~ "รวีช่วงโชติ" (ภาคต่อของ"อีสา") : นิยายชีวิตย้อนสมัย โดย "สีฟ้า" ~
|
ก่อนอื่น...ขออนุญาตสวัสดีปีใหม่เพื่อนพ้องน้องพี่ชาวบล็อกแก็งค์ทุกท่านค่ะ ขอความสุข ความสงบ ความชุ่มฉ่ำเย็นใจจงบังเกิดกับเพื่อนมนุษย์ทุกคนบนโลกอันรุ่มร้อนใบนี้ค่ะ

มาเข้าเรื่องค่ะ...สืบเนื่องจากบล็อกนิยายเรื่อง'อีสา' ที่เคยเล่าเรื่องย่อไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้เล่าเรื่องรวของ'สาไว้ค่อนข้างยาวเหยียด แต่ไม่ได้เล่าเรื่องของคุณชายรวีช่วงโชติกับคุณหญิงโสภิตพิไลไว้ ปรากฏว่ามีเสียงเรียกร้องให้จขบ.เล่าเรื่องภาคต่อให้จบ...
เอ้า...ขอมาก็จัดไปค่ะ บล็อกนี้จึงขอประเดิมปีใหม่ ด้วยการหยิบเอานิยายเรื่องเก่ามาเล่าต่อ ตอนแรกจะเล่าลงบล็อกเดิม แต่ดูเหมือนว่าจะยาวจัดแล้ว อัพบล็อกใหม่ดีกว่า
(แต่ถ้าใครยังไม่ได้อ่านเรื่องย่อของ"อีสา"ก็ขอเชิญจิ้มที่ชื่อเรื่องนี้ไปเลยค่ะ)

"รวีช่วงโชติ" (เล่มนี้)พิมพ์โดย สนพ.เพื่อนดี (แต่เล่มทีจขบ.อ่านพิมพ์โดยสนพ.โชคชัยเทเวศน์ ๒ เล่มจบ ปกแข็งสีพื้น ไม่มีภาพเลยค่ะ)
เรื่องย่อ (ย่อเองแบบยาว)
เรื่องราวในภาคนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อโสภิตพิไลกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ในขณะที่คุณชายรวีช่วงโชติก็จบวิชากฏหมายจากเมืองนอก และเข้ามาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้นด้วย แม้สภาพสังคมจะเปลี่ยนแปลงไป แต่หม่อมพริ้มยังคงพยายามยึดมั่นกรอบธรรมเนียมเดิม ๆ ในการดำรงเกียรติของตระกูลรวีวาร จนทำให้ทรัพย์สมบัติเริ่มร่อยหรอและเป็นหนี้เป็นสิน กลายเป็นภาระอันหนักหน่วงให้คุณชายรวีฯ เพราะเขาจะต้องเป็นผู้สืบทอดวงศ์ตระกูล
คุณชายรวีฯ มีพี่สาวห้าคน คุณหญิงโศภี คุณหญิงศุภลักษณ์ คุณหญิงโสภาพรรณวดี (ที่เขาเข้าใจว่าเป็นมารดาของโสภิตพิไลซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว) คุณหญิงสิริพรรณราย และคุณหญิงศรีลักษณา
พี่สาวคนที่สี่คุณหญิงหรินั้น มีสามีเป็นนักธุรกิจที่ต้องอิงอาศัยผู้มีอำนาจทางการเมือง เธอจึงพาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับคุณหญิงเฉิดฉวีภริยานายพลสันทนาซึ่งกำลังรุ่งโรจน์ทางการเมืองในช่วงนั้น เพราะเป็นผู้ใกล้ชิดท่านผู้นำในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง และพยายามชักนำให้คุณชายรวีฯ ได้รู้จักกับคุณแหวว - สวาทโฉม ธิดาคนเดียวของคุณหญิงเฉิดฉวี พร้อมทั้งผลักดันให้คุณชายรวีฯ เข้าทำงานการเมืองด้วย
ส่วน'สานั้น ได้สึกจากแม่ชีออกมาตั้งร้านทำผม มีลูกค้าเป็นบรรดาคุณหญิงคุณนายในวงสังคมชั้นสูงมากมาย เธอพาใจสว่าง หลานสาวของแม่แป้นที่เคยเกื้อกูลกันสมัยสงครามมาพักอยู่ที่ร้านด้วย... เมื่อกลับมาอยู่ในแวดวงสังคม ธรรมชาติเดิม ๆ ที่เคยถูกสยบไว้ใต้ร่มพระศาสนาชั่วคราว ก็กลับมาก่อกวน'สาอีกครั้ง เมื่อได้พบกับนายพลสันทนา'สาก็ยอมตกเป็นเมียลับ ๆ ของท่านนายพลอย่างง่ายดาย และหวนกลับไปเปิดไนท์คลับแบบเดิมท่ามกลางเสียงติฉินนินทาของผู้คน

ครั้งหนึ่ง ในงานฉลองตำแหน่งของนายพลสันทนา 'ท่าน'บังเอิญได้แลเห็นโสภิตพิไลแล้วเกิดถูกตาต้องใจเข้า จึงสั่งให้นายพลสันทนาเป็นธุระจัดการ แต่ในจังหวะนั้น โสภิตพิไลกำลังคบหาฉันคนรักกับชิษณุ ลูกชายของคุณหญิงศุภลักษณ์ ท่ามกลางความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เพราะคิดว่าทั้งคู่เป็นเพียงลูกพี่ลูกน้อง แต่เมื่อ'สารู้เรื่องเข้า เธอก็อดรนทนไม่ได้ เพราะรู้อยู่แก่ใจตัวเองว่าจริง ๆ แล้วโสภิตพิไลมีศักดิ์เป็นน้าแท้ ๆ ของชิษณุ 'สาจึงขอพบคุณชายรวีฯ และบอกความจริงข้อนี้ เมื่อคุณชายรวีฯ รู้เรื่องก็หนักใจและสงสารโสภิตพิไลที่บัดนี้กลายเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของเขาจับใจ และมันก็กลายเป็นภาระหน้าที่ของเขาที่จะต้องขัดขวางการแต่งงานของเธอ คุณชายรวีฯ เลือกที่จะบอกชิษณุ เพราะคิดว่าเขาเป็นผู้ชายน่าจะเข้มแข็งกว่า ชิษณุเสียใจและหาทางหลีกเลี่ยงโสภิตพิไล เป็นจังหวะพอดีที่เขาจะต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดกับคนรักเก่าของเขาที่แต่งงานแล้ว และแล้ววันหนึ่งโสภิตพิไลก็ตามไปเจอเขาอยู่กับผู้หญิงคนนั้น เธอเสียใจมากหนีเตลิดไปดื่มเหล้าจนเมามายขาดสติ โชคดีที่ปรมัตถุ์ รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยที่เคยหลงรักเธอไปพบเข้าและพาไปสงบสติอารมณ์ เขาติดต่อบอกข่าวผ่านใจสว่าง ให้เธอบอกกับคุณชายรวีฯ
คุณชายรวีเห็นโสภิตพิไลเสียใจมาก จึงตัดสินใจบอกความจริงว่าที่เธอกับชิษณุไม่อาจรักกันได้ เพราะเธอเป็นลูกของ'สากับท่านพ่อ โสภิตพิไลเกิดอาการช็อคจนมีท่าทีเย็นชา รับไม่ได้ที่ตัวเองเป็นลูกของสา ผู้หญิงที่เธอเคยตั้งแง่รังเกียจมาก่อน เธอไม่ยอมกลับเข้าวัง แต่กลับไปอยู่ที่บ้านของสา และทำตัวประชดชีวิต โดยการไปเสนอตัวเป็นอนุภรรยาของ"ท่าน"ที่เคยหมายปองเธอ นายพลสันทนาจึงพาเธอไป"เก็บ"ไว้ที่บ้านหลังหนึ่งของท่าน แต่เผอิญช่วงนั้น"ท่าน"กำลังป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัดจึงยังไม่ได้มาหาเธอ

ฝ่ายคุณชายรวีฯ ก็ถูกสถานการณ์บีบให้ต้องยอมเข้าพิธีแต่งงานกับคุณแหวว ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษเขาทำหน้าที่เป็นสามีที่ดีตลอดเวลา แม้จะรู้สึกสงสัยในพฤติกรรมบางอย่างของภรรยา เขาก็ไม่เคยปริปาก จนกระทั่งคุณแหววให้กำเนิดลูกชาย หลังการแต่งงานเพียงแปดเดือน เขาก็ยังคงนิ่งเงียบ ซึ่งนั่นทำให้คุณแหววยิ่งมองว่าเขาเป็นคนทึ่ม และที่ยอมแต่งงานกับเธอก็เพราะต้องการใช้อำนาจของบิดาเธอพยุงฐานะของตระกูลรวีวารเท่านั้น
ช่วงนั้นเอง ยายเจิม ป้าของสาที่ยังอยู่ในวังก็ล้มป่วยด้วยโรคชรา คุณชายรวีฯ และคุณหญิงศรีลักษณาจึงไปเยี่ยม ยายเจิมเพ้อว่าสามีลูกชายหนึ่งคน นั่นทำให้คุณชายรวีฯ เกิดความสงสัยจึงคาดคั้นเอากับคุณหญิงศรีลักษณา ว่าลูกชายของสาที่ว่านันก็คือตัวเขาใช่ไหม คุณหญิงไม่อาจโกหกคุณชายรวีฯได้จึงต้องยอมบอกความจริง ด้วยความฉลาด เข้าใจชีวิตและมีสติมั่นคง คุณชายรวีฯ จึงสามารถทำใจยอมรับได้ ไม่ได้มีท่าทีเสียใจหรือรังเกียจสา และยังรักและเคารพหม่อมพริ้มดังเดิม
แต่แล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกครั้ง เมื่อท่านผู้นำเสียชีวิตลง เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจ นายพลสันทนาก็หันเหไปเกาะติดขั้วอำนาจใหม่ ในขณะที่คุณชายรวีพยายามถอนตัวเองออกมาจากการเมือง ทำให้คุณหญิงเฉิดฉวีไม่พอใจที่เขาไม่ยอมตามน้ำ กอปรกับจังหวะนั้น คนรักเก่าของคุณแหววกลับกลายมาเป็นคนใกล้ชิดของผู้นำคนใหม่ กลับมาจากเมืองนอกรับตำแหน่งที่ปรึกษาประจำทำเนียบ คุณแหววจึงแสดงออกอย่างเปิดเผยว่ายังมีเยื่อใยกับคนรักเก่า
และยิ่งเมื่อเธอกับมารดาได้รู้ความจริงจากคุณหญิงหริ(ที่ไม่พอใจที่คุณชายรวีฯไม่ยอมทำงานการเมือง จึงพลั้งปากบอกกับคุณหญิงเฉิดฉวี)ถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของคุณชายรวีฯว่าเป็นเพียงลูกของ'สา เธอจึงใช้ความจริงข้อนี้เป็นข้ออ้างขอหย่ากับคุณชายรวีฯ
และหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เหล่า"อนุ"ทั้งหลายของท่านผู้นำคนเก่าต้องถูกยึดบ้านและเรียกคืนทรัพย์สิน โสภิตพิไลจึงหลบไปอยู่กับแม่แป้นโดยไม่ให้ใครรู้
ในตอนท้าย หม่อมพริ้มป่วยหนัก บอกให้เรียกลูกหลานทุกคน รวมทั้งสาให้มาหา เมื่อสามาเยี่ยม หม่อมพริ้มก็ทั้งเตือนสติทั้งสั่งสอนสาว่าให้ทำตัวดี ๆ เพื่อเห็นแก่ลูกชาย-หญิงทั้งสอง นั่นจึงทำให้สาได้คิด และยอมเลิกรากับนายพลสันทนาและเลิกทำธุรกิจไนท์คลับในที่สุด

คุยต่อหลังอ่านจบค่ะ จะเห็นได้ว่า ในนิยายเรื่องนี้ 'สายังคงมีบทบาทสำคัญและเป็นแกนกลางของเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณชายรวีช่วงโชติกับคุณหญิงโสภิตพิไล ลูกชาย-หญิงผู้ไม่รู้ถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของตัวเอง
ความรักความหวัง การพลัดพรากสูญเสียของทั้งสองคนล้วนแต่เป็นผลเนื่องมาจากกรรมที่'สาเป็นผู้ก่อขึ้นแต่ต้นทั้งสิ้น แต่ถ้าเรื่องราวไม่เป็นไปเช่นนี้ ก็ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ได้ว่าชะตาชีวิตของหนุ่มสาวทั้งคู่จะพลิกผันไปเช่นไร
เป็นนิยายชีวิตเข้มข้นที่อ่านทีไรก็เต็มอิ่มทุกที
ด้วยการดำเนินเรื่องที่เรียบเรื่อย หากก็มีเงื่อนมีปมให้ได้ตามลุ้น ตามเอาใจช่วยตัวละครเป็นระยะ ๆ มีการแทรกข้อคิดในการดำเนินชีวิตที่คมคาย เข้ายุคเข้าสมัยอยู่ตลอดทั้งเรื่อง การบอกเล่าเรื่องราวของชีวิตที่สมจริงเสียจนคนอ่านอ่านไปแล้วจินตนาการตาม เห็นภาพตัวละครคนนั้นคนนี้โลดแล่นใช้ชีวิตไปตามบทบาท ตามครรลองแห่งกรรมที่แต่ละคนได้สั่งสมไว้
หลายคนอาจจะอยากถามถึงเรื่องราวความรักความโรแมนติกมีบ้างไหมในนิยาย...? คุณชายรวีฯ พระเอกของเราจะมีนางเอกกับเขาไหม...
มีค่ะ นางเอกน่ะ มีเค้าลางให้เห็นแว่บ ๆ ผ่านห้วงคำนึงของคุณชายรวีฯ... เช่นตอนที่เขาต้องตัดสินใจแต่งงานกับสวาทโฉม...
'นัยน์ตาดำสวยประหลาดแวบเข้ามาในใจของรวีช่วงโชติ...'
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาตัดสินใจ 'หน้าที่'ของเขาต่างหาก หน้าที่ของผู้นำตระกูล..
กับตอนท้าย ๆ 'สาแอบแง้มนิด ๆ ว่าหล่อนสังหรณ์ใจว่า สักวันหนึ่งอาจจะได้'ใจสว่าง'เป็นลูกสะใภ้...
แต่ต้องยอมรับล่ะค่ะว่าเรื่องนี้นางเอกมีบทบาทน้อยมาก แต่ออกมาแตละซีน เธอก็โดดเด่นไม่น้อย ด้วยรูปลักษณ์ที่ใคร ๆ ต่างชมว่าสวย โดยเฉพาะนัยน์ตาที่ดำขลับสวยซึ้ง กับชื่อที่แปลกและเก๋ไก๋ มีความหมายสมตัวมาก ๆ ด้วยใจสว่างเป็นสาวน้อยรักดีที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย และมีทัศนคติที่ดี มองโลกและชีวิตในเชิงบวกอยู่เสมอ
แล้วก็...แน่นอนค่ะ นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายรักโรแมนติก ทั้งเรื่องจึงไม่มีซีนโรแมนติกให้ได้จิ้นเลย แต่ด้วยสำนวนภาษา ด้วยวิธีเล่าเรื่อง อีกทั้งโทนของเรื่องเราแทบจะไม่รู้สึกขาดหรือจืดชืดเลยสักนิดค่ะ อ่านไปอินไป ลุ้นไปกับการกระทำและการตัดสินใจของแต่ละคน
แม้ฉากของเรื่องจะเป็นยุคต้น ๆ พ.ศ. ๒๕๐๐ แต่บริบททางสังคมและการเมืองที่ปรากฏในเรื่อง กลับไม่ได้เก่าแก่หรือล้าสมัยแม้แต่น้อย...
อย่างความคิดคำนึงของคุณชายรวีฯเกี่ยวกับการเมือง...
"บ้านเมืองในยุคนี้หรือยุคไหน ๆ ที่แล้วมา ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับอำนาจและอิทธิพลของคนเพียงคนเดียวทั้งนั้น ทั้ง ๆ ที่ร้องว่าเป็นประชาธิปไตย...แทบจะเป็นความเคยชินของคนไทยไปเสียแล้ว... ต้องมีคนใดคนหนึ่งผู้มี 'อำนาจวาสนา' เป็นผู้นำเป็นที่พึ่ง และเป็นผู้กำชีวิต!"
หรือตอนที่หม่อมพริ้มรำพึงเมื่อรู้ว่าคุณหญิงหริ ลูกสาวของท่านทะเลาะกับพี่น้องคนอื่น ๆ แล้วลำเลิกบุญคุณกับคุณชายรวีฯ เพราะโกรธที่เขาไม่ยอมสวามิภักดิ์ให้กับผู้นำคนใหม่...
"เออ...เวลานี้...เงินเท่านั้นแหละหนอที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทุกชั้น กระยาจกเข็ญใจเสียอีก ดูเหมือนจะยังไม่โลภเท่ากับคนสูงศักดิ์สูงตระกูลบางคน เพราะยาจกเข็ญใจ พอใจแค่มีมื้อกินมื้อเท่านั้น ถึงจะสะสมก็เพียงให้พอมีอยู่บ้าง ไม่โลภโมโทสันอยากกอบโกยไม่ลืมหูลืมตา..."
กาลเวลาล่วงเลยไปหลายทศวรรษ บทรำพึงข้างบนนี้ยังคงเป็นจริงยิ่งกว่าจริงอยู่เสมอ
จึงนับได้ว่าเป็นนิยายชีวิตสุดคลาสสิค อ่านได้ทุกยุคทุกสมัยอีกเล่มหนึ่ง
ชวนอ่านอย่างแรงค่ะ 

|
Create Date : 03 มกราคม 2557 |
Last Update : 3 มกราคม 2557 11:51:38 น. |
|
16 comments
|
Counter : 37408 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: Pdจิงกุเบล วันที่: 3 มกราคม 2557 เวลา:14:04:56 น. |
|
|
|
โดย: Aneem วันที่: 3 มกราคม 2557 เวลา:14:12:45 น. |
|
|
|
โดย: polyj วันที่: 3 มกราคม 2557 เวลา:17:12:16 น. |
|
|
|
โดย: PhueJa วันที่: 3 มกราคม 2557 เวลา:18:48:17 น. |
|
|
|
โดย: Sab Zab' วันที่: 3 มกราคม 2557 เวลา:20:39:21 น. |
|
|
|
โดย: คอเล่า วันที่: 4 มกราคม 2557 เวลา:10:23:00 น. |
|
|
|
โดย: ชบาหลอด วันที่: 4 มกราคม 2557 เวลา:23:32:20 น. |
|
|
|
โดย: สามปอยหลวง วันที่: 6 มกราคม 2557 เวลา:11:19:24 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสม วันที่: 6 มกราคม 2557 เวลา:20:20:48 น. |
|
|
|
โดย: Serverlus วันที่: 6 มกราคม 2557 เวลา:23:19:52 น. |
|
|
|
โดย: JewNid IP: 183.89.128.249 วันที่: 13 มกราคม 2557 เวลา:8:33:39 น. |
|
|
|
โดย: สาวป่าตอง IP: 49.230.125.54 วันที่: 21 มีนาคม 2557 เวลา:17:01:34 น. |
|
|
|
โดย: แม่ไก่ วันที่: 21 มีนาคม 2557 เวลา:22:00:26 น. |
|
|
|
| |
|
|