~ บุญบรรพ์ บรรพ ๑-๒ : นิยายอิงประวัติศาสตร์ สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดย ศรีฟ้า ลดาวัลย์ ~
|

บุญบรรพ์ บรรพ ๑-๒ ผู้เขียน : ศรีฟ้า ลดาวัลย์ ผู้พิมพ์ : สนพ.เพื่อนดี บรรพ ๑ พิมพ์ครั้งที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ บรรพ ๒ พิมพ์ครั้งที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๙
บรรพ ๑
จากปกหลัง(บางส่วนจากคำนำผู้เขียน):
จุดประสงค์ของการเขียนเรื่อง"บุญบรรพ์" ซึ่งน่าจะแสดงไว้ก่อนนั้นมีอยู่สองประการ ประการหนึ่ง เพื้อเฉลิมพระเกียรติบุรพกษัตริย์ ตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นต้นมา อีกประการหนึ่ง เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระศรีสุลาลัย พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในรัชกาลที่ ๓ ซึ่งเมื่อสถาปนาพระบรมราชจักรีวงศ์แล้ว ท่านเป็นสามัญชนพระองค์แรกที่ทรงพระอิสสริยยศ"สมเด็จพระพันปีหลวง" และเมื่อเสด็จสวรรตพระบรมศพได้ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ทว่ามิใช่เป็นการเฉลิมพระเกียรติพระวาสนาบุญญาบารมีของพระองค์ หากแต่เฉลิมพระเกียรติในฐานะที่ทรงเป็น"แม่"ผู้ประเสริฐ ทรงอบรมเลี้ยงดูพระบรมราชโอรส ให้ทรงคุณธรรมอันวิเศษ จนกระทั่งเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเห็นแก่บ้านเมืองยิ่งกว่าประโยชน์สุขส่วนพระองค์
และในฐานะที่ทรงเป็น 'เมีย' ผู้ประเสริฐ ยึดมั่นในความสุขสบายพระราชหฤทัยของพระบรมราชสวามีเป็นที่ตั้ง

ผู้เขียนเริ่มจับความตั้งแต่ปลายรัชสมัยกรุงธนบุรีเป็นต้นมา โดยอาศัยเรื่องราวในชีวิตของสมเด็จพระศรีสุลาลัยเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่อง นับตั้งแต่ถือกำเนิดนั่นทีเดียว
โดยมี "ทองมา" ตัวละครที่โดดเด่นที่คาดว่าผู้เขียนได้สร้างขึ้นมา เพื่อให้เป็นประหนึ่งผู้บอกเล่าเรื่องราวและความเป็นไปต่าง ๆ ทั้งที่เป็นเรื่องส่วนพระองค์ และเหตุการณ์ภายนอก
ทองมาเป็นกึ่ง ๆ ญาติ กึ่ง ๆ พี่เลี้ยงของเจ้าจอมมารดาเรียม(พระนามเดิมของสมเด็จพระศรีสุลาลัย) ที่ดูแลกันมาตั้งแต่วัยเด็ก... มีอุปนิสัยร่าเริงรักสนุก ช่างพูดช่างเจรจาและซื่อสัตย์ จงรักภักดีเป็นที่สุด
เรื่องราวต่าง ๆ ที่ดำเนินไปตามร่องรอยประวัติศาสตร์ ตามทีปรากฏในพงศาวดารบ้าง จากจดหมายเหตุบ้าง รวมถึงเรื่องเล่าบอกต่อที่ผู้ขียนเรียกว่าเป็นพงศาวดารกระซิบกระซาบนั้น เมื่อรับรู้ผ่านมุมมองของทองมาจึงกลายเป็นนิยายที่มีชีวิตชีวา มีสีสัน อรรถรส ประกอบด้วยมุกด้วยเกร็ดประวัติศาสตร์ที่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน
ทั้งด้วยสำนวนโวหารอันดาลใจของผู้เขียนก็สามารถสะกดคนอ่านให้เกิดอารมณ์ร่วม ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์รัก ซาบซึ้ง ตลกขบขัน โศกเศร้า สะเทือนใจ... จนอ่าน ๆ ไปเผลอน้ำตาซึมไม่รู้ตัว...
ในบรรพที่ ๑ นี้ ฉากที่สะเทือนใจที่สุดน่าจะเป็นตอนที่ร.๒ กำลังจะเสด็จสวรรคต แล้วสมเด็จพระอัครมเหสี(พระราชชนนีในรัชกาลที่ ๔)จะเสด็จไปเฝ้า แต่ไม่ทันกาล...
หากได้พบกับพระราชชายานารี(เจ้าฟ้ากุณฑลฯ)... ผู้ซึ่งจะว่าไปก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้พระองค์ขัดเคืองใจในพระราชสวามี จนหันหลังให้พระองค์ท่านมาตลอดตราบสิ้นพระชนม์
"...ฉับพลันนั้น พระอัครมเหสีกลับทรุดองค์ลงโอบกอดพระราชชายาไว้ในอ้อมพระกร น้ำพระเนตรซึ่งทรงกลั้นเก็บไว้ก็ไหลพรั่งพรู สองพระองค์ทรงกันแสงร่ำไห้อยู่ด้วยกัน ณ ที่นั้น..."
ในบรรพ ๑ นี้ หนังสือได้จบความลงที่การเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ด้วยการเห็นพ้องต้องกันของขุนนางผู้ใหญ่ รวมทั้งพระอัครมเหสี พระมารดาในเจ้าฟ้ามงกฏฯ ซึ่งตามหลักแล้วน่าจะเป็นองค์รัชทายาทตัวจริง ที่จะต้องสืบสันตติวงศ์ต่อจากพนะชนกนาถ หากเป็นด้วยพระองค์ทรงอ่อนชันษากว่าพระเชษฐา และไม่ทรงถนัดในการปกครองแผ่นดิน โดยเฉพาะในยุคที่ยังมีศึกเสือเหนือใต้รุมเร้ารอบด้าน พระองค์ทรงสมัครพระทัยผนวชเป็นพระภิกษุ ศึกษาพระธรรมต่อไป ภายใต้การสนับสนุนของพระเชษฐาธิราช
ในตอนนี้ ประทับใจในคำเตือนของเจ้าจอมมารดาที่มีต่อองค์พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่...
ขออนุญาตคัดบางบทบางตอนมาลงไว้ที่นี้สักเล็กน้อย
"บัดเดี๋ยวนี้ขุนหลวงก็เป็นถึงเจ้าแผ่นดิน เจ้าชีวิตของคนทั้งหลายทั้งปวงแล้ว เป็นที่สุดที่แม่จักสอนจักเตือน ด้วยทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่างแก่พระทัยเป็นอันดีแล้ว ตะว่า...นั่นแล เถิงกระนั้นแม่ก็ยังมิอาจละห่วงใยเสียได้ ด้วยมนุษย์ปุถุชนคนเรานั้น มีอยู่มิน้อยที่ทอดทิ้งคุณงามความดีไปเสียด้วยสิ่งใดเล่า คือด้วลืมตัวของตัว... .............. ขอขุนหลวงจงอย่าได้เชื่อในบุญวาสนาของตัวเองจนลืมตัว ด้วยบุญวาสนาตะปางใดก็ตามทีเถิด หากแม้นมิประกอบคุณงามความดีในปรัตยุบันนี้ บุญวาสนาก็หาเป็นสิ่งยั่งยืนไม่... ..............
ขึ้นชื่อว่าขุนหลวงพระมหากษัตริย์เป็นเจ้า มิว่าดีมิว่าชั่ว พระนามนั้นเขาต้องจดต้องจำกันไปในภายภาคหน้าหาลืมไม่ หากดีเขาก็จักยกขึ้นมาสรรเสริญ หากชั่วเขาก็จักขุดขึ้นมาด่าว่าประจาน ร้อยปีพันปีมิมีลืมเลือน ขอให้ขุนหลวงของแม่จงเป็นประดุจเพชร แม้นจักมีผู้กล่าวโทษใด ๆ ในภายภาคหน้าก็ยังคงเป็นเพชร มิมัวหมองไปได้ "

'บุญบรรพ์'บรรพ ๒
'บุญบรรพ์' บรรพที่สองนี้เป็นนวนิยายเฉลิมพระเกียรติบูรพกษัตริย์สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ปกครองบ้านเมืองให้รอดพ้นจากอริราชศัตรูบ้านใกล้เรือนเคียง และการล่าอาณานิคมจากประเทศตะวันตก นอกจากนั้นยังทรงปูพื้นฐานการปกครองและการค้า นำประเทศสยามสู่ยุคทองทางด้านเศรษฐกิจ
จากปกหลัง:
....ที่จะให้บังคับให้ท่านผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดินบังคับไม่ได้ ขอเสียเถิด ให้พระญาติประยูรวงศ์กับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยประนีประนอมกัน สมมติจะให้พระองค์ใดหรือผู้ใดขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน ก็สุดแต่จะเห็นพร้อมกันเถิด ให้เห็นแก่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า กับสมเด็จพระพุทธิเจ้าอยู่หัวด้วย อย่าให้ฆ่าฟันกันเสียนักเลย จงช่วยกันรักษาแผ่นดินไปด้วยกันเถิด...

บอกเล่าหลังอ่าน...
ในบรรพนี้ "ทองมา" ซึ่งตอนนี้ได้เป็นเจ้าคุณทองมาแล้ว ยังคงเป็นตัวชูโรงอยู่เช่นเดิม แต่ความที่อายุมากขึ้น อาจจะประพฤติตัวเป็นเด็ก ๆ เหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ผู้เขียนจึงเพิ่มตัวละครขึ้นมาอีกหนึ่งตัว คอยทำหน้าที่เก็บคำกระซิบกระซาบ จากทั้งนอกวังในวังมาเล่าต่อเจ้าคุณทองมาอีกที นั่นก็คือ "หง" ซึ่งหากนับเนื่องไปก็เป็นญาติห่าง ๆ ของเจ้าคุณทองมานั่นเอง
ซึ่งบรรพนี้ได้เน้นให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ซึ่งทรงมีอยู่แทบจะทุกด้านทีเดียว...
ทั้งน้ำพระทัยที่เปี่ยมพระเมตตาและพระวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล... ท่านรัก เทิดทูนและเชื่อฟังพระชนนีเป็นอย่างยิ่ง
และในฐานะ"พี่ชายคนโต"ท่านก็รักและเมตตาน้อง ๆ ของท่านทุกคน แม้บางคนจะต่อต้าน หรือปฏิบัติตนแหวกแนวออกไป ท่านก็ทรงอภัยให้มิถือสาหาความ
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของการสถาปนาพระอัครมเหสีกับการแต่งตั้งวังหน้า (ซึ่งน่าจะเทียบเท่ากับการแต่งตังรัชทายาท) ท่านก็ไม่ทรงแต่งตั้งผู้ใด... ด้วยมีพระดำริที่ไม่อยากให้มีการแย่งชิงบัลลังก์ แล้วต้องมีการฆ่าฟันกันเช่นในสมัยกรุงเก่า...
จะขอยกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงพระวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมาให้เห็นกันสักเล็กน้อย
ในปลายรัชสมัยของพระองค์ ได้มีการติดต่อสื่อสารกับฝรั่งที่เข้ามาในสยาม...ท่านได้มีพระดำรัสต่อผู้ใกล้ชิดไว้ว่า...
"การศึกสงครามข้างญวน ข้างพม่า ก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่คิดควรจักร่ำเรียนเอาไว้ ก็ให้เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว

ตอนที่ประทับใจที่สุดของจขบ.ในบรรพนี้ก็เห็นจะเป็นเรื่องราวของคุณพุ่ม บุษบาท่าเรือจ้าง คุณพุ่มเป็นธิดาของพระยาราชมนตรี(ภู่) เคยทำหน้าที่เป็นพนักงานเชิญพระแสงให้บิดา เธอเป็นคนหัวสมัย ชมชอบและเชี่ยวชาญในเรื่องของบทกวี
วันหนึ่งเธอก็กราบถวายบังคมลาออกจากวังหลวงกลับไปอยู่บ้านเดิมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือจ้างนัก...
วันดีคืนดีก็มีคนมาเล่าให้เจ้าคุณทองมาฟังว่า บัดนี้คุณพุ่มได้ตามเสด็จไปอยู่กับสมเด็จพระน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์(เจ้าฟ้าน้อย)แล้ว... คนเล่าตบท้ายว่า....
"วงสักวาเลยเลิกเล่นเลิกร้อง ด้วยนางบุษบาเธอข้ามไปอยู่ถ้ำทองกะองค์อิเหนาระเด่นมนตรีเสียแล้ว"
ว่ากันว่าทูลกระหม่อมฟ้าน้อยนั้นทรงรูปงามยิ่งนัก อีกทั้งถ้อยวาจาและบทสักวาก็ไพเราะอ่อนหวานจนจับหัวใจคุณพุ่ม
ดังสักวาบทนี้...
'สักรวาเวลาก็ดึกดื่น น้ำค้างชื้นเมฆหมอกออกหนาวหนาว เสียงไก่แจ้แซ่ขันกระชั้นเช้า จนฟ้าขาวเดือนดับลับโพยม จะขอลาครรไลไปสถาน ไม่เนิ่นนานก็จะกลับมาชมโฉม เสียดายนักความรักจะทรุดโทรม จะทุกข์โทมนัสหาสุดาเอย'
กระนี้แล้วจะไม่ให้คุณพุ่มหลงเสน่ห์พระองค์ท่านได้อย่างไร... ทว่า เมื่อเข้าไปอยู่ในวังกับท่านเข้าจริง ๆ กลับเสมือนห่างไกล คุณพุ่มรู้สึกเงียบเหงา หนำซ้ำยังบาดตาบาดใจเมื่อเห็นบรรดาหม่อมน้อยใหญ่หลายคนในวัง จนเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไประยะหนึ่ง เธอจึงกลับเข้าวัง และเข้าถวายตัวตามธรรมเนียมราชประเพณี...
...ชะรอยจักทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทอยู่แล้ว จึงเมื่อคุณพุ่มเปิดกรวยดอกไม้ และหมอบกราบถวายบังคมก้มหน้าอยู่นั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ ทรงมีพระราชดำรัสเป็นกลอนสักวาขึ้นลอย ๆ ด้วยพระสุรเสียงมิดังมิเบานัก ทว่าได้ยินได้ฟังกันโดยชัดเจน
"เจ้าช่อมะกอก เจ้าดอกมะไฟ เจ้าเห็นเขางาม เจ้าตามเขาไป เขาทำเจ้ายับ เจ้ากลับมาไย เขาสิ้นอาลัย เจ้าแล้วฤาเอย"
ตนอ่านอ่านแล้วเจ็บแปลบในอารมณ์... แต่คุณพุ่มเธอกลับมิได้มีความน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณทีทรงมีต่อเธอและบิดาเสมอมา

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ประทับใจในนิยายอิงประวัติศาสตร์ชุดนี้ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่คงจะเล่าให้หมดไม่ไหวเป็นแน่...
ในท้ายเล่มทั้งบรรพที่ ๑ และ ๒ ผู้เขียนยังได้เรียบเรียงคู่มือการอ่านบุญบรรพ์ อันประกอบไปด้วยพระราชประวัติ พระประวัติ และประวัติของบุรพกษัตริย์ เจ้าจอมมารดาทั้งหลาย พระโอรสธิดาบางพระองค์ เชื้อพระวงศ์ ตลอดถึงขุนนางผู้ใหญ่ที่มีความใกล้ชิดในราชวงศ์บางท่าน
รวมทั้งเกร็ดน่ารู้ทางวัฒนธรรมและโบราณราชประเพณีบางอย่างที่ปรากฏในนวนิยายเรื่องนี้
เพื่อผู้อ่านจะได้ศึกษารายละเอียดของบุคคลและเหตุการณ์บางช่วง ประดุจดัง'เบื้องหลัง'อันมีชีวิตชีวาและมีคุณค่าในความรู้... ซึ่งนอกจากจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์แล้ว เราจะได้ทราบว่าเหตุใดประเทศไทยจึงได้มีบุญมาแต่ปางบรรพ์
ขอปิดท้ายบล็อกนี้ด้วยโคลงบทนี้ค่ะ
บุญ บรรพ์กรุงจักรแก้ว ก่อมา บรรพ์ บุญบุรพกษัตรา ท่านเกื้อ ลุล่วง ถึงสมัยประชา เป็นใหญ่ ร่มเย็น เพราะพระเอื้อ โอบอุ้มแผ่นดิน

**สุดท้ายจริง ๆ ขอหมายเหตุถึงสำนักพิมพ์นิดหนึ่ง เนื่องจากอ่านแล้วเจอคำผิดนิดหน่อย เล่มละสองสามจุด...
ในบรรพ ๑ หน้า ๓๐๓ ตรงหมายเหตุ บรรทัดรองสุดท้าย "วันที ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๕๐" น่าจะเป็น "วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐" มากกว่า
หน้า ๓๘๙ คำว่า อุตส่าห์ พิมพ์เป็น อุตส่า
บรรพ ๒ หน้า ๓๑ บรรทัดที่ ๓ คำว่า นุ่งห่ม พิมพ์เป็น นุ่มห่ม หน้า ๕๘ บรรทัดที่ ๖ จากล่าง คำว่า พระบรมมหาราชวัง ตกม.ม้าไปหนึ่งตัว หน้า ๓๑๗ คำว่าโจทก์ พิมพ์เป็น โจทย์ หน้า ๓๒๒ คำว่า ตัดไปเสียแต่หัวลม น่าจะเป็นตัดไฟเสียแต่หัวลม(หรือเปล่า?)
อ่านแล้วสะดุด เสียดายนิด ๆ เลยหมายเหตุไว้ เผื่อทางสำนักพิมพ์จะได้แก้ไขในการจัดพิมพ์คั้งต่อ ๆ ไปค่ะ
|
Create Date : 10 กันยายน 2555 |
Last Update : 10 กันยายน 2555 15:17:34 น. |
|
9 comments
|
Counter : 11606 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: แม่ไก่ วันที่: 10 กันยายน 2555 เวลา:13:10:39 น. |
|
|
|
โดย: พุดน้ำบุศย์ IP: 115.31.141.3 วันที่: 10 กันยายน 2555 เวลา:21:01:05 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 กันยายน 2555 เวลา:5:53:38 น. |
|
|
|
โดย: สามปอยหลวง วันที่: 11 กันยายน 2555 เวลา:19:08:52 น. |
|
|
|
โดย: นัทธ์ วันที่: 15 กันยายน 2555 เวลา:22:41:49 น. |
|
|
|
โดย: อุณากรรณ IP: 110.49.235.72 วันที่: 13 ตุลาคม 2555 เวลา:18:06:30 น. |
|
|
|
โดย: แจ๊ค IP: 118.172.233.21 วันที่: 8 เมษายน 2559 เวลา:12:40:59 น. |
|
|
|
| |
|
|
อ่านจบแล้วรู้สึกอิ่มและตื้นตันมาก...