคัญและสิ่งที่ญาติต้องการค่ะสำหรับคนที่นี่ บางรายใช้เวลาหลายวันค่ะก่อนจะจากไป บางรายแค่คืนเดียวก็จากไปอย่างสงบ มีญาติรุมล้อมข้างกายก่อนไป บางรายก็จากไปเองโดยที่เราไปเจอตอนเช้าหลังส่งเวรก็มี...
ฉันยืนข้างเตียงคนไข้พร้อมกับคิดว่า ตอนมาเราก็มาคนเดียว...เวลาจากไปเราก็จากไปคนเดียวเหมือนกัน...แต่พระพุทธศาสนาสอนให้เรารู้ว่าเราสามารถสิ้นสุดการเดินทางนี้ได้...ทุกอย่างมันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วคนศาสนาอื่น ๆ นี่ทำอย่างไรนะเค้าถึงจะรู้ว่าเค้าสามารถยุติวัฎสงสารนี้ได้...โชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา...
หลังจากคนไข้เสียชีวิตลงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำความสะอาดร่างกาย แต่งตัวให้คนไข้ด้วยเสื้อผ้าที่ญาติหรือคนไข้ชอบ/ต้องการ ไม่แพ็คนะคะ แค่เอาแพมเพิร์สห่อด้านล่างเผื่อมีอะไรไหลออกมา ถ้ากรณีที่ไหลออกมาจากแทบทุกรูก็จำเป็นต้องทำค่ะ แต่ส่วนมากที่เจอไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้นค่ะ เช็ดตัว แต่งตัวเสร็จ ตกแต่งห้อง เตียงให้สวยงาม จุดเทียน เรียกให้ญาติเข้าไปดูครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินทางกันกลับ ที่นี่ไม่เรื่องมากเท่าไหร่ค่ะ บริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องศพจะรับไป เราให้เบอร์โทรของบริษัทไปญาติก็จะติดต่อเองค่ะ ไม่ต้องมีญาติมานอนเฝ้าศพที่วัดเหมือนของไทย
วัฒนธรรมของแต่ละที่ก็แตกต่างกันไปนะคะ เราเข็นศพลงไปช่วงประมาณสามทุ่ม ซึ่งคนไข้ส่วนมากจะอยู่ในห้องกันหมดแล้ว ห้องเย็นอยู่ชั้นใต้ดิน เป็นห้องกว้าง ๆ สักประมาณสามคูณสี่เมตรได้ มีเก้าอี้ยาว มีรูปพระเยซู ทำเหมือนเป็นโบสถ์เล็ก ๆ ไปในตัว เผื่อมีญาติที่อยากจะเข้ามาดูก่อนที่รถมารับศพจะรับไป เราเข็นคนไข้เข้าไปในห้อง ทางซ้ายมือมีประตูที่เปิดเข้าไปแล้วเหมือนห้องว่าง วางเตียงเข็นคนไข้ได้สองเตียง เราเข็นคนไข้ไปวางในห้องนี้ค่ะ ห่อด้วยผ้าขาว ติดป้ายชื่อวันเดือนปีเกิด วันที่เสียชีวิตไว้ที่ผ้าห่อและที่ปลายเท้าคนไข้
ฉันไม่รู้สึกกลัวเวลาที่เข็นคนไข้ไปห้องนี้ คิดเสมอว่าวันนึงฉันก็คงต้องถูกห่อด้วยผ้าขาวแบบนี้เหมือนกัน หรืออาจจะในรูปแบบอื่น เห็นแล้วให้เกิดความคิดว่าชีวิตมนุษย์เรานี้สั้นนัก เราที่ยังมีเวลาอยู่ในโลกนี้ได้ทำความดีเพียงพอหรือยัง คิดสะท้อนกลับมามองที่ตัวเอง ทำงานเป็นพยาบาลนี้ก็ถือว่าเป็นงานกุศลที่ได้ช่วยคนเจ็บป่วย แต่รู้สึกว่าไม่เพียงพอ (กิเลสหนาประมาณนึง 555) คือ อยากทำมากกว่านี้ อยากทำงานที่มันท้าทาย อยากเป็นพยาบาลในสนามรบ ในสงคราม ช่วยเหลือเด็กในแอฟริกา ช่วยเหลือผู้หญิงที่มีปัญหา ไม่รู้สินะ มันฝังอยู่ในหัวสมองไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าอยากทำงานอย่างนี้.....เมื่อไหร่...ก็เมื่อธรรมะจัดสรรนั่นแหละ...
หลังเข็นคนไข้ไปที่ห้องเย็นเรากลับมาทำความสะอาดห้องเพื่อเตรียมรับคนไข้รายใหม่ที่จะมาในวันพรุ่งนี้ ชีวิตมันก็เป็นเช่นนี้แล ต้องเดินต่อไปข้างหน้า ถอยหลังไม่ได้ก็จำต้องเดินต่อให้ดีที่สุด การจากไปของคนไข้แต่ละรายที่ฉันได้พบเจอมาล้วนแต่ทำให้ฉันได้คิดอย่างที่เขียนไปด้านบน (แต่คิดได้ไม่ทุกครั้งเพราะบางทีมันยุ่งงงง)
วัฒนธรรมที่นี่ทำให้ฉันคิดถึงวัฒนธรรมไทยที่แวดล้อมอบอุ่นไปด้วยความรักในครอบครัว คนที่นี่เจอกันหลัก ๆ ในเทศกาลงานสำคัญ งานศพ คริสมาสต์ Konfirmasjon ไม่ใช่ว่าเค้าไม่คุยกันนะคะ คนที่นี่เองอาจจะชินกับที่เค้าเป็นอยู่ค่ะ เราไปคิดแทนเค้าไม่ได้ แต่อยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ใจเราสำคัญที่สุดค่ะ ใจเป็นประธาน ใจเป็นใหญ่ ห่างไกลบ้านเกิดเมืองนอน ก็ถือเสียว่าได้มีประสบการณ์ โลกใบนี้กว้างกว่าที่เราคิดไว้นัก
ฉันส่งเวรตอนสี่ทุ่มให้เพื่อนร่วมงานเวรดึก ต่างก็โล่งใจว่าผ่านไปด้วยดี .... ไม่ใช่โล่งใจว่าคนไข้ตาย แต่หากคนต้องทุกข์ทรมานเพราะความเจ็บป่วยนั่นก็คงเป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิด อายุ 96 ปีกับโรคหลายโรคที่ได้ต่อสู้มาหลายปี คงถึงเวลาที่ต้องปล่อยวาง เราทำดีที่สุดแล้วกับการให้การดูแลในระยะสุดท้าย ท้ายที่สุด เราก็คงต้องตายอย่างคนไข้เหมือนกัน...
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ
ปล. หายไปนานมากค่ะ อิอิ ไม่ขอแก้ตัว แต่จะพยายามมาอัพมาเล่าเรื่องต่าง ๆให้ฟังค่ะ
Create Date : 18 พฤษภาคม 2558 |
|
12 comments |
Last Update : 18 พฤษภาคม 2558 21:25:27 น. |
Counter : 32042 Pageviews. |
|
 |
|