:: ก๋าราณีตอบคำถามพี่จิรโรจน์ ::
{ ฝากบล็อกด้วยนะครับ }
ผมไม่อยู่หลายวันเลย ฝากบล็อกด้วยนะครับ วันอังคารจะกลับมาประจำบล็อกเหมือนเดิมครับ
:: ก๋าราณีตอบคำถามพี่จิรโรจน์ ::
ผมก็มีคำถามอยากจะถามคุณก๋าราณี
"ค่าของคนอยู่ที่ไหน"
จากที่ดูคลิปของคุณก๋าตอนไปอินเดีย คุณก๋าว่าเขาแบ่งฐานะกันเป็นชนชั้น คนมีค่าตามชนชั้นนั่นหรือ คนแก่มีค่าไหม คนเจ็บป่วยมีค่าอะไร คนพิการเขาทนอยู่ไปทำไม ขอทานที่อดๆยากๆเขาทนอยู่อย่างนั้นเพื่ออะไร
คำถามโดย : จิรโรจน์ วันที่ : 17 พฤศจิกายน 2554 เวลา : 12:30:05 น.
ก่อนไปอินเดียหลวงพ่อรูปหนึ่ง ท่านบอกกับผมว่า
“โยมไปดูนะ ว่าชีวิตของจัณฑาลที่อินเดียนั้น ย่ำแย่ขนาดไหน เผลอๆหมาในวัดอาตมา ยังมีคุณภาพชีวิตดีกว่าขอทานที่อินเดียอีก”
ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ เพราะการไปอินเดียในครั้งนั้น ผมตัดสินใจไม่หาข้อมูลใดใดเกี่ยวกับประเทศอินเดียเลย...
ทุกๆที่ที่ไปในสี่สังเวชนียสถาน ผมและคณะฯได้พบกับขอทานและจัณฑาลมากมาย ได้พบ ได้เห็น ได้เจอ “ภาพชีวิต” ที่ชวนรันทดสังเวชใจ
ภาพชีวิตที่เห็นตรงหน้า หลายครั้งทำให้สะเทือนใจมาก จนไม่อาจยกกล้องขึ้นมาบันทึกภาพ หลายๆเรื่องราวจากคำบอกเล่าโดยไกด์ชาวอินเดีย แทบทำให้ผมจินตนาการไม่ถูก ถึงความเศร้าในโชคชะตาที่มนุษย์คนหนึ่งพึงมี....
ทำไมพวกเขาถึงทนอยู่ในสภาพนั้น ? ทำไมไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของความเป็นคน ทำไมไม่คิดตะเกียกตะกายดิ้นรน เพื่อไปให้พ้นจากสภาพทนทุกข์ทรมานเช่นนั้น
ฯลฯ
สองวันแรก.... ความคิดของผมวนเวียนอยู่แต่กับคำถามเหล่านี้ ทุกครั้งที่ได้เห็นภาพของขอทานและจัณฑาล
หลวงพ่อท่านถามผมว่าเห็นขอทานแล้วรู้สึกอย่างไร ผมตอบท่านว่ารู้สึกสงสารและเศร้าใจ สังเวชใจ
หลวงพ่อมองหน้าผมแล้วท่านก็เอ่ยขึ้นว่า
“เห็นก็เพียงเห็น อย่าไปตัดสินว่าเขาทุกข์หรือจนกว่าเรา อย่าไปคิดเองเออเองว่าเขาลำบากกว่าเรานะโยม”
"ค่าของคนอยู่ที่ไหน"
คำถามนี้ผมคิดว่าเราต้องย้อนกลับไปถามตัวเองก่อนว่า เราวัดคุณค่าของความเป็นคนจากอะไร ?
วัดจาก “คุณค่า” หรือ “มูลค่า”
ถ้าเราวัดคุณค่าของคนจาก “มูลค่า” สิ่งที่เขาครอบครอง แน่นอน...คนรวยย่อมถูกตัดสินว่ามีชีวิตที่ดีกว่าคนจน เศรษฐีย่อมน่าจะมีความสุขสบายกว่าชีวิตขอทาน และคนที่ครอบครองทรัพย์สินมากมายมหาศาล น่าที่จะเป็นที่ยอมรับนับถือมากกว่าคนจนหมอนหมิ่นถิ่นแคลน
แต่ถ้าเราวัดค่าของคนจาก “คุณค่า” คงต้องย้อนกลับมาถามกันใหม่ว่า
“อะไรคือความแตกต่างของความเป็นมนุษย์”
ถ้ามองในมิตินี้ ทั้งกษัตริย์และยาจก ทั้งนายกและจับกัง ทั้งนายแพทย์ พระเถระ นายทหารระดับสูง พลตำรวจ ทนายความ นักแสดง นักพูด พ่อค้าแม่ขาย ครู นักมวย ฯลฯ ทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลยในความเป็นเพื่อนร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตาย.....
ผมก็ตาย คุณก็ตาย ฉันก็ตาย เธอก็ตาย
ความตายที่มีคุณค่ากับความตายที่ว่างเปล่าเศร้าโศก มีอะไรที่แตกต่าง ?
คุณค่าความหมายที่ทำให้ความตายของคนๆหนึ่ง แตกต่างจากคนอีกคนหนึ่ง นั่นคือ สิ่งที่เขาได้ทำก่อนตาย หรือที่เราเรียกว่า “หน้าที่ของความเป็นมนุษย์” นั่นเอง
ถ้าใครสักคนเดินตกบันไดแล้วขาหัก คนนั้นจะเป็นขอทานหรือนักกีฬาทีมชาติ ต่างก็เจ็บเหมือนกัน
วินาทีที่เราใกล้ตาย ขอทานอาจไม่ห่วงอะไรเลย เพราะทุกข์กับชีวิตมานานจนชินชา ตายแบบไม่ต้องห่วงหาอาลัยอาวรณ์ใดใด
ในขณะที่เศรษฐีพันล้านอาจนอนตายตาไม่หลับ ห่วงทั้งลูกหลานที่รอแย่งชิงมรดก ห่วงกิจการที่ตนเองสร้างมาทั้งชีวิตว่าใครจะสืบทอดความยิ่งใหญ่ ฯลฯ
แบบนี้...ไม่รู้ใครทุกข์กว่าใครนะครับ
วันท้ายๆของการเดินทางในอินเดีย ผมมองขอทานเป็น “ครู”
ผมไม่เคยเห็นขอทานคนไหนตื่นเช้ามา แล้วเดินเอาเชือกไปผูกคอตายใต้ต้นไม้ เพื่อหนีความทุกข์เข็ญที่มีในชีวิต
ผมเห็นแต่ขอทานที่รู้ “หน้าที่” ของตน เห็นใครเดินมาก็เข้าไปขอ ขอข้าว ขอเงิน ได้ก็ดีใจ ไม่ได้ก็นั่งรอต่อไปอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดใด
หิวก็ทน มีข้าวก็กิน กินอิ่มแล้วนอน สืบพันธุ์ไปตามมีตามเกิด
เราอาจมองว่านี่เป็นชีวิตที่ชวนสังเวช หรือเป็นชีวิตที่ไร้ค่า
แต่ผมอยากให้เรามองในอีกแง่มุมหนึ่ง ชีวิตที่ดีที่เราใฝ่ฝันและปรารถนา บางคนเกิดตายอีกสิบชีวิต ยังไม่อาจบรรลุความฝันของตัวเองที่ตั้งไว้
อยากเรียนจบในสถาบันที่ดี อยากมีแฟนสวย มีลูกน่ารักสักสองคน อยากรวย อยากมีบ้านสวยๆ มีรถเท่ๆ มีมือถือรุ่นใหม่ให้ใช้ อยากเป็นคนอินเทรนด์ไม่ตกยุค อยากเป็นคนที่ติดตามข่าวสารได้ตลอดเวลา อยากได้รับความรักจากคนรอบข้าง ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากป่วย ไม่อยากตาย
ฯลฯ
ยิ่งเราอยากเท่าไหร่ ดูเหมือนเราจะยิ่งทุกข์มากเท่านั้น
ทุกข์ของเราจึงเป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการ “มีไม่พอ” ไม่ใช่ทุกข์เพราะ “ไม่มี”
แต่ทุกข์เพราะ “ไม่รู้จักพอ” .....
อินเดียเป็นประเทศใหญ่ คนมากมายมหาศาล ระบบวรรณะเป็นวิธีจัดการคน เพื่อแบ่งคนเป็นหมวดหมู่ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน
แน่นอนคนในวรรณะสูง ย่อมไม่อยากลดวรรณะของตนลงมาเกลือกกลั้ว กับคนในชั้นวรรณะที่ต่ำกว่า
แต่ถ้าไม่แบ่งคนเป็นกลุ่มๆเช่นนี้ ประเทศอินเดียคงยากจะปกครองด้วยความสงบ เพราะต่างคนต่างอยากจะถีบตัวเองให้สูงสุด
ในทุกประเทศหากมีแต่คนอยากเป็นคนรวย อยากเป็นนักปกครอง อยากมีอำนาจ ประเทศนั้นจะอยู่ได้อย่างไร ใครจะเป็นคนปลูกข้าว ใครจะเป็นคนเก็บขยะ ใครจะเป็นคนทำหน้าที่สูบส้วม ฯลฯ
ทุกๆคนจึงมี “หน้าที่” ของตนเอง
เมื่อไหร่ก็ตามที่คนๆนั้นสามารถรับผิดชอบ และดูแล “หน้าที่” ของตนเองได้ดีที่สุดอย่างเต็มความสามารถ
ผมว่าคนๆนั้นก็บรรลุถึงความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐแล้ว ไม่ว่าเขาจะต้องตายไปในฐานะใดก็ตาม
ที่อินเดียขอทานคือ "หน้าที่" เป็น "อาชีพ" ที่ถ่ายทอดจากพ่อไปสู่ลูก
ไม่มีทางเลือก มีแ่ต่ต้องยอมรับ
เรามองดูอาจจะรู้สึกว่าแปลก แต่ที่ิอินเดียทุกคนยอมรับ ว่านั่นคือ "หน้าที่" ที่พระเจ้ามอบลงมาให้เป็น และต้องกระทำโดยมิอาจขัดขืน
ศาสนาพุทธถึงเจริญได้เพียงชั่วเวลาสั้นๆ เพราะไปสอนว่าคนเราเกิดมาเท่าเทียมกัน (เป็นคำสอนในเชิงปรัชญาหรือแนวปัญญา คือไปมองว่าคนเราไม่ว่าจะเป็นใครล้วนแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ชนชั้นปกครองกลัวว่าคนระดับล่าง จะยกตนขึ้นมาทาบรัศมี)
แต่ศาสนาที่อยู่ยงคงกระพันมาตลอดนับหลายพันปีกลับเป็นศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเน้นไปยังความเชื่อและความศรัทธา และแบ่งแยกคนออกเป็นวรรณะตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด....
เมื่อพระเจ้าจัดวางตำแหน่งให้มนุษย์แล้ว มนุษย์คนนั้นก็มีหน้าที่ใช้ชีวิตไปตามหน้าที่ที่ตนมี
ไม่ว่าจะมองในเชิงปรัชญาหรือเชิงศรัทธา ผมคิดว่าคนเราเกิดมามี "หน้าที่" ทุกคน
"หน้าที่ของความเป็นมนุษย์"
มนุษย์มีหน้าที่อะไร ?
มนุษย์มีหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ว่าจะทำในนามของความเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง เป็นกษัตริย์ เป็นหมอ เป็นครู เป็นทหาร เป็นพระ เป็นทนาย เป็นชาวนา เป็นโจร เป็นคนพิการ ฯลฯ
เราเิกิดมาเป็นใคร ? ไม่สำคัญเท่ากับเราเกิดมาแล้ว เราได้ทำอะไรไว้ให้กับตัวเองและโลกบ้าง
ผมคิดว่าหน้าที่นี้เราต้องค่อยๆใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อตอบคำถามตัวเอง ว่าในหนึ่งชีวิตที่เกิดมา เราได้ทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์อย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง
คำถามที่ว่าตัวเราหมดคุณค่าลงเมื่อใด
ผมคิดว่าตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราสามารถลุกขึ้นมาสร้างทำสิ่งดีดีที่มีประโยชน์ ให้กับตัวเอง สังคมและโลกได้ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ไม่มีชีวิตใดไร้เกียรติ แม้กระทั่งคนกวาดถนน ถ้าเขากวาดถนนอย่างตั้งใจและมีสติ เขาก็ทำหน้าที่ของตนได้หมดจด เท่ากับพระเถระผู้บรรลุธรรม
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เราลืมตาดูโลก จนวินาทีสุดท้ายที่เ่ราปิดเปลือกตาลงและจากโลกนี้ไป ผมคิดว่าคนเราต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำให้แต่ละช่วงวัย
ถ้าเราดำเนินชีวิตไปอย่างรู้เท่าทันความจริงของชีวิต เราจะไม่ประมาทในการใช้ชีวิต เราจะพยายามใช้ชีวิตอย่างดีที่สุด เพื่อจะจากไปในวันสุดท้ายของชีวิต โดยไม่มีอะไรที่ต้องติดค้างในความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไป
{ภาพถ่ายทั้งหมดเก็บภาพมาจาก ทริปอินเดียที่ผมไปมาเมื่อสองปีที่แล้วครับ }
Create Date : 29 มีนาคม 2555 |
|
130 comments |
Last Update : 29 มีนาคม 2555 21:22:11 น. |
Counter : 10433 Pageviews. |
|
|