'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)
เรื่องของ"พ่อ" (๑๔)

ตอน...ขอนไม้กับเห็ด

แล้วก็มาถึงลูกคนที่สี่ของพ่อ...

ในบรรดาลูก ๆ ทั้งหมด ถ้าถามว่า (นอกจากอ้ายของเราแล้ว) พ่อรู้สึก 'เป็นห่วง' ใครมากที่สุด...
พ่อคงตอบได้ไม่ยากว่าก็คงจะเป็นลูกสาวคนนี้นี่แหละ ที่น่าจะเป็นเสมือนบ่วงใยคอยร้อยรัดพ่อไว้ให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนานสักหน่อย...
เพื่อที่ได้จะคอยดูว่า...ลูกสาวคนนี้ของพ่อจะดำเนินชีวิตของเธอไปในทิศทางไหน...จะสุขหรือทุกข์ประการใด ?

อย่างที่บอกไว้ในตอนก่อนหน้านี้ว่า เดิมทีนั้น พ่อตั้งใจจะหยุดการมีลูกไว้เพียงคนที่สาม คือ 'น่อย' พอมีคนที่สี่โผล่มาพ่อก็มีอาการ...ไม่ถึงขั้นไม่ยินดีหรอก... แต่เป็นคล้าย ๆ กับไม่คาดคิดมากกว่า

เมื่อมีน่อยแล้ว พอมีอีกคนหลงมา... ลูกคนนี้เกิดมาตัวเล็กนัก พ่อจึงตั้งชื่อเล่น ๆ ให้เธอว่า "นิด" เพื่อให้สมกับขนาดตัวนิด ๆ ของเธอ และให้คล้องจองกับน่อย

มีทฤษฎีที่เกี่ยวกับเด็กทฤษฎีหนึ่งกล่าวไว้ว่า...เด็กทารกจะสามารถมีพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ ตลอดถึงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ สูงสุดในช่วง แรกคลอดไปจนถึงห้าหกขวบโดยประมาณ...ทฤษฎีนี้คงเป็นจริงและเห็นได้ชัดเจนที่สุดในกรณีของนิดนี่เอง...

แม่บอกว่านิดเกิดมาตัวเล็กกว่าลูกคนอื่น ๆ ทั้งหมด ในวัยทารกเธอเลี้ยงยากกว่าลูกคนอื่น ๆ เพราะเธอทั้งอ่อนแอ ขี้โรค และแสนจะเปราะบาง...
และเมื่อเธอเติบโตขึ้นมา พ่อกับแม่ก็ได้เรียนรู้ว่า เจ้าหล่อนไม่ได้เปราะบางเฉพาะร่างกายภายนอกเท่านั้น หากเปราะบางข้างในเสียยิ่งกว่า...

ถึงแม่พ่อกับแม่จะไม่เคยแสดงอาการว่าไม่ต้อนรับขับสู้ หรือรังเกียจรังงอนอะไรเลยก็ตามทีเถอะ แต่นิดก็รับรู้มาแต่เล็กแต่น้อย...จากญาติ ๆ บ้าง จากพี่ ๆ ที่รวมหัวกันแหย่น้องตัวเล็กบ้าง...ว่าตัวเองมาสู่ครอบครัวนี้ด้วยเหตุบังเอิญมากกว่าจะเป็นความตั้งใจจริงจัง...

ในวัยเด็ก... นิดเชื่อเป็นจริงเป็นจังว่าที่ตัวเองเกิดมาตัวเล็ก ตัวดำ ขี้ริ้วขี้เหร่ (พี่ ๆ นิดผิวขาวกันทุกคน มีแต่นิดแหละที่ออกจะมีสีผิวที่คล้ำกว่าพี่ ๆ) เพราะพ่อกับแม่ได้ถ่ายทอดส่วนดี ๆ ให้พี่ ๆ ไปหมดแล้ว...ตามคำแหย่เย้าของญาติ ๆ
มันดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก... หากสำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ ใจเล็ก ๆ คนหนึ่ง ความเชื่อเช่นนี้มันกลับกลายเป็นปมที่ขมวดตัวซุกซ่อนอยู่อย่างเงียบ ๆ...

ถ้านิดรู้ความพอ นิดอาจจะรู้สึกดีขึ้นมาอีกหน่อยเมื่ออีกสามปีต่อมานิดก็มีน้องคลานตามมาอีกคน... และอีกคนเมื่อนิดอายุได้หกขวบ...

แต่ก็นั่นแหละ... จากการเป็น 'ลูกหลง' อยู่ประมาณสามปี...ในวัยหกปีนิดก็ต้องกลายเป็น 'ลูกคนกลาง' (หรือที่ฝรั่งเรียกว่าเด็กวันพุธ - Wednsday Child) ไปอย่างจำยอม...ปมเดิมที่เคยมีนั้นไม่ได้ลบเลือนหายไป หากกลับเพิ่มขนาดและเพิ่มความซับซ้อนขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

แน่ล่ะ...ถึงพ่อจะเคยอ่านหนังสือหนังหามามากมาย หรือตำราทางจิตวิทยาพ่อก็เคยอ่านผ่านตาไปบ้าง...แต่พ่อย่อมไม่เคยเรียนรู้ถึงทฤษฎีที่ว่าด้วยพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กแรกเกิดหรือทฤษฎีที่เกี่ยวกับ "ลูกคนกลาง" เป็นแน่...
พ่อจึงไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมลูกสาวคนที่สาม(ลูกคนที่สี่)ของพ่อถึงได้กลายเป็นเด็กที่ผิดพี่แผกน้องเอาเสียมากมาย...ด้วยนิดนั้นเช่างเป็นเด็กที่อ่อนไหว อ่อนแอเหลือเกิน ขี้ขลาดขี้อายก็ปานนั้น หนำซ้ำยังเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเองเป็นที่สุด

มีเรื่องเล่าขานถึงความเป็นเด็กอารมณ์อ่อนไหวของนิดอยู่เรื่องหนึ่ง....ตอนนั้นนิดเรียนอยู่ประมาณชั้นป.สอง วันหนึ่งนิดกลับจากโรงเรียนด้วยหน้าตาที่แดงก่ำ นัยน์ตาบวมเป่งทั้งสองข้างราวกับว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก จนพ่อกับแม่เห็นแล้วตกใจ คิดว่านิดไม่สบาย หรือถูกเพื่อนหรือใครรังแกมา พ่อถามนิดนิดก็ไม่ยอมตอบ ได้แต่ทำหน้าเบะ...ถามพี่ที่เดินกลับมาด้วยกันก็ไม่รู้เรื่อง

พ่อจึงไปถามครูประจำชั้นของนิดซึ่งพักอยู่ที่บ้านพักครูในโรงเรียนนั่นเอง...ครูหัวเราะก๊ากอย่างชอบใจที่เห็นพ่อหน้าตาตื่นไปถามถึงสาเหตุแห่งการร้องไห้ของนิด...ครูบอกว่าเด็กหญิงนิดร้องไห้เพราะสงสารแม่ไก่น่ะ...

เมื่อเห็นพ่อยังทำท่างง ครูก็ขยายความต่อว่า วันนี้ครูเอานิทานเรื่องแม่ไก่ตัวหนึ่งที่ประมาทเดินออกไปนอกถนนแล้วถูกรถชนจนตายมาเล่าให้เด็ก ๆ ฟังในห้องก่อนเลิกเรียน เพื่อเป็นการเตือนเด็ก ๆ ให้ระมัดระวังในเรื่องของการข้ามถนน...ใครจะคาดคิดว่านิดจะ'อิน' กับเรื่องที่คุณครูเล่าเสียจนร้องไห้ร้องห่มใหญ่โตด้วยความสงสารแม่ไก่ตัวนั้น...
พ่อเดินอมยิ้มกลับบ้านด้วยความสบายใจ แล้วก็เอามาเล่าให้แม่กับพี่ ๆ ฟัง หัวเราะชอบอกชอบใจกันยกใหญ่โดยไม่สนใจเลยว่านิดก็นั่งหน้าคว่ำฟังอยู่ด้วย...

อีกเรื่องที่บอกเล่าถึงความเป็นเด็กขี้กลัวของนิด...
ครั้งหนึ่ง ในวัย ๘ - ๙ ขวบโดยประมาณ...พวกเราไปเที่ยวงานวัดต่างบ้านกันเป็นกลุ่มใหญ่.นิดเดินเกาะมือพี่นาก (ลูกสาวคนโตของป้า ลูกพี่ลูกน้องของเรา) อย่างแน่นเหนียวด้วยความตื่นเต้น ทางที่เราเดินไปนั้นเป็นถนนที่ตัดผ่านทุ่งนา ไม่กว้างแต่ก็ไม่แคบนัก ขนาดรถยนต์แล่นสวนกันได้สบาย ๆ
พวกเราเดิน ๆ วิ่ง ๆ ตามกันไปอย่างร่าเริง เพราะงานวัดกับเด็ก ๆ ช่างเป็นสิ่งที่เร้าใจเสียนี่กระไร มีความสนุกสนานมากมายรอเราอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นหนังกลางแปลงเอย ชิงช้าสวรรค์เอย สารพัดสารพัน...
ทันใดนั้น ก็มีรถยนต์คันหนึ่งห้อตะบึงมาข้างหน้า...ห่างออกไปราว ๆ ห้าร้อยเมตร...รถคันนั้งแล่นเร็วเหลือเกิน ดูเหมือนว่ามันกำลังจะพุ่งตรงมาหาพวกเรายังไงยังงั้น
ด้วยความกลัวสุดขีด นิดลากมือพี่นากวิ่งออกจากถนน ลงไปในทุ่งนาที่เดชะบุญว่าเพิ่งผ่านพ้นฤดูเก็บเกี่ยวไปไม่นาน...แต่พื้นดินก็ขรุขระและเต็มไปด้วยตอซังข้าว ทำให้พี่นากซึ่งไม่ทันตั้งตัวหกล้มหกลุก แข้งขาถลอกปอกเปิกเลยทีเดียว ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็ได้แต่ยืนมองอยู่ข้างทางอย่างงง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...
และรถยนต์คันนั้นก็แล่นผ่านกลุ่มพวกเราไปอย่างเรียบร้อยเป็นปกติดี มิได้เฉี่ยวชนผู้ใดให้ได้รับบาดเจ็บ...หรือแม้แต่จะเฉียดมาใกล้พวกเราเลยแม้แต่น้อย...

วัยเด็กของนิดไม่ผาดโผนเหมือนพี่ ๆ น้อง ๆ คนอื่น ๆ นัก เนื่องจากความเปราะบางทางร่างกายของนิด...
นิดมักจะมีอาการกระดูกหัวไหล่เคลื่อนอยู่บ่อย ๆ ถ้าถูกใครดึงแขนแรง ๆ หรือตัวเองเผลอเล่นแกว่งแขนแรง ๆ เข้า และผู้เดียวที่จะสามารถจับหัวไหล่นิดให้เข้าที่ได้ก็คือพ่อ...
ไม่ว่านิดจะไปเล่นที่ไหนกับใคร ถ้านิดมีอาการแบบที่ว่านี้เกิดขึ้นมา จะไม่มีใครกล้าแตะต้องนิด เพราะนิดจะมีหน้าตาบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวด ดูน่าหวาดเสียวมาก พวกเราคนใดคนหนึ่งจะต้องวิ่งไปตามพ่อมาให้เร็วที่สุด...
และไม่ว่าพ่อจะทำอะไรอยู่ ต่อให้สำคัญคอขาดบาดตายขนาดไหนพ่อก็ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในมือแล้วก็วิ่งตะบึงมาจับหัวไหล่นิดให้เข้าที่...แล้วนิดก็หายเจ็บหายปวดไปได้เมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่

เมื่อนิดโตขึ้นสู่รุ่นสาวนั่นแหละ อาการนั้นจึงค่อย ๆ ห่างหายไป...

พ่อไม่หนักใจนักกับเรื่องการเรียนของนิด...เพราะนิดจัดได้ว่าเป็นเด็กเรียนดีคนหนึ่งเหมือนกัน..(จะว่าไปพวกเราก็เรียนดีกันทุกคนนั่นแหละ อยู่ที่ว่าเรียนดีแล้วจะเกหรือเปล่าเท่านั้น...)
แต่พ่อต้องมาเป็นห่วง กังวลใจเกี่ยวกับนิดเมื่อนิดย่างเข้าสู่วัยทำงานนี้ต่างหาก...เพราะพ่อมองว่านิดนั้นเป็นคนเฉื่อยชาเหลือเกิน ไม่มีความทะเยอทะยานเอาเสียเลย
นิดต่อต้านการแข่งขันทุกชนิด และรักชีวิตอิสระ หวงแหน "โลกส่วนตัว" ของตัวเองเป็นชีวิตจิตใจ...

ในวัยเรียน นิดเคยต้องเครียดและกดดันทุกครั้งเมื่อต้องเข้าห้องสอบ ไม่ว่าจะเป็นการสอบเล็กสอบย่อย หรือสอบใหญ่...หลายครั้งความเครียดนั้นส่งผลกระทบถึงสุขภาพร่างกายของนิดอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นเมื่อถึงวัยทำงาน นิดจึงเลือกและรักที่จะทำงานที่จะสร้างแรงกดดันให้ตัวเองให้น้อยที่สุด ...เรื่องของผลตอบแทนกลายเป็นเรื่องรองลงไปที่นิดจะคำนึงถึง
นิดมีพี่ที่เป็นข้าราชการอยู่แล้วถึงสามคนนิดจึงไม่ต้องห่วงว่าพ่อกับแม่จะลำบากหากเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรไป...

นิดไม่ได้คิดถึงตัวเอง...พ่อจึงต้องคิดแทน...
พ่อเฝ้ามองวิถีชีวิตของนิดอย่างเป็นห่วง เพราะนิดเป็นลูกสาวคนเดียวที่ "ขายไม่ออก"...และดูเหมือนว่าจะไม่สนใจ ใส่ใจที่จะ "ขาย" ตัวเองให้ออกเสียด้วย...
นิดเอาจริงเอาจังกับการศึกษาและปฏิบัติธรรม บางช่วงในชีวิต นิดถึงกับเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในสำนักปฏิบัติธรรมเป็นเดือน...เป็นปี...

นิดเชื่อกระทั่งว่านิดจะสามารถ "ยึด" วัดไว้เป็นเรือนตายได้ แต่พ่อไม่เชื่อเช่นนั้น...

พ่ออาจจะเบาใจที่เป็นกังวลลงได้บ้าง เมื่อพ่อได้มีโอกาสตามนิดเข้าไปรู้จัก และสัมผัสกับผู้คนและสังคมที่นิดใช้ชีวิตคลุกคลีใกล้ชิดอยู่ด้วยในขณะนั้น...
แต่พ่อก็ยังห่วงอยู่ดี เพราะนิดเป็นผู้หญิง และนิดก็ไม่ใช่นักบวช...

มีคำโบราณของล้านนาที่กล่าวเปรียบเปรยคนโสด และฐานะยากจนไม่มีสมบัติติดตัวว่าเป็นเหมือนขอนไม้ที่ไม่มีเห็ด ย่อมไม่มีใครเหลียวแล...พ่อก็กลัวว่านิดอาจจะต้องเป็นเช่นนั้นเมื่อแก่ตัวลง...
มิใยที่นิดจะพร่ำบอกว่าตัวเธอเองไม่เคยคิดห่วงตัวเองในข้อนั้นเลย นิดมั่นใจในธรรมะที่เธอพากเพียรปฏิบัติมาเป็นเวลานานและยึดเป็นสรณะประจำตัวประจำใจมาโดยตลอดว่าจะนำพาชีวิตของเธอให้ดำเนินไปสู่เป้าหมายสุดท้ายแห่งชีวิตได้อย่างมั่นคง...

พ่อเรียกประชุมพวกเราพี่น้องแล้วบอกว่าพ่อจะโอนบ้านพร้อมที่ดิน ที่อยู่ปัจจุบันนี้ให้เป็นชื่อของนิดละนะ เพื่อนิดจะได้มีหลักประกันให้กับตัวเอง...เพราะ 'บ้าน' ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของชีวิต อย่างน้อย...นิดจะได้เป็นขอนไม้ที่มีเห็ดให้ผู้คนแวะเวียนมาเก็บไปกินบ้าง...ไม่ต้องเป็นขอนไม้ผุ ๆ อยู่อย่างแห้งแล้ง เดียวดาย...
ซึ่งพวกเราก็เข้าใจเหตุผลของพ่อและไม่มีใครขัดข้อง...

นอกจากนี้พ่อยังพร่ำบอกพวกเราเสมอว่าอย่าทิ้งนิด...
บอกพี่ ๆ ว่าอย่าทิ้งน้องนะ...บอกน้อง ๆ ว่าอย่าทิ้งพี่นะ...
และถึงแม้พวกเราจะรับแรงแข็งขอบแค่ไหน พ่อก็ยังคงห่วงอยู่นั่นแหละ...

แม้ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต...พ่อป่วยหนักและนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาต่อเนื่องกันเป็นเดือน ๆ โดยมีนิดนั่นแหละที่ดูแลใกล้ชิดที่สุด...เพราะนิดเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ทำงานประจำ...

ในช่วงนั้นพ่ออยู่ในภาวะที่แทบไม่รู้สึกตัวแล้ว...
พ่อพูดไม่ได้ แต่พ่อมักจะลืมตาขึ้นมามองหน้านิดทีละนาน ๆ แล้วนิดก็จะอ่านหนังสือธรรมะให้พ่อฟังบ้าง สวดมนต์บ้าง เปิด MP3 คำสอนของหลวงพ่อที่พ่อเคารพนับถือให้ฟังบ้าง...
บางครั้งนิดก็ร้องเพลง...เพลงโปรดของพ่อคือเพลง "เจ้าดวงดอกไม้ " (ของคุณจรัล มโนเพ็ชร) ซึ่งนิดก็สามารถร้องเพลงนี้วนไปวนมาหลายรอบอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย...
นิดบอกว่า...นิดเชื่อว่าพ่อรับรู้ทุกอย่างที่นิดทำให้...

วันหนึ่งเมื่อน้องสาวคนเล็กมาเปลี่ยนให้นิดกลับไปอาบน้ำที่บ้าน...นิดขี่มอเตอร์ไซค์คู่ชีพกลับบ้านตามปกติ...แต่วันนั้นนิดไปไม่ทันถึงบ้านก็ต้องกลับมาที่โรงพยาบาลภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ในสภาพคนเจ็บเพราะนิดเกิดอุบัติเหตุในระหว่างทาง...
เมื่อมีคนไปบอกน้องของนิดที่ห้อง...น้องจึงรีบออกมาดูนิดที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล...แม่...ซึ่งตอนนั้นนั่งอยู่ข้างเตียงพ่อบอกว่า...พ่อมองสบตาแม่แล้วส่ายหน้าไปมา น้ำตาพ่อไหลรินลงหางตาทั้งสองข้าง แม่ต้องรีบบอกพ่อว่านิดไม่เป็นอะไรมากหรอก ...แต่พ่อก็ยังไม่หยุดกระสับกระส่าย...

นิดไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมายจริง ๆ แค่ถลอกปอกเปิกและปลาย ๆ กระดูกไหปลาร้าหักนิดหน่อย เมื่อนิดทำแผลเสร็จแล้วเดินกลับมาที่ห้อง...
นั่นแหละ พ่อจึงดูสงบลง...แต่สายตาของพ่อยังคงจ้องจับอยู่ที่แขนข้างขวาของนิดที่คล้องไว้ด้วยผ้าคล้องแขนของทางโรงพยาบาลอยู่...นิ่งและนาน...มีวาบแววแห่งความห่วงใยลึกซึ้งเปี่ยมล้นอยู่ในนั้น...





(หมายเหตุจขบ. : ขอสารภาพว่าฉันเขียนตอนนี้ด้วยความลำบากใจเล็กน้อย เพราะว่าในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ฉันสนิทกับพี่น้องคนนี้มากที่สุด และด้วยความที่สนิทกันมากที่สุดนี่แหละที่ทำให้ฉันรู้ว่า เธอคนนี้มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง...ก่อนลงมือเขียนฉันก็ถูกกำกับมาว่า...เธอต้องเขียนถึงฉันให้ดีนา...ไม่งั้น 'เป็นเรื่อง'...)












Create Date : 16 มกราคม 2551
Last Update : 18 มกราคม 2551 15:30:21 น. 24 comments
Counter : 1776 Pageviews.

 
ตกลงนิดนี่คนน๊อ ไม่ยอมเฉลย
อ่ะ จะบอกว่าแม่ไก่ อ๊ะ ทำให้เรางงง กันหมดเรยยย

คุณแม่ไก่ขา ถ้าไม่ยอมบอก

จะโทร ถามเน้อ

งงงงง ชอบอ่ะ อ่านแล้วชวนติดตามให้อยากรู้....
บอกแล้วคุณแม่ไก่เป็นนักเขียนได้สบายๆ
โมกกลัวจังกลัวต้องเป็นขอนไม้ผุๆๆ
แงๆๆๆๆๆ


โดย: โมกสีเงิน วันที่: 16 มกราคม 2551 เวลา:15:03:24 น.  

 
น่อยแล้วนิด
คุณแม่ไก่ชัวร์ ชัวร์ตรงปฏิบัติธรรมอ่ะ และเฝ้าพ่อที่ รพ. งัย

ใช่ๆๆ อย่ามาหลอกว่าแม่ไก่สนิทกะคนนี้ ไม่จริง กำลังหลอกๆๆๆ ให้หลงทาง ฮ่าๆๆๆ

ก็คนนี้ไม่ทำงานประจำอ่ะ มีคนเดียว ถูกต้องนะคร๊าบบบบ


โดย: โมกสีเงิน วันที่: 16 มกราคม 2551 เวลา:15:16:40 น.  

 
เข้ามาอ่านแล้วค่ะ ตื้นเต้นรอวีรกรรมคนคนต่อไป


โดย: dalanda วันที่: 16 มกราคม 2551 เวลา:20:37:12 น.  

 
มาอ่านเรื่องซึ้งๆ จ้า อยากมีพี่น้องเยอะๆ แบบนี้บ้างจัง คงจะมีวีรกรรมเยอะดี

ตอนท้ายเศร้าจังเยย


โดย: LEE (lyfah ) วันที่: 16 มกราคม 2551 เวลา:23:07:46 น.  

 
แวะมาเยี่ยมคุณแม่ไก่ก่อนนอน
แต่อ่านม่ายหวายแล้วค่ะ ง่วงจัง
พรุ่งนี้มาหาใหม่นะคะ
ฝันดีค่ะ


โดย: BeCoffee วันที่: 16 มกราคม 2551 เวลา:23:44:40 น.  

 
เข้ามาอ่าน มาสวัสดีแม่ไก่ค่ะ

ขำตรง ปล.

บทความนี้มีผู้กำกับ



โดย: ปลิวตามลม วันที่: 17 มกราคม 2551 เวลา:0:04:39 น.  

 
หลอกม่ายด้ายยย ร๊อก ฮ่าๆๆๆๆ

หนูนิดของพ่อ ไหล่ยังมีอาการอยู่ปะ

คิดถึงค่ะ
ดูแลสุขภาพเน้อ จอผักกาดอร่อยยยย กินด้วยยยย



โดย: โมกสีเงิน วันที่: 17 มกราคม 2551 เวลา:8:37:30 น.  

 
ดีใจๆๆ

คุณแม่ไก่ร้องไห้ แงๆๆๆๆ

ฮ่าๆๆๆๆ มีความสุขจังเลยยย


โดย: โมกสีเงิน วันที่: 17 มกราคม 2551 เวลา:8:53:21 น.  

 
มาอ่านเรื่องของพ่อ

ปล.
”เธอคนนี้มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง...ก่อนลงมือเขียนฉันก็ถูกกำกับมาว่า...เธอต้องเขียนถึงฉันให้ดีนา...ไม่งั้น 'เป็นเรื่อง'...)" ขำ

ขอบคุณที่แบ่งปันนะคะ



โดย: treehouse วันที่: 17 มกราคม 2551 เวลา:11:21:29 น.  

 
คุณแม่ไก่หายไปอีกแระ ..

โฮๆๆๆๆ ตามหาอีกแระ

แพ้แล้วไม่ยอมเข้าบล๊อก คนมีโลกส่วนตัวสูง...อิ อิ อิ

คนขี้ตกใจฮ่าๆๆๆๆ

เอะอะ ก็กลัว ไม่เจ๋งจริงนี่.. 555

เก่งจริง แก้ตัวเลยยยย

เหอ เหอ เหอ


โดย: โมกสีเงิน วันที่: 17 มกราคม 2551 เวลา:12:17:42 น.  

 
ดีจังเลยครับอ่านแล้วอยากเขียนมั่ง


โดย: กวินทรากร วันที่: 17 มกราคม 2551 เวลา:13:26:59 น.  

 
หายไปไหนอ่ะ
หายอีกแระ..
หายไปไหนน๊อ....
เป็นห่วงเน้อ ...
ไปซนที่ไหนนี่ ...อิ อิ อิ


โดย: โมกสีเงิน วันที่: 17 มกราคม 2551 เวลา:14:50:33 น.  

 
^
^
ไม่ได้หายไปไหนค่า...ไปงานศพเพื่อนบ้านเพิ่งกลับมา

ไม่ได้หลอกนะคะ คนมีโลกส่วนตัวสูงใครเขาจะมาเล่นบล็อกกันเล่า...เค๊าก็อยู่ใน "โลกส่วนตัว"เขาไปสิ

หลบไปอัพบล็อกหนังสือแด่คุณครูมาค่ะ เพิ่งนึกได้ว่าเมื่อวานวันครู แหะ ๆ

อยู่ที่ไหนหาเอาเอง อิอิ


โดย: แม่ไก่ วันที่: 17 มกราคม 2551 เวลา:15:16:27 น.  

 
มาอ่านอย่างคนรู้จักกัน อิอิ
โดนกำชับเหมือนกันเรย

เห็นที่น้าเขียนแล้ว
เข้าใจว่าพ่อแม่เป็นห่วงค่ะ
แต่หนูก็จะขอยืนยันว่า
จะไม่แต่งงานเช่นกันค่า

ถ้า....




























ผู้ชายไม่มีเงินสัง 10 ล้านมาขอ เพราะนั่นน่ะ เอาไว้ซ่อมครอบครัวเราได้นะคะ
ถ้าหนูแต่งงานไปคน แล้วใครจะมาดูและพ่อกับแม่เรา
สู้เอาเงินที่เราจะไปสร้างครอบครั้วนั้นมาซ่อมครอบครัวเราดีกว่า





โดย: kuakul วันที่: 17 มกราคม 2551 เวลา:17:06:22 น.  

 
^
^
ไม่วายมีข้อแม้นะ หนูเกื้อ...เฮ้อ...จะมีไหมนะคนที่จะหอบเงินมาขอเป็นถัง ๆ น่ะ...ถ้ามีจริงเอามาแบ่งกันมั่งนะ โทษฐานที่เรารู้จักกันไง ฮ่า ฮ่า


โดย: แม่ไก่ วันที่: 18 มกราคม 2551 เวลา:15:01:00 น.  

 
555
ม่ายแบ่งหรอก
อิอิ


โดย: kuakul วันที่: 18 มกราคม 2551 เวลา:16:51:03 น.  

 
แม่ไก่คะ ช่วงท้ายทำเปิ้ลใจหายใจคว่ำ
หมดเลยนะคะเนี่ย
อ่านแล้วคิดถึงยายจังค่ะ
ยายของเปิ้ลรักลูกคนสุดท้องมากเลย
ขนาดมีครอบครัวไปแล้วยายยัง
ห่วงอยู่เลยค่ะ เมื่อวานดูเรื่อง
"ดั่งดวงตะวัน"ก็เศร้า แม่ไก่ดูเรื่องนี้มั้ยค่ะ เปิ้ลว่าเค้า
สร้างได้ดีมากเลยค่ะ


โดย: ดอกคูณริมฝั่งโขง วันที่: 18 มกราคม 2551 เวลา:20:38:30 น.  

 
^
^
คุณเปิ้ลขา ความจริงมีอุบัติเหตุที่ชวนใจหายใจคว่ำกว่านี้อีกค่ะ แต่ไม่ได่เอามาเล่าในตอนนี้ เพราะกะจะแยกเล่าต่างหาก...

เป็นเรื่องที่ทำให้"นิด"เกือบต้องสูญเสียอวัยวะส่วนหนึงของร่างกายทีเดียว!


โดย: แม่ไก่ วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:13:53:41 น.  

 
เข้ามาอ่านค่ะ


โดย: เมณี IP: 203.113.51.100 วันที่: 20 มกราคม 2551 เวลา:2:09:59 น.  

 
ต่อได้แล้วคุณแม่ไก่ รออยู่ค่ะ


โดย: dalanda วันที่: 23 มกราคม 2551 เวลา:18:58:03 น.  

 
^
^
ใจร้อนจริงหนูดา...ของดีต้องรอหน่อย หุหุ...


โดย: แม่ไก่ วันที่: 24 มกราคม 2551 เวลา:12:51:06 น.  

 
ว๊าวๆ ดีใจค่ะที่มีความเห็นต่อหนังสือ "ไหม" คล้ายๆ กัน

แต่สงสัยนิดนึงว่าหนังสือ "ไหม" เกี่ยวกับหนังสือรำลึกถึงคุณจรัล ตรงส่วนไหนหรือคะ

ขอเดาว่าคุณแม่ไก่ต้องเป็นสาวเหนือขนาดแท้และดั้งเดิมแนๆ ่เลย


โดย: Tenjo_Utena วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:20:36 น.  

 
สงสัยเราคงเขียนไม่ชัดเจนอ่ะค่ะคุณแม่ไก่
ขออภัยนะคะ

คือ ประโยคที่ว่า "จงกลับมา หาไม่ข้าจะตาย" เป็นประโยคจากชู้ทางใจของแอร์เวน่ะค่ะ แต่จมหมายฉบับที่สองมาจากเอแลน เมียเขาค่ะ


โดย: Tenjo_Utena วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:39:15 น.  

 
แวะมาบอกว่าหนังสือมือสอง นำเข้า ร้านอยู่ที่เสรีเซ็นเตอร์ ชั้น 3 ชั้นเดียวกับโรงหนัง และที่เค้าเรียนพิเศษเยอะๆค่ะ หาง่ายค่ะ เข้าไปในโซนเปิดท้ายนะค่ะ ไม่ต้องห่วง เจอแน่ค่ะ


โดย: หนังสือมือสอง (AngelTomorrow ) วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:5:15:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.