'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

~ เดเปอโร รักยิ่งใหญ่จากใจดวงเล็ก : เคท ดิคามิลโล/เขียน : งามพรรณ เวชชาชีวะ/แปล ~





เดเปอโร รักยิ่งใหญ่จากใจดวงเล็ก
ผู้เขียน: เคท ดิคามิลโล
ผู้แปล: งามพรรณ เวชชาชีวะ
ผู้พิมพ์:สนพ. เพ็ทแอนด์โฮม(ครั้งแรก ตุลาคม 2547)
277 หน้า ราคา 180 บาท

จากปกหลัง :


นี่คือเรื่องราวของ เดเปอโร ทิลลิง หนูตัวหนึ่งผู้หลงรักดนตรี นิทาน และเจ้าหญิง

นี่คือเรื่องราวของหนูอีกตัวหนึ่ง ผู้มีชื่อว่า รอสคูโร ด้วย
รอสคูโรอาศัยอยู่ในความมืด แต่โหยหาโลกที่เปี่ยมด้วยแสงสว่าง

และนี่คือเรื่องราวของ มิกเกอรี โซว์ เด็กรับใช้ผู้มีปัญญาไม่แหลมคมนัก
และมีความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีวันเป็นจริงได้

ตัวละครทั้งหมดนี้กำลังจะร่วมออกเดินทางที่จะนำพาลงสู่คุกใต้ดินอันน่าสะพรึงกลัว
นำสู่ปราสาทแสนอลังการ และเหนือสิ่งอื่นใด นำสู่ชีวิตของกันและกัน

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหนอ...เธอจ๋า นั่นเป็นชะตาชีวิตที่เธอต้องค้นหาด้วยตัวเอง







เล่มนี้เป็นนิทานค่ะ นิทานที่เหมือนจะเป็นเรื่องของเด็กๆ
แต่หากอ่านและคิดตาม เรื่องราวในเล่มหาใช่สำหรับเด็กเพียงอย่างเดียว
หากเป็นเรื่องราวของชีวิต มิตรภาพและความรัก...

เริ่มด้วยเรื่องราวของเดเปอโร เจ้าหนูน้อยผู้ถือกำเนิดมาในครอบครัวหนูขนาดใหญ่
ในปราสาทที่มีพระราชากับพระธิดา(เจ้าหญิงพี)อาศัยอยู่
เดเปอโรมีพฤติกรรมที่น่าผิดหวังสำหรับพ่อและแม่มาตั้งแต่แรกเกิด
เบื้องต้นที่สุด มันเป็นหนูตัวเดียวที่รอดชีวิตในคอกนั้น แถมมันยังมีหูที่ใหญ่โตผิดปกติ ที่สำคัญ...มันลืมตาตั้งแต่แรกเกิด
กลายเป็นที่โจษจันกันในสภาแห่งหนู...
พฤติกรรมที่หนูตัวอื่นๆ ไม่อาจยอมรับได้จนต้องจับเดเปอโรเข้าไปอยู่ในคุกมืดใต้ดิน
ก็เช่น... มันเรียนรู้การอ่าน มันชื่นชอบเสียงเพลง และมันเข้าไปคลุกคลีกับมนุษย์..
.โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...มันตกหลุมรักเจ้าหญิงพีจนยอมให้เธอลูบหัวและอุ้มมัน!

...........

จากนั้นก็เป็นเรื่องราวของเจ้าหนูอีกตัวที่ชื่อรอสคูโด..
.รอสคูโรเป็นหนูคุกที่อยู่แต่ในความมืดมาเนิ่นนาน วันหนึ่งมันได้โอกาสขึ้นมายังปราสาท
เมื่อเจ้าหญิงพีมองเห็นมันเข้าก็หวีดร้องจนมันตกใจและตกลงไปในชามซุปของพระราชินี
พระราชินีตกใจจนหงายหลังล้มลงไปทั้งเก้าอี้และช็อคแน่นิ่งสิ้นพระชนม์ไป
พระราชาโกรธมากจึงสั่งทหารให้ตามล่าสังหารหนูทุกตัวในปราสาท
จนรอสคูโรต้องหนีซมซานกลับไปยังคุกมืดตามเดิม...พร้อมหัวใจที่แหลกสลาย
ด้วยสายตาเกลียดชังของเจ้าหญิงที่มองตามมัน...
ด้วยสำนึกอันบิดเบี้ยว...มันคิดแก้แค้น


แล้วก็มาถึงเรื่องราวของมิก...มิกเกอรี โซว์ เด็กน้อยผู้มีชะตากรรมอาภัพ
ถูกพ่อขายให้กับลุงใจร้ายคนหนึ่งที่ใช้งานมิกเยี่ยงทาส
แถมชอบตบบ้องหูมิกเป็นประจำจนเธอแทบจะหูหนวก...
แต่วันหนึ่งมิกก็มีโอกาสเข้าไปในปราสาท และได้เป็นเด็กรับใช้ประจำตัวเจ้าหญิงพี
มิกมีความปรารถนาอันสูงส่งคือ...เธออยากเป็นเจ้าหญิง!!!
และทางเดียวที่เธอจะได้เป็นเจ้าหญิง เธอต้องร่วมมือกับเจ้าหนูคุกรอสคูโร
จับตัวเจ้าหญิงพีไป บังคับให้เจ้าหญิงสละตำแหน่งให้เธอ...
แล้วเจ้าหญิงก็มาเป็นเด็กรับใช้แทน...






เป็นนิทานอ่านสนุกที่น่ารักนักหนา อ่านได้รื่นรมย์
หากก็มีแง่มุมชวนให้ฉุกคิด ชวนเคลิ้มคล้อย
ชวนซาบซึ้งประทับใจแฝงอยู่มากมาย

ด้วยการดำเนินเรื่องที่ไม่ซับซ้อน ทว่าก็ไม่ได้เรียบง่ายจนเกินไป

สำนวนภาษา(แปล)ที่สละสลวยลื่นไหล
มีการใช้สำนวนที่คล้าย ๆ บทกวีที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลละมุนละไม
มีทั้งให้ความรู้สึกตื่นเต้น ลุ้นระทึก...
เศร้าสร้อยแล้วก็ปลอบประโลม...

ชอบมาก หยิบมาชวนอ่านกันวันนี้ค่ะ










 

Create Date : 27 สิงหาคม 2560    
Last Update : 27 สิงหาคม 2560 12:16:03 น.
Counter : 2870 Pageviews.  

~ สูญมนุษย์วันสิ้นโลก/Z for Zachariah By Robert C. O'Brien ( วิลาส วศินสังวร/แปล) ~





สูญมนุษย์วันสิ้นโลก/Z for Zachariah
Robert C. O'Brien/เขียน วิลาส วศินสังวร/แปล
สนพ.เอิร์นเนส พิมพ์(ตุลาคม 2558)
232 หน้า ราคา 230 บาท

สั้น ๆ จากปกหลัง



ในอนาคต ระเบิดนิวเคลียร์ทำลายล้างผลาญสิ้นทุกสิ่ง
แอนคิดว่าเธอเป็นมนุษย์คนสุดท้ายบนโลก
จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

แอนไม่แน่ใจว่าเธอจะไว้ใจชายคนนี้ได้มากแค่ไหน
แต่ในเมื่อโลกเหลือมนุษย์อยู่เพียงแค่สองคน…

...................

Z for Zachariah เป็นนิยายขายดีของ โรเบิร์ต ซี. โอ'ไบรอัน
เขียนถึงแก่นกลางการก้าวพ้นวัยของเด็กสาว
ที่ต้องประสบกับความโดดเดี่ยวอ้างว้างในใจ






เรื่องนี้ค่อนข้างชอบ ขอเล่าเรื่องยาว ๆ หน่อยละกัน

หลังสิ้นสุดสงครามกัมมันตภาพรังสีที่ทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลก
แอนน เบอร์เดน เด็กสาววัย 16 ปี เข้าใจว่าเธอเป็นมนุษย์คนสุดท้ายที่รอดชีวิต
ด้วยบังเอิญหุบเขาเล็ก ๆที่เธออาศัยอยู่นั้นเป็นที่ที่ปลอดรังสี
และคนในครอบครัวคนอื่น ๆ ของเธอ รวมทั้งเพื่อนบ้านพากันเดินทางออกไปสำรวจความเสียหายหลังสงคราม และอาจจะออกไปไกลเกินเขตหุบเขา...พวกเขาไม่ได้กลับมาอีกเลย
แอนจึงต้องใช้ชีวิตตามลำพังมาร่วมปี

วันหนึ่ง เธอก็สังเกตพบว่ามีมนุษย์อีกคน เดินทางเข้ามายังหุบเขาของเธอ
แอนรีบเก็บงำข้าวของเครื่องใช้ต่างๆของเธอซ่อนไว้ แล้วหลบขึ้นไปอยู่ในถ้ำบนเขา ในจุดที่เธอสามารถมองลงมาเห็นความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในบริเวณบ้านของเธอ

ผู้ชายคนนั้นสวมชุดคลุมกันรังสีมิดชิด มาพร้อมกับรถเข็นสัมภาระ
เมื่อมาถึงยังหุบเขาเขาก็มีท่าทีตื่นเต้นแปลกใจ เขาใช้เครื่องมือตรวจวัดรังสีสำรวจบริเวณหุบเขาโดยรอบ
แล้วเขาก็ยึดเอาลานหน้าบ้านของแอนเป็นที่กางเต้นท์พักแรม

แอนเฝ้าสังเกตเขาอยู่เงียบ ๆ เพราะเธอยังไม่มั่นใจว่าจะไว้ใจเขาได้มากน้อยแค่ไหน
แล้วเธอก็เห็นเขาลงไปอาบน้ำในลำธารสายที่แยกออกไป...ซึ่งเต็มไปด้วยสารพิษ!
แล้ววันรุ่งขึ้นเขาก็ล้มป่วย แอนจึงกลับลงมา
เธอพาเขาเข้าไปในบ้าน และดูแลเขาเป็นอย่างดี เขามีไข้ขึ้นสูงและเพ้อเป็นพัก ๆ แอนค่อย ๆ เก็บเกี่ยวข้อมูลของเขาผ่านการเพ้อนั้น
เมื่อเขาฟื้นไข้ พวกเขาจึงได้พูดคุยแนะนำตัว...

เขาเล่าว่าเขาชื่อลูมิส เป็นนักเคมีที่ในช่วงสงครามเขากำลังทำงานอยู่ในห้องแล็บใต้ดิน
เขากับผู้ร่วมงานของเขาได้ผลิตชุดคลุมกันรังสีที่ทำจากพลาสติคคุณสมบัติพิเศษขึ้นมาหนึ่งชุด...
ซึ่งก็คือชุดที่เขาสวมมานั่นเอง
เขาเดินทางรอนแรมมานานร่วมปีไม่พบเจอผู้รอดชีวิตที่ไหนเลย จนถึงที่นี่นีแหละ...





สภาพร่างกายของเขายังอ่อนแออยู่มาก
แต่เขาก็แนะนำแอนหลายเรื่องเกี่ยวกับวางแผนเพาะปลูกและการใช้เครื่องจักรเครื่องมือทางด้านการเกษตร
ซึ่งปกติแอนก็ทำอยู่แล้วในแบบของเธอ...
จากการเฝ้าสังเกต การพูดคุย และปะติดปะต่อเอาจากสิ่งที่เธอได้ยินตอนที่เขาเพ้อเพราะพิษไข้
ทำให้แอนรู้ความลับอย่างหนึ่งของเขา เธอจึงต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา...

เธอรู้สึกว่าลูมิสหายป่วยแล้ว แต่เขายังเอาเปรียบเธอ คอยควบคุมให้เธอทำงานตามที่เขากำหนด
แล้ววันหนึ่ง...เขาก็ย่องเข้าหาเธอกลางดึก แอนจึงเตลิดหนีขึ้นไปอยู่บนถ้ำอีกครั้ง
แต่ลูมิสกลับตามล่าตัวเธอจนเธอต้องหนีหัวซุกหัวซุน...
ที่ร้ายที่สุด...เขายิงเข้าที่ขาของเธอเพื่อไม่ให้เธอหนีต่อไปได้
โชคดีที่กระสุนเพียงเฉี่ยวข้อเท้าเธอเท่านั้น...แต่กระนั้น แอนก็รู้สึกเจ็บปวดนักหนา

แอนต้องตัดสินใจเปิดฉากเจรจา...
ในเมื่อคนสองคนที่เหลือบนโลกไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ใครคนใดคนหนึ่งต้องจากไป
และแอนก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายไป...








โอยยยย...ยาวอะ
แต่บอกได้เลยว่าเป็นหนังสือที่อ่านสนุกมาก ลุ้นตามตลอด ๆ ไม่จบไม่วางกันเลยทีเดียว

นับเป็นความบังเอิญมาก ๆ ทีได้หนังสือเล่มนี้มาอ่านในช่วงเวลาเดียวกันกับสองเรื่องที่เพิ่งอ่านจบไปนั่น
เพราะเรื่องนี้มีธีมที่คล้ายคลึงกันกับสองเรื่องนั้นมาก นั่นคือว่าด้วยสงครามล้างโลก...โศกนาฏกรรม
ตลอดจนพิษภัยและผลพวงจากสงคราม...
เพียงแต่แนวการนำเเสนอเท่านั้นทีแตกต่าง...
สองเล่มนั้นดำเนินเรื่องโดยเด็กๆ อารมณ์ทีได้ก็จะออกแนวเด็ก ๆ
จบก็แฮปปี้เอนดิ้งแบบเด็กๆ แต่เล่มนี้คนเดินเรื่องโตขึ้นมาอีกนิด เรื่องราวให้โทนเหงา ๆ หม่น ๆ
เครียดเคร่งไปกับบรรยากาศของการคุมเชิง ความหวั่นหวาดระแวงซึ่งกันและกัน
แถมตอนจบยังจบแบบค้างๆ คาๆ ทิ้งประเด็นให้คนอ่านได้ครุ่นคิด คาดหวังและรอคอย


เรื่องเล่าผ่านบันทึกของแอน ซึ่งเริ่มบันทึกในวันที่เธอเริ่มสังเกตเห็นมนุษย์คนที่สอง
ที่กำลังก้าวเข้ามาในโลกที่เดียวดายและเปลี่ยวเหงาของเธอ...
เธอบอกเล่าถึงความคิด ความหวังและความหวาดกลัวของเธอ
พาให้คนอ่านร่วมรับรู้ในอารมณ์ ความรู้สึกของเธอโดยละเอียด

แอนเป็นเด็กสาวที่ฉลาด เข้มแข็งและกล้าหาญอดทน
แต่ในความเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่น เธอก็มีความคิดความฝันเยี่ยงเด็กสาวทั่ว ๆ ไป
ในช่วงที่เธอต้องดูแลลูมิสขณะที่เขาป่วย เธอยังแอบคิดถึงขั้นที่ว่า
เธออาจจะสร้างครอบครัว ให้กำเนิดลูกหลานกับเขาด้วยซ้ำไป...

แต่นายลูมิสนั้นเขาคิดอย่างไรเราไม่อาจรู้
เขาอาจจะคิดเหมือนกับแอนก็ได้ที่อยากจะลงหลักปักฐานสร้างครอบครัว
เพียงแต่ธรรมชาติของเพศผู้ทำให้เขามีสัญชาตญาณของการเป็นจ่าฝูง
วางตัวเหนือแอน...แม้เธอจะเป็นผู้อยู่มาก่อนก็ตาม...
แต่แอนใช้ชีวิตอิสระมาจนชินและเข้มแข็งพอที่จะไม่ยอมตัวอยู่ใต้อำนาจของเขา
เรื่องราวจึงต้องลงเอยเช่นนี้...





ชอบมากค่ะ แม้จะอ่านแล้วรู้สึกโกรธ หงุดหงิด แล้วก็เศร้าใจ
แต่ก็ลุ้นและเห็นด้วยกับการตัดสินใจของแอนสุดๆ ...
มาคิด ๆ ดูว่า...ถ้าเราเป็นแอน เจอสถานการณ์เช่นนี้ เราจะกล้าหาญเพียงพอที่จะทำแบบนี้ไหม
คำตอบคือ...ไม่รู้สิ

** หมายเหตุ: หนังสือเล่มนี้จขบ.ได้ยืมมาจากเพจหนังสือปันกันอ่าน-Immortalbooks ค่ะ
นักอ่านท่านใดสนใจ อยากหยิบยืมไปอ่านบ้าง เชิญไปลงชื่อยืมได้ตามลิงก์นี้ได้เลยค่ะ
หนังสือปันกันอ่าน https://goo.gl/iJ7eMq

และนอกจากเล่มนี้ ทางเพจยังมีหนังสือที่น่าสนใจเล่มอื่นๆ อีกหลากหลายแนวให้ยืมอ่านฟรีๆค่ะ
ตามลิงก์นี้
หนังสือปันกันอ่าน-หนังสือพร้อมส่ง











 

Create Date : 22 สิงหาคม 2560    
Last Update : 23 สิงหาคม 2560 11:58:16 น.
Counter : 2466 Pageviews.  

~ จาก 'พิภพบาดาล / City of Ember' ถึง 'บ้านใหม่บนดิน/The People of Sparks' โดย ฌานน์ ดูโปร(แสงตะวัน/







'บ้านใหม่บนดิน/The People of Sparks'
ผู้เขียน :ฌานน์ ดูโปร/ผู้แปล : แสงตะวัน
สนพ.แพรวเยาวชน(มิ.ย. 48)
358 หน้า ราคา 235 บาท



เรื่อง 'บ้านใหม่บนดิน/The People of Sparks' นี้เป็นภาคต่อของ'พิภพบาดาล'(City of Ember)ที่เคยอ่านไปเมื่อหลายปีก่อน...
เช่นนั้น ก่อนที่จะบอกเล่าเรื่องราวในเล่มนี้จึงจะขอทบทวน ความเป็นไปเป็นมาในเล่มแรกก่อนสักนิดนึง...

'พิภพบาดาล'(City of Ember) เป็นกึ่งๆ ไซไฟ กึ่งๆนิยายแนวดิสโทเปียที่ว่าด้วยเรื่องเมืองสมมติ
เมืองเอ็มเบอร์เป็นเมืองที่อยู่ใต้ดิน ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีดวงอาทิตย์ดวงจันทร์...
กลางวันกลางคืนแยกจากกันด้วยการเปิด-ปิดไฟในบางจุด
แต่ผู้คนก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่
และเสบียงจำนวนมหาศาลในโกดังที่มีการจัดสรรปันส่วนโดยระบบการบริหาร
ที่มีการสืบทอดส่งต่อกันมาหลายชั่วคน...

เรื่องราวใน"พิภพบาดาล"เริ่มต้นขึ้นในยุคที่นครเอ็มเบอร์กำลังก้าวเข้าสู้กาลสิ้นสุด
ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองยังไม่สำเหนียก...
เว้นแต่เด็กวัยรุ่นสองคนอย่างดูน แฮร์โร่วกับลีน่า เมย์ฟลีต
ดูนกับลีน่าเพิ่งจะเรียนจบชั้นสูงสุดของโรงเรียนที่มีแห่งเดียวในเมือง
และเริ่มเข้าทำงานตามที่ถูกมอบหมาย(จับสลากได้)
ดูนเข้าทำงานในเครือข่ายท่อ...อันเป็นแหล่งที่มาแห่งสาธารณูปโภคของเมือง
โดยเฉพาะเป็นที่ตั้งของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าซึ่งดูนรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ
ส่วนลีน่าทำหน้าที่เป็นผู้ส่งข่าว...เธอต้องทำหน้าที่รับข่าวสารจากคนหนึ่งไปส่งให้อีกคนหนึ่ง...

ไฟฟ้าในเมืองเริ่มติด ๆ ดับ ๆ บางช่วงดับเป็นเวลานานขึ้น
เครื่องอุปโภคบริโภคต่าง ๆ เริ่มขาดแคลนร่อยหรอ...
ลีน่ากับดูนเริ่มคิดถึงดินแดนปริศนาที่อยู่นอกเมือง
โดยมีเบาะแสจากเศษกระดาษเก่าแก่ขาดวิ่นแผ่นหนึ่งที่พวกเขาค้นพบ...
แต่เมื่อเขาบอกเล่าเรื่องนี้ออกไปแก่คนอื่น ๆ เด็กทั้งสองก็ถูกประกาศจับด้วยข้อหา...กระพือข่าวเลวร้าย!!!
ดูนกับลีน่าต้องหนีสุดชีวิต...!!!







เรื่องเล่าของ'พิภพบาดาล'ด้านบนนี้ เป็นการอ่านซ้ำรอบสองค่ะ
แต่ยังคงความสนุกสนาน ตื่นเต้นเร้าใจ
ทั้งยังได้แง่คิดมุมมองว่าด้วยความรักความสามัคคี และการสงวนรักษาสิ่งแวดล้อม
ผู้เขียนได้จำลองโลกทั้งโลกของเราให้เป็นเมืองๆหนึ่ง
ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอยู่ในนั้น...
อยู่ที่ผู้คนที่อยู่ร่วมกันในนั้นจะช่วยกันอนุรักษ์และสร้างเสริมสิ่งที่มีอยู่ให้คงสภาพ
และเพียงพอสำหรับทุกคนได้ยาวนานแค่ไหน...?

มาต่อเนื่องกับภาคต่อของเรื่องนี้ คือ 'บ้านใหม่บนดิน' ค่ะ


เรื่องย่อ ๆ จากปกหลัง

เมื่อชาวเอ็มเบอร์หนีจากเมืองใต้ดินของตนที่กำลังจะดับสูญ
ออกมาสู่โลกภายนอกบนดินนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างช่างแปลกใหม่
และน่าหวาดกลัวเล็กน้อยสำหรับพวกเขา
ไม่ว่าจะเป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ นก ต้นไม้ ไฟ และชาวบ้านชาวสปาร์คส์
ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองบนโลกที่เหลือรอดจากช่วง ‘กลียุค’

ชาวสปาร์คส์ 322 คน จะเลี้ยงดูและให้ที่พักพิงแก่ชาวเอ็มเบอร์ 417 คนได้อย่างไร
ทั้งที่พวกเขาเพิ่งจะเริ่มสามารถเลี้ยงตัวเองอย่างสบายๆ ได้ไม่นานเท่านั้น
แต่ถ้าไม่ให้ความช่วยเหลือ ชาวเอ็มเบอร์จากใต้ดินเหล่านี้ก็จะต้องตายแน่ๆ
เพราะมามีทักษะในการเอาชีวิตรอดบนดิน

ชาวสปาร์คส์จำต้องช่วยเหลือชาวเอ็มเบอร์เท่าที่จะทำได้
ขณะที่ความรู่สึกต่อต้านเริ่มทวีขึ้นทั้งสองฝ่าย
ลีน่ากับดูนจะทำอย่างไรเพื่อกอบกู้สถานการณ์และสร้างความสมานฉันท์
เพื่อทั้งสองฝ่ายจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติในฐานะชาวสปาร์คส์ด้วยกัน







บอกเล่าเรื่องราวของชาวเมืองเอ็มเบอร์หลังจากหนีออกจากเมืองใต้ดินที่กำลังจะสิ้นสูญ โดยการนำของดูนกับลีน่า
พวกเขาล้วนตื่นตะลึงกับทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นดิน...
แสงสว่างอันจัดจ้าจากดวงอาทิตย์ พืชพันธุ์อันเขียวขจี สายลมที่โบกไหว...
ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนในที่ที่พวกเขาจากมา...
ชุมชนแห่งแรกที่พวกเขาได้มาพบคือเมืองสปาร์กส์...ที่มีประชากรเพียง 300 กว่าคน
ในขณะที่กลุ่มของพวกเขามีจำนวนมากกว่า...

เบื้องต้น จากการประชุมตกลงกันในกลุ่มผู้บริหาร พวกเขายินดีที่จะให้ความช่วยเหลือรับรองชาวเมืองเอ็มเบอร์สักระยะหนึ่ง
หลังจากที่พวกเขาเรียนรู้ปรับตัวการใช้ชีวิตบนดินได้แล้วพวกเขาต้องอพยพไปหาแหล่งทำมาหากินตั้งรกรากของตัวเอง
เพราะทรัพยากรต่างๆ ที่พวกเขามีอยู่ มันเพียงพอสำหรับผู้คนในเมืองของพวกเขาเท่านั้น...

หากทว่า...เมื่อกลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตที่แตกต่างคนละขั้วสองกลุ่มต้องมาอยู่ร่วมกัน
การกระทบกระทั่งย่อมบังเกิด เริ่มต้นจากเหตุเพียงเล็กน้อย
ผสมผเสด้วยความเห็นแก่ตัว ความหวาดกลัวหวั่นไหวต่อความเปลี่ยนแปลง...
ทำให้ปมขัดแย้งบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่...






ชอบมากค่ะ ดีใจที่ได้อ่านเสียทีหลังจากที่ตามหามาเนิ่นนาน
การอ่านเล่มนี้ช่วยให้เราเข้าใจความเป็นไปเป็นมาของเรื่องแรกอย่างพิภพบาดาลมากขึ้น...
ตอนแรกคิดว่าเมืองเอ็มเบอร์เป็นเมืองสมมติที่ผู้เขียนได้สร้างขึ้น
เป็นประหนึ่งเมืองในอีกมิติหนึ่งที่คู่ขนานไปกับโลกปกติของเรา
แต่พอมาอ่านเล่มนี้ถึงได้เข้าใจว่า จริง ๆ แล้ว เมืองเอ็มเบอร์ก็เป็นเมืองสมมตินั่นแหละ
แต่เป็นเมืองที่อยู่ในโลกอนาคต หลังจากการสิ้นสุดของสงครามกลียุค
ทุกหนทุกแห่งบนโลกใบนี้ก็เหลือแต่เศษซากปรักหักพังของสิ่งต่าง ๆ
ผู้คนที่เหลือรอดจากสงครามต้องกอบรวมผู้คน "สร้างบ้านแปงเมือง"ขึ้นมาใหม่
สร้างระบบการปกครอง สร้าง ๆ อะไร ๆ ขึ้นใหม่ทั้งหมด
ซึ่งเมืองเอ็มเบอร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ผู้สร้างแต่แรกเริ่มนั้นได้พากันลงไปสร้างเมืองอยู่ใต้พิภพ
ในขณะที่ผู้คนกลุ่มอื่น ๆ ก็พากันตระเวนไปหาทำเลดี ๆ ที่จะอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน
อย่างเช่นเมืองสปาร์คส์นี้เป็นต้น

อ่านแล้วทึ่งและนับถือในจินตนาการของผู้เขียนสุดๆเลยค่ะ

เพราะมันไม่ใช่เป็นแค่นิยายอ่านสนุกเร้าใจธรรมดา ๆ
หากแต่ยังแฝงไว้ซึ่งแง่คิดมุมมองอันเป็นสากลมากมายหลายประการทีเดียว

ชวนอ่านอย่างแรงทั้งสองเล่มค่ะ















 

Create Date : 21 สิงหาคม 2560    
Last Update : 21 สิงหาคม 2560 13:25:02 น.
Counter : 2612 Pageviews.  

~ บันทึกส่วนตัวซายูริ: บันทึกของเด็ก ๗ ขวบ เด็กหญิงซายูริ ซากาโมโตะ ~







บันทึกส่วนตัวซายูริ
ผู้เขียน เด็กหญิงซายูริ ซากาโมโตะ(เขียน/ภาพประกอบ)
สนพ.ผีเสื้อ
๓๖๘ หน้า ราคา ๒๙๗ บาท


หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือพิเศษ ที่ผู้เขียนเป็นเด็กหญิงวัยเพียง 7 ขวบ
เธอบอกเล่าประวัติชีวิตตัวเอง รวมถึงสิ่งต่าง ๆ รอบๆ ตัวเธอ
ผ่านสมุดบันทึกได้อย่างน่าสนใจมาก

เธอมีมุมมองที่ซื่อใสบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ที่นอกจากจะเป็นตัวแทนของเด็ก ๆ วัยเดียวกัน
บอกถึงความคิดความฝัน ความรู้สึกของพวกเขาแล้ว
เธอยังเป็นแรงบันดาลใจของทั้งเด็กและผู้ใหญ่อีกมากมายนัก






ซายูริบอกว่าเธอไม่ใช่ลูกครึ่ง เพราะครึ่งคือการแบ่งออกจากกันเป็นสองซีก
แต่เธอไม่ได้แบ่งออก เธอเกิดจากการผสมกัน
ซายูริจึงเป็นลูกผสมระหว่างแม่ที่เป็นคนไทยและพ่อที่เป็นชาวญี่ปุ่น...

และเธอก็ช่างเป็นส่วนผสมของสองวัฒนธรรมที่ลงตัวเหลือเกิน
เธออ่อนน้อมถ่อมตัว อ่อนโยนและจิตใจดี มีอารมณ์ขัน ยิ้มและหัวเราะได้ง่ายๆแบบไทยๆ ...
ในขณะเดียวกันเธอก็เข้มแข็ง ขยัน อดทน
มีระเบียบวินัยในตัวเองค่อนข้างสูง...ตามแบบฉบับเด็กญี่ปุ่น





น่ารักค่ะ อ่านแล้วได้ฉุกคิด ได้ตริตรอง ได้ทบทวนหวนหาความทรงจำในอดีต
และระลึกรู้ว่า...ครั้งหนึ่ง เราก็เคยเป็นเด็กเหมือนกัน






 

Create Date : 05 ตุลาคม 2559    
Last Update : 5 ตุลาคม 2559 15:54:27 น.
Counter : 2470 Pageviews.  

~ Wolf Children สองพี่น้องเด็กหมาป่า : "คู่จี๊ดชีวิตอัศจรรย์" ฉบับนิยาย ~






Wolf Children สองพี่น้องเด็กหมาป่า
ผู้เขียน :โฮโซดะ มาโมรุ
ผู้แปล: เลอลักษณ์ วีรวุฒิไกร
สนพ.ไอแอมบุ้ค/พิมพ์(ต.ค. 58)
269 หน้า ราคา 230 บาท

เรื่องย่อ


ฮานะ สาววัย 19 ผู้ตกหลุมรักหนุ่ม “มนุษย์หมาป่า”
และได้แต่งงานกันจนมีลูก 2 คน ได้แก่ ยูคิ(แปลว่าหิมะ)
ซึ่งเป็นพี่สาวคนโต เพราะเกิดในวันหิมะตก
ส่วนน้องชายอีกคนชื่ออาเมะ (แปลว่า ฝน) เพราะเกิดในวันฝนตกนั่นเอง
ทั้ง 4 ต้องอาศัยอย่างหลบๆซ่อนๆอยู่ในเมือง
จากความจริงที่ว่าลูกๆทั้งสองก็เป็น “มนุษย์หมาป่า” ด้วย
แต่แล้วเมื่อพ่อต้องมาเสียชีวิตไปอย่างกระทันหัน
ฮานะ จึงตัดสินใจพาลูกทั้งสองไปสู่ชนบทห่างไกลอันเงียบสงบ
หลีกหนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่

ในวันหนึ่งที่มีพายุพัดเข้ามานั้น เวลาที่ทั้งสองต้องกำหนดชะตาชีวิตก็มาถึงในที่สุด ..






หลังอ่าน...
เรื่องราวก็เป็นไปตามเรื่องย่อ ๆ ข้างบนนั่นเลยค่ะ
นิยายเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากบทภาพยนต์แอนิเมชั่นของญี่ปุ่นทีได้รับรางวัลมากมาย
และเคยมีมาฉายในเมืองไทยในชื่อ Wolf Children - คู่จี๊ดชีวิตอัศจรรย์
ซึ่งหลายคนอาจจะเคยได้ดู (ส่วนตัวคิดอยู่ว่าอ่านจบแล้วเดี๋ยวหาแผ่นมาดูมั่งแล้วค่ะ)

เรื่องราวน่ารักดี เดินเรื่องรวดเร็วฉุบฉับตามแบบฉบับนิยายที่แปลงมาจากการ์ตูน
แต่บทบรรยายก็สามารถให้ภาพ อารมณ์และความรู้สึกของตัวละครได้ดี
โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างหนูน้อยหมาป่าทั้งสอง

ตัวละครสำคัญที่สุดในเรื่องคือคนเป็นแม่อย่าง "ฮานะ"
ถึงแม้เธอจะอายุน้อย แต่เธอก็เข้มแข็ง เป็นสาวนักสู้อย่างแท้จริง
เมื่อสามีที่เป็นมนุษย์หมาป่าตายจากไปหลังจากเธอคลอดลูกคนที่สองได้เพียงวันเดียว
เธอสาบานกับรูปถ่ายของเขาในใบขับขี่ว่าเธอจะเลี้ยงลูกน้อยสองคนอย่างดีที่สุด
แล้วเธอก็ทำได้...เธอทำงานหนัก อดทนอดกลั้นต่อความลำบากทั้งมวลของการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว...
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... แม่เลี้ยงเดี่ยวของลูก ๆ ที่ไม่ใช่เด็กธรรมดา

เธอต้องคอยหลบซ่อน ปิดบังธรรมชาติของลูก ๆ จากสายตาคนภายนอก
และเมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่เธอไม่อาจอำพรางตัวตนของลูก ๆ ได้อีกต่อไป
เธอก็ต้องหอบลูกน้อยทั้งสองออกจากเมือง มุ่งสู่ชนบทที่ห่างไกลชุมชน
เธอเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น และยืนหยัดที่จะดำเนินชีวิตอยู่อย่างพึ่งพาตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หากก็ไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือรวมทั้งคำแนะนำสั่งสอนจากผู้อื่น อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
เธอเรียนรู้ทำความเข้าใจธรรมชาติของเด็ก ๆ ที่เกิดมาเป็นส่วนผสมของสองสายพันธุ์ในตัว
เพื่อที่จะยอมรับในการตัดสินใจของลูก ๆ เมื่อถึงเวลา





ในขณะที่ยูคิ เด็กหญิงผู้พี่เลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบมนุษย์
โดยพยายามสะกดกลั้นธรรมชาติสัตว์ป่าในตัวเองไว้อย่างมิดเม้น
ทำตัวกลมกลืนกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน

อาเมะผู้น้องชายกลับเลือกที่จะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเรียนรู้วิถีแห่งการเป็นมนุษย์หมาป่า
ซึ่งไม่ว่าลูก ๆจะเลือกหรือตัดสินใจที่จะเป็นไปในวิถีใด
ผู้เป็นแม่อย่างฮานะทำได้เพียงรับรู้และเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ เท่านั้นเอง

ในเรื่องนอกจากจะบอกเล่าถึงตำนานมนุษย์หมาป่า
ความเป็นมาเป็นไป ธรรมชาติวิสัยและสัญชาตญาณต่างๆ ของสัตว์ป่าแล้ว
ยังมีแทรกสาระว่าด้วยการทำการเกษตร
และวิถีชีวิตในชนบทห่างไกลของญีปุ่นอีกด้วย

อ่านแล้วชอบมากค่ะ
จึงหยิบมาบอกต่อ ชวนอ่านกันวันนี้


**อ้อ...หนังสือเล่มนี้มีรางวัลการันตีความจี๊ดดังนี้ค่ะ

รางวัลชนะเลิศ ภาพยนตร์แอนิเมชั่นNew York international Children’s Film Festival ครั้งที่ 16
รางวัลจากงาน Sitges Film Festival ของสเปน
รางวัลแอนิเมชั่นแห่งปี จากงาน Japan Acadamy Prize ครั้งที่ 36
และรางวัลอื่นๆ อีกมากมายจากทั่วโลก










 

Create Date : 25 กันยายน 2559    
Last Update : 25 กันยายน 2559 15:40:22 น.
Counter : 2892 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.