~ ความสุขง่าย ๆ ที่ปลายมือแม่...~
Create Date : 21 สิงหาคม 2555 | | |
Last Update : 22 สิงหาคม 2560 15:41:05 น. |
Counter : 4526 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
~ เรื่องเล่าจากหลังดอย ...เรื่อง "ผีลักซ่อน" ~
|
วันนี้มีนิทานมาเล่าให้ฟังค่ะ จะเรียกว่านิทานก็คงไม่ตรงเสียทีเดียว เอาเป็นว่าเป็นเรื่องเล่า ของ"คนบ่ะเก่า" ก็แล้วกันค่ะ
บังเอิญได้อ่านนิยายแปลเล่มหนึ่ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานผีลักซ่อน ในแบบฝรั่ง ทำให้นึกถึงเรื่องเล่าเก่าแก่ในหมู่บ้านหลังดอยของแม่ไก่... ตอนแรกว่าจะเล่าลงในบล็อกรีวิวหนังสือเล่มนั้น แต่เล่า ๆ ไป ขนาดย่อแล้วย่ออีกก็ยังยาวยืด จึงขอแยกออกมาอีกบล็อก อีกกลุ่มก็แล้วกันค่ะ
ขอย้ำนะคะว่าเป็นเรื่องเล่า ส่วนตัวจะพยายามเรียบเรียงตามที่ได้ยินได้ฟังมา ไม่รับประกันข้อเท็จจริงหรือหลักฐานพยานใด ๆ ค่ะ
ดังนั้น ต้องขอกาดอกจันไว้ตรงนี้ว่า...
**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน** ต่ะ
**********
เป็นเรื่องที่พ่อของตาของพ่อ(ไม่รู้จะเรียกยังไงอ่ะ...พ่อของตาทวด หรือตาทวดของพ่อ...?)เล่าให้พ่อฟัง โดยกล่าวอ้างว่าประสบมาด้วยตัวเอง...
ท่านเล่าว่าในสมัยโน้นนนนน...ตอนที่ท่านยังเด็ก อายุประมาณ ๘-๙ ขวบ ชอบไปวิ่งเล่นซุกซนกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านเดียวกันตามประสา ท้ายหมู่บ้านเป็นเขตป่า เรียกกันว่าป่าเวียง เพราะสมัยก่อนที่นั่นเคยเป็นเวียง(เมือง)เก่ามาก่อน ยังคงมีซากปรักหักพังของป้อมประตู และกำแพงโบราณหลงเหลืออยู่ (แต่มาสมัยนี้กลายเป็นเรือกสวนไร่นาไปหมดแล้ว) พวกเด็ก ๆ ชอบพากันไปเล่นซ่อนหาที่นั่น มิใยผู้ใหญ่จะห้ามปราม และขู่ว่าเล่นซ่อนหาในป่าระวังจะถูก ผีลักซ่อน นะ พวกเขาก็ไม่นำพา...
วันหนึ่งจึงเกิดเรื่องขึ้น...เมื่อเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่เล่นด้วยกันหายตัวไปจริง ๆ เมื่อเด็ก ๆ เลิกเล่นแล้ว เพื่อนคนนั้นไม่ปรากฏตัวจึงเกิดโกลาหลกันยกใหญ่
พวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านราว ๆ ๓๐-๔๐ คน กระจายกำลัง จุดคบ จุดตะเกียงออกตามหาทั้งคืนก็ไม่พบ... เด็กคนที่หายไปอายุเพียง ๗ ขวบ น่าจะเล็กที่สุดในกลุ่ม...เป็นน้องเล็กสุดในครอบครัวที่มีลูกถึงหกคน มีชื่อว่า เสาร์ อาจจะเป็น เพราะเกิดวันเสาร์นั่นเอง
เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ผู้คนออกตามหาเขาทุกวัน... จากหนึ่งวัน สองวันเป็นหนึ่งสัปดาห์ สองสัปดาห์...จากสัปดาห์เป็นเดือน...จากเดือนเป็นปี....
ชีวิตต้องดำเนินไป...ไม่นาน เพียงหนึ่งปีคล้อยหลังผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็แทบลืมเลือนเหตุการณ์นั้นไป... เด็กน้อยคนนั้นกลายเป็นเพียงตำนาน เล่าขานกันในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนั้น
พ่อแม่และพี่ ๆ ของเขาก็เศร้าโศกกันอยู่ระยะหนึ่ง...จากนั้นก็ทำใจได้ เมื่อหาตัวไม่พบต่างก็พากันคิดเสียว่าเขาได้ตายจากเสียแล้ว... มีการทำพิธี จัดงานศพแบบเรียบง่าย แม้จะไม่มีศพ
เด็ก ๆ ก็หวาดผวา เลิกเล่นซ่อนหาในราวป่าอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง...แล้วก็กลับมาเล่นกันใหม่
.. เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบปี เด็ก ๆ กลุ่มนั้นกลายเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัวกลายเป็นพ่อเป็นแม่กันไปหมดแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนั้นกลายเป็นอดีตที่นาน ๆ ครั้งจะมีคนพูดถึง...
และคงจะถูกลืมเลือนไปสนิทถ้าเขาคนนั้นไม่กลับคืนมา...
ในสภาพที่สมบูรณ์ทุกประการ...เพียงแต่ในชื่อใหม่ สถานะใหม่ ด้วยเขากลับมาในรูปของนักบวชผู้จาริกผ่านทางมาโดยบังเอิญ เขาไม่หลงเหลือความทรงจำใด ๆ ให้กับพ่อ แม่ พี่น้อง เครือญาติ ตลอดถึงเพื่อนเล่นในวัยเยาว์เลยแม้แต่น้อย
แต่ผู้ใหญ่หลายคนในหมู่บ้านจำเขาได้ โดยเฉพาะหน้าตาที่เหมือนกันกับพี่ชายคนถัดไปจากเขาราวกับฝาแฝด จึงได้มีการซักไซ้ไล่เรียงกันขึ้น
พระท่านยืนยันว่าท่านเป็นชาวเวียงโกศัย(เมืองแพร่) พ่อท่านเสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังเด็ก ส่วนแม่เพิ่งเสียไปเมื่อสองปีก่อน ท่านจึงบวชให้แม่แล้วยังไม่คิดจะสึก เดินธุดงค์ตามหลวงลุงซึ่งเป็นพระพี่ชายของแม่มาที่นี่โดยบังเอิญ
พ่อและแม่ตัวจริง(ที่เมื่อได้เห็นพระก็มั่นใจว่าเป็นลูกชายคนเล็กของตนที่หายสาบสูญไปเมื่อยี่สิบปีก่อน) กับบรรดาชาวบ้านที่สนใจใคร่รู้ทั้งหลายจึงพากันไปกราบหลวงลุงองค์นั้นของพระหนุ่ม...
นั่นเอง เรื่องราวอันชวนฉงนจึงเปิดเผย โดยที่แม้ตัวพระหนุ่มเองก็เพิ่งจะรู้ประวัติของตัวเองก็วันนั้น...
หลวงลุงเล่าว่า...เมื่อราว ๆ ยี่สิบปีก่อนนู้น... หลวงลุงเพิ่งบวชเป็นพระใหม่ ๆ จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าในเขตเวียงโกศัย (จังหวัดแพร่ในปัจจุบัน ซึ่งมีเขตติดต่อเขลางค์นครทางทิศใต้ อยู่ห่างจากจุดที่เกิดเหตุเด็กหายไปถึงกว่า ๓๐ ก.ม.หากเทียบเป็นมาตราวัดในปัจจุบัน ไม่มีถนนหนทางเหมือนในสมัยนี้ การเดินทางต้องเดินเท้า ขึ้นเขาลงห้วยผ่านป่าทึบ...)
วันหนึ่งในตอนเช้ามืด ขณะเตรียมตัวออกบิณฑบาต ก็เห็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เนื้อตัวมอมแมมเดินกระเซอะกระเซิงร้องไห้เข้ามาในวัด หลวงลุงก็เข้าไปหา ซักถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ร้องไห้ทำไม เด็กก็ไม่พูดไม่ตอบอะไรเลย เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น แถมมีอาการตัวสั่นงันงกเหมือนกับตกใจกลัวอะไรสักอย่าง หลวงลุงจึงให้เด็กวัดคนหนึ่งอยู่ปลอบและดูแลเด็ก พอท่านไปบิณฑบาตในหมู่บ้านก็ถามญาติโยมว่ามีลูกใครพลัดหายไปหรือเปล่า...ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครรู้จักเด็กชายคนนั้นเลย...เมื่อท่านกลับมาที่วัด เด็กน้อยหยุดร้องไห้แล้ว แต่ยังนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่เช่นเดิม ท่านจึงแบ่งปันข้าวน้ำให้กิน แกก็กินด้วยท่าทางหิวโหย พออิ่มก็ล้มตัวลงนอนหลับไปตรงพื้นดิน หน้าศาลามุงแฝกของหลวงลุงนั่นเอง จนบ่ายคล้อยแกก็ตื่นขึ้นมาแล้วเริ่มต้นร้องไห้อีกครั้ง มิใยที่ใครจะปลอบอย่างไรก็ไม่หยุดร้อง...
เมื่อหาที่มาของเด็กไม่ได้ แถวหมู่บ้านใกล้เคียงก็ไม่มีใครรู้จัก หลวงลุงจึงคิดว่าอาจจะต้องเลี้ยงเด็กน้อยไว้เสียเอง แล้วก็ตั้งชื่อเล่น ๆ ไว้เรียกกัน ในวัดว่า บ่าหลง บ่า เป็นคำที่ใช่เรียกนำหน้าชื่อเด็กผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงจะเรียก อี่)
ตอนแรกคิดกันว่าเด็กคงเป็นใบ้ เพราะไม่ยอมพูดอะไรเลย แม้เวลาจะผ่านไปร่วมเดือน... (แต่ก็ดูเหมือนจะยอมรับชื่อ บ่าหลงนี้โดยดุษณี)
อยู่มาวันหนึ่ง...หลังจากอยู่กับหลวงลุงได้ประมาณเดือนครึ่ง โยมน้องสาวหลวงลุงซึ่งอยู่คนละหมู่บ้านก็มาหาหลวงลุงที่วัด พอเห็นหน้าเด็กก็ถูกชะตา เมื่อซักถามประวัติรู้ว่าเป็นเด็กพลัดหลงมา ไม่รู้จักพ่อแม่พี่น้อง จึงเกิดความเวทนา ชวนไปอยู่ด้วย ปรากฏว่าเด็กน้อยยอมตามมาอยู่ด้วยอย่างง่ายดาย แถมยอมเอ่ยปากพูดเป็นคำแรก โดยเรียกโยมน้องสาวหลวงลุงว่า แม่ สร้างความประหลาดใจให้กับหลวงลุงและพระรูปอื่น ๆ เป็นอันมาก
แต่กระนั้น เด็กน้อยก็บอกไม่ได้ถึงความเป็นมาเป็นไปของตัวเอง... กระทั่งชื่อหรืออายุของตัวเองก็ไม่รู้จัก...
โยมน้องสาวหลวงลุงจึงพาเด็กไปเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านและตั้งชื่อให้ใหม่ ใกล้เคียงกับที่หลวงลุงเรียกมาแต่ตอนแรกว่า...บุญหลง
บุญหลงอยู่กับครอบครัวนั้นดุจเป็นลูกชายคนหนึ่ง ว่าง่ายเชื่อฟัง ทำงานทุกอย่างที่แม่บอกให้ทำโดยไม่เกี่ยงงอน จนเติบใหญ่เป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบห้า มารดา(เลี้ยง)ก็เสียชีวิตลงด้วยไข้ป่า บุญหลงจึงบวชหน้าไฟให้แม่และเมื่อเสร็จสิ้นพิธีศพ ก็ติดตามมารับใช้หลวงลุงที่วัด โดยไม่คิดจะสึกหาลาเพศ
จนมีโอกาสออกธุดงค์ผ่านมาที่หมู่บ้านนี้นี่เอง...
หลวงลุงเล่าจบ และรับฟังเรื่องเล่าจากฝั่งชาวบ้านทางนี้บ้าง... ทุกคนมีอาการตื่นเต้น และประหลาดใจ เพราะช่วงเวลาที่เกิดเหตุจากวันที่เด็กน้อยหายตัวไปกับวันที่หลวงลุงพบพบเขานั้นมันห่างกันชั่วคืนเดียวเท่านั้น... มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กวัยเพียงเจ็ดขวบจะสามารถเดินเท้าข้ามป่าเขารกชัฎ ไปไกลถึงเพียงนั้น...
.................
แม้จะรู้ความจริงเช่นนี้แล้ว พระบุญหลงก็ยังคงมีท่าทีสำรวม นิ่งเฉยต่อโยมพ่อโยมแม่ตัวจริงที่เรียกร้องให้ท่านสึกออกมา และกลับมาอยู่บ้านเดิมในวัยเด็ก... ท่านไม่มีวี่แววแห่งการระลึกรู้ถึงสายสัมพันธ์แห่งครอบครัวแม้เพียงน้อยนิด...
ท่านยืนกรานที่จะอยู่ในสมณเพศและติดตามหลวงลุงไปตลอดไม่เปลี่ยนแปลง...ไม่มีใครรู้ว่าในใจท่านคิดอะไร...
และจนป่านนี้ยังไม่มีใครสามารถไขปริศนาได้ว่า...เด็กชายเสาร์ ในวัยเจ็ดขวบ เดินทางแรมรอนจากบ้านเกิดไปกลายเป็นเด็กชายบุญหลงในต่างบ้านต่างเมืองซึ่งอยู่ห่างไกลกันถึงกว่า ๓๐ กิโลเมตร โดยมีป่าเขาลำเนาไพรหนาทึบคั่นกลางได้อย่างไร...?
ฤาจะมี"ผีลักซ่อน"อยู่จริง?
**********
อ้อ...หนังสือเล่มอันเป็นที่มาแห่งเรื่องเลาในบล็อกนี้ชื่อหนังสือ "เทพนิยายสองโลก" ค่ะ ท่านที่สนใจตามลิงก์ไปอ่านรีวิวได้ค่ะ
|
Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2554 | | |
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2554 10:31:12 น. |
Counter : 4017 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|