'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

~เพชรรากษส : ๑ ในชุด"นวหิมพานต์" โดย "อลินา" ~




เพชรรากษส
ผู้เขียน : อลินา
สนพ.ลูกองุ่น/พิมพ์(มี.ค.59)
386 หน้า ราคา 310 บาท


เรื่องย่อ...(ยาวๆจากปกหลัง)

นฤจักษ์ คือเมืองท่าใหญ่ในนวหิมพานต์ 
นฤจักษ์คือเมืองยักษ์เมืองของรากษส
 หรืออสูรน้ำที่ขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ร้อน
 หยาบคายดุร้ายและเปี่ยมด้วยอารมณ์รุนแรง

พวกอสูรยังพอทำใจยอมรับรากษสเพราะถือเป็นอสูรเผ่าพันธุ์หนึ่ง
แต่พวกเทพมองรากษสว่าต่ำช้าเสียยิ่งกว่ามนุษย์
รากษสตอบโต้ด้วยการต่อต้านพวกเทพรวมไปถึงพวกลูกครึ่งลูกเสี้ยว
ที่มีเชื้อสายเทพในตัวพวกเขาเรียกพวกลูกครึ่งเหล่านี้ว่า มูลเทพ
และเหยียดหยามว่ามีค่าน้อยเสียยิ่งกว่าสัตว์เลี้ยงในเรือน

อวิกา...คือมูลเทพที่เติบโตมาเยี่ยงนางก้นครัวในเรือนเมรัย
แม้ชีวิตจะยากลำบากและขมขื่นภายใต้การกดขี่ของแม่เลี้ยงใจร้าย
มูลเทพน้อยก็ยังมีความรัก
รักแรกกับรากษสหนุ่มที่ช่วยหล่อนจากการถูกทุบตี
รักสองกับรากษสหนุ่มที่ร่างกายยับเยินถูกแขวนไว้รอความตายในตลาด
รักสามกับรักษะตนใหม่ผู้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำนฤจักษ์
ด้วยการโค่นอำนาจลุงของเขาเอง

กาณฑ์...คือลูกครึ่งรากษสอสูรผู้ปรากฏสัญลักษณ์ของผู้ถูกเลือกบนหน้าผาก 
เขาคือความหวังที่ชาวเมืองคาดว่าอาจจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำฝั่งอสูรแทนบรอสูร
เขาคือกบฏคือฆาตกรที่ถูกทิ้งให้รอความตายอย่างน่าสมเพชในตลาด 

เขาคือรักษะตนใหม่ที่ตั้งใจจะนำพานฤจักษ์ให้ก้าวหน้าทัดเทียมนวหิมพานต์ 
แต่ตำแหน่งรักษะนั้นหอมหวาน รักษะตนใหม่จึงเป็นเป้าหมายที่ต้องกำจัด
ความรักของเขาคือสิ่งที่ต้องทำลายให้ย่อยยับ 
กาณฑ์ต้องต่อสู้สุดกำลัง...
เพื่อนฤจักษ์และสาวมูลเทพของเขา





โห...เรื่องย่อยาวมาก แล้วจะยังเหลืออะไรให้อิชั้นเหลาอีกล่ะเนี่ย...
เรื่องนี้อยู่ในชุด'นวหิมพานต์' แต่ถือเป็นเล่มที่แยกตัว
ออกมาจากชุดของบรอสูร บรเทพ 3-4 เล่มที่อ่านไปคราวก่อน
(ตรีเนตรทิพย์ - ทุติยะอสูร - เอกเทพ)

ในเล่มนี้จะบอกเล่าถึงอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งซึ่งหลุดรอดมาจากโลกเก่า
พร้อมๆ กับชาวนวหิมพานต์เผ่าอื่นๆ เรียกว่า 'รากษส'หรืออสูรน้ำ 
มีสถานะทางสังคมค่อนข้างต้อยต่ำเมื่อเทียบกับอสูรและเทพ
 แต่กระนั้นในกลุ่มรากษสด้วยกันเองก็มีการแบ่งชั้นวรรณะ
 มีการเหยียดกลุ่มรากษสที่เป็นลูกผสม 
โดยเฉพาะลูกผสมกับเทพจะถูกเรียกอย่างรังเกียจว่ามูลเทพ

เผ่านี้แม้จะถูกปกครองโดยอสูร แต่ในเมืองนี้ก็มีการปกครองกันเอง
โดยผู้ปกครองสูงสุดเรียกว่ารักษะ
 มีกฎหมายที่ตราไว้ใช้ในกลุ่มที่ทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติ

อวิกา เด็กสาววัย 19 ปี เป็นรากษสลูกผสม(ที่ถูกเรียกว่ามูลเทพนั่นแหละ)
 อาศัยอยู่กับแม่เลี้ยง แม่ของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็กๆ 
เมื่อพ่อแต่งงานใหม่กับแม่เลี้ยงและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
 เธอจึงต้องตกอยู่ภายใต้สิทธิการดูแลของแม่เลี้ยง 
และจะเป็นอิสระได้ก็ต่อเมื่อเธออายุครบ 20 ปี
เธอเติบโตมาในร้านเหล้า ซึ่งเดิมเป็นกิจการของพ่อของเธอ
 ถูกแม่เลี้ยงกับพี่สาว(ลูกติดแม่เลี้ยง)กดขี่ข่มเหง ใช้งานเยี่ยงทาส
 แต่เธอก็อดทน พยายามปิดบังความงดงามผุดผ่องของตัวเอง
โดยการฉาบทาสีถ่านบนใบหน้าและฟัน
 เพื่อไม่ให้ลูกค้าที่มาดื่มกินที่เรือนเมรัยสะดุดตา 
และอาจจะนำมาซึ่งภัยคุกคาม

อวิกามีผู้ที่คอยช่วยเหลือเธออยู่ห่างๆ คือพศุตม์ 
ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคโดยใช้สมุนไพร 

วันหนึ่งเขาได้รับการตามตัวให้ไปรักษากาณฑ์
 รักษะคนใหม่ที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งไม่นาน 
พศุตม์จึงพาอวิกาไปด้วย ในฐานะผู้ช่วย

นั่นเอง...จึงทำให้อวิกาได้พบกับชายในดวงใจของเธอ
ที่เคยช่วยปกป้องเธอจากการรังแกของรากษสเกเร
เมื่อครั้งที่เธอยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย เมื่อกว่าสิบปีก่อน




ยาวค่ะ...แต่อ่านได้เพลิดเพลินสนุกสนาน 
จินตนาการบรรเจิดเพริดพราย
สมกับลายเซ็นนักเขียนนามนี้แหละค่ะ

ชอบมากกับการสร้างสรรค์พล็อต ตัวละคร 
และฉากที่มีความเป็นแฟนตาซี อิงเทพนิยายคลาสสิค 
ผสมผสานวรรณคดีโบราณกับนิยายพื้นบ้านได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว 

ทั้งยังมีความเป็นโรแมนติกดราม่าด้วยเรื่องราวความรัก
ความสัมพันธ์ต่างชนชั้นฐานันดร...
การแก่งแย่งแข่งขันชิงอำนาจ รวมถึงการวางแผนซับซ้อน
เพื่อให้ลุถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ...
ถือเป็นนิยายครบรสที่อ่านสนุกมากๆเล่มหนึ่งค่ะ Smiley





 

Create Date : 18 ธันวาคม 2561    
Last Update : 18 ธันวาคม 2561 12:20:53 น.
Counter : 4222 Pageviews.  

~ มนตร์ทศทิศ : จินตนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย "ราตรี อธิษฐาน" ~




มนตร์ทศทิศ
ผู้เขียน : ราตรี อธิษฐาน
สนพ.อรุณ/พิมพ์
576 หน้า ราคา 435 บาท


โปรยปก


“ใจหนอใจ ใจใดเล่าหากลองใช้มีดกรีดออกมา
ก็จักได้รู้ว่าในเป็นเพียงก้อนเนื้ออ่อนๆเท่านั้นเอง”

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อเดินทางไปสักการะพระธาตุอินทร์แขวน
ส่งให้เอื้องดาวเรียงย้อนกลับไปในอดีตกาล ณ หงสาวดี
เมืองทองที่เป็นดั่งดวงหฤทัยของผู้ที่ถูกขนานนามว่าพระเจ้าสิบทิศ

แต่เมืองทั้งเมืองใช่ว่าจักมีแต่พระนามขององค์ประมุขผู้นี้เพียงเท่านั้น
ภายในพระราชวังกัมโพชธานีสถานที่นี้ยังมีเรื่องราวมากมาย
ที่ไม่อาจจารึกไว้ในประวัติศาสตร์





และแล้วก็ได้ฤกษ์อ่านเสียที สำหรับนิยายพีเรียดเล่มหนาเรื่องนี้ 
หลังจากได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือมาพักใหญ่ๆ

เล่าเรื่องย่อต่อจากปกหลังอีกคร่าวๆละกันค่ะ...

เรื่องนี้เป็นกึ่งๆนิยายอิงประวัติศาสตร์ กึ่งๆจินตนิยายแนวเหนือจริงสักเล็กน้อย 
อิงพล็อตข้ามภพข้ามชาติแบบไม่ต้องอาศัยตรรกะ เหตุแลผลใดๆทั้งสิ้น

(หรืออาจจะมีแต่ผู้เขียนไม่ได้เฉลยปมตรงนี้...ยังไงเราก็ไม่ทราบ?)

นางเอก เอื้องดาวเรียง เด็กสาวเชื้อสายเจ้าทางเหนือเพิ่งเรียนจบมัธยมปลาย
 ทั้งดื้อรั้นและซุกซนจนเป็นเรื่อง...
เธอพลัดตกจากท้ายรถโดยสารสองแถว
ที่กำลังแล่นฝ่าสายฝนขึ้นเขาสูงชัน ขณะเดินทางจะไป
สักการะพระเจดีย์พระธาตุอินทร์แขวน

ร่างของเธอลอยละลิ่งลงสู่ก้นเหวลึก...วิญญาณพลันหลุดจากร่าง
ไปเข้าร่างแม่น้อย เด็กหญิงชาวอโยธยาวัยสิบสาม 
ที่กำลังเดินทางรอนแรมร่วมขบวนของพระองค์ดำ
(สมเด็จพระนเรศวร)มุ่งหน้าสู่กรุงหงสาวดี 
เมื่อสอบถามจากผู้ที่ช่วยเหลือเธอ เธอจึงได้รู้ว่าช่วงเวลานั้นคือ...
ปีจุลศักราช 930 !!! 
(+1181 = พุทธศักราช 2111 ก่อนเสียกรุงอโยธยาหนึ่งปี)

เดิมทีแม่น้อยเป็นเด็กเบื้อใบ้ไม่ยอมพูดจา หลังจากตกน้ำตกท่า
 ฟื้นขึ้นมาก็พูดจาแปลกๆจนคนรอบข้างต่างเข้าใจว่า
เป็นธรรมดาที่เมื่อขวัญกลับเข้าร่างใหม่ๆก็ต้องแปลกเปลี่ยนบ้าง

เอื้องดาวเรียงเองแม้จะยังสับสนมึนงงในเบื้องแรก แต่เมื่อมั่นใจว่าไม่ใช่ความฝัน เธอก็พยายามคิดหาทางกลับสู่มิติของตัวเอง 
เมื่อไม่สำเร็จเธอก็ต้องทำใจยอมรับสภาพ 
พยายามฟื้นความรู้ความเข้าใจในวิชาประวัติศาสตร์ที่เคยเรียนมา
แล้วทำตัวกลมกลืนตามน้ำไปก่อน

ด้วยผิวพรรณที่ผุดผ่องกับรูปโฉมอันงดงาม 
พี่สาวของเธอจึงต้องใช้เขม่ากับผงถ่านพอกตัวเธอไว้เป็นการอำพรางโฉม

เมื่อมาถึงหงสาวดี แม่น้อยก็ได้เข้าอยู่ในตำหนักของพระเทพกษัตรี 
มเหสีองค์หนึ่งในพระเจ้าบาเยงนอง(ที่เรารู้จักกันดีในนามพระเจ้าบุเรงนองนั่นเอง)ที่มาจากอโยธยา(มีศักดิ์เป็นน้าของพระนเรศวร) 
พระเทพกษัตรีประทานชื่อใหม่ให้แม่น้อย เธอจึงทูลขอชื่อเอื้อง 
จากนั้นเธอจึงกลายเป็นแม่เอื้อง บ่าวในตำหนักมเหสีจากอโยธยา 
แต่ในสายตาผู้คนในวังเธอก็เป็นอีโยเดียตัวดำ 
เพราะเธอยังคงพรางตัวเองไว้ภายใต้ผงถ่านเช่นเดิม

แต่กระนั้น ด้วยความร่าเริงสดใสของสาวน้อยในร่างเด็กหญิง
 เธอก็กลายเป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้อื่นจนได้...
โดยเฉพาะเจ้าชายหนุ่มน้อย เมงจีสวา ผู้มิได้พึงพอใจกับสถานะเจ้าชาย
แถมพ่วงด้วยตำแหน่งว่าที่องค์อุปราชาของตัวเองเลย...

ความดื้อรั้นซุกซนของแม่เอื้องกลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้เจ้าชายพม่าต้องเฝ้าติดตามด้วยความห่วงใยว่านางอาจจะต้องประสบภัย...
จนกลายเป็นความผูกพัน คิดถึงคนึงหายามต้องห่างไกล

แม้ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองตามฐานะชาติกำเนิด 
เขาจำเป็นต้องอภิเษกกับชายาถึงสองคน 
แต่หญิงเดียวที่อยู่ในดวงใจก็มีเพียงแม่หญิงชาวอโยธยาเท่านั้น

ฝ่ายเอื้องดาวเรียง เธอจับพลัดจับผลูหลุดเข้ามากลางวงสงคราม
ที่เธอรู้แก่ใจดีถึงผลลัพธ์ ใจหนึ่งเธอจึงพะว้าพะวังมุ่งแต่จะพาตัวเอง
ให้พ้นจากวังวนนี้ แต่อีกใจเธอก็เริ่มผูกพันกับทั้งผู้คน
และสถานการณ์ต่างๆที่แวดล้อมตัวเธอ
...โดยเฉพาะกับความรักความเอื้ออาทรที่เธอได้รับจากเมงจีสวา
 เจ้าชายพม่ารามัญ...เจ้าชายจากชาติศัตรู!

แม้เธอจะยอมรับสภาพเป็นเพียงนางในไร้ตัวตน
 ไม่วาดหวังยศศักดิ์ฐานันดรใดๆ เพียงความรักที่เธอกับเขามีให้แก่กัน
นั่นก็เพียงพอแล้ว
ทว่า...ผู้อื่นมิได้คิดเช่นนั้น 
แม่เอื้องจึงกลายเป็นเสี้ยนหนามชิ้นใหญ่
ที่ต้องถูกกำจัด




ว่าจะย่อสั้นๆ ไหงลากยาวได้ขนาดนี้ล่ะเนี่ย...
(ความยาวของเรื่องย่อจะขึ้นอยู่กับความชอบไม่ชอบของคนอ่านด้วยค่ะ แหะๆ)
แต่นี่ก็ยังคงเป็นเรื่องราวเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น 
ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวถึง

ชอบค่ะ ชอบมากๆ ชื่นชมผู้เขียนที่นำเอาเรื่องราวในประวัติศาสตร์ในช่วงที่เราคุ้นเคยกันดีมาต่อยอด ต่อเติมเสริมแต่งด้วยจินตนาการ...โดยไม่ได้บิดเบือนสาระข้อมูลทางประวัติศาสตร์หลักๆเดิมๆที่พวกเราเคยเรียนรู้และจดจำกันมานาน

มีแต่จะนำเสนอมุมมองใหม่ๆที่ฉีกไปจากเดิม
ที่ทำให้เราได้ฉุกคิดและเปิดใจมองผู้คนที่เราเคยคิดว่าเขาอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม
หรือเป็นผู้ร้ายในสายตาเรามาก่อน 
ว่าอันที่จริงเขาก็เป็นมนุษย์มนาคนหนึ่งเหมือนพวกเรา 
ที่ล้วนแต่มีรัก โลภ โกรธ หลงได้เหมือนกันหมด 
มีทุกข์มีสุข มีปุ่มมีปมในใจได้เหมือนๆกับเราเช่นกัน

ผู้เขียนดำเนินเรื่องผ่านช่วงชีวิตของเอื้องดาวเรียง 
โดยอิงอาศัยช่วงเวลาและเหตุการณ์ต่างๆที่เคยเกิดขึ้นในอดีต...
(ตามหลักฐานเท่าที่มีการบันทึกไว้ในพงศาวดารและตำรับตำราต่างๆ) 

เริ่มตั้งแต่เมื่อเธอหลุดเข้ามากลางขบวนเดินทางของพระนเรศวร
จากเมืองสองแควมุ่งหน้าสู่หงสาวดี...

การเล่าเรื่องของเธอเป็นไปอย่างลื่นไหล อ่านเพลินมาก 
แม้จะสะดุดๆอยู่บ้างกับจริตนิสัยของนางเอกในช่วงแรกๆ 
แต่เมื่อเมื่อวันเวลาผ่านไป มีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้น
 ตัวละครตัวนั้นตัวนี้โผล่ขึ้นมา ซึ่งแต่ละตัวเราก็รู้สึกประพิมพ์ประพาย 
คล้ายว่าจะเคยรู้จัก หรืออย่างน้อยก็คุ้นชื่อล่ะ 
ก็เลยทำให้กลบๆกลืนๆความไม่เข้าท่าของนางไปได้...

อนึ่ง เมื่อเติบโตขึ้นและได้เผชิญปัญหาหลายสิ่งหลายอย่าง
 นางก็ดูจะมีพัฒนาการ มีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
 ซึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้เราเริ่มๆคลายหมั่นไส้ หันมาเอื้อเอ็นดู
และเอาใจช่วยเธอได้ในตอนหลังอย่างไม่ยากเย็นนัก

ตัวละครที่ชอบที่สุดก็คือพระเอก เจ้าชายเมงจีสวา 
หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนามมังกะยอชวา
(หรือมังสามเกียดนั่นเอง...หลายชื่อจัง) 
พระมหาอุปราชาผู้ทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวร
จนถูกพระแสงของ้าวฟันคอขาดสะพายแล่ง
สิ้นพระชนม์บนคอช้าง...

เจ้าชายพระองค์นี้เท่าที่เราเคยได้อ่านได้ฟังมา 
รับรู้กันมาประมาณว่าทรงเป็นลูกแหง่ เหยาะแหยะอ่อนแอไม่เอาไหน...

แต่ในนิยาย...ผู้เขียนได้นำเสนอบุคลิกขององค์ชายออกมา
ในอีกแง่มุมหนึ่ง...
คือในมุมของเด็กหนุ่มผู้มีปมในใจ 
ถูกผู้เป็นพ่อและปู่กดดันให้ต้องแกร่งกร้าวห้าวหาญ

ย่าไม่ปลื้มเพราะคอยแต่จะเอาเขาไปเปรียบเทียบกับนัดดาอีกองค์หนึ่ง
แม่ไม่โอ๋เพราะความเชื่อที่ฝังกันมาช้านานว่าลูกผู้ชายติดแม่ไม่เติบโต...
เขาจึงแอบอิจฉาน้องชายนักหนาที่ได้อยู่ใกล้มารดา...
เพียงเพราะน้องไม่ต้องรับภาระตำแหน่งรัชทายาท...บลาๆๆๆ

พอโตขึ้น รู้จักความรักก็ยังไม่สามารถรักคนที่ตนรักได้ 
เพราะต้องอภิเษกกับหญิงที่ฐานะทัดเทียม
และสามารถหนุนบัลลังก์ให้มั่นคงได้
เจ้าชายเมงจีสวาในเรื่องนี้จึงดูจะน่าสงสารน่าเห็นใจเป็นอันมาก

ด้วยความที่นิยายเรื่องนี้จัดเป็นนิยายรักโรแมนติก 
ตามที่ผู้เขียนได้ออกตัวไว้ตั้งแต่ในหน้าคำนำว่าอยากให้ผู้อ่านอ่านเอาเป็นนิทาน
เพื่อความบันเทิงมากกว่าจะยึดถือเป็นตำราประวัติศาสตร์ ื
ส่วนตัวจึงอ่านแบบไม่ได้คาดหวังในสาระข้อมูลใดๆ 
ผลที่ได้รับจึงออกจะเกินคาด เพราะถึงแม้ผู้เขียนจะออกตัวดังกล่าวข้างต้น
 แต่เธอก็ไม่ได้ละเลยข้อเท็จจริงที่มีอยู่เดิม 
นิยายมีรายละเอียดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเต็มไปหมด 
เช่นฉากตำหนักต่างๆในวังหงสาวดียุครุ่งเรือง 
เกร็ดวัฒนธรรม ตลอตถึงวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนในระดับต่าง ๆ 
จากบทบรรยาย บทสนทนาในเรื่องเราจะเห็นได้ชัดว่า
ผู้เขียนคงต้องทำการบ้านอย่างหนักหน่วงพอสมควรเลยแหละ 
กว่าจะออกมาเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์เล่มหนาเตอะ
แล้วอ่านเพลินได้ขนาดนี้

จริงๆแล้วยังมีอีกหลากหลายประเด็นเหลือเกินที่อยากพูดถึง...
ทั้งเรื่องของเจ้าชายนัดจินหน่อง เจ้าชายจากตองอู ลูกผู้น้องของเมงจีสวา
 เจ้าหญิงราชาธาตุเทวีกับเจ้าหญิงนัดเชงเมดอ(ชื่ออ่านยากมาก)
พระชายาทั้งสองของเมงจีสวา...

แต่ให้เล่าหมดคงยาวอะ สรุปเลยละกันว่าอ่านสนุก อ่านเพลินลื่นไหลมาก
ด้วยสำนวนภาษาที่ละเมียดละไมของผู้เขียน 
กับเรื่องราวเนื้อหาที่ครบครัน 
มีรักหวานโรแมนติก มีดราม่าโศกซึ้งสะเทือนใจ
 มีฉากผจญภัยตื่นเต้นเร้าใจ...

สมแล้วที่ครั้งหนึ่งนิยายเรื่องนี้เคยเป็นแรร์ไอเท็ม
ชนิดที่มีคนปั่นราคาขึ้นไปถึงหลายเท่าตัว...
ของเค้างานดีเช่นนี้เอง 😆






 

Create Date : 13 ธันวาคม 2561    
Last Update : 13 ธันวาคม 2561 12:25:34 น.
Counter : 3593 Pageviews.  

~ Trust/ให้รักระบายใจ : หากจะรักต้องรู้จักเชื่อใจ โดย "ณกันต์" ~




Trust/ให้รักระบายใจ
ผู้เขียน :ณกันต์
สนพ.พิมพ์คำ/พิมพ์
404 หน้า ราคา 280 บาท



เรื่องราว(จากปกหลัง)

"ล้างหน้าเหรอ" 
"เปล่าครับ ถอดคอนแทกต์เลนส์" เขาตอบ 
แล้วศศรัณย์ก็หันขวับ อ้าปากค้างเมื่อเห็นเขา หนุ่มแว่น! 
"นะโม...ทำไม..." ศศรัณย์พูดจาไม่รู้เรื่อง ได้แต่มองเขาตาค้าง 

"ผมสายตาสั้น" 
"ทำไมไม่เคยบอกเลยล่ะ! รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันชอบหนุ่มแว่นน่ะ
 แล้วแฟนฉันใส่แว่นทำไมฉันไม่เคยรู้ หา?!"
"เร้าใจไหมล่ะ" เขาถามแล้วส่งยิ้มซนๆ มาให้
 "นะโมผู้มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์ตลอดเวลา" 
"ทำไมไม่บอก" 
"กลัวพี่ยุ่นหลง จริงๆ นะ ตอนแรกไม่อยากให้ชอบเลยไม่บอก
 ขนาดไม่ใส่แว่น พี่ยุ่นยังชอบเลย ผมนี่ฮอตจริงๆ" 

"ใส่แว่นตลอดเลยได้ไหม นะ" เธอขอ "น่ารักจัง" 
นะโมเลิกคิ้ว แล้วอยู่ๆ หน้าเขาก็แดงขึ้นมา ก่อนจะเสมองไปทางอื่น 
ศศรัณย์กัดปาก...ใส่แว่นแล้วเขินยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่ 
เธอก็เลยโผเข้าหาแล้วซบเขาเสียเลย...





หลังอ่าน...
อีกเล่มจากนักเขียนนามปากกาไม่คุ้นเคยที่อ่านได้สนุก
และรื่นรมย์ในระดับหนึ่งทีเดียว

เป็นนิยายรักร่วมสมัยที่เหมือนจะไม่มีอะไร... 
อ่านบทแรกๆ เกือบจะไม่ผ่าน เพราะเรื่องราววนๆเวียนๆ
อยู่แต่ในแวดวงหนุ่มสาวในออฟฟิศเดียวกัน
ที่จีบกันไปแซวกันมาแล้วก็จับคู่กันเป็นคู่ๆ อะไรประมาณนั้น 
เหมือนเรื่องรักในสำนักงานทั่วๆไป...
แต่สิ่งที่ดึงดูดให้อ่านต่อ...จนติดหนึบ...ต่อเนื่องจนถึงจุดจบคือ....
บุคลิกที่แปลกแยกและแตกต่างของคู่พระ-นาง
กับเรื่องราวความสัมพันธ์ของพวกเขาค่ะ

ศศรัณย์ หญิงสาวบ้านแตกมีปมกลัวความรัก
 แต่ตัวเองก็แอบขี้เหงาและอยากมีใครสักคน...
ภายนอกเธอดูเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่ร่าเริง ขี้เล่น ขี้อ่อย
 คอยแต่แอ๊วหนุ่มๆไปทั่ว แต่พอใครเขาเอาจริงด้วยก็ถอยกรูด...

นะโม ไอทีหนุ่มอายุน้อยกว่าศศรัณย์สองปี 
ภายใต้ท่าทีกวนๆเกรียนๆของเขานั้น
 แอบซ่อนบาดแผลจากความรักครั้งก่อนเก่าไว้อย่างลึกล้ำ

เมื่อคนสองคนที่ต่างก็กลัวความรักได้มาเจอกัน
 ใกล้ชิดสนิทสนมกัน ต่างฝ่ายต่างผลักไสและดึงดูดซึ่งกันและกัน 
สิ่งเดียวที่อาจจะพอช่วยให้พวกเขาคลายความหวาดกลัว
และหันมาจับมือกันฟันฝ่าอุปสรรคที่รออยู่ตรงหน้าก็คือ...
ความเชื่อใจ ความไว้ใจ หรือTrust นั่นเอง



อย่างที่บอกตอนต้นว่าเกือบจะไม่ผ่านช่วงแรกๆ 
ด้วยความเวิ่นเว้อว่างๆโหวงๆของเนื้อหา 
แต่หลังจากช่วงนั้นอีกแค่นิดหน่อย...
 เมื่อเจอหนุ่มมะโนมาปล่อยมุกกวนนางเอกเข้านั่นแหละ
 บรรยากาศของเรื่องเริ่มเปลี่ยนไปค่ะ
มันมีความกุ๊กกิ๊ก มีมุมให้เซอร์ไพร้ซ์ อยู่เรื่อยๆ

แต่ในขณะเดียวกันผู้เขียนก็ค่อยๆพาผู้อ่านให้ได้รู้จักความรักในแง่มุมที่ไม่ปกติ..
.ซึ่งส่วนนี้ต้องชมคนเขียนค่ะ ที่ทำการบ้านในเรื่องของโรคทางจิตเวช
มาเป็นอย่างดี 

ทั้งพระเอกนางเอก(รวมถึงตัวร้ายในเรื่อง)ต่างก็เป็นคนป่วย
ด้วยโรคบุคลิกภาพแปรปรวน
 ซึ่งน่าจะถือเป็นโรคสมัยใหม่ที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม
กับจิตใจที่ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง


ฟังดูเครียดนะ...แต่ผู้เขียนเก่งค่ะ 
สามารถคุมโทนนิยายให้เป็นโรแมนติกคอเมดี้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย 
ด้วยการหยอดมุกหนุ่มจีบสาว-สาวจีบหนุ่ม มีมุกงอนง้อง่องแง่งๆกัน
แป้กมั่งไม่แป้กมั่งก็อ่านไปยิ้มไปหลายมุกล่ะค่ะ

แถมด้วยพล็อตย่อยที่แทรกเข้ามาในเรื่องหลัก 
อย่างเรื่องของพี่กวินเจ้าของร้านกาแฟที่แสนจะอบอุ่น
 เรื่องรักหวานๆของธีร์กับทิชา 
หรือเรื่องรักชวนจิ้นกระจายของหนุ่มเมษกับน้องคิม ฯลฯ
ทำให้นิยายเรื่องนี้มีอะไรมากกว่าแค่นิยายรักธรรมดาๆ

ชอบชื่อเรื่องนะ ภาคภาษาอังกฤษเขาใช้คำวา Trust 
เพราะในเรื่องคำๆ นี้จะมีความหมายมากต่อความรักของพระเอก-นางเอก
ส่วนในภาคภาษาไทย ชื่อเรื่องก็ให้ความหมายตรงตัว 
ในเรื่องพระเอกเขาอาศัยการวาดภาพเป็นวิธีบำบัดจิต
 ในขณะที่นางเอกก็ค้นพบว่าการระบายสีเป็นวิธีคลายเครียดได้อย่างดี
 แล้วทั้งคู่เขาก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยไปวาดภาพและระบายสีด้วยกันอยู่เรื่อยๆ

สรุปว่าเป็นอีกเล่มที่ลองของใหม่แล้วไม่ผิดหวังค่ะ 
ออกจะชอบเกินหวังไปด้วยซ้ำ Smiley





 

Create Date : 31 ตุลาคม 2561    
Last Update : 31 ตุลาคม 2561 14:46:32 น.
Counter : 2153 Pageviews.  

~ นางทิพย์ : ความรัก ความหลังและพลังจิต โดย"แก้วเก้า" ~




นางทิพย์
ผู้เขียน : แก้วเก้า
สนพ.ดอกหญ้า/พิมพ์(ครั้งที่ ๔/ พ.ศ.๒๕๓๗)
๗๙๖ หน้า ราคา ๒๓๐ บาท



ปกหลัง : 

อาถรรพ์แห่งอดีต พลังจิต และอำนาจลึกลับ ...
สื่อแห่งความสัมพันธ์ระหว่างเทพและมนุษย์ 

เธอ... มิอาจสุขสำราญใจได้เฉกเช่นเทพองค์อื่น ด้วยปรารถนาใคร่รู้ว่า
มนุษย์บนพื้นโลกดำรงชีวิตเช่นไร เธอจึงจากมาเพื่อแสวงหาคำตอบ 

เขา... นักวิทยาศาสตร์หนุ่ม ผู้หมกมุ่นอยู่กับงานทดลองพิลึกพิลั่น
 ล้วนเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ลึกลับหรือภูติผีปีศาจที่ชวนสยองขวัญ

เมื่อเขาและเธอพบกัน สายใยสัมพันธ์ระหว่างเทพและมนุษย์จึงบังเกิดขึ้น... 
ท่ามกลางอำนาจลึกลับจากอดีต เขาและเธอต้อง
จับมือกันต่อสู้ไขปริศนาเหล่านั้นให้หมดไป





นางฟ้ารวิปรียา หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือยามะธิดา
เกิดเบื่อหน่ายในชีวิตแบบเทพๆ(ที่อยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นสาม-ยามาภูมิ)
 จึงแอบหนีพระบิดากับพี่เลี้ยงแบ่งภาคลงมาจุติเป็นมนุษย์ 
สักครึ่ง-หนึ่งวัน(๑ วันเทพ = ๒๐๐ ปีมนุษย์)
ถือกำเนิดเกิดมาเป็นเด็กหญิงปริตตา
 ซึ่งลักษณะภายนอกก็เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไปทุกอย่าง
แต่เมื่อแม่ของเธอพาเธอไปเยี่ยมคุณยายผกา(พี่สาวคนโตของคุณตา)
 และได้พบกับคุณหลวง(สามีคุณยายผกา)
ท่านมองเห็นตรีรังสีที่อยู่รอบกายเธอ 
และรู้ได้ทันทีว่าเธอคืออีกภาคหนึ่งของรวิปรียา...

คุณตามีบรรดาศักดิ์เป็นคุณหลวงสืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนาง
ตั้งแต่สมัยอยุธยานู่น ท่านแต่งงานกับคุณผกาหลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิตลง
 และรับทินเทพ-หลานชาย ลูกของลูกชายคนโตของคุณหลวงมาเลี้ยง

คุณหลวงรู้สึกเป็นห่วงปริตตาว่าอาจจะมีปัญหา
เพราะรวิปรียาไม่ได้ตัดขาดจากสภาวะเทพทั้งหมด
 เธอตามติดปริตตาราวกับฝาแฝด ทำให้คนใกล้ชิดบางคน
ที่เห็นปริตตาคุยกับตัวเองคิดว่าเธอเป็นคนมีบุคลิกแปลกแยก
 แต่จริงๆแล้วเธอคุยกับรวิปรียา
ท่านจึงขอรับปริตตามาเลี้ยงดูใกล้ชิด คู่กันกับทินเทพ




ดร.ภาธรเป็นลูกชายคนเล็กของคุณหลวง เขาศึกษาเรื่องของปรจิตวิทยา
 และเคยร่วมงานกับองค์การนาซ่า เขากลับมาเมืองไทยเพื่อทำงานวิจัย
เรื่องของพลังจิตในแง่ของปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์
 และเข้าสอนวิชาปรัชญาในมหาวิทยาลัยที่ปริตตาเรียนอยู่

ภาธรมีที่อยู่ที่หนองพราย บางปะอินแปลงหนึ่ง 
และไปเจอเรือนไทยที่ใกล้ๆ กันนั้นซึ่งเจ้าของต้องการขาย 
เขาจึงเดินทางไปที่นั่น

 เขาเข้าไปสำรวจพื้นที่รกร้างแห่งหนึ่งที่ชาวบ้านลือกันว่าผีดุ 
ซึ่งตรงกับความสนใจใคร่รู้ของเขาเข้าพอดี 
เพราะเขาต้องการจะถ่ายภาพวิญญาณเพื่องานวิจัย
ที่นั่นเอง...เขาก็ได้พบแหวนทองโบราณวงหนึ่ง จึงเก็บมา
 แม้ว่ารวิปรียาในร่างของปริตตาพยายามห้ามแล้ว เขาก็ไม่ฟังเสียง...

เขาหารู้ไม่ว่า...เขาได้ปลดปล่อยดวงวิญญาณที่ถูกกักขังไว้ ณ ที่แห่งนั้น
หลากหลายดวง...

รวมทั้งดวงวิญญาณของเจ้าหญิงทิพฉาย 
อดีตคนรักต่างฐานันดรของเขาในชาติภพก่อน...
ชาติภพที่เขาคือออกญาพิชิตแสนพล...นายทหารองครักษ์
ที่ทำหน้าที่คุ้มกันและพาเจ้านายฝ่ายในหนีข้าศึกตอนเสียกรุงนั่นเอง

เมื่อกลับมากรุงเทพ ทิพฉายอาศัยอำนาจแห่งแหวนนั้นกำจัดรวิปรียา
และเข้าครอบงำปริตตาได้สำเร็จ
 เธอหาทางเข้าใกล้ภาธรโดยทำร้ายคนใกล้ตัวของเขาจนมีอันเป็นไปทีละคนๆ...
ภาธรต้องหาวิธีเอาแหวนไปคืนที่หนองพรายตามเดิม 
เพื่อช่วยให้ปริตตาหลุดพ้นจากอำนาจของเจ้าหญิงทิพฉาย...
และในการจะทำดังนั้นได้เขาจะต้องเลือกว่าจะให้ใครคงอยู่...
ระหว่างรวิปรียาหรือปริตตา?





หลังอ่าน...
ข้างบนนั่นเป็นเรื่องย่อที่พยายามย่อเองแบบ...คร่าวๆที่สุด
 เนื้อเรื่องจริงๆมีเรื่องราวซับซ้อนมากมาย
เป็นนิยายแนวเหนือธรรมชาติที่ผสมผสานศาสตร์และศิลป์
หลากหลายแขนงเข้าด้วยกันได้อย่างกลมกลืนสอดคล้อง 
สมเหตุสมผล...ทั้งวิทยาศาสตร์ พุทธศาสตร์ พลังจิต...
รวมถึงมีปมการเมืองการปกครองเข้ามาเกี่ยวข้อง...

และในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็มาขมวดจบลงที่เรื่องของกรรมและผลแห่งกรรม 
ที่ไม่ใช่เพียงของมนุษย์โลกเท่านั้น หากหมายรวมถึงวิบากกรรมแห่งเทพ
ผู้ไม่ยอมอยู่ในกฏเกณฑ์แห่งสภาวะของตนเอง

นิยายของนักประพันธ์ชั้นครู อ่านจบด้วยความอิ่มเอมใจเสมอค่ะ









 

Create Date : 17 ตุลาคม 2561    
Last Update : 17 ตุลาคม 2561 15:10:00 น.
Counter : 1378 Pageviews.  

~ นางถ้ำ เรื่องราวลี้ลับในตำนาน โดย นักเขียนรางวัลซีไรท์ "มาลา คำจันทร์" ~




นางถ้ำ 
ผู้เขียน : มาลา คำจันทร์ 
สนพ.เคล็ดไทย/พิมพ์(ครั้งที่ 3/พ.ย. '48)
441 หน้า ราคา 230 บาท

โปรยปกและเรื่องย่อ(จากเว็บสนพ.)


“รุกขมินี คืออะไรครับหลวงปู่”
“คือพละกำลัง คืออินทรีย์ของเจ้า”
“นางถ้ำล่ะครับ คืออะไรครับ”
“คือ เสสกรรม คือกรรมเก่า คือมโนกรรมของเจ้า”

...........

นางถ้ำ เรื่องราวของการผจญภัย ลี้ลับ ตื่นเต้น ซ่อนเร้น และลึกซึ้ง 
การต่อสู้ระหว่างอำนาจมืดและอานุภาพของพระไตรรัตน์ 
หนังสือเล่มนี้เป็นนวนิยายที่เป็นเรื่องการผจญภัยและการสะท้อนแนวคิดทางพระพุทธศาสนา
 เป็นอีกหนึ่งผลงานของนักเขียนซีไรต์ ประจำปี 2534 “มาลา คำจันทร์”





เรื่องย่อ(ย่อเอง)

เปิดเรื่องด้วยเรื่องราวของชายหนุ่มอาภัพรัก แถมมีโรคร้ายติดตัว...
คงคาตัดสินใจลาออกจากงานและมาติดตามรับใช้หลวงปู่
หลังจากตรวจพบว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวีจากคนรักที่หนีจากไป
หลวงปู่พยายามอบรมสั่งสอนเขาด้วยธรรมะไม่ให้ผูกพยาบาทจองเวร
 แต่ยังไม่ยอมให้เขาบวชด้วยรู้ว่าจิตเขายังไม่นิ่งพอ

"ถ้ำหลง" ที่หลวงปู่กับเขาพักแรมอยู่นั้นมีตำนานเรื่องเล่า 
กล่าวขานถึงขุมทรัพย์มหาศาล หากแต่ไม่มีผู้ใดกล้าก้าวล่วงเข้าไป
 เพราะที่นั่นมี "นางถ้ำ" สิงสถิตอยู่ หากผู้ใดเข้าไป นางจะจับคนผู้นั้นกินเสียสิ้น

คงคาก็ต้องเผชิญกับนางถ้ำเช่นกัน 
หากแต่นางมาในรูปของกิเลสราคะที่คอยยั่วยวนให้คงคาสมสู่ด้วย 

..........

ในขณะเดียวกันก็มีคนเมืองอีกกลุ่มหนึ่งที่เดินทางมุ่งหน้าสู่ถ้ำหลง
 ด้วยกิเลสโลภะมุ่งหมายครอบครองขุมทรัพย์ล้ำค่า 
มิใยที่คนในพื้นที่จะติงเตือนก็ไม่ฟังเสียง...

แม้ในระหว่างการเดินทางจะต้องผจญภัย อันตรายนานา 
เกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่พลังแห่งโมหะ โลภะนั้นรุนแรงยิ่ง

ถ้ำหลงนั้นลึกลับซับซ้อนนัก 
นางถ้ำตามตำนานนั้นก็มีรูปอันหลาก...

ผู้คนทั้งหมด...ที่ต่างมีปูมหลังเป็นบ่วงกรรมร้อยรัดพันธนาอยู่ 
จะต้องประสบชะตากรรมเยี่ยงไร...ในถ้ำหลงแห่งนั้น?




หยิบเล่มนี้มาอ่านตั้งแต่กระแส "ถ้ำหลวง"ยังคงเป็นที่จับตา
 ติดตามของผู้คนมากมาย(รวมถึงตัวเองด้วย)
แล้วก็พบว่า เนื้อหาในนิยายอิงธรรมะ ผสานสิ่งลี้ลับเรื่องนี้
มีหลายจุดหลายมุมที่สอดคล้องพ้องพาน
กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในถ้ำหลวง...
จนรู้สึก...กึ่งๆทึ่ง กึ่งๆหลอน

เช่น ฉากของเรื่อง "ถ้ำหลง"ในเรื่องนี้ตั้งอยู่ในเขตดอยหลวง 
เป็นป่าลึกสุดชายแดนประเทศไทยในภาคเหนือ 
มีตำนานเรื่องเล่าถึงสิ่งลี้ลับภายในถ้ำที่คล้ายคลึงกัน

แล้วก็มีเหตุการณ์ที่มีผู้บุกรุกเข้าไปในถ้ำจนเกิดอาถรรพณ์ถ้ำถล่ม 
ที่บอกว่าหลอนก็คือจำนวนคนที่ติดอยู่ในถ้ำที่ถล่มนั้นมี 13 คน!

หากจะแตกต่างก็คือวัตถุประสงค์ในการเข้าถ้ำของคนสิบสามคนนั้น

............

เล่มนี้ใช้เวลาอ่านค่อนข้างยาวนานอยู่สักหน่อย 
เพราะต้องอาศัยสมาธิค่อนข้างสูง 

นิยายเรื่องนี้ภายนอกคือนิยายผจญภัย
 ที่มีกลิ่นอายของสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์เข้ามาเสริม 
หากจริงๆแล้ว เรื่องราวทั้งหมดนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นปุคคลาธิษฐาน
 ที่ผู้เขียนต้องการจะสอดแทรกธรรมะคำสอนในพุทธศาสนา
เขาไปในนิยายอย่างแนบเนียน และกลมกลืนสอดคล้อง

ผู้อ่านสามารถร่วมลุ้นระทึกกับการผจญภัยของตัวละครไป
พร้อมๆ กับเรียนรู้และศึกษาสภาวธรรมที่ปรากฎขึ้น 
ทั้งกับตัวละครในเรื่อง...
และ(อาจจะ)เกิดขึ้นในใจเรา

นักอ่านที่ชื่นชอบผลงานของอาจารย์มาลา คำจันทร์
หรือนิยมเรื่องราวการผจญภัยกับแนวศาสนา ก็ไม่ควรพลาดหนังสือเล่มนี้
แล้วท่านจะรู้ว่า “นางถ้ำ” คืออะไร ??








 

Create Date : 12 ตุลาคม 2561    
Last Update : 12 ตุลาคม 2561 15:57:42 น.
Counter : 2939 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.