"แล้วมันก็ผ่านไป"
Group Blog
 
All blogs
 

แผนที่ความคิด

ขอหมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไป ในวัยนักศึกษาซักหน่อย Smiley Smiley Smiley

ช่วงเวลานั้น มีนักศึกษาคนหนึ่ง เวลาเข้าเรียน ก็จด จด จด เล็กเชอร์ตามที่อาจารย์สอน

กลับมาถึงห้องพัก ก็เอาเล็กเชอร์ที่จดด้วยลายมือขยุกขยิกยุ่งเหยิง มานั่งเขียนใหม่ให้สวยงามขึ้น

ช่วงเวลาใกล้สอบ ก็เอาเล็กเชอร์ที่เขียนด้วยลายมือเรียบร้อย มานั่งเขียนเป็น Mind Map* วาดรูปไปตามมีตามเกิด เท่าที่คนไม่มีหัวศิลปะจะนึกได้

แล้วเพื่อนร่วมห้อง ก็ถามนักศึกษาคนนั้นด้วยความประหลาดใจ

เพื่อน      : "นี่เธอ ใกล้สอบแล้ว นั่งวาดรูปไรอยู่เหรอ ไม่อ่านหนังสือล่ะ ?"

นักศึกษา : "ก็กำลังอ่านอยู่นี่แหละ แต่การอ่านของฉัน ใช้วิธีการวาดรูป มันจำแม่นดี"

เพื่อน      :  ? ? ?

* Mind Map ที่ว่า ก็คือ แผนที่ความคิด เพื่อนๆคงเคยได้ยิน ได้รู้จัก ได้ใช้ เจ้าแผนที่ความคิดนี้มาบ้างแล้ว

ขออนุญาตขยายความเพิ่มเติม สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยสัมผัสเจ้า Mind Map นะคะ

Mind Map® หรือ แผนที่ความคิด เป็นวิธีจดบันทึกความคิดด้วยทักษะของสมองสองซีก เพื่อให้เห็นภาพของความคิดที่หลากหลายมุมมอง กว้าง และชัดเจน เขียนตามความคิดที่เกิดขึ้นขณะนั้น เขียนเหมือนต้นไม้แตกกิ่งก้านสาขาออกไปเรื่อย ๆ ช่วยทำให้สมองได้คิด ได้ทำงานตามธรรมชาติใช้จินตนาการอย่างเต็มที่

ผู้ประสิทธิ์ประสาทคือ โทนี บูซาน (Tony Buzan) ชาวอังกฤษ เมื่อปี 2517 เป็นผู้นำเอาความรู้เรื่องสมองมาปรับใช้เพื่อการเรียนรู้ของเขา โดยพัฒนาการจดบันทึกแบบเดิมที่เป็นตัวอักษร เป็นบรรทัด ๆ เป็นแถว ๆ ใช้ปากกาหรือดินสอสีเดียวในการจดบันทึก เปลี่ยนมาเป็นบันทึกด้วยคำสั้น ๆ ภาพ สัญลักษณ์ แบบแผ่รัศมีออกรอบ ๆ ศูนย์กลางเหมือนการแตกแขนงของกิ่งไม้ ใช้สีสันหลากหลาย โทนี บูซาน เขียน Mind Map® บันทึกทุก ๆ เรื่อง ทั้งชีวิตส่วนตัวและการงาน เช่น การวางแผน การตัดสินใจ การช่วยจำ การแก้ปัญหา การนำเสนอ และการเขียนหนังสือ เป็นต้น

 

ขอบคุณข้อมูลจาก //www.book-dd.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/pv/2

ในสมัยตอนเป็นนักศึกษา คณะที่ฉันเรียนต้องอาศัยการท่องจำเป็นหลัก ก่อนสอบฉันก็จะ ท่อง ท่อง แล้วก็ท่อง และทุกครั้งที่สอบเสร็จ สิ่งที่ท่องมาแทบเป็นแทบตายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

วันหนึ่ง ฉันไปเจอหนังสือ เกี่ยวกับ Mind Map ของคุณโทนี่ บูซาน ที่แปลเป็นภาษาไทย โดย คุณ ธัญญา ผลอนันต์ นับจากนั้น ชีวิตการเรียนของฉันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ฉันไม่เคยนั่งท่องจำในสิ่งที่เรียนมาอีกเลย ก่อนสอบฉันจะเอาเนื้อหาที่เรียน มาเขียนเป็น Mind Map และพบว่า ช่วงทำข้อสอบ ฉันจำภาพ Mind Map ได้อย่างแม่นยำ สมองของเรา จดจำ รูปภาพ และสีสัน ได้ดีกว่าตัวหนังสือจริงๆค่ะ

พอเข้าสู่วัยทำงาน ฉันก็ลืมเจ้า Mind Map ไป จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว หน้าที่การงานเริ่มซับซ้อน ฉันจึงนึกถึงการใช้ Mind Map อีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้หวังจะท่องจำอะไรเหมือนสมัยเรียน

แต่การเขียน Mind Map ทุกเช้าก่อนเริ่มงาน เป็นเสมือนการ "วางแผน" ว่าวันนี้เราต้องทำอะไรบ้าง  แล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะการเขียน Mind Map ในการทำงาน เป็นการจัดระเบียบสมอง จัดลำดับความสำคัญ และเห็นภาพของงานได้ชัดเจนขึ้นค่ะ

"อาจารย์ธัญญา ผลอนันต์ นำเสนอว่า แท้จริงแล้วสมองคนเราคิดแบบเชิงรัศมี กระจายทุกด้าน ในขณะที่ การเขียนหนังสือของคนเรา ที่เขียนจากซ้ายไปขวา หรือบนลงล่าง นั้นเสมือนการบังคับว่า ให้ต้องคิดในแนวเดียว จำกัดจินตนาการ ก็ในเมื่อสมองคนเราคิดแบบแผ่รัศมีรอบด้าน ทำไมเราไม่จดบันทึกทำแผนที่ชีวิตให้รอบด้านล่ะ โดยการกระจายออกจากจุดศูนย์กลาง แล้วแยกแตกสาขาออกไป

Mind Map จึงเปรียบเสมือนเครื่องมือที่เรานำมาใช้ในการจำลองภาพการ คัดกรอง การแยกแยะ ประมวลความคิดให้เป็นหมวดหมู่ แล้วนำเสนอออกมาในรูปแบบของ "แผนที่" เป็นการจดบันทึกรูปแบบหนึ่ง ที่เมื่อเปรียบเทียบกับการบันทึกในรูปแบบเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็น การเขียนไดอารี่ การสรุปย่อ การเขียนแบบแยกข้อย่อย การเขียนแบบสารบัญ ฯลฯ แล้วจะพบว่า Mind Map นั้นเป็นเครื่องมือที่สะท้อนความคิดในสมองของเราออกมาได้ครบทุกด้านมากกว่า

จุดเด่นของ Mind Map ก็คือ การเป็น Free from ไร้รูปแบบที่ชัดเจน แต่ให้เราสามารถเติมจินตนาการลงไปได้อย่างต่อเนื่องและไม่มีขีดจำกัด จึงกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกวงการ"

(ขอบคุณข้อมูลจาก //www.oknation.net/blog/print.php?id=721278//www.oknation.net/blog/print.php?id=721278 ) 

"แผนที่" มีความสำคัญสำหรับการเดินทาง หากวันใดที่รู้สึกเดินวนหลงทาง ลองใช้ แผนที่ความคิด สำรวจใจตัวเองดูนะคะว่าตอนนี้ เรากำลังจะเดินทางไปไหน แล้วต้องเดินอย่างไรให้ถึงเป้าหมาย

บางครั้งการนั่งวาดรูปเล่นๆ เป็น Mind Map อาจทำให้เราเห็นตัวเองได้ชัดเจนขึ้นค่ะ

Smiley




 

Create Date : 29 มีนาคม 2556    
Last Update : 30 มีนาคม 2556 9:55:32 น.
Counter : 6469 Pageviews.  

ย้ายบ้าน หรือ ย้ายใจ

คุณเคยย้ายบ้านไม๊คะ ?

ในชีวิตนี้ฉันเคยย้ายบ้าน 2 ครั้ง !

ครั้งแรก เกิดขึ้นในวัยเด็กอายุเพียง 2 ขวบ แน่นอนฉันจำเหตุการณ์นั้นไม่ได้หรอก นอกจากได้ฟังมาจากพ่อแม่ หรือญาติๆ ซึ่ง การย้ายบ้านในครั้งนั้น ไม่ได้ย้ายข้ามจังหวัด แต่ต้องย้ายเพราะบ้านที่อยู่น้ำท่วมจนอยู่ไม่ได้

อ้อ! ลืมบอกค่ะ ฉันเป็นคนกรุงเทพฯเต็มตัว เกิดและโตในกรุงเทพฯ อย่างแท้จริง แต่แปลก ที่ฉันไม่พิสมัยกรุงเทพฯเท่าไหร่นัก แน่ล่ะ กรุงเทพฯมีความสะดวกสบายให้ทุกอย่าง แต่ในวัยนั้น ฉันรู้สึกแปลกแยกจากกรุงเทพฯ และอยากย้ายหนึไปอยู่ต่างจังหวัดไกลๆ ฉันมองเห็นข้อเสียของกรุงเทพฯมากกว่าข้อดีของมัน

ดังนั้นการย้ายบ้านในครั้งที่ 2 จึงเกิดจากการตัดสินใจของฉันเอง หลังจากที่ฉันเดินข้ามสะพานลอยหน้าห้างแห่งหนึ่งแถวบางกะปิ ในขณะที่เดินสวนกับผู้คนมากมาย ฉันมองเห็นคนเหล่านั้น เดินแข็งทื่อและรีบเร่ง เหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้ความรู้สึก แม้เดินอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่ช่างวังเวงใจบอกไม่ถูก

กลับบ้านวันนั้น ฉันตัดสินใจเดินดุ่ยไปคุยกับพ่อ แล้วบอกท่านตรงๆว่า "พ่อ เราย้ายบ้านกันเถอะ !"

ด้วยความเอาแต่ใจของฉัน พร้อมกับเหตุผลร้อยแปด พันเก้า บวกกับการชักแม่น้ำหมดทั้งโลก กล่อมจนพ่อยอมย้ายบ้านจนได้

คราวนี้ เราตัดสินใจลาออกจากพลเมืองของคนกรุง(เทพ) ไปอยู่ไกลถึง จังหวัดเชียงใหม่

การย้ายบ้านครั้งนี้ เป็นการย้ายบ้านครั้งใหญ่ หลังจากที่เราอยู่บ้านหลังนี้มาเกือบ 20 ปี ข้าวของที่เก็บสะสมมามีมากมาย ก็ต้องตัดสินใจขายไป ให้ไป ทิ้งไป เก็บไว้แต่ที่สำคัญๆเท่านั้น

ฉันเรียกปรากฎการณ์การย้ายบ้านครั้งนี้ว่า "การทุบหม้อข้าวตัวเองทิ้ง" เพราะนึกถึง ตำนานที่พระเจ้าตากสิน บุกเมืองจันทบุรี โดยการทุบหม้อข้าวทิ้ง เพื่อให้เหล่าทหารมีกำลังใจที่ฮึกเหิม หากไม่ชนะก็ไม่มีข้าวกิน เพราะตัวฉันเอง ขายบ้านที่กรุงเทพฯ เพื่อย้ายบ้านไปเชียงใหม่ ทั้งที่เชียงใหม่ฉันยังไม่มีบ้านอยู่เลย แต่ด้วยความตั้งใจแรงกล้า แม้ไม่มีบ้าน ฉันก็ไม่กลัว! ยังไงฉันก็ต้องไป ฮึ่มม Smiley

และปีนี้ ก็ครบ 8 ปีแล้ว สำหรับการมาอยู่เชียงใหม่ ฉันตัดสินใจไม่ผิดเลยที่ย้ายมาที่นี่ ชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทำให้ฉันมีความสุขมากกว่าการอยู่กับป่าคอนกรีตจริงๆ

แม้เชียงใหม่วันนี้จะเริ่มพลุกพล่านด้วยผู้คน เมืองเติบโตมากขึ้น มีห้างสรรพสินค้าสร้างใหม่หลายแห่ง รถติดขึ้น มลภาวะเริ่มเยอะขึ้น และฉันยังคิดเล่นๆว่า จะต้องย้ายบ้านหนีอีกไม๊นี่ ?

แต่บทเรียนจากการย้ายบ้านครั้งก่อน ก็ทำให้ฉันเข้าใจว่า หากใจเราไม่มีความสุข แม้จะอยู่ที่ใดก็ไม่มีความสุข การย้ายบ้านหนี ไม่ใช่การแก้ปัญหาหรอก การปรับตัวปรับใจเราต่างหากสำคัญที่สุด

องค์ประกอบที่สำคัญของ "บ้าน" คือ สมาชิกในบ้าน และความรักจากคนในบ้าน ก็ทำให้บ้านน่าอยู่ที่สุด แม้บ้านหลังนั้นจะไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดก็ตาม

คำครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า "อยู่ตรงไหนก็มีปัญหา เพราะปัญหาอยู่ที่ใจเราเอง"

เสมือน สุนัขขี้เรื้อน มันนอนเกาแผลบนตัวมัน แม้มันจะย้ายไปนอนที่ไหน มันก็ยังคันอยู่ดี !

"การย้ายบ้าน" จึงไม่สำคัญเท่า "การย้ายใจ" จริงไม๊คะ ?

Smiley

 




 

Create Date : 27 มีนาคม 2556    
Last Update : 27 มีนาคม 2556 16:03:19 น.
Counter : 2058 Pageviews.  

โดราเอมอน กับ ความรักของพ่อ

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก........

เราต่างมีการ์ตูนเรื่องโปรดของตัวเอง

สำหรับฉัน การ์ตูนเรื่องโปรดในวัยเยาว์ คือ "โดราเอมอน"

แม้ตอนนี้จะโตเป็นผู้ใหญ่ และไม่ได้ดูการ์ตูนเหมือนเดิมแล้ว แต่สิ่งที่ยังอยู่ในความทรงจำเสมอมา

ก็คือ ภาพที่พ่อของฉัน ซื้อหนังสือการ์ตูน "โดราเอมอน" กลับมาที่บ้าน หนังสือการ์ตูนเล่มนั้นอยู่ในถุงพลาสติกใส พ่อซื้อมาจากแผงหนังสือแถวที่ทำงาน บางครั้งมี 1 เล่ม บางครั้งมี 2 เล่ม ! แต่จะกี่เล่ม ฉันก็ดีใจทุกครั้งที่ได้อ่าน

และ พ่อ มักจะมีคำพูดติดปากก่อนยื่นถุงการ์ตูนให้ฉันทุกที...

"ทำการบ้านให้เสร็จก่อนนะลูก แล้วค่อยอ่าน" และมันก็ได้ผลทุกครั้ง ฉันรีบทำการบ้านอย่างเร่งด่วน เพียงเพื่อจะได้นั่งอ่านโดราเอมอน อย่างสบายใจ

ดังนั้น หนังสือการ์ตูนที่เยอะที่สุดที่ฉันมีในวัยเด็ก ก็คือ โดราเอมอนนี่แหละ

เสียดายที่ตอนย้ายบ้าน ฉันขายทิ้งให้กับร้านขายของเก่าไปเยอะเลย เลือกเพียงตอนที่ชอบเก็บไว้ไม่ถึง 20 เล่ม

เมื่อวันก่อน ฉันเดินไปห้องเก็บของ เพื่อจะค้นหาการ์ตูนโดราเอมอนที่พ่อเคยซื้อให้ ไม่ใช่เพราะฉันอยากอ่าน แต่เพราะฉันอยากกลับไปซึมซับความรู้สึกถึงความรักที่พ่อมีให้ฉันในวัยเด็กอีกครั้ง

ฉันค้นมาได้เกือบ 10 เล่ม แต่ละเล่มนั้นเก่าตามกาลเวลา บางเล่ม ปกหน้าหายไปแล้ว บางเล่ม ปกหลังไม่มี !

 

พ่อถามฉันว่า "เข้าไปหาอะไรในห้องเก็บของเหรอลูก ?"

"ไปหา การ์ตูนโดราเอมอนค่ะ !"

พ่อยิ้มและถามต่อว่า "ยังอยากอ่านการ์ตูนอยู่อีกเหรอ ?"

 "หนูคิดถึงความรู้สึกในตอนเด็กที่พ่อซื้อการ์ตูนให้น่ะค่ะ !"

 "พ่อจำได้ไม๊ ตอนที่พ่อซื้อการ์ตูนให้หนู พ่อคิดยังไง ?"

พ่อทำหน้าคิด และตอบฉันว่า "จำไม่ได้หรอก มันนานมากแล้วนะ !"

.....

ฉันเงียบไป ไม่ได้พูดอะไรต่อ

ในความเงียบนั้น ทำให้ฉันได้คิดว่า ความรักที่พ่อและแม่มีให้ลูก ช่างบริสุทธิ์งดงาม เพราะท่านให้ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆจากลูกเลย ท่านไม่ได้จำว่าให้อะไรไปบ้าง ให้ไปแล้วเท่าไหร่ แล้วลูกจะต้องตอบแทนกลับมาขนาดไหน

คิดถึงบทกลอนที่เคยอ่าน อ่านทีไร ก็น้ำตาซึมได้เกือบทุกครั้ง...

 

พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จำจากเจ้าไม่อยู่นาน
จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววารของคืนวัน

ใจจริงไม่อยากจาก เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
แต่ชีพมิทนทาน ย่อมร้าวรานสลายไป

ขอเถิดถ้าสงสาร อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ
คนแก่ชะแรวัย คิดเผลอไผลเป็นแน่นอน

ไม่รักก็ไม่ว่า เพียงเมตตาช่วยอาทร
ให้กินและให้นอน คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ

เมื่อยามเจ้าโกรธขึง ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ยามป่วยไข้ ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน

เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่ แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียงจะได้ยล เติบโตจนสง่างาม

ขอโทษถ้าทำผิด ขอให้คิดทุกทุกยาม
ใจแท้มีแต่ความ หวังติดตามช่วยอวยชัย

ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง มีหรือหวังอยู่ทนได้
วันหนึ่งคงล้มไป ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง

 

คนใกล้ตัวฉันบอกว่า "การกอด" เป็นการแสดงความรักที่อบอุ่น

ดังนั้น ทุกเช้าก่อนออกไปทำงาน หลังจากที่พ่ออวยพรฉัน ให้ฉันขับรถอย่างปลอดภัย ทำงานสำเร็จ สมหวังทุกอย่างที่ฉันต้องการ ฉันจะกอดพ่อ และบอกกับพ่อว่า "หนูรักพ่อค่ะ"

ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป แสดงความรักให้ท่านได้ทราบนะคะ

เมื่อวันใด ที่ต้องจากกัน คุณจะไม่รู้สึกวังเวงใจเลย...

เพราะคุณทำหน้าที่ของลูก ได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว

Smiley

 

 

 

 

 




 

Create Date : 25 มีนาคม 2556    
Last Update : 26 มีนาคม 2556 9:57:34 น.
Counter : 1384 Pageviews.  

จับถูก ดีกว่า จับผิด

เคยโดน จับผิด กันบ้างไม๊คะ ?

แล้วเคย จับผิด คนอื่นบ้างไม๊เอ่ย ?

หลายปีก่อน ฉันเคยได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งจากพี่ชายที่แสนดีท่านหนึ่ง  หนังสือเล่มนี้ ชื่อว่า

"วาฬบอกเยี่ยม! Whale Done! พลังแห่งสัมพันธภาพด้านบวก"

 โดย เคน แบลนชาร์ด แปลโดย คุณ ชมนารถ ค่ะ 

 

 

 

     เนื้อหาของ "วาฬบอกเยี่ยม" นั้นเยี่ยมสมชื่อจริงๆเมื่ออ่านจบ ใจความสำคัญ คือ การกล่าวชื่นชมผู้อื่นในเวลาที่เค้าทำในสิ่งที่ดี และเบี่ยงเบนความสนใจจากการกระทำที่ไม่ดี ให้เป็นสนใจและชื่นชมในสิ่งที่เค้าทำดีและถูกต้องมากกว่า เพราะ

"ยิ่งคุณให้ความสนใจกับพฤติกรรมหนึ่งๆมากเท่าไร พฤติกรรมนั้นก็จะถูกทำซ้ำมากขึ้นเท่านั้น"

      ผู้เขียนค้นพบวิธีเพิ่มสัมพันธภาพด้านบวกนี้ จากหลักการฝึก ปลาวาฬเพชฌฆาต ที่สวนสัตว์น้ำ ซีเวิลด์ ซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ปลาวาฬเพชฌฆาตเหล่านี้ ยอมกระโดดขึ้นเหนือน้ำ แล้วดำดิ่งลงสู่ใต้ผิวน้ำ พร้อมกับยอมให้ผู้ฝึกขี่อยู่บนหลังพวกมันได้ยังไง? ถ้าไม่ใช่เพราะครูฝึก ใช้หลักการ "วาฬบอกเยี่ยม" คือ การใช้ความจริงใจ และการชื่นชมในสิ่งดีๆที่ปลาวาฬเหล่านี้ทำ

หรือหากมีช่วงเวลาที่ ปลาวาฬเพชฌฆาต ทำไม่ถูกต้อง แทนที่ครูฝึกจะดุหรือทำโทษ กลับเบนความสนใจไปหาสิ่งที่ปลาวาฬทำถูกต้องมากกว่า

 "เป็นกฎง่ายๆ แต่มีพลังมหาศาลที่จะต้องจดจำ ก็คือ ถ้าคุณไม่อยากสนับสนุนพฤติกรรมที่ไม่ดี ก็อย่าใช้เวลากับมันมากนัก แต่เราจะใช้วิธีเปลี่ยนช่องพลังแทน"

  หลังจากที่ฉันได้ทดลอง วิธีการ "วาฬบอกเยี่ยม" มาหลายปีแล้ว ก็พบว่า มันให้ผลดีจริงๆนะ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ กับคนในครอบครัว, ที่ทำงาน หรือ เพื่อนๆ ทุกคนต้องการคำชมที่จริงใจค่ะ

ตอนแรกก็เคยนึกสงสัยเหมือนกันค่ะ ถ้ามีแต่คนพูดชมเราอย่างเดียว แล้วถ้าเราทำผิดเราจะรู้ตัวรึเปล่านะ? ซึ่่งคนใกล้ตัวของฉัน เรียกสั้นๆว่า"แฟน" Smiley ชอบเอ่ยชมฉันอย่างตรงไปตรงมามากๆ ตอนแรกก็นึกเคือง (อยากไล่ให้ไปอ่าน "วาฬบอกเยียม" จัง) แต่ตอนหลังก็รู้สึกดี ที่บอกกันตรงๆ ว่าฉันมีข้อผิดพลาดตรงไหน อะไรบ้าง

จุดนี้ จึงต้องขึ้นอยู่กับทั้ง 2 ฝ่ายแล้วค่ะ

ฝ่ายผู้พูด เมื่อจำเป็นต้องพูดเพื่อปรับปรุง หรือชี้จุดผิดพลาดกับใคร ขอให้ใช้หลักการของ พระพุทธเจ้าค่ะ นั่นคือ หลัก วาจาสุภาษิต ได้แก่ พูดให้ถูกเวลา,พูดความจริง,พูดจาอ่อนหวาน,เป็นคำพูดที่ประกอบด้วยประโยชน์ และสุดท้าย พูดด้วยความเมตตา ถ้าคิดว่าตัวเองมีครบทั้ง 5 ข้อนี้ ก็ขอให้พูดเถอะค่ะ เพราะคุณพูดด้วยความรัก และความปรารถนาดีต่อคนฟังจริงๆ

ฝ่ายผู้ฟัง ขอให้เป็นผู้ฟังที่ดี เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ผู้พูดบอกเราแล้ว เห็นจริงตามนั้น ก็ควรขอบคุณที่เค้าพยายามจะช่วยเหลือให้เราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นนะคะ

    ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้รับฟังความจริง (ที่ไม่ค่อยอยากฟัง) หรอกนะคะ เพราะมันกระทบกับอัตตาตัวตนของเราเต็มๆ แต่เมื่อคิดดีๆแล้ว คนที่ไม่รักเราจริง เค้าไม่มาพูดให้เรารู้สึกแย่กับเค้าหรอกค่ะ ก็เลยถือเป็นการฝึกลด อัตตาตัวกู ทุกครั้งที่ได้ฟังแล้วกันเนอะ

   ลองหันไปมองคนข้างๆ ของคุณดูนะคะ ถ้าเค้าทำในสิ่งที่ดี ขอให้เอ่ยชมเค้าบ้าง เป็นกำลังใจให้เค้าทำในสิ่งที่ดีต่อไป หมั่นสังเกตสิ่งดี และมองข้ามสิ่งที่ไม่ถูกใจคุณไปซะ บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องพูด แต่เราทำตัวเองให้เป็นตัวอย่างที่ดีกับคนรอบข้างได้

มา "จับถูก" คนข้างๆคุณกันดีกว่าค่ะ !

Smiley

 




 

Create Date : 23 มีนาคม 2556    
Last Update : 23 มีนาคม 2556 18:18:54 น.
Counter : 2608 Pageviews.  

ทำดี ต้อง"ฝืนใจ"

เคยตกเป็นทาสของ "ตัณหา" ไม๊คะ ? Smiley

"ตัณหา" คือ ความอยาก แยกให้ละเอียดคือ

1. กามตัณหา(ความอยากมี)

2. ภวตัณหา (ความอยากเป็น)

3. วิภวตัณหา (ความอยากไม่ให้มี ความอยากไม่ให้เป็น)

ที่มาตั้งคำถาม เพราะคนเขียนอยากหาเพื่อนที่ตกเป็นทาสของตัณหาเหมือนกัน ฮี่ฮี่ Smiley

ขอเล่านิดนึงค่ะ ว่าปกติไม่ค่อยชอบดูละคร หรือซีรีส์เกาหลีทั้งหลายที่คนเค้าฮิตดูกันเท่าไหร่นัก

ที่ไม่ชอบ ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบดู แต่ไม่ชอบเวลาที่ตัวเองดูแล้ว "ติด"ต่างหาก อิอิ

แล้วเมื่อวันก่อน เอารถไปเคลมประกันที่ศูนย์ฯ ตอนที่นั่งรอประกันอยู่ ก็เห็นที่ศูนย์ฯเปิดโทรทัศน์ช่อง 3  เป็น ละครตอนบ่ายที่เอามารีรันใหม่ เรื่อง "วนิดา"ค่ะ จำได้ว่าดูเมื่อ 3 ปีที่แล้วฉายตอนกลางคืน ตอนนั้นดูแล้วก็ชอบมากกกก ติดเลย !  แล้วเมื่อคืนก็เข้า YouTube ดูซะหลายตอน โอยยย ติดอีกแล้วอ่ะ !!! ฮ่วย Smiley

พอติด! ก็ดูต่อไปเรื่อยๆ ไม่หลับ ไม่นอน ทั้งที่ควรจะนอน บอกตัวเองว่า ให้เวลาชั่วโมงเดียวนะ ! แต่แป๊บๆ เหลือบมองนาฬิกาอีกที ปาเข้าไป 2 ชั่วโมงแล้วอ่ะ ! 

ตอนที่ดูก็สนุกดีค่ะ แต่มันสนุกแบบไม่สบาย มันไม่มีความสุข เพราะเรามีความอยากดู และมีความอยากที่จะไม่ดูด้วย ทุกข์ซ้ำซ้อนเลยนะเนี่ยยย ก็ได้แต่ตามรู้กายรู้ใจตัวเองไป เท่าที่สติจะเอื้ออำนวย !

จริงๆแล้ว การ "ติด" อะไรซักอย่าง ถ้าไม่ทำให้เสียการเสียงาน เสียเวลา หรือ เสียสุขภาพ ก็ไม่มีอะไรเสียหายนะคะ เพียงแต่ ถ้าอาการ "ติด" นั้น ทำให้เราเสียอะไรไป ก็ควรต้องพิจารณาแล้วค่ะ ว่าควรจัดการ อาการ "ติด" นั้นอย่างไรดี

นึกถึง คำสอนหนึ่ง ของครูบาอาจารย์ที่นับถือ หลวงพ่อ จรัญ ฐิตธัมโม ท่านสอนให้ "ฝืนใจ"

"ทำดี ต้องฝืนใจนะ"

"ฝืนใจ สำเร็จทุกอย่าง ถ้าฝืนใจไม่ได้ไม่ต้องทำงาน อายปลา ปลามันฝืนน้ำขึ้นไปได้"

ธรรมชาติของจิต ไหลลงที่ต่ำเสมอ เราจึงต้องฝึกฝนตนเองเพื่อทวนกระแสขึ้นไป เปรียบเหมือนปลาที่ว่ายทวนน้ำ เพราะปลาที่ปล่อยตัวตามน้ำ คือ ปลาที่ตายแล้ว เปรียบเหมือนคนที่ประมาทแล้วฉะนั้น !

หลายครั้งเราก็ปล่อยตัวเองให้ตกเป็น "ทาส" ของตัณหา ซึ่งเจ้าตัณหานี้ฉลาดมาก เพราะไม่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นทาสของมันเลย มันใช้หลักการปกครองในแบบที่ ไม่ให้ผู้ที่ถูกปกครองรู้ว่าตัวเองกำลังถูกปกครองอยู่ !!! ฉลาดไม๊ล่ะคะ เจ้าตัณหาเนี่ย ! ดังนั้นเวลาที่เราไม่มี "สติ" เราก็ยอมตกเป็นทาสมันแต่โดยดี เช่น ฉันเอง ฮือ ฮือ Smiley

ในเมื่อมันฉลาด เราก็ต้องฝึกปัญญาของเราให้ฉลาดมากกว่ามัน วิธีที่จะหลุดพ้นจากความเป็นทาสได้ ต้องใช้หลัก อหิงสา ค่ะ หลวงพ่อปราโมทย์ ครูอาจารย์ที่ฉันนับถืออีกองค์หนึ่ง สอนไว้ว่า กิเลส มันร้าย แต่มันขี้อายนะ วิธีสู้กับมัน จึงไม่ใช่การจับอาวุธสู้รบ ต่อต้านมันรุนแรง แต่ต้องรู้ทันมัน รู้ทันจิตใจตัวเองค่ะ การรู้จิตใจตัวเอง ทำให้เกิด "สติ"  และ "สติ" ย่อมไม่เกิดพร้อมกับ "กิเลส" เมื่อ สติเกิด กิเลสตัณหาก็กระเด็นหลุดไปจากใจค่ะ มันขี้อายน่ะค่ะ โดนจับได้ก็หนีไปตามธรรมดา (แต่เมื่อวานจับได้ แล้วไม่ยอมไล่มัน Smiley)

ตัวฉันเองก็ยังคงเป็น "ปุถุชน" หลงบ้าง เผลอบ้าง รู้บ้าง แต่ก็พยายามฝึกฝนตนเอง ให้เหมือนปลาที่ว่ายทวนน้ำอยู่เสมอ เมื่อคราวแพ้ต่อตัณหา ก็ต้องยอมรับ และปรับปรุงฝึกฝนสติให้แข็งแรงขึ้นอีก

แต่ก็ไม่หยุดที่จะ ว่ายทวนน้ำ ค่ะ เพราะ ทำดี ต้อง "ฝีนใจ" นี่คะ

Smiley




 

Create Date : 21 มีนาคม 2556    
Last Update : 22 มีนาคม 2556 13:44:56 น.
Counter : 1310 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

newanatta
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Friends' blogs
[Add newanatta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.