|
เคหาสน์แสงตะวัน ผู้เขียน : อาริตา ผู้พิมพ์ : สนพ. Beauty Book(พ.ศ. ๒๕๔๓)
รายละเอียด :
'บ้านแสงตะวัน' หล่อหลอมขึ้นมาได้ด้วยความรักของพ่อและแม่ เป็นบ้านที่เสมือนมีมนตรากำกับไว้ด้วยความรัก ความอบอุ่น ทำให้เด็กหนุ่มสามคนเติบโตมาด้วยพลังแห่งรัก มีหัวใจที่ดีงาม และความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน
ไม่ว่าจะเป็น 'วงศกร' พี่ชายใหญ่ พร้อมจะดูแลปกป้องทุกคนไว้ด้วยความอบอุ่น อ่อนโยน เขาจึงสามารถเติมเต็มส่วนที่ขาดในชีวิตของ 'กนกอร' ส่วน 'วรวีร์' ลูกคนกลางเจ้าปัญหา หนุ่มเจ้าอารมณ์ คนที่มั่นใจในตัวเองเกินร้อยหากไม่เคยรู้จักหัวใจตนเอง ทำให้ชีวิตเกือบพลิกคว่ำ โชคดีที่ชีวิตแวดล้อมด้วยความรัก และ 'พิมพ์ตะวัน' พร้อมที่จะให้อภัยวรวีร์ด้วยหัวใจแห่งรัก
และ น้องเล็กของบ้าน 'นิธิวุฒิ' ชายหนุ่มที่เคยหลงระเริงกับความพร้อมของตัวเอง จนดูเหมือนเขาจะไม่คิดจริงจังกับใคร เมื่อตกหลุมรัก 'พราวหทัย' ครูสาวที่มีชีวิตเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความเข้มแข็ง จริงจัง เขาจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก กว่าที่จะได้รับการยอมรับ
"เคหาสน์แสงตะวัน" บ้าน...ที่อยู่ใต้ร่มเงาแห่งความรักและความร่มรื่นแห่งความเอื้ออาทร ชีวิตที่ต้องสู้ไปให้ถึงจุดหมาย หากมีบ้านเป็นที่พักพิง บ้านที่มีทั้งรักและเอื้ออาทร บ้านที่พร้อมด้วยกำลังใจและการให้อภัย ชีวิตต่อให้ผิดพลาดมาสักกี่ครั้ง ล้มลงสักกี่ครา ก็เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ...
เมาธ์มอยหลังอ่านจบ...
นิยายชีวิต โรแมนติกดราม่าเล่มนี้วางอยู่บนชั้นมาเนิ่่นนาน...(น่าจะไม่ต่ำกว่าสิบปี) ไม่ได้คิดจะหยิบมาอ่าน ด้วยเห็นเป็นของตาย บวกกับความหนากว่า ๖๐๐ หน้า... (เป็นเหตุให้ลังเลที่จะอ่าน)
แต่ช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ดูละครดราม่าเข้มข้นที่กระแสมาแรงสุด ๆ อย่าง"สามีตีตรา" และได้รับรู้ว่าผู้เขียนนิยายเรื่องนั้นคือคนเดียวกับเจ้าของนามปากกา"อาริตา" ผู้เขียน"เคหาสน์แสงตะวัน"เล่มนี้ จึงได้ฤกษ์อัญเชิญลงมาจากหิ้ง...(แอบคาดหวังความเข้มข้นสะใจแบบละครเรื่องนั้น)
หากดูจากชื่อเรื่องแล้วอาจจะชวนให้คิดถึงนิยายแนวลึกลับ ประมาณบ้านผีสิงอะไรทำนองนั้นมากกว่า แต่เพียงเริ่มเปิดเรื่องมาก็รู้ว่าคาดผิดไปนิดหน่อย...ไม่ใช่แนวลึกลับ โบราณบ้านผีสิง แต่น่าจะมีความเป็นดราม่าเข้มข้นอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะเพียงเปิดเรื่องมาก็น่าติดตามเสียแล้ว
เล่าเรื่องราวย่อ ๆ เพิ่มเติมจากข้างบนอีกนิดหน่อยละกัน
'พิมพ์ตะวัน' เป็นเด็กสาวกำพร้าที่คุณยายอรให้การอุปถัมภ์ เพราะเป็นญาติห่าง ๆ เธอจึงเติบโตมาร่วมกับเด็กหนุ่ม ๆ อีกสามคน ใหญ่ - กลาง - เล็ก ที่เป็นหลานแท้ ๆ ของคุณยายอร เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย เธอก็ดิ้นรนออกไปอยู่หอพักตามลำพัง ทำงานส่งเสียตัวเอง และหายหน้าไป
จนอีกหลายปีต่อมาเธอก็หอบลูกชายวัยห้าขวบมาฝากไว้กับสามหนุ่ม เพื่อที่ตัวเองจะได้เดินทางไปทำงานในต่างประเทศ
ไม่มีใครรู้ว่าพ่อของเด็กชายเต้เป็นใคร แต่ทั้งพี่ใหญ่และนายเล็กต่างยินดีที่จะดูแลและรับเป็นพ่อ ในขณะที่วรวีร์หรือนายกลางกลับแสดงท่าทีไม่ยอมรับ และเหยียดหยามพิมพ์ตะวันว่าท้องไม่มีพ่อ ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้กับเธออย่างมาก เพราะเธอแอบรักวรวีร์มาตั้งแต่แรกสาว ที่พลาดพลั้งไปก็เป็นเพราะผิดหวังจากเขานั่นเอง...
ใหญ่หรือวงศกรลงทุนไปเรียนทำอาหาร เพื่อเตรียมรับภาระดูแลเด็กชายเต้ ทำให้เขาได้พบกับกนกอร แม่ม่ายสาวลูกติดสอง ที่ไปเรียนทำอาหารที่เดียวกัน จากพี่ใหญ่ที่ต้องใช้ชีวิตในกรอบในกฏตลอดเวลา เมื่อมาพบกับแม่ม่ายยังสาวที่อุปนิสัยร่าเริง มองโลกในแง่บวกอยู่เป็นนิตย์ ก็ทำให้เขารู้สึกชุ่มชื่น มีชีวิตชีวาขึ้นมา
ส่วนเล็ก - นิธิวุฒิก็รับหน้าที่รับ-ส่งเด็กน้อยไปโรงเรียน จนไปถูกตาต้องใจครูสาวคนสวย-พราวหทัยเข้า แต่เขาจะทำอย่างไร ในเมื่อภาพพจน์ของเขาในสายตาครูสาวนั้น เขากลายเป็นพ่อเลี้ยงผู้ไม่มีความรับผิดชอบของเด็กชายเต้เท่านั้น
เรื่องราวดำเนินไปเรียบเรื่อย ค่อนข้างจะเป็นไปตามแบบแผนนิยายรุ่นเก่าอยู่บ้าง มีพระเอกนางเอกถึงสามคู่ แต่ละคู่มีเรื่องราว มีบทบาทในเรื่อง มีบทรัก บทกุ๊กกิ๊ก พ่อแง่แม่งอนในสัดส่วนเกือบจะเท่า ๆ กัน แยกแยะค่อนข้างชัดเจน ไม่มีสับสนหรือผิดฝาผิดตัว
แต่ที่ผิดแผกแตกต่างจากขนบของนิยายทั่ว ๆ ไปอยู่บ้างก็คือทัศนคติของตัวละครในเรื่อง ซึ่งเป็นจุดที่อ่านแล้วค่อนข้างชอบนะคะ
อย่างที่บอกไว้ว่าเขาเปิดเรื่องได้น่าติดตาม คือเปิดมาให้นางเอกเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หอบลูกชายตัวน้อยมาบ้านพระเอก เพราะต้องการให้ลูกชายมีต้นแบบที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ไม่สนและไม่แคร์ว่าชาวบ้านร้านถิ่นเขาจะร่ำลือกันว่าเธอเป็นนางพระยาเทครัว มั่วกับผู้ชายสามคนในบ้านเดียวกัน จนไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อตาเต้...
ส่วนนางเอกอีกคน(กนกอร)ก็เป็นแม่ม่ายสามีตายที่ไม่ปล่อยตัวให้จมอยู่กับอดีต ให้การเลี้ยงดูลูกทั้งสองคนโดยเป็นทั้งพ่อและแม่ (และเป็นเพื่อน)ในเวลาเดียวกัน
มีฉากของการทำการทำงานที่เข้ากับสถานการณ์ในช่วงนั้น ๆ เสริมให้นิยายมีความสมจริงยิ่งขึ้น
อีกจุดนึงที่ชอบในนิยายเรื่องนี้ก็คือ เรื่องนี้ไม่มีตัวร้ายหรือตัวอิจฉาค่ะ ทำให้อ่านได้แบบสบายใจ อ้อ...จะว่าไม่มีก็ไม่เชิงนะคะ มีตอนท้าย ๆ เรื่องพ่อตัวจริงของตาเต้โผล่มาอยากได้ลูกชาย เพราะลูกชายวัยรุ่นของตัวเองเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตไป แต่นั่นก็เกิดขึ้นหลังจากที่พระเอกเริ่มรู้ใจตัวเองและหลงรักนางเอกแล้ว จึงปกป้องนางเอกและลูกชายเต็มที่ ทำให้จากเดิมที่เคยไม่ชอบพระเอกที่ชอบพูดจาหยาบหยามนางเอก ได้ใจเราไปเต็ม ๆ ค่ะ
ตัวละครหลายตัวก็มีมิติ สมเหตุสมผลดี ชอบนางเอกแบบพิมพ์ตะวัน เธอเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น ไม่แคร์สื่อ เมื่อรู้ตัวว่าพลาดก็ไม่โทษคนอื่น ก้มหน้าก้มตารับผิดชอบตัวเองไป
ในนิยายเรื่องนี้ยังมีตัวละครที่เป็นเด็ก ๆ อย่างตาเต้ ลูกชายวัยห้าขวบของนางเอก เด็กหญิงเอ - ลูกสาววัยสิบขวบของกนกอร ที่แสดงออกว่าปลื้มว่าที่คุณพ่อคนใหม่อย่างออกนอกหน้า เด็กชายบี - ลูกชายคนเล็กที่แม้จะไม่อยากให้แม่แต่งงานใหม่ แต่ก็ไม่ได้ดึงดันก้าวร้าวหรือก่อปัญหา
จะมีติด ๆ ขัด ๆ อยู่นิดหนึ่งก็ตรงสำนวนภาษาของผู้เขียน บางทีก็ออกแนวห้วน ๆ สั้น ๆ โดยเฉพาะบทสนทนา... ส่วนพาร์ทที่เป็นบทบรรยายก็ค่อนข้างวนเวียน เวิ่นเว้อและตอกย้ำซ้ำซากไปสักหน่อย แต่โดยรวมแล้วก็อ่านได้เพลิน ๆ ค่ะ ถือว่าอ่านเอาเรื่อง ไม่ได้อ่านเอารสก็แล้วกัน
และหากจะเทียบกับละคร"สามีตีตรา"ล่ะก้อ...เรียกว่าเป็นคนละแนวเลยทีเดียว มิน่า...คนเขียนเค้าถึงใช้นามปากกาที่แตกต่างไป แต่เล่มนี้ถ้าทำเป็นละครทีวีก็น่าจะสนุกไม่น้อยเหมือนกันนะ ยิ่งถ้านำเสนอเป็นแนวครอบครัวผสมผสานคอเมดี้นิด ๆ ได้คนเขียนบทดี ๆ คาสติ้งดี ๆ ก็จะเป็นละครน้ำดีได้อีกเรื่องหนึ่งทีเดียว
นิยายเก่า ๆ แต่เนื้อหาทันสมัย อ่านจบแล้วหยิบมาเล่าต่อ ชวนอ่านกันวันนี้ค่ะ
|
นางเอกที่เอาลูกมาฝากครอบครัวพระเอกให้เลี้ยงดูให้ เธอไปทำงานแนวๆ นักข่าวแถวบอสเนีย-เฮอเซโกวิน่า รึเปล่าคะ
ถ้าใช่ จำได้ว่าคนเขียนกล้ามากที่ให้นางเอกไปเสี่ยงในที่แบบนั้น (แต่สำหรับเราเท่ผุดๆ)