"แล้วมันก็ผ่านไป"
Group Blog
 
All blogs
 

เนื้อหมู หรือ เนื้อหมา ?

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้วรึเปล่าไม่แน่ใจ
ชายหนุ่มผู้หนึ่ง อาศัยอยู่ห่างหมู่บ้านพอสมควร
เขาตั้งใจเดินทางเข้าหมู่บ้าน เพื่อไปหาซื้อเนื้อหมูในตลาด
ของหมู่บ้าน มาเป็นเสบียงตุนไว้ที่บ้านของเขา

โจร 3 คน รู้ข่าวว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเดินทางเข้าหมู่บ้านเพื่อไปซื้อเนื้อหมู
จึงวางแผนคิดกลอุบายเพื่อขโมยเนื้อหมูจากชายหนุ่ม

เมื่อชายหนุ่มซื้อเนื้อหมูจากตลาดเสร็จเรียบร้อย
ระหว่างเดินทางกลับบ้านนั้นเอง เขาได้พบกับ...


ชายคนที่ 1 ที่เดินเข้ามาใกล้ๆเขา และพูดกับเขาว่า
"ทำไมท่านถึงแบกเนื้อหมามาล่ะนี่ ท่านชอบกินเนื้อหมาเหรอ ?"
ชายหนุ่มตอบไปว่า "นี่ไม่ใช่เนื้อหมา แต่เป็นเนื้อหมูต่างหากล่ะ !"
ชายคนที่ 1 ไม่ได้พูดอะไร แค่ส่ายหน้าแล้วเดินจากไป
ทิ้งให้ชายหนุ่มรู้สึกงุนงง สงสัย แต่เขาก็ออกเดินทางต่อ
จนกระทั่งเขาได้พบกับ....

 

ชายคนที่ 2 ซึ่งเดินสวนทางมา และหันกลับมาทักชายหนุ่ม
ด้วยสีหน้าท่าทางที่แปลกใจว่า
"โอ้ ! นี่มันเนื้อหมานี่นา สีเนื้อแบบนี้ กลิ่นเหม็นแบบนี้
หมาแท้แน่นอน ทำไมท่านถึงเดินแบกเนื้อหมามาล่ะ?"
ชายคนที่ 2 ไม่รอคำตอบใดๆ พูดเสร็จแล้วก็เดินจากไป
ทิ้งให้ชายหนุ่ม รู้สึกแปลกใจ สีหน้าเขาเริ่มเปลี่ยนไป
เกิดความลังเลสงสัย ในเนื้อที่ตัวเองแบกอยู่
จนกระทั่งเขาได้พบกับ....

 

ชายคนที่ 3 ที่เดินสวนทางมา เขาจ้องมองเนื้อที่ชายหนุ่มแบกมา
จ้องแล้วจ้องอีก จ้องเนื้อยังไม่พอ ยังมองจ้องหน้าชายหนุ่ม
ราวกับเขาเป็นตัวประหลาด
และ ชายคนที่ 3 นี้ ก็พูดขึ้นมาว่า "ท่านนี่แปลกคนซะจริง
แบกเนื้อหมามาอีกคนแล้ว บาปกรรมจริงๆ คนกินเนื้อหมานี่ใจร้ายมากๆ
เมื่อวาน ก็มีคนเดินแบกเนื้อหมาผ่านมาทางนี้คนหนึ่ง โดนชาวบ้าน
รุมทำร้ายเอาเกือบตาย บรื๊อออ คิดแล้วสยอง" แล้วชายคนที่ 3 ก็เดินจากไป

ชายหนุ่มได้ฟังที่ชาย 3 คนว่ามา ก็รู้สึกว่า
เนื้อที่ตนกำลังแบกอยู่นั้นมีกลิ่นเหม็นขึ้นมาทันที
คิดถึงแม่ค้าในตลาด ว่าหลอกขายเนื้อหมาให้เขาซะแล้ว
คิดได้ดังนั้น ก็รีบโยนเนื้อเข้าข้างทาง แล้วรีบเดินทางกลับบ้านมือเปล่า


เมื่อชายหนุ่มโยนเนื้อหมูเข้าข้างทางแล้ว
โจร 3 คน หรือชายทั้ง 3 ที่เข้ามาทักชายหนุ่ม
ก็รีบเข้ามาเก็บเนื้อหมูไปแบ่งกันกิน ตามแผนที่วางไว้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เมื่อได้รับฟังอะไรมา จงไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอย่างรอบคอบ
มั่นใจในสิ่งที่ตนเองทำ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ โดยไม่พิจารณาให้ละเอียด
ไม่อย่างนั้น ท่านอาจจะต้องเสียเนื้อหมู เพราะคิดว่าเป็นเนื้อหมานะคะ

.........................................

นิทานเรื่องนี้ ฉันเคยอ่านมานานมากแล้ว
พอดีว่าช่วงนี้ เพิ่งเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องคิดถึงนิทานเรื่องนี้ขึ้นมา
รู้สึกว่าตัวเอง เหมือนชายหนุ่มในนิทาน แบกเนื้อหมูมาแท้ๆ
แต่ผู้คนรอบข้าง บอกว่าเป็นเนื้อหมา
ทำให้ฉันต้องมานั่งทบทวนว่า ฉันแบกเนื้ออะไรมากันแน่เนี่ย ?

หลายๆคนพูด ก็ชักไขว้เขวแฮะ
ฉันมั่นใจว่าสิ่งที่ฉันทำเป็นเรื่องที่ดี
แต่ทำไมคนรอบข้างบอกว่าไม่ดีล่ะ

เมื่อได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนก็ทำให้ได้คิดว่า
เรื่องที่ทำไปนั้น เป็นเรื่องดี เพียงแต่ไม่ถูกใจคนรอบข้าง
จากเรื่องดี จึงกลายเป็นเรื่องไม่ดีซักเท่าไหร่
จากเนื้อหมู เลยกลายเป็น เนื้อหมา !

จริงๆแล้วทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง
การยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้เป็นเรื่องดี
การเชื่อมั่นในความดีที่ตนเองกระทำไปแล้วก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน

หากมั่นใจว่าคุณทำสิ่งที่ดี และไม่ทำให้ใครได้รับความเดือดร้อน
ขอให้ยืนหยัดในการทำสิ่งที่ดีต่อไปนะคะ
คุณไม่จำเป็นต้องทิ้งเนื้อหมู เพื่อ ไปอยู่ร่วมกับคนที่ชอบกินเนื้อหมาก็ได้ค่ะ

ชีวิตเรามีทางเลือกเสมอ อยู่ที่คุณเลือก
และใช้ชีวิตของคุณเพื่อสร้างสรรสิ่งดีงาม
ให้ตัวคุณเอง และ คนรอบข้างนะคะ

....................................................

* นิทานเรื่อง 3 โจรจอมวางแผน
จาก จากหนังสือ ถอดรหัสแนวคิด เพื่อชีวิตที่มีคุณค่า โดย รศ.ดร. ชัยณรงค์ วงศ์ธีรทรัพย์
ขอบคุณ เวป "บ้านมหาดอทคอม ที่นำมาเรียบเรียงไว้ค่ะ
เนื่องจากในเวปบ้านมหาดอทคอม เรียบเรียงไว้เป็นภาษาอีสาน ฉันจึงขออนุญาตดัดแปลง
เรียบเรียงเรื่องใหม่ เป็นภาษากลาง อาจผิดเพี้ยนจากต้นฉบับจริง
ของ รศ.ดร. ชัยณรงค์ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ

** ขอบคุณ ภาพจาก อินเตอร์เนตค่ะ




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2556 15:28:25 น.
Counter : 14609 Pageviews.  

เป้าหมาย สู่ความสำเร็จ

ยังมีคนอีกมากมายที่ไม่รู้ว่ากำลังเดินทางไปไหน
เหมือนเกิดมามี 2 ขา ก็ออกเดินไปเรื่อยๆ
ไม่นานเขาก็จะเฉลียวใจ ว่ากำลังเดินวนหลงอยู่ในทะเลทราย
เวิ้งว้างว่างเปล่า
มองไปทางไหนก็มีแต่ผืนทราย !
ไม่เคยหลุดจากจุดเดิมที่เดินอยู่เลย !

หากรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินวนอยู่ที่จุดเดิมๆ
แล้วอยากหลุดจากเส้นทางสายเดิม
มุ่งไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จสายใหม่
ลองทำตามวิธีนี้ดูค่ะ

1. ค้นหาเป้าหมาย
ก่อนจะคิดหาเส้นทางสายอื่น ขอให้รู้ก่อนว่า “เป้าหมายของคุณคืออะไร”
สถานที่ไหนที่อยากไป, สิ่งที่อยากทำ, บุคคลที่อยากพบ,
สิ่งที่คุณอยากเป็น ฯลฯ คือ เป้าหมายที่คุณจะต้องกำหนดขึ้นค่ะ

 

ในเรื่อง "อลิส ผจญภัยในดินแดนมหัศจรรย์"
มีอยู่ตอนหนึ่งที่ฉันจำได้ติดใจ ขออนุญาตคัดมาจากอินเตอร์เนตค่ะ

 
....เมื่อเหลือบไปเห็นแมวเชสเชอร์ ( เขาว่ากันว่ามันเป็นแมวเจ้าเล่ห์ที่ยิ้มได้ )
นั่งอยู่ บนคาคบไม้ไม่ห่างออกไปมากนัก เจ้าแมวเพียงแค่ยิ้มเมื่อเห็นอลิซ
เธอรู้สึกว่า มันเป็นแมวนิสัยดี แต่เนื่องจากเล็บเท้าของมันยาวมาก
เขี้ยวก็ดูเหมือนจะยาว มากด้วย
เธอจึงคิดว่าควรจะปฏิบัติกับมัน ด้วยท่าทางที่เคารพสักหน่อย
" คุณเหมียวเชสเชอร์จ๊ะ "
อลิซเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาเพราะเดาไม่ถูกว่ามันจะ ชอบชื่อนี้หรือเปล่า
แต่มันก็เพียงแต่ฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาอีกนิดหน่อย
เอาน่า..ดู ท่าทางมันจะเป็นแมวที่อารมณ์ดีอยู่หรอก
แล้วจึงพูดต่อว่า

" ช่วยบอกหน่อยสิ ว่าจากตรงนี้ฉันควรจะไปทางไหนดี"
" เรื่อง มันขึ้นอยู่ที่ว่า เธออยากจะไปไหนน่ะสิ " แมวเชสเชอร์ตอบ "
" ฉันไม่เลือกว่าที่ไหนหรอก...ขอแค่ฉันได้ไป ที่ไหนสักแห่ง..." อลิซตอบ
" เรื่องนั้นสบายมาก ถ้าเธอเดินทนสักหน่อย " แมวตอบ
อลิซรู้สึกว่าคำพูด ของมันไม่อาจปฏิเสธได้ เธอจึงลองถามเรื่องอื่น.... ฯลฯ

ใช่ค่ะ ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน หนทางใดก็ดูไม่มีความสำคัญ !

  

2. การแสวงหาเส้นทางสู่เป้าหมาย
เมื่อคุณได้กำหนดเป้าหมายแล้ว
คราวนี้ มาแสวงหาหนทางไปสู่เป้าหมายค่ะ

คุณจะไม่หลงวนไปวนมาอีกแล้ว เพราะคุณรู้แล้วว่าจะเดินไปไหน
เพื่อไม่ให้เสียเวลา ขอให้คุณหาความรู้ และแสงหาครู ที่จะคอยบอกทางที่ถูกต้อง
ให้คุณได้เดินทางไปสู่เป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้นค่ะ
การไม่มีครู คุณอาจเดินไปถึงเป้าหมาย แต่อาจช้าหน่อย
เพราะต้องลองผิดลองถูกด้วยตนเองอยู่พอสมควร

มีหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่ฉันเคยอ่านแล้วชอบมากๆ
คือ เรื่อง “ปิง กบน้อยในสระมหัศจรรย์”

ปิงเป็นกบพิเศษที่กระโดดได้สูงและไกลมากๆ
วันหนึ่งหนองน้ำที่ปิงอาศัยอยู่เกิดแห้งขอด

สัตว์ตัวอื่นยอมจำนนรอคอยวันที่ฝนตกอีกครั้ง
แต่ปิงไม่รอ และออกเดินทางแสวงหาบ่อน้ำใหม่

ด้วยพลังและความหวังที่มากมายเต็มเปี่ยม
ปิงพยายามกระโดดให้พ้นจากป่ารกชัฎ
เพื่อไปสู่เป้าหมาย คือบ่อน้ำแห่งใหม่

ปิงกระโดดสุดกำลังได้อยู่
2-3 วัน ก็เกิดท้อใจ
เพราะมองไม่เห็นทางออกเลย มีแต่ป่าที่กว้างใหญ่ และมืดมิด

ปิงอยากรู้ว่า อีกไกลแค่ไหนถึงจะพ้นป่านี้ได้

ในช่วงเวลาที่ท้อใจนี้เอง ปิงได้เจอกับนกฮูกค่ะ

นกฮูกสอนปิงว่า
“ถ้าหนทางที่เจ้าเลือกเดินไม่มีอุปสรรค เจ้าก็จะไปไม่ถึงไหนเลย”
 
ปิงจึงขอให้นกฮูกเป็นอาจารย์ แต่นกฮูกปฏิเสธค่ะ
ปิงจึงพยายามกระโดดให้สูง เพื่อขึ้นไปหานกฮูกบนกิ่งไม้ให้ได้
กระโดดอยู่เกือบทั้งคืน แล้วปิงก็สามารถขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ได้จริงๆค่ะ
นกฮูกจึงยอมรับเป็นศิษย์  และทำให้ปิงเดินทางสู่บ่อน้ำแห่งใหม่ได้อย่างปลอดภัย

 “เมื่อศิษย์พร้อม อาจารย์จะมา”
ครูต้องเป็นตัวอย่างที่ดี  และเราก็ต้องมีสติ
ในการใช้เหตุผล
ไตร่ตรองถึงคำสอนของครูด้วยนะคะ

3. การเดินทางสู่เป้าหมาย
เมื่อมีเป้าหมาย และ การหาหนทางไปสู่เป้าหมายแล้ว
คราวนี้ถึงขั้นของการเดินทางแล้วค่ะ


สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความสม่ำเสมอ ในการก้าวเดินค่ะ

ต่อให้คุณจะรู้เทคนิคการเดินเร็วแค่ไหน
แต่ถ้าคุณเดินไม่สม่ำเสมอ
เดินๆหยุดๆ คุณจะไปถึงเป้าหมายได้ช้าค่ะ

และในระหว่างการเดินทาง คุณต้องมีอาวุธให้ครบมือ
เพราะอุปสรรคเกิดขึ้นระหว่างทางเสมอ

คราวนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเดินทางไปไหนแล้วค่ะ
สำรวจเส้นทาง และ ประเมินอุปสรรคระหว่างการเดินทาง
เพื่อจะได้ตระเตรียมอาวุธให้พร้อม

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นนักเดินทางที่แสวงหา “นิพพาน”
อาวุธที่สำคัญ สำหรับการเดินทางครั้งนี้ คือ โพชฌงค์ 7  
ซึ่งประกอบด้วยอาวุธ 7 อย่าง คือ

1. สติ เหมือนแสงสว่าง ไว้ใช้ต่อสู้กับความมืดมิด

2. การเฟ้นหาความจริง ซึ่งมี 3 อย่าง คือ ความรู้ที่ฟังผู้อื่นมา,
ความรู้ที่เกิดจากคิดเอง, ความรู้ที่ได้จากการลงมือทำค่ะ
ใช้ต่อสู้กับความคิดเห็นผิดๆที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอด 

3. ความเพียร ใช้ต่อสู้กับความลังเลสงสัยทั้งหลาย

4. ความอิ่มเอมใจในการเดินทาง เพื่อใช้ต่อสู้กับอารมณ์ขัดเคืองใจทั้งหลาย

5. ความสงบกายสงบใจ ใช้ต่อสู้กับ ความหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ที่จะดึงให้เราออกนอกเส้นทางค่ะ

6. สมาธิ ทำให้เรามีความตั้งมั่น ใช้ต่อสู้กับ ความฟุ้งซ่านทั้งหลายค่ะ

7. การวางเฉย ซึ่งใช้ต่อสู้กับอัตตามานะของเราเอง บางครั้งเดินมาตั้งไกล
กลายเป็น “กูเก่ง” เป็นชาล้นถ้วยไปซะแล้ว

ดังนั้น อย่าให้เป็นความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ต้องวางธรรมให้ลง
เปรียบเหมือน การพายเรือ
ข้ามฟาก เมื่อถึงฟาก คือ นิพพานแล้ว ก็ต้องปล่อยวางเรือไว้ที่ฝั่ง

 


 

4. การปล่อยวางเป้าหมาย
เมื่อกำลังเดินทางสู่เป้าหมาย ขอให้คุณปล่อยวางเป้าหมายนั้นซะ !
คือ การปล่อยวางความอยากไปจากใจค่ะ เพราะความอยากเป็นกิเลส !
ที่จะดึงแข้งดึงขา เป็นเหมือนหลุมพราง ไม่ให้คุณไปถึงเป้าหมายได้
ความอยากไปให้ถึงเป้าหมาย จะทำให้คุณเกิดอารมณ์แง่ลบ !
เช่น ความวิตกกังวล, ความตื่นเต้น,ความประหม่า,ไม่สงบ,ไม่เชื่อมั่น เป็นต้น
 
ดังนั้น เมื่อคุณตั้งเป้าหมายว่า คุณจะเดินทางไปทิศเหนือ ถ้าใจคุณมัวแต่คิดว่า
ใกล้ถึงหรือยัง ? อยากไปให้ถึงเป้าหมายเร็วๆ ! ใจคุณจะไม่อยู่กับทางที่ก้าวเดินเลย
คอยคิดถึงทิศเหนืออยู่ตลอด
คุณจะเดินได้ช้ามาก  

แต่ถ้าคุณวางใจว่า เรากำลังมุ่งหน้าไปทิศเหนือ และมีเข็มทิศกับแผนที่แล้ว
อาวุธก็ครบมือ ความสม่ำเสมอก็มีเต็มเปี่ยม
คุณเดินทางด้วยความมีสติอยู่กับทางที่ก้าวเดิน ไม่นานก็ถึงเป้าหมายค่ะ

ในหนังสือ เดอะ ท็อป ซีเคร็ต ของ ทันตแพทย์สม สุจีรา บอกไว้ว่า
“หากอยากไปให้ถึงเป้าหมาย อย่าอธิษฐานขอที่เป้าหมาย แต่ให้ขอสิ่งที่จะทำให้ถึงเป้าหมาย” 
เป็นเคล็ดลับสกัดความอยากค่ะ เพราะเมื่อเราแสดงความอยากได้เป้าหมาย กิเลส ก็เกิดขึ้นทันที

เช่น “เป้าหมายคือ ชนะการแข่งขัน ก็ให้อธิษฐานขอสิ่งที่จะทำให้ไปถึงชัยชนะแทน
คือ ขอให้มีพลังกาย พลังใจ พลังสติปัญญา ในการแข่งขัน การอธิษฐานแบบนี้

ไม่เกี่ยวข้องกับความอยาก ความอยากก็คือการเอาพลังจิตมุ่งคิดไปที่ผลลัพธ์
มีแต่จะสร้างความคับข้องใจ ตึงเครียด วิตกกังวล ซึ่งจะไปรบกวนกำลังของสติสัมปชัญญะ”

“นักวิ่งมาราธอนบางคนรู้ความลับข้อนี้ดี เขาจะวิ่งไปเรื่อยๆโดยไม่คิดถึงเป้าหมาย
ให้ความสำคัญกับจังหวะการวิ่งของตนเองมากกว่าที่จะหมกมุ่นอยู่กับเส้นชัย”

 


สรุปว่า ขั้นตอนการเดินทางสู่ความสำเร็จ 4 ประการคือ
1. ค้นหาเป้าหมาย
2. แสวงหาเส้นทางสู่เป้าหมาย
3. การเดินทางสู่เป้าหมาย
4. การปล่อยวางเป้าหมาย

ขอให้ประสบความสำเร็จในการเดินทางนะคะ




 

Create Date : 30 เมษายน 2556    
Last Update : 30 เมษายน 2556 21:41:25 น.
Counter : 1991 Pageviews.  

ความเกลียดชัง = มะเร็งจิตใจ

ความเกลียดชังเป็นเหมือนโรคร้ายค่ะ
คอยกัดกินจิตใจให้เป็นทุกข์
เหมือนโรคมะเร็ง ที่ลุกลามอยู่ข้างในใจเรา
คอยกัดกินเซลล์ดีๆ ให้ผิดปกติ ทำงานไม่ได้
ถ้าเราปล่อยให้ความเกลียดชังนี้กัดกินจิตใจไปเรื่อยๆ
ไม่นานจิตใจของเราก็จะดำมืดด้วยความเกลียดนี้เอง

ถ้าเป็นมะเร็งจิตใจ เราควรทำอย่างไรบ้าง ?

1. ยอมรับว่าเราเป็นโรค
สำรวจใจตัวเองสิคะ ว่าเราเป็นมะเร็งจิตใจอยู่รึเปล่า
มีใครที่เราเกลียดชังอยู่ไหม ยอมรับตามตรงอย่างกล้าหาญเลยค่ะ
"ใช่ ฉันเกลียดคนนี้ เกลียดมากๆเลย"

ถามใจตัวเองว่า มีความสุขดีรึเปล่า?
กับการเก็บความเกลียดนี้ไว้กับใจตัวเอง
บางคนตอบว่า มีความสุขดีนะ อยากจะเก็บความเกลียดไว้แบบนี้ล่ะ
งั้นก็ลองตามดูใจว่า การเกลียดใครซักคน ทำให้สุขภาพคุณย่ำแย่ขนาดไหน
ใจและกาย เป็นของสัมพันธ์กัน เมื่อใจเกลียด กายก็จะแย่ !

ตัวอย่างง่ายๆค่ะ
บางคนเกลียดใครบางคน จนตัวเองกลายเป็นโรคประสาท
เป็นโรคความดัน  เป็นอัมพาต
แล้วจะยังยืนยันที่จะเก็บความเกลียดไว้กับใจอีกหรือคะ ?

ปลดปล่อยใจของคุณด้วยการยอมรับความจริง
ว่าความเกลียดไม่เคยให้คุณกับใครเลย
แม้กระทั่งตัวคุณเอง ถ้ายอมรับกับตัวเองได้แล้ว
ว่าไม่มีความสุขกับการเกลียด ก็เริ่มต้นรักษาใจตัวเองกันเถอะค่ะ

2. งดให้อาหาร !
มะเร็งจิตใจจะเจริญเติบโตได้เร็วมาก
เมื่อเราให้อาหารหล่อเลี้ยงมัน
อาหารที่มะเร็งจิตใจชอบมากๆ คือ "ความคิด" ค่ะ
ความคิดเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้มันยังอยู่
ให้มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ให้มันขยายตัวออกไป
ความคิดในที่นี้ คือ ความคิดแง่ลบ คิดแง่ร้าย

รู้เท่าทันความคิดตัวเอง ด้วยการฝึกสติ
ความคิดร้ายใดเกิดขึ้นมา ให้รู้ทันมัน
แล้วปล่อยมันออกไปจากใจ

บางคนใช้การจินตนาการด้วยการเห็นภาพ
ความคิดร้าย เหมือน อีกาสีดำ มันบินวนอยู่ในหัวของเรา
เห็นมันเมื่อใด เราก็ปล่อยมันขึ้นสู่ท้องฟ้าไป ไม่เก็บเอาไว้
ยิ่งคิดร้าย ยิ่งเติมอาหารให้ความเกลียดไม่จบสิ้น
ปล่อยอีกาสีดำนี้ไปค่ะ



3.  เติมความสว่างให้จิตใจ
ถ้าคุณไม่สามารถอภัยให้คนที่คุณเกลียดได้ในเวลานี้
เพราะสิ่งที่คุณโดนกระทำมันเลวร้ายจนคุณไม่สามารถอภัยได้
ไม่เป็นไรค่ะ มาเริ่มดูแลใจตัวเองก่อน
โดยการทำให้ใจคุณมีความสุขมีความสบายใจ

เมื่อความเกลียดเป็นความดำมืดของจิตใจ
ก็มาเติมความสว่างให้ใจคุณกันค่ะ
บุญคือความสว่าง สิ่งที่ดีงามคือความสว่าง
หมั่นเติมความสว่างทุกๆวัน
เช่น ดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ของเรา, สวดมนต์ไหว้พระ,
แผ่เมตตา, ไปทำสังฆทาน, ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน,
ให้อาหารสุนัข หรือแมวจรจัด ฯลฯ
เติมความสว่างทุกวัน ความสว่างขับไล่ความมืดมิดได้
เสมือนพระอาทิตย์สาดแสง ทำให้โลกนี้สว่างไสว 

ใจที่สว่างด้วยแสงแห่งบุญกุศล
จะทำให้ใจของคุณมีความอ่อนน้อมต่อธรรมชาติ
และเข้าใจว่า ทุกชีวิตล้วนมีความทุกข์
คนที่ทำร้ายคุณก็มีความทุกข์
ทุกข์ด้วยความไม่รู้ จึงทำร้ายผู้อื่น
และเขาก็จะได้รับผลแห่งการกระทำนั้นเอง

เมื่อรักษาใจด้วยการหมั่นเติมความสว่างด้วยบุญแล้ว
คุณจะเริ่มอภัยให้กับเพื่อนร่วมทุกข์ได้ด้วยใจที่ไม่ฝืดฝืน
เพราะความสว่างของใจทำให้ปัญญากระจ่างแจ้ง
คุณจะมีเมตตาต่อตัวเอง ให้อภัยกับคนที่คุณเกลียดได้อย่างจริงใจ
ให้อโหสิกรรมต่อกัน เพื่อความเป็นอิสระของใจ
หากยังไม่สามารถให้อภัยได้ ลองดูข้อต่อไปค่ะ



4. เจริญเมตตาภาวนา
ธรรมะโอสถที่รักษาความเกลียดชังได้ชงัดนัก คือ เมตตาภาวนาค่ะ
เมื่อใจกระจ่างสว่างด้วยปัญญา ลองเจริญเมตตาภาวนาดูสิคะ
อานิสงฆ์ของเมตตานี้ สว่างขาว เบา กระจ่าง นุ่มนวล และอ่อนโยนยิ่งนัก

ครั้งหนึ่งที่ฉันเคยเป็นมะเร็งจิตใจ ระยะสุดท้าย
(ประมาณว่ารักษาไม่หาย เชื้อโรคแพร่กระจายลุกลามอย่างหนัก)
มีกัลยาณมิตรท่านหนึ่งส่งหนังสือบทสวดมนต์
"พระคาถามหาเมตตาใหญ่" ให้ฉันเอาไปสวดดู
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถอดใจว่ายาวนักหนา
แต่พอรู้ตัวว่าเป็นโรคมะเร็งจิตใจ ขั้นสุดท้าย กำลังจะตายอยู่แล้ว
ก็น้อมรับยานี้มาด้วยความเต็มใจ
เมื่อได้ลองสวดฯ ก็ได้พบว่า ยาขนานนี้วิเศษอย่างแท้จริง
โรคมะเร็งที่ลุกลามหนักๆ หายไปจากจิตใจ
ความมืดมิด ถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างในทันที
ใจฉันมีปีติ เบาหวิว น้ำตาไหล ให้อภัยกับคนที่ฉันเคยเกลียดได้อย่างที่สุด
อโหสิกรรมให้ โดยไม่มีอะไรติดค้างเลยจริงๆ
เข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าทุกเรื่องเกิดจากใจเราทั้งสิ้น
เรามัวแต่โทษผู้อื่น มองไม่เห็นความผิดของเราเองเลย
มันเหมือนยกภูเขาที่หนักๆ ออกจากใจได้ในวินาทีนั้นเลย
ฉันรักษามะเร็งจิตใจได้สำเร็จค่ะ !

ดังนั้นสิ่งที่ควรทำเมื่อเป็นมะเร็งจิตใจสรุปเป็น 4 ข้อสั้นๆ ตามนี้ค่ะ
1.ยอมรับความจริง 2. งดให้อาหาร 3. เติมความสว่าง และ 4. เจริญเมตตาภาวนา

ไม่มีใครที่ทำทุกอย่างได้ โดยไม่ฝึกฝน
บางคนฝึกให้อภัย จนเป็นเรื่องง่าย จะเกลียดใครนี้ยากนัก
บางคนฝึกเก็บความเกลียดชังอยู่ตลอด การให้อภัยจึงเป็นเรื่องยาก
ไม่มีอะไรยาก ถ้าคุณเลือกได้แล้วว่า
คุณอยากได้ใจที่เป็นสุข หรือ อยากให้ใจจมอยู่กับความทุกข์ค่ะ

ดาวน์โหลดบทสวดพระคาถามหาเมตตาใหญ่ได้ที่ Link นี้นะคะ

https://sites.google.com/site/gotodhama/bth-swd-mha-metta-hiy-laea-bth-pael

 




 

Create Date : 25 เมษายน 2556    
Last Update : 25 เมษายน 2556 18:09:55 น.
Counter : 2783 Pageviews.  

แอร์ไม่เย็น...ชวนทะเลาะ

จากคลิปผู้จัดการสาวที่เมเจอร์พระราม 3
และลูกค้าทะเลาะกัน ด้วยเหตุที่ว่า แอร์ไม่เย็น !
เป็นเรื่องที่ถกเถียงแตกประเด็นอย่างกว้างขวาง
ว่า ใครผิด ใครถูก กันแน่
?

จะใครผิด หรือ ใครถูก ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนัก
การที่คนเราทะเลาะถกเถียง ถึงขั้นขึ้นเสียงกันนั้น
เพราะต่างฝ่ายต่างก็เชื่อว่า ตัวเองเป็นฝ่ายถูก !
และอีกคนหนึ่งเป็นฝ่ายผิด !
การโต้เถียงนี้จึงเป็นไปเพื่อชัยชนะในความคิดเห็นของตัวเองล้วนๆ

หลวงพ่อปราโมทย์เทศน์สอนไว้ว่า

“คนในโลกทะเลาะกันด้วยสองเหตุผลเท่านั้น
ฟังแล้วมีเหตุผลมากมาย แต่พระพุทธเจ้าสอนคนในโลก
ทะเลาะกันด้วยสองอย่าง ด้วยตัณหา กับด้วยทิฏฐิ


‘ตัณหา’ ก็คือ ผลประโยชน์มันขัดกัน อยากได้แล้วมันไม่ได้
คนโน้นมันได้ไปไม่ชอบมัน หาทางล้างมันทำลายมัน
กับ ‘ทิฏฐิ’ มีความเห็นไม่เหมือนกัน” ฯลฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก dhammada.net
//www.dhammada.net/2010/07/20/2811/

พอเห็นข่าว (อดีต) ผู้จัดการที่เมเจอร์ ทะเลาะกับลูกค้าแล้ว
ก็ทำให้นึกถึงบทความหนึ่งที่เคยอ่านนานมาแล้ว
ในหนังสือที่ชื่อว่า “รู้จักรัก” คุณดังตฤณเป็นผู้เขียนไว้

ชื่อบทความนี้คือ  “แอร์ไม่เย็นขอหย่า”  
คุณดังตฤณเขียนไว้ได้ดีมาก พูดถึงประเด็นความเย็นจากแอร์
ซึ่ง แอร์ในที่นี้ ไม่ใช่แอร์คอนดิชันเนอร์ อย่างที่เราใช้กัน
แต่เป็นแอร์จาก ความคิด คำพูด และการกระทำของเราเองนี่หละ

แม้โลกที่เราอยู่จะร้อนอย่างแสนสาหัส เครื่องปรับอากาศจะเสีย
แต่ถ้าเรามีความเย็นใน ความคิด คำพูด และการกระทำแล้ว
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราจะเป็นผู้ผลิตความเย็นให้ใจและกายเราเอง
ไม่ต้องพึ่งความเย็นจากเครื่องปรับอากาศใดๆทั้งสิ้น
แถมยังส่งต่อความเย็นให้กับทุกชีวิตที่อยู่ใกล้เราอีกด้วย

ยังจำโฆษณาที่ดูที่ไรเรียกเสียงหัวเราะได้ทุกครั้งบ้างไม๊คะ ?
โฆษณาที่ว่า คือ ฮอลล์ ซึ่งมีหลายเวอร์ชั่น
แต่ที่ชอบที่สุด คือ ชุดครอบครัวมีปัญหา
แม่ทำความสะอาดบ้านไป บ่นไป ด่าไป
ทั้งพ่อและลูก โดนบ่นพร้อมเพรียงกันหมด
แต่พอทุกคนกินฮอลล์ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ลูกก็คึกคัก , แม่ก็พูด(บ่น)อย่างไพเราะ
ส่วนคุณพ่อก็ลุกมาช่วยทำความสะอาดบ้าน
ทุกคนใจเย็นขึ้นเมื่อได้อม "ฮอลล์"

จะดีกว่าไม๊คะ ?
ถ้าเราผลิตความเย็นออกมาจากใจเราเอง
โดยไม่ต้องยึดติดกับอะไร อยู่ที่ไหน จะร้อนจะเย็นก็สบายใจ
แอร์ที่ดีที่สุดที่ทำให้เราเย็นได้ทุกสถานการณ์ คือ เมตตา ค่ะ
เมตตาเกิดขึ้นที่ไหน ที่นั่นมีความเย็นฉ่ำชื่นใจทั้งสิ้น

เจริญเมตตาให้มากๆ
เริ่มจากเมตตาตนเองก่อน ไม่อยากให้ตัวเองเป็นทุกข์
และ ไม่อยากให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ด้วยเช่นกัน
ขยายความเย็นนี้ออกไปที่คนใกล้ตัว
ส่งต่อสู่ชุมชนที่อยู่ ออกไปสู่สังคม
ประเทศชาติ และโลกที่เราอาศัย

โลกนี้ร้อนขึ้นทุกวัน เพราะคนขาดเมตตา
มาช่วยกันเติมความเย็นให้โลกกันเถอะค่ะ

“เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก” นะคะ

 

อ่านบทความ "แอร์ไม่เย็นขอหย่า" จากคุณดังตฤณได้ใน linkนี้ค่ะ
//dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=article&id=167:----qq--&catid=49:dungtrins-answer-know-about-love&Itemid=278

โฆษณา ฮอลล์ ที่พูดถึงค่ะ

 

 

 

 




 

Create Date : 23 เมษายน 2556    
Last Update : 23 เมษายน 2556 17:47:42 น.
Counter : 1326 Pageviews.  

น้ำหยด..... เล็กน้อย แต่สม่ำเสมอ

ที่บ้านปลูกต้นเฟินชายผ้าสีดาไว้ต้นหนึ่งค่ะ
เจ้าหญิงสีดานี้ แอบอิงแนบชิดอยู่บนอกของเจ้าชายการบูร

ด้วยความไม่รู้ใจต้นไม้มากนัก อีกทั้งไม่เคยหาความรู้
เกี่ยวกับเจ้าหญิงสีดามาก่อน ก็ได้แต่อนุมานคิดเอาเองว่า
มันคงชอบน้ำเยอะๆ แดดร่มๆ ตามประสา ต้นไม้ประเภทเฟิน

เวลาให้น้ำ ก็ให้เยอะเลย มันจะได้กินอิ่มๆ แล้วโตไว ไว
ก็แอบสังเกตว่า ตอนที่มันกินน้ำใหม่ๆ ก็ดูอิ่มหนำสำราญดี
ผิวพรรณผุดผ่องเต่งตึง แต่พอตกบ่าย ผิวที่ตึงๆก็กลับเหี่ยวหดตัว

สรุปว่า ตึงอยู่ประเดี๊ยวประด๋าวแค่ช่วงที่กินน้ำใหม่ๆเท่านั้นเอง
หน้าฝน ยังพอทนค่ะ แต่ ช่วงหน้าร้อนไม่ต้องพูดถึงค่ะ
หน้าหงิกงอตลอดเชียวล่ะ

 

ต่อมา คุณแฟนก็มีไอเดียบรรเจิด
จัดการเอาที่ให้น้ำเกลือ
มาแขวนให้น้ำเจ้าหญิงสีดา

ถ้าเป็นช่วงเช้า และช่วงเย็นที่ไม่มีแดด
ก็ปรับระดับให้หยดช้าหน่อย
ช่วงกลางวันอากาศร้อนๆ
ก็ปรับให้หยดเร็วขึ้น

ทดลองมาครบเดือน ปรากฏว่า เจ้าหญิงสีดา ชอบใจมาก
มันเต่งตึงตลอดเวลาเลยเชียว ไม่ต้องรดน้ำแบบฉีดซู่ ซู่ แบบเคยอีกเลย

พอเห็นเจ้าหญิงสีดาแล้ว ก็เลยปิ๊งแว๊บขึ้นมาว่า
เรื่องเล็กๆอย่างน้ำหยด ห้ามมองข้าม หรือดูถูกมันเชียวนะ
คนเราถ้าจะทำอะไรก็ตาม ไม่ต้องมาก แต่ขอให้ทำสม่ำเสมอ
เห็นผลดี กว่าคนที่ทุ่มเททำอะไรใหญ่ๆ แต่ทำไม่บ่อยซะอีก

เหมือนกระต่ายวิ่งแข่งกับเต่า
เต่าชนะกระต่าย แม้จะช้าแต่ไม่เคยหยุดเดิน

เหมือนการเก็บเงินในกระปุกออมสิน
เหรียญบาท เหรียญห้าบาท เหรียญสิบบาทเก็บทุกวัน
ไม่นานก็ได้เงินเป็นพัน

การปฏิบัติธรรมก็เช่นกันค่ะ
ถ้าปฏิบัติในรูปแบบด้วยการนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรม
วันละชั่วโมง สองชั่วโมง แต่หลังจากนั้นก็หลงตลอดเกือบ 20 กว่าชั่วโมง
ก็คือการประมาทเหมือนเจ้ากระต่าย ที่เดินเร็วก็จริง แต่ก็แอบงีบระหว่างทาง

การกินข้าวแล้วดูหนัง โดยที่ใจลอยไปอยู่ที่หนังไม่ได้อยู่ที่ข้าว
แปรงฟันก็ใจลอยคิดไปเรื่องนู้นเรื่องนี้
ล้างจาน ก็มัวแต่คิดจะให้เสร็จเร็ว มือล้างไป แต่ใจหนีหายไปไหนละเนี่ย
การปฏิบัตินั้นก็ให้ผลช้า

แต่ถ้าเราฝึกสติในชีวิตประจำวัน
ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด
มีสติรู้ตัว ทำอะไรรู้ตัว
ทีละนิด ทีละนิด เหมือนน้ำหยด
เล็กๆ แต่สม่ำเสมอ
เหมือนเต่าที่เดินช้าก็จริง แต่มันไม่หยุดเดิน
เราก็จะมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม รู้กาย รู้ใจตนเอง

ถ้าถามว่า ทำไมต้องปฏิบัติธรรม เจริญสติด้วยล่ะ ?
ก็ต้องตอบว่า คนในโลกส่วนใหญ่ต่างก็รักสุขเกลียดทุกข์
และคนส่วนใหญ่ก็อยากหาทางออกจากความทุกข์นั้น
โดยไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง

พอบอกให้ปฏิบัติธรรม บางคนส่ายหน้า
ประหนึ่งจะต้องกินยาขม หรือออกรบกับข้าศึก
สุดท้ายก็ขอจมอยู่กับความทุกข์กันต่อไป
ก็ได้แต่รอให้มีใครยื่นมือมาช่วยฉุดให้พ้นจากทุกข์นั้น

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะคะ

ถ้าคุณไม่อยากทุกข์ ก็อย่าหนีมัน
เผชิญหน้ากับทุกข์ด้วยความเข้าใจ
ซึ่งความเข้าใจนี้
เกิดได้จากการฝึกสติ
ภาวนาให้เกิดปัญญาขึ้นมา
ใจมันจะยอมรับ
ไม่ดีดดิ้นหนีความทุกข์ แต่เห็นทุกข์ด้วยใจเป็นกลาง
รู้มันแบบซื่อๆ ว่าความทุกข์มาเยี่ยม แล้วมันก็ผ่านไป

เริ่มแบบเล็กๆเหมือนน้ำหยดนี่หละ
มีสติอยู่กับสิ่งที่คุณกำลังทำในชีวิตประจำวัน

อยากให้ชีวิตดีขึ้น ทำให้ครบองค์ คือ ทาน ศีล ภาวนา
ให้ทานเพื่อสละความตระหนี่ออกจากใจ
รักษาศีลใจให้ใจเป็นปกติสุข
ภาวนาให้เกิดปัญญา

สติ ไม่ทิ้งเรา ถ้าเราไม่ทิ้งสตินะคะ

 

 




 

Create Date : 19 เมษายน 2556    
Last Update : 19 เมษายน 2556 18:02:42 น.
Counter : 1394 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

newanatta
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Friends' blogs
[Add newanatta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.