~ ภาพผ่านกระจกหม่นมัว - Through a Glass Darkly By Yostein Gorder
|
ภาพผ่านกระจกหม่นมัว - Through a Glass Darkly ผู้เเต่ง : โยสไตน์ กอร์เดอร์ ผู้แปล/เรียบเรียง : วนุศ สํานักพิมพ์ : มูลนิธิโกมลคีมทอง(พิมพ์ครั้งแรก เมษายน ๒๕๔๓)
ปกหลัง :
เอเรี่ยลหัวเราะ...
"เอาเถอะ ยังไงฉันก็ไม่เข้าร่วมการเเข่งขันกับพวกนักวิชาการที่เอาจริงเอาจังอย่างนั้นหรอก พวกเขาเชื่อว่าความลับทั้งหมดของธรรมชาติ สามารถล่วงรู้ได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์เเละกล้องดูดาว เเล้วก็เชื่อเฉพาะสิ่งที่ตวงวัดได้
เเต่พวกเขาเข้าใจเพียงเเค่ส่วนเดียว... พวกเขาไม่เข้าใจว่าพวกเขามองสิ่งต่างๆ ผ่านกระจกที่หม่นมัว เป็นไปไม่ได้ที่จะกะประมาณเทวดาสักองค์ ทั้งการเฝ้าดูผ่านเลนส์กล้องจุลทรรศน์ ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ สิ่งที่ได้ก็คือ เธอเพียงเเต่เห็นภาพสะท้อนของตัวเองชัดขึ้นเท่านั้น..."
เนื้อหาโดยย่อ :
ซีซิเลีย เด็กหญิงตัวน้อยป่วยเป็นโรคที่ไม่อาจรักษาได้ ในช่วงเดือนสุดท้ายก่อนที่เธอจะจากไป พระเจ้าได้ส่งเอเรียล เทวดาองค์น้อยให้มาอยู่เป็นเพื่อน เอเรี่ยลเป็นเทวดาขี้เล่นที่อยู่ไม่สุข เขาได้พาซีซิเลียท่องไปในโลกแห่งจินตนาการ และ ท้าทายให้เธอคิด ในเรื่องที่เธอไม่เคยคิดมาก่อน เกี่ยวกับเทวดาบนดวงจันทร์ เกี่ยวกับอาดัมและอีฟ และเด็กเกิดใหม่นับร้อยที่หลุดลอยจากแขนเสื้อของพระเจ้า
ซึ่งทำให้ซีซิเลียตระหนักถึงความมหัศจรรย์และคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ แทนการมองโลกอย่างหดหู่สิ้นหวัง และดำรงอยู่อย่างไร้ความหมาย รอวันตายที่กำลังคืบใกล้เข้ามาทุกขณะ เธอได้เรียนรู้ว่า ชีวิตเป็นพรจากสวรรค์ และสวรรค์ก็เป็นสิ่งเดียวกับพระเจ้านั่นเอง การที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นสวรรค์หรือรู้จักกับพระผู้เป็นเจ้านั้น เป็นเพราะคนส่วนใหญ่มองโลกและสิ่งต่าง ๆ รอบตัว...ผ่านกระจกที่หม่นมัว เท่านั้น
หลังอ่าน...
เรื่องราวน่ารักดีค่ะ แฝงปรัชญาชีวิตที่ลึกซึ้ง แต่ไม่ยากจนเกินเข้าใจ... ชอบมาก ๆ ตรงที่เทวดาตัวน้อยเองก็อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความรู้สึกของ"ชีวิต" ที่เป็นเนื้อหนัง ความรู้สึกร้อน-หนาว หรือรสชาติของสิ่งต่าง ๆ (เพราะเทวดาไม่มีเลือดเนื้อตัวตนเหมือนมนุษย์ จึงขาดความรู้สึกส่วนนี้ไป)
เรื่องราวที่ดำเนินไปจึงเหมือนกับเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันระหว่างเด็กหญิงช่างคิดคนหนึ่งกับเทวดา(เด็ก)ที่กระตือรือล้น จนเหมือนคนอยู่ไม่สุข...
รู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่น่าจะเป็นวรรณกรรมเยาวชน ตรงที่มีร่องรอยของการเสียดสีมนุษย์อยู่ประปราย... (ซึ่งเมื่อเรายอมรับความจริงเสียได้ก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดนัก) และแฝงแง่คิดทางปรัชญาและศาสนาไว้หลายบทหลายตอนทีเดียว เพียงแต่ดำเนินเรื่องผ่านเด็กหญิงกับเทวดาเด็กเท่านั้น...ทำให้ถูกจัดไว้ในกลุ่มหนังสือเด็ก...
ส่วนตัวคิดว่า...หนังสือเล่มนี้ น่าอ่านทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยค่ะ
เล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับผู้เขียนจากวิกิพีเดียค่ะ
*โยสไตน์ กอร์เดอร์ (Jostein Gaarder) เป็นนักเขียนชาวนอร์เวย์ และเป็นเจ้าของผลงานชื่อดังหลายเล่ม ทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น และหนังสือสำหรับเด็ก กอร์เดอร์มักจะเขียนงานจากมุมมองของเด็กที่สำรวจและมองเห็นความอัศจรรย์ของโลก งานหลายชิ้นของเขาเป็นงานเขียนแบบเรื่องซ้อนเรื่อง (Metafiction)
ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของกอร์เดอร์คือโลกของโซฟี ซึ่งเป็นนวนิยายเกี่ยวกับประวัติความคิดทางปรัชญา โดยงานชิ้นนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ถึง 53 ภาษา และมียิดพิมพ์มากกว่า 30 ล้านเล่ม
**หนังสือเล่มนี้อ่านตอบโจทย์ HHR ข้อที่ว่าด้วยหนังสือจากนักเขียนโปรดของเพื่อน โยสไตน์ กอร์เดอร์เป็นนักเขียนคนโปรดคุณกำจายค่ะ
|
Create Date : 04 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 4 สิงหาคม 2553 11:18:53 น. |
Counter : 2293 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
~ ถึงลุงหมูที่แสนรัก - The Pigman ~ วรรณกรรมเยาวชนเก่าเก็บ โดย พอล ซินเดล(Paul Zindel)
|
" ถึงลุงหมูที่แสนรัก - The Pigman" ผู้แต่ง พอล ซินเดล (Paul Zindel) ผู้แปล หางนกยูง สนพ.ดอกหญ้า (พ.ย. ๒๕๒๕)
เรื่องราวโดยสังเขป : (จะเรียกว่าเรื่องย่อคงไม่ได้ เพราะค่อนข้างยาว...แหะ ๆ )
วรรณกรรมเยาวชนสะท้อนปัญหาสังคมวัยรุ่นอเมริกัน ดำเนินเรื่องผ่านบทบันทึกของเด็กวัยรุ่นหญิง -ชายสองคน... ลอร์เรน กับจอห์น...นักเรียนชั้นปีที่สอง(น่าจะม.5กระมัง)ของโรงเรียนไฮสคูลแห่งหนึ่ง
ทั้งคู่สลับกันเล่าเรื่องราวของพวกเขาบทเว้นบท... ถึงเรื่องราวที่พวกเขาบังเอิญได้ไปรู้จักกับลุงหมู - แองเจโล พิกเนตี้ ชายชราผู้ว้าเหว่และขี้เหงาคนหนึ่งเข้า
มันเริ่มต้นเมื่อพวกเขาและเพื่อน ๆ คิดเกมโทรศัพท์ขึ้น โดยสุ่มเลือกเบอร์โทรศัพท์ใครก็ได้ที่ไม่รู้จักขึ้นมาแล้วพนันกันว่า ใครจะสามารถชวนเจ้าของเบอร์นั้นคุยได้นานที่สุด
แล้วลอร์เรนก็เลือกเบอร์ของลุงหมู แองเจโล พิกเนตี้... เธอแนะนำตัวกับเขาว่าเธอโทรมาจากมูลนิธิแห่งหนึ่ง ต้องการรับบริจาคเงินเพื่อการกุศล - - แน่ล่ะ เป็นเรื่องที่เธอกุขึ้น แต่การณ์กลับเป็นว่าคุณพิกเนตี้กลับชวนเธอคุยอย่างสนิทสนม แถมเล่าเรื่องตลกให้เธอฟังอย่างกระตือรือร้น และรับปากว่าจะบริจาคเงินให้กับมูลนิธิของเธอถึงสิบเหรียญ โดยนัดให้เธอไปรับเงินได้ที่บ้านของเขา
ตอนแรกลอร์เรนไม่คิดจะไปรับเงินนั้นหรอก...แต่จอห์นรบเร้าให้ไป เธอขัดเขาไม่ได้จึงไปที่บ้านของลุงหมู พวกเขาได้พบ ได้รู้จักและทั้งสามคนก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
ลุงหมูมีอะไรหลายอย่างที่พ่อแม่จอห์นไม่มีให้เขา นั่นคือความอบอุ่นและความเป็นเพื่อน และเขายังมีความเข้าใจอย่างมากมายให้กับลอร์เรน...ชนิดที่เธอไม่เคยได้รับจากแม่ของเธอ
ที่สำคัญ ลุงหมูมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยม... และลุงหมูก็ไม่โกรธพวกเขาที่มาหลอกลวง หลอกเอาเงินจากลุงหมูด้วย...
ลุงหมูอยู่บ้านตามลำพัง แกบอกพวกเขาว่าภรรยาของแกไปต่างเมือง แต่พวกเขามาค้นพบภายหลังว่าที่แท้ภรรยาของลุงหมูเสียชีวิตไปแล้ว แต่แกรับไม่ได้จึงมีพฤติกรรมแปลก ๆ และอ้างว่าภรรยาไม่อยู่บ้าน...
ลุงหมูมีตุ๊กตารูปหมูสะสมไว้มากมาย และมีเรื่องเล่าตลก ๆ มีเกมเด็ด ๆ ไว้เล่นกับพวกเขา ลุงหมูชวนพวกเขาไปสวนสัตว์ด้วย และแนะนำให้พวกเขารู้จักกับเจ้าโบโบ - เจ้าลิงบาบูนที่ลุงหมูยึดเป็นเพื่อน และซื้อถั่วไปเลี้ยงมันเสมอ ๆ
...............
วันหนึ่ง ขณะที่พวกเขากำลังเล่นกันอยู่อย่างออกรส ลุงหมูก็เกิดอาการหัวใจวายกระทันหัน ดีที่พวกเขาเรียกรถพยาบาลมาช่วยไว้ทัน เด็ก ๆ ทั้งสองรู้สึกตื่นเต้นตกใจ....
ในระหว่างที่ลุงหมูยังนอนอยู่โรงพยาบาลนั้น จอห์นกับลอร์เรนก็เกิดความคิด จัดปาร์ตี้ขึ้นในบ้านของลุงหมู เขาเชิญเพื่อน ๆ วัยรุ่นมามากมาย พวกเขาสนุกกันสุดเหวี่ยง ลอร์เรนกับเพื่อนเผลอไปเอาชุดสวย ๆ ของภรรยาลุงหมูมาสวมใส่และทำมันขาด เพื่อนตัวร้ายของจอห์นก็ทำตุ๊กตารูปหมูตัวโปรดของลุงหมูแตก
................
เพื่อนบ้านทนพฤติกรรมของเด็ก ๆ พวกนี้ไม่ไหวจึงแจ้งตำรวจ จังหวะนั้นลุงหมูก็ออกจากโรงพยาบาลกลับมาพอดี...เด็ก ๆ ทั้งหมดแตกกระเจิง
วันถัดมา ลอร์เรนกับจอห์นก็กล้า ๆ กลัว ๆ โทรศัพท์ไปขอโทษลุงหมู และชวนแกไปสวนสัตว์อีกครั้ง
พวกเขาไม่คิดว่าแกจะรับปาก... แต่...เมื่อพวกเขาไปรออยู่ที่สวนสัตว์ ลุงหมูก็มาหาพวกเขาจริง ๆ ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปด้วยดีอยู่แล้วเชียว...
แต่เมื่อพวกเขาไปถึงกรงเจ้าโบโบและพบว่ามันหายไป เมื่อถามคนดูแลที่นั่นเขาก็ตอบอย่างไม่แยแสว่า...เจ้าบาบูนตายแล้ว !
.............
คงเดากันได้นะคะว่าลุงหมูจะเป็นยังไง...? แกช็อคและเสียชีวิตอยู่ในบ้านลิงนั่นเอง ต่อหน้าต่อตาจอห์นกับลอร์เรน...!!!
ไปเจอหนังสือเก่าเก็บเล่มนี้ในลังหนังสือเก่าค่ะ อ่านคำนำคนแปลแล้วรู้สึกสนใจ จึงหยิบมาอ่านทั้งเล่ม แล้วก็บอกตัวเองว่าเจอแล้ว "เพชรในตม" เพราะถึงจะเป็นเรื่องราวที่สะท้อนปัญหาเด็กฮาร์ดรุ่นเก่า แต่ปมและประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อยังคงเป็นปมปัญหาร่วมสมัยที่คนเป็นพ่อแม่ และลูก ๆ ยังจะต้องเผชิญ และร่วมกันแก้ไขฝ่าฟันไปด้วยกัน... ด้วยความรักและเข้าใจ
ชอบวิธีเล่าเรื่องมาก ๆ แสดงให้เห็นถึงความเข้าอกเข้าใจวัยรุ่นของผู้เขียนเป็นอย่างดี ขณะที่อ่านบันทึกของลอร์เรนกับจอห์นในแต่ละบท แทบจะไม่รู้สึกเลยว่าเป็นคนเดียวกันเขียน พวกเขาผลัดกันเล่าเรื่องด้วยถ้อยสำนวนและน้ำเสียงที่แตกต่างกันค่อนข้างจะสิ้นเชิง แต่ด้วยความที่มันเป็นเรื่องเดียวกัน...เรื่องราวจึงต่อเนื่องและสอดคล้องกันไป... ในสองมุมมอง
ท้ายเล่มมีบทสัมภาษณ์ผู้เขียนถึงแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้ เขาบอกว่าอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครในเรื่องส่วนใหญ่เขาก็ได้มาจากตัวเองนั่นเอง ...
"...นิยายมันก็เหมือนกับความฝันนั่นแหละครับ...สิ่งที่น่าพิศวงที่สุดที่คุณเรียนรู้เกี่ยวกับความฝันก็คือ คนแต่ละคนหรือของแต่ละสิ่งในความฝันของคุณนั้นก็คือการขยายตัวทางอารมณ์ของตัวคุณนั่นเอง... ในฝันนั้น เราเป็นผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก สัตว์ สิ่งของ..."
**หนังสือเล่มนี้อ่านเพื่อตอบโจทย์ HHR ข้อ 15-7 เพชรในตม: หนังสือที่อ่านแล้วคิดว่าดีเลิศหรือปลาบปลื้มมากๆ แต่ไม่เป็นที่รู้จักหรือไม่ค่อยมีคนพูดถึงค่ะ
|
Create Date : 30 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2553 12:59:43 น. |
Counter : 1525 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|