พ่อบอกพวกเราเสมอ ๆ ว่า...พ่อเป็นเด็กกำพร้า สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้โดยมีต้นทุนเป็นศูนย์ ดังนั้นพ่อจึงจะไม่มีมรดกพกห่ออะไรให้พวกเราหรอก มีอย่างเดียวที่พ่อคิดว่าจะเป็นมรดกล้ำค่าติดตัวพวกเราไปจนตายนั่นก็คือการศึกษา...พ่อจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาของพวกเรามาก...พ่อเพียรบอกพวกเราว่าพ่อไม่คาดหวังว่าจะให้ลูกของพ่อต้องเป็นอะไร...อย่างที่ในสมัยนั้นเขามุ่งหวังที่จะเป็นกัน...ลูกของพ่อไม่จำเป็นต้องเป็น 'เจ้าคนนายคน' หรอก...แต่ลูกของพ่อจะต้องไม่ลำบากจนถึงขั้นต้องขอข้าวใครกิน...พ่อเพียงแต่หวังว่าพวกเราจะเรียนเพื่อรู้... แล้วนำความรู้นั้นมาประกอบสัมมาชีพเลี้ยงตัวได้ โดยไม่เป็นภาระของผู้อื่น..ในความคาดหวังที่สำคัญที่สุดของพ่อก็คือ... ลูกของพ่อต้อง...อยู่เย็น เป็นสุข...และเมื่อตัวเอง 'อยู่เย็นเป็นสุข' และ 'พออยู่พอกิน' แล้วก็ขอให้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคมบ้าง...ซึ่งพ่อก็เชื่อมั่นว่าการศึกษาจะสามารถทำให้ลูก ๆ ของพ่อเป็นเช่นนั้นได้พี่สาวคนโตของเราถือกำเนิดขึ้นมาหลังจากที่แม่แท้งลูกคนแรกไปหนึ่งปี...จากประสบการณ์การสูญเสียครั้งก่อนทำให้พ่อกับแม่เฝ้าทนุถนอมลูกคนนี้ดังแก้วตาดวงใจพ่อต้องทำงานหนักมากขึ้นเมื่อมีลูกคนแรกเกิดขึ้นมา...แม่เล่าว่า ตอนนั้นพ่อมีจักรยานไอ้แก่อยู่คันหนึ่ง ทุกเช้าพ่อจะถีบจักรยานคันนี้เลียบไปตามรางรถไฟไปจนถึงโรงงานน้ำตาล ระยะทางจากบ้านของเราไปถึงโรงงานนั้น ไกลถึง ๒๐ กิโลเมตรเศษ ๆ ...ซึ่งเมื่อก่อนพ่อต้องเดินทางไปเช่นนี้อยู่เป็นกิจวัตรอยู่แล้วเพื่อตรวจตราทางรถไฟ...มีตลาดสดขนาดใหญ่มากอยู่หน้าโรงงาน...มีสินค้าแปลก ๆ ใหม่ ๆ ทั้งของกินของใช้มากมายในตลาดนั้น ทุกเย็น บรรดาญาติ ๆ และเพื่อนบ้านก็มักจะมาฝากพ่อซื้อของจากตลาดสดที่หน้าโรงงานนั้นอยู่เป็นประจำ...ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของกินของใช้กระจุกกระจิกเช่นเมี่ยง บุหรี่ น้ำตาลทรายเป็นต้น ซึ่งพ่อก็รับฝากและซื้อของเหล่านั้นมาให้คนที่ฝากซื้ออย่างเต็มอกเต็มใจทุกครั้งไป บางวันบัญชีรับฝากของพ่อจะยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียววันหนึ่งพ่อจึงเกิดความคิด... เพราะตอนนั้นแม่เริ่มตั้งท้องอ่อน ๆ ไม่สามารถลงไปทำสวนผักได้ตามปกติเหมือนที่เคยทำมา (แม่มีสวนผักอยู่ริมแม่น้ำ...ก็ที่บ้านเดิมของแม่นั่นแหละ...ปลูกผักแทบทุกชนิดอย่างผักกาด คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก หัวหอม กระเทียม เป็นต้น)แม่บ่นเบื่อที่ต้องนั่ง ๆ นอน ๆ เฉย ๆ ไม่มีอะไรทำ...พ่อจึงคิดหางานเบา ๆ ให้แม่ทำอยู่กับบ้าน...โดยขั้นต้น พ่อรับเอาสินค้าจำเป็นที่มักจะมีผู้ฝากพ่อซื้ออยู่เสมอ ๆ นั่นแหละ นำมาให้แม่วางขายที่หน้าบ้านเสียเลยปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด ของที่พ่อรับมาขาย ขายได้ดีเป็นเทน้ำเทท่า ทั้ง ๆ ที่พ่อเพิ่มราคาขึ้นจากเดิมอีกนิดหน่อย พอเป็นค่าเหนื่อยและขอกำรี้กำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายคนบอกว่าพ่อน่าจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว เพราะบางทีเขาอยากฝากซื้อเยอะ ๆ เขาก็เกรงใจ แต่พอพ่อรับมาขายแบบนี้เขาก็สามารถซื้อได้ตามใจ และสามารถสั่งได้ด้วยว่าต้องการอะไร ๆ บ้าง...แม่จึงกลายเป็นแม่ค้าขายของตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาเพียงสองปีหลังจากนั้น พ่อกับแม่ก็สามารถเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง พ่อไปซื้อที่ใกล้ ๆ กับสถานีอ้อยอีกหนึ่งแปลงแล้วลงมือปลูกบ้านอีกหนึ่งหลัง เพราะพ่อคิดแล้วว่าที่นั่นทำเลการค้าขายจะดีกว่าที่บ้านเดิม...และพ่อก็ออกแบบบ้านหลังใหม่ให้มีสภาพเป็นร้านค้าเต็มที่ โดยสร้างเป็นบ้านสองชั้น ชั้นล่างไว้ขายของ ชั้นบนใช้อยู่อาศัย...บ้านของเราจึงกลายเป็นร้านขายของชำร้านที่สองประจำหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ รองจากร้านของ 'อากงเทา' ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านพี่ชายของเรา...ลูกคนที่สองของพ่อกับแม่เกิดที่บ้านหลังใหม่...พ่อตั้งชื่อร้านค้าของเราตามชื่อพี่ชายเมื่อพี่สาวคนโตมีอายุถึงเกณฑ์ต้องเข้าโรงเรียน พ่อก็พาไปเข้าโรงเรียนในหมู่บ้าน...โรงเรียนนี้มีชั้นเรียนถึงแค่ประถมสี่ ซึ่งก็เหมือนกับโรงเรียนเล็ก ๆ ทั่วไปในแต่ละหมู่บ้านละแวกนั้นคุณครูใหญ่บอกว่า จบประถมสี่แล้วถ้าอยากจะเรียนต่อประถมห้าต้องไปต่อที่ในเมือง...จากบ้านเราเข้าสู่ตัวเมือง ระยะทางประมาณ ๓๐ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วโมงเศษ ๆ (นั่งสองแถวหวานเย็น ซึ่งมีแค่วันละสองเที่ยวไป-กลับ)ตอนนั้นพี่เพิ่งอายุสิบขวบเอง (เด็กผู้หญิงสิบขวบเมื่อ ๓๐ - ๔๐ ปีที่แล้วยังเด็กมาก ๆ ไม่ประสีประสาอะไรเลย) พ่อสงสารพี่ถ้าจะต้องให้เทียวไปโรงเรียนไกลขนาดนั้น...หรืออย่างดีหน่อยก็ต้องไปเข้าโรงเรียนในตัวอำเภอ...ซึ่งก็ลำบากในการเดินทางเช่นเดียวกัน ถึงแม้จะใกล้เข้ามาหน่อย แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีรถโดยสารเลย...พ่อถามครูใหญ่ว่ามีวิธีไหนที่โรงเรียนจะเปิดสอนป.ห้าได้บ้าง ครูใหญ่ก็บอกว่า คงจะยาก เพราะที่บ้านเราไม่มีเด็กที่จะเรียนต่อมากพอ...แล้วครูใหญ่ก็โบ้ยให้พ่อไปปรึกษาท่านศึกษาธิการอำเภอเอาเองแล้วกันพ่อเลยเดินทางไปพบศึกษาธิการอำเภอ ถามท่านว่าต้องมีเด็กกี่คนถึงจะให้โรงเรียนเปิดสอนชั้นป.ห้าได้ ท่านศึกษาฯก็บอกว่าต้อง ๒๐ คนขึ้นไป...แต่ในชั้นเรียนของพี่ในตอนนั้นมีเด็กนักเรียนชั้นประถมสี่ทั้งชาย-หญิงรวมกันแค่๑๙ คน และที่มีความคิดจะเรียนต่อประถมห้ามีอยู่ ๘ คนรวมทั้งพี่...ในจำนวนนี้มีอยู่สองคนที่ฐานะดีหน่อยและมีญาติอยู่ในเมือง จึงไม่มีปัญหาในเรื่องหาที่เรียนต่อ...ในสมัยนั้น ผู้ปกครองของเด็ก ๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจในเรื่องของการศึกษาเท่าใดนัก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง ยิ่งเป็นลูกคนโตยิ่งแล้วใหญ่ ...หลายคนคิดว่าเรียนไปทำไมนักหนา เรียนจบป.สี่ก็อ่านออกเขียนได้แล้ว เดี๋ยวก็ต้องแต่งงานแต่งการออกเรือนไป...อีกอย่างคนที่เป็นพี่คนโตควรจะต้องมีหน้าที่ช่วยแม่เลี้ยงน้อง...แม้แต่แม่เองก็คิดเช่นนั้น...เพราะในตอนนั้นแม่ก็มีลูกเล็ก ๆ เพิ่มมาอีกสามคนแล้ว แม่อยากให้พี่ออกโรงเรียนมาช่วยแม่ขายของกับดูแลน้อง ๆ แม่บอกว่าพี่เป็นผู้หญิงไม่ต้องเรียนมากหรอก ให้พี่ผู้ชายเรียนไปเถอะ ..ป้า ๆ น้า ๆ หลายคนเห็นด้วยกับแม่แต่ไม่ใช่พ่อของเรา...พ่อเสียดายพี่ เพราะพี่เราเรียนเก่งมาก ได้ที่หนึ่งตลอดสี่ปี สมัยนั้นคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ พี่ได้คะแนนไม่เคยต่ำกว่า ๙๕% แม้แต่เทอมเดียว...พ่อเที่ยวตระเวนไปตามบ้านของเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียนของพี่ พยายามพูดชักจูงให้ผู้ปกครองของเด็ก ๆ เหล่านั้นเห็นคุณค่าของการศึกษา...หลายคนเห็นคล้อยตาม แต่บอกว่าไม่ได้หรอกเขาไม่มีเงินบ้าง เด็ก ๆต้องช่วยพ่อแม่ทำนาบ้าง...อีกหลายคนหาว่าพ่อบ้า...ไม่เพียงแค่คนในหมู่บ้านเดียวกันเท่านั้นที่พ่อพยายามไปหาเพื่อชักชวนให้ส่งลูกเข้าเรียนต่อประถมห้า ...พ่อปั่นจักรยานไอ้แก่ของพ่อไปตามหมู่บ้านอื่น ๆ ใกล้เคียง พบปะใคร รู้จักหรือไม่รู้จักพ่อไม่สน...(แต่ส่วนใหญ่ก็รู้จักกันแหละ) พ่อก็จะพูดแต่เรื่องนี้...จนในที่สุด...ในช่วงระยะเวลา(โรงเรียนปิดเทอม)สองเดือนเศษ ๆ พ่อก็สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้ปกครองเด็ก ได้ถึง ๑๒ คน รวมกับพี่และเพื่อน ๆ อีก ๖ คน ทำให้มีเด็กทั้งหมด ๑๘ คน ซึ่งก็ยังไม่ครบจำนวนตามที่ศึกษาธิการท่านกำหนดไว้อยู่ดี...แต่พ่อไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ พ่อเดินทางไปขอเข้าพบศึกษาธิการจังหวัดเลยทีเดียว แล้วบอกเล่าให้ท่านฟังถึงสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดที่พ่อได้ทำลงไป...ท่านศึกษาฯจังหวัดรับฟังพ่ออย่างสนอกสนใจ เมื่อพ่อเล่าจบท่านก็บอกว่า...ดี ดี ดี...แล้วท่านก็บอกว่า ๑๘ คนก็สอนได้...ถ้ามีเด็ก ๆ ต้องการจะเรียนจริงจัง ๑๕ คนก็เอาแล้ว...พ่อบอกว่าได้ยินอย่างนั้น หัวใจพ่อพองโตจนจะเหมือนกับจะล้นออกมานอกอก...ท่านศึกษาฯจังหวัดสั่งการลงมายังศึกษาฯอำเภอ...ให้โรงเรียนเล็ก ๆ ของเราเปิดสอนชั้นประถมห้านับตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา...นี่เป็นอีกหนึ่งวีรกรรมเล็ก ๆ ของพ่อของเรา...ที่ทำเพื่อลูกของพ่อ
ต้องยกนิ้วให้ "คุณพ่อนักพัฒนา"
คนนี้และปรบมือให้ดังๆเลยค่ะ
สวัสดียามบ่ายนะคะ