"Atonement" ... ยอกย้อน -> เด็ก/ผู้ใหญ่ <- ความแตกต่าง -> ความจริง/ความลวง <- สับสน
สัจธรรมของโลก กฎเกณฑ์ตามธรรมชาติ ของทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมมี 2 ด้านที่แตกต่างกัน... สัจธรรมของโลก กฎเกณฑ์ตามธรรมชาติ ของทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมมี 2 ด้านที่แตกต่างกัน... ถ้าผมอยากจะให้คุณช่วยหาความแตกต่าง ของข้อความ 2 ประโยคข้างบนนี้ ...คุณจะสามารถหาจุดที่แตกต่างได้หรือไม่ ? อาจจะเหมือนผมเพี้ยน สติไม่ดี หรือดูท่าจะต๊องเกินเหตุ ที่หาประเด็นบ้าๆให้มาถกเถียงฟื้นฝอย เอาข้อความที่เหมือนกันอย่างกับ copy แล้ว paste มาเปิดประเด็นถามคุณๆ ...แต่จงเชื่อเถอะว่า คุณจะเข้าใจผม ถ้าคุณได้ดูหนังเรื่องหนึ่ง ที่จะทำให้ความหมายของคำว่า "ความแตกต่าง" ต้องเปลี่ยนแปลงไป"Atonement" ...คือหนังเรื่องนั้น ที่ทำให้ความหมายของคำว่า "ความแตกต่าง" ในวันนี้ของผม แบ่งออกเป็น 2 ขั้ว ขั้วหนึ่ง... คือ ความแตกต่าง บนความแตกต่าง และขั้วที่สอง... คือ ความแตกต่าง บนความไม่แตกต่าง ยิ่งอ่านก็อาจยิ่งงง ...แต่เชื่อผมเถอะ เมื่อคุณดูหนังแล้วคุณจะเข้าใจ Atonement ...ว่าด้วยเรื่องราวของ คู่รักคู่หนึ่ง ที่มีความปรารถนาแอบซ่อนอยู่ในใจอย่างลึกๆ แต่ไม่สามารถจะเปิดเผยให้ใครรู้ได้ เพราะความแตกต่างของฐานะอย่างสุดลิ่ม ...เมื่อฝ่ายชาย เป็นเพียงเด็กคนสวนต่ำต้อยของบ้านเศรษฐี ที่มิอาจสะเออะรักกับ ฝ่ายหญิงที่เป็นคุณหนู เย่อหยื่งทะนงตน แม้ฝ่ายชายจะได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของบ้านหลังนี้ก็ตามที แต่ถึงจะไม่คู่ควรอย่างใด ก็มิอาจห้ามใจให้ต้องแสดงออกบอกว่ารักกันอยู่ดี ...และนั่นจึงนำมาซึ่งการคบหาอย่างลับๆ แบบที่คนหนึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกคนก็คิดเหมือนกัน หากแล้วสุดท้าย ความลับก็ไม่มีในโลกจริงๆ... เมื่อน้องสาวของฝ่ายหญิง กลายมาเป็นพยานผู้ร่วมรู้เหตุการณ์ ที่บ่งบอกว่าคนสองคนนี้ ไม่ได้คบหาแค่ในฐานะนายและบ่าวเพียงอย่างเดียว แล้วก็กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่... เมื่อฉากหน้าที่น้องสาวได้เห็นว่าชายและหญิงคู่นี้บึ้งใส่กัน กลับมีเบื้องหลังเป็น จดหมายรัก ระบายความใคร่ ที่เขียนขึ้นเป็นการระบายความรู้สึกทีเล่นทีจริง แต่ก็กลายเป็นความหายนะมหันต์ ที่ฝ่ายชายดันใส่ความจริงในใจลงไปในซองที่ฝากให้ น้องสาว ส่งไปถึงมือของพี่สาวอีกทอดหนึ่ง ...และที่เลวร้ายเป็นที่สุด ก็คือ น้องสาวดันทะลึ่ง แอบเปิดอ่านจดหมายของพี่สาว เพียงเพราะความเดียงสาที่คาดคั้นว่า ฝ่ายชายคิดไม่ซื่อกับพี่เธอ ยังไม่จบเพียงแค่นั้น... เมื่อเรื่องราวได้บานปลายจนเกินเลย พร้อมกับการเกิดเหตุการณ์หวังฆ่าปิดปากคนในบ้านขึ้นมา ...และนั่นก็เป็นไปตามทฤษฎีความไม่รู้ประสีประสาที่ น้องสาว จะกล่าวโทษ คนรักของพี่ ว่าเป็นคนที่ก่อเหตุ Atonement... มีจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง มาจากประเด็นความรักต้องห้าม อันเป็นเรื่องที่อมตะที่ยุคสมัยไหนจะเอามาเล่าแบบใดก็ไม่มีวันเชย (แต่วันนี้อาจจะต้องเน้นไปที่ รักร่วมเพศ มากซะหน่อย)... และพลอตเรื่องที่ดูเหมือนจะน้ำเน่าที่เล่ามาก็คือ สิ่งที่คุ้นชินเป็นอย่างดี ของเราๆ ที่ได้เห็นละครน้ำเน่า เป็นเรื่องประโลมโลกอย่างหนึ่ง ที่อินเทรนด์ได้เสมอ ไม่เกี่ยงว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างความเน่ามากน้อยสักเพียงไหน หากแต่ในแง่มุมอันจริงแท้ที่ Atonement ต้องการนำเสนอเป็นสำคัญ... มันกลับยังไม่ใช่เรื่องที่เป็นจุดเริ่มต้น แต่อย่างใด และความจริงที่ไม่หลอกลวง... ก็คือ พระนางที่เป็นความรักของเรื่องนี้ แทบจะมีบทบาทเป็นเพียงแค่ตัวประกอบเสียด้วยซ้ำ เพราะ ตัวเอกที่แท้จริง ที่เป็นทั้งคนกลางและความเชื่อมโยง กลายเป็นบทบาทของ 'น้องสาวนางเอก' ที่หนังกำหนดให้เป็นพยานที่รู้เรื่องของพระนาง มากที่สุด... ถ้าคุณมองว่านี่ คงจะเป็นเรื่องราวที่เข้าข่ายหักมุมมากที่สุดของหนังน้ำเน่าเรื่องนี้แล้ว ...ก็ขอบอกไว้ก่อนว่า คุณกำลังคิดผิด จากผลงานชิ้นก่อนหน้า "Pride & Prejudice" ซึ่งกลายเป็นม้านอกสายตาที่สามารถทำการแจ้งสถานะถือกำเนิดได้อย่างเป็นทางการ ในสายตาของนักดูหนัง ...หนังเรื่องต่อมาของผู้กำกับไฟแรง "โจ ไรท์" ก็ได้กลายเป็นเรื่องของความท้าทายที่มีมากขึ้น ควบคู่ไปกับพร้อมพัฒนาการที่เรียกได้ว่าก้าวกระโดด จากปากคำของนักวิจารณ์อเมริกาส่วนใหญ่ ที่ให้ Atonement เป็นอีกหนึ่งงานศิลปะแห่งวงการหนังชิ้นสำคัญแห่งปี 2007 ที่ผ่านมา และด้วยข้อท้าพิสูจน์ของ 7 ออสการ์ (เข้าชิง) มันช่างเร้าอารมณ์ให้ชวนได้เห็นกับตา... ก็ได้หมดซึ่งความกังขา เมื่อผมออกจากโรงมาพร้อมกับการปรบมือ 3 ครั้ง ซึ่งบอกกล่าวว่า ผมได้ตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ อย่างรุนแรงซะแล้ว และเมื่อผมได้ลองกลับมาพิสูจน์ความแรงในฝีมือของ ผกก.ไรท์ อีกครั้งใน Pride & Prejudice (ความจริงของผม...หลังจากที่เพิ่งดูจบปุ๊บ ก็ตั้งหน้าตั้งตามาเขียนรีวิวนี้ปั้บ) ...ผมก็เป็นอีกเสียงที่มองว่า Atonement เป็นการกระโดดที่ทำได้สูงและมาได้ไกลมากๆ จากหนังเรื่องที่ว่า ถ้ามองเป็นตัวละครตัวหนี่งในเรื่องน้ำเน่า ... Atonement ก็คงจะเป็น "พจมาน สว่างวงศ์" แห่ง บ้านทรายทอง ...ทึ่สามารถพอจะกลายเป็นความคลาสสิคที่น่าจดจำ คาแรกเตอร์แรกที่ Atonement ยัดเยียดให้ Pride & Prejudice กลายเป็น น้องชายน้อยหงิกหงอย คือ... ความเฉียบคมของเรื่องราว ที่มีต้นเรื่องมาจากพลอตรักต้องห้าม แต่อาจหาญข้ามขอบเขตไปไกลถึงการสำรวจพฤติกรรมและจิตใจของมนุษย์ได้อย่างเนียนๆ คาแรกเตอร์ที่สองที่ทำให้ Atonement กล้าทะนงเกินกว่าจะยอมให้ คุณหญิงแม่กดขี่ คือ... วิธีการเล่าเรื่องไม่เหมือนใคร ที่แหวกม่านประเพณีสารบบน้ำเน่าโดยสิ้นเชิง... ลักษณะเด่นของมัน คือ การยอกย้อน ซ้อนทับซ้อน จับเหตุการณ์เดียวกัน มาทำให้เป็นสองด้าน จากมุมมองของสายตาที่แตกต่าง คาแรกเตอร์ที่สามของ Atonement ที่แข็งแกร่ง เสียจนหญิงเล็กมิอาจสู้รบปรบมือได้ คือ... การสร้างความหนักแน่นของเรื่องราว โดยเลือกใช้องค์ประกอบรอบข้างในภาพและเสียง เสริมพลังให้กับเหตุการณ์อย่างน่าอัศจรรย์ ...ยกตัวอย่าง เสียงพิมพ์ดีดที่คลอเร้าไปพร้อมดนตรีบรรเลง อันเป็นเทคนิคสุดโดดเด่นจนกลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญของหนังในบัดดล และคาแรกเตอร์สุดท้าย ที่องอาจผลักดันให้ พจมาน คนนี้ ได้ดีเป็นเจ้าของบ้าน ก็คือ... ตัวละครจากงานทุกส่วน (กำกับ,บท,การแสดง,โปรดักชั่น) ที่ช่วยขับเน้นให้ Atonement มีความเข้มข้นน่าติดตาม และสร้างอารมณ์ร่วมที่มีความลึกมากพอ จะทำให้คนดูคล้อยตาม หลงใหลไปกับเรื่องในหนัง ด้วยคาแรกเตอร์อันโดดเด่น และน่าอัศจรรย์ทั้ง 4 ข้อนี้ นี่เอง... จึงทำให้Atonement กลายเป็นตัวเต็งที่คู่ควรกับรางวัลออสการ์ในสายตาของผม ...แม้จะยังไม่ได้ดูคู่แข่งที่เหลืออีก 3 (เว้น Micheal Clayton ...ที่แค่ดี แต่ยังไม่ควรถึงขั้นนั้น) ก็มีน้ำหนักมากพอจะทำให้ผมเห็นภาพว่า ปีนี้เป็นปีที่ดูได้ยากสุดๆ กับคนที่จะต้องได้เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด(ตั้งแต่บรรทัดนี้ จะมีการ SPOILER เรื่องราวในหนัง...ถ้ายังไม่ได้ดู ควรหลีกเลี่ยง ) Atonement ...ว่าด้วยเรื่องราวของ คู่รักคู่หนึ่ง ที่มีความปรารถนาแอบซ่อนอยู่ในใจอย่างลึกๆ แต่ไม่สามารถจะเปิดเผยให้ใครรู้ได้ เพราะความแตกต่างของฐานะอย่างสุดลิ่ม ...เมื่อฝ่ายชาย เป็นเพียงเด็กคนสวนต่ำต้อยของบ้านเศรษฐี ที่มิอาจสะเออะรักกับ ฝ่ายหญิงที่เป็นคุณหนู เย่อหยื่งทะนงตน แม้ฝ่ายชายจะได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของบ้านหลังนี้ก็ตามที แต่ถึงจะไม่คู่ควรอย่างใด ก็มิอาจห้ามใจให้ต้องแสดงออกบอกว่ารักกันอยู่ดี ...และนั่นจึงนำมาซึ่งการคบหาอย่างลับๆ แบบที่คนหนึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกคนก็คิดเหมือนกัน หากแล้วสุดท้าย ความลับก็ไม่มีในโลกจริงๆ... เมื่อน้องสาวของฝ่ายหญิง กลายมาเป็นพยานผู้ร่วมรู้เหตุการณ์ ที่บ่งบอกว่าคนสองคนนี้ ไม่ได้คบหาแค่ในฐานะนายและบ่าวเพียงอย่างเดียว แล้วก็กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่... เมื่อฝ่ายชาย ดันบังอาจเขียนจดหมายสารภาพความในใจใคร่กระหาย แล้วส่งต่อไปให้น้องสาว นำไปยื่นให้พี่สาว ...และฝ่ายชายก็ดันรู้ตัวช้าว่าเขาบังอาจส่งต่อเรื่องนี้ ให้กับคนที่คิดผิดซะแล้ว ความเป็นจริงที่ร้ายกาจที่สุด คือ น้องสาวของคนที่เขารัก ...เป็นคนๆเดียวกับ ผู้หญิงอีกคนที่แอบรักเขาข้างเดียว และเคยพยายามบอกความในใจออกไป หากเขาก็แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้อย่างไม่ไยดี เมื่อปมด้อยแห่งความแค้นในรัก ต้องมาบวกรวมกับความรู้สึกที่สั่นสะท้านเมื่อได้รู้ความจริงที่ไม่ควรรู้ ...คนที่ไร้เดียงสา อย่าง น้องสาวนางเอก จะยอมปล่อยผ่านให้เรื่องนี้จบลงอย่าง Happy Ending เฉกเช่นละครน้ำเน่าทั่วไปอย่างงั้นหรือ? Atonement... มีจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง มาจาก ความแค้นและแรงริษยาอันสุึมทรวงน่่ากลัวในใจคน อันเป็นเรื่องทั่วไปที่เราๆต้องเคยเจอและรู้สึกเห็นชอบเห็นดีไปกับมัน ...แม้กระทั่งเบื้องหน้าอาจจะทำเป็นดีอย่างงั้นชอบอย่างงี้ หากในเบื้องหลังแล้วก็อาจจะกลายเป็นคนละคนที่มิอาจยอมอะไรง่ายๆ ตราบใดถ้าเรื่องนี้ไม่จบลงตามครรลองคลองธรรมที่เราต้องการ แง่มุึมอันแท้จริงที่ Atonement ต้องการนำเสนอเป็นสำคัญ... มันมีจุดเริ่มต้นมาจากความรักของพระนาง ที่บาดตาบาดใจเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ยังไม่รู้ประสีประสาว่า ความรัก คืออะไร? ...ตัวเธอเองเลือกจะใช้ความเป็นนักเขียน แฝงความรู้สึกที่อัดอั้นคับแค้น และดื้อแพ่ง เขียนบทละครรักเรื่องหนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีปากกาถือเอาไว้อยู่ในมือของเธอ และกำหนดความเป็นไปในความริษยา ที่ชี้ชะตาให้คู่รักคู่หนึ่ง ต้องจากพรากกันด้วยความสะใจ หากความจริงของเรื่องที่เธอแต่งนั้นแล้ว กลับมีที่มาจากสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง ...และทั้งหมดของความลวงที่เธอใส่ลงไปแทนที่ ในท้ายที่สุดมันก็กลับกลายจากปากกาให้เป็นมีด ที่จะกลับมากรีดเนื้อกรีดเลือดให้ชีวิตของเธอต้องตายทั้งเป็น ไปจนถึงวันสุดท้ายที่จะตายจริงๆ นี่แหละ คือ เรื่องที่หักมุมเป็นที่สุด ...และเป็นที่สุดของที่สุดจะคาดเดาได้ของหนังเรื่องนี้ ความรู้สึกของผมที่มีต่อหนังเรื่องก่อนหน้าของ โจ ไรท์ ที่ได้ดูหลังจากเรื่องล่าสุด ...ก็คือ ความธรรมดาของเรื่องราวที่ไม่มีอะไรให้ต้องคาดเดา ...แม้ว่าความธรรมดาที่ว่าอาจไม่ได้รวมที่ Pride & Prejudice มีการเล่าที่น่าติดตาม มีเทคนิคช่วยยื้ออารมณ์คนดูให้หลงเคลิ้มไปกับหนัง ...หากแต่เมื่อดูจนจบ ความรู้สึกก็แค่ยอมรับว่าดีสมคาด ยังมิไม่อาจตรึงใจจนต้องรักสักเท่าไหร่ ฉะนั้นแล้ว ความได้เปรียบที่ได้ดู Atonement มาก่อน... ก็คือ การได้เห็นรายละเอียดทางฝีมือที่คมขึ้น เฉียบขึ้น ของผู้กำกับ ที่สามารถเล่าเรื่องแบบไม่ลำดับเวลาอย่างนี้ให้รู้เรื่อง และทำให้คนดูเข้าถึงกับมันได้โดยเข้าใจและลึกซึ้ง ซึ่งถ้าหากมองให้ Atonement เป็นตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องน้ำเน่า ...บทบาทที่เหมาะสมจะจำกัดความหนังเรื่องนี้มากที่สุด ก็คือ "ปริศนา" ตัวหนังเต็มไปด้วย ปริศนา อันชวนค้างคาอก สุมกองในใจอย่างมากมาย ตลอดทั้งเรื่องราวที่ดำเนินไป ...เรามิอาจจะคาดคั้นเอาความจริงอะไรมาโดยง่ายๆได้ หากเราไม่ลองติดตามเหตุการณ์ต่างๆ แล้วคิดไขไปทีละจุดๆ อย่างช้าๆ ตามประเด็นที่หนังสอดแทรกเข้าไปทีละนิดๆ ลองมองสังเกตตั้งแต่ ช่วงแรกที่หนังเล่าอย่างชาญฉลาด ด้วยการจับเหตุการณ์ๆเดียว มาแบ่งตอนให้เป็นสองช่วงขณะ ผ่านมุมมองของตัวละครพระ-นาง "ร็อบบี้" กับ "ซีซิเลีย" และ น้องสาวนางเอก "ไบรโอนี่" ...ความคลุมเครือในปริศนา เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเวลาที่ไบรโอนี่ มองไปที่หน้าต่าง แล้วเห็นภาพ ซีซิเลีย เปลื้องผ้าต่อหน้า ร็อบบี้ ...เราคนดูก็ไม่รู้เหมือนไบรโอนี่ ว่า ซิซีเลีย คิดอะไร หรือเกิดอะไร ทำไมถึงกล้าทำอย่างนี้ ถ้าจะมองในแง่ความน่าจะเป็นจริง ...ซีซิเลีย อาจเปลื้องผ้า เพื่อล่อเสืออย่างร็อบบี้ เข้าถ้ำปลุกปล้ำหรือเปล่า? หากสุดท้ายความเป็นจริงที่ไม่ใช่เรื่องจินตนาการ ...ซีซีเลีย กลับเปลื้องผ้า เพื่อโดดลงน้ำ ไปเอาชิ้นส่วนของแจกันราคาแพงที่ ร็อบบี้ เผลอทำหลุดซะอย่างงั้น ถ้าคิดว่า ความฉลาดในการนำเสนอของหนังที่ขึ้นอยู่กับ เงื่อนไขของความจริง/ความลวง ที่ถูกปรับประยุกต์เอามาเล่น กับมุมมองที่แตกต่าง เป็นเรื่องที่เข้าใจคิดเข้าใจเขียนแล้ว ...เวลาของหนังที่ยิ่งดำเนินไปนานขึ้น ยังให้คำตอบของปริศนา ที่ให้ความทึ่ง และ อึ้ง มากกว่านั้นได้อีก กับเงื่อนไขของช่วงเวลาที่ยืดขยายระยะของเหตุการณ์ยาวขึ้น ยาวขึ้น และยาวขึ้น ด้วยประเด็นของเรื่องที่เข้มข้น บวกกับเงื่อนไขในการปล่อยประเด็นที่เป็นไปอย่างชาญฉลาด อาจว่าทึ่ง และอึ้ง อย่างถึงที่สุดแล้ว... Atonement ทำให้ทุกอย่างกลับกลายเป็นความช็อค เมื่อสุดท้ายและท้ายที่สุด สามารถหักทฤษฎีทุกอย่างที่หนังทำให้เชื่อ แล้วเล่นกับจิตใจของคนๆหนึ่งที่สำนีกในตราบาป และใช้ความรู้สึกผิดอยากจะแก้ไขโยงใยให้เรื่องราว (ในช่วงกลางไปจนถึงใกล้จบ) เพียงเพื่อการไถ่โทษที่อยากจะให้มีตอนจบที่เป็นความสุข กลายเป็นความลวงโดยถ้วนเท็จ ...ด้วยความง่าวที่ไม่น่าเชื่อว่าเราเลือกจะหลงเชื่อเรื่องแก้ไขและไถ่บาปของไบรโอนี่นั้นเป็นความจริง บอกตามตรง จนถึงวันนี้ ...ผมก็ยังไม่เชื่อตัวเอง ว่าหนังจะกล้าหักหาญทุกอย่าง และคลายปริศนาุทุกเรื่องด้วยการบอกว่า "นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปลายปากกาของ ไบรโอนี่ ทัลลิส โดยถ้วนทั่ว" ถึงไม่อยากเชื่อ แต่ก็บังอาจเชื่อไปแล้ว จะทำอย่างไรได้ ...นอกเหนือจาก อึ้ง!!! ทึ่ง!!! ช็อค!!! และปรบมือให้มัน 3 ครั้ง เป็นเสียงที่ใช้แทนคำพูดว่า ผม "อึ้ง!!! ทึ่ง!!! ช็อค!!!" (จบการ SPOILER ) สัจธรรมของโลก กฎเกณฑ์ตามธรรมชาติ ของทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมมี 2 ด้านที่แตกต่างกัน... สัจธรรมของโลก กฎเกณฑ์ตามธรรมชาติ ของทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมมี 2 ด้านที่แตกต่างกัน... ถ้าผมอยากจะให้คุณช่วยหาความแตกต่าง ของข้อความ 2 ประโยคข้างบนนี้ ...คุณจะสามารถหาจุดที่แตกต่างได้หรือไม่ ? ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความแตกต่างของมัน ไม่ได้อยู่ที่สัจธรรมของโลก หรือ กฎเกณฑ์ตามธรรมชาติ บอกกล่าวให้มันต้องเป็นไป... หากล้วนความจริงแท้ ที่ผมมองว่ามันไม่เหมือนก็คือคำว่า "ทุกสิ่งทุกอย่าง" "ทุกสิ่งทุกอย่าง" ในประโยคแรก ...ผมหมายความถึง สิ่งที่เบื้องบนได้กำหนด บ่งบอกว่ามันต้องต่าง เพื่อให้เราแยกแยะได้ถูก "ทุกสิ่งทุึกอย่าง" ในประโยคที่สอง ...ผมหมายความถึง สิ่งที่มนุษย์เราเองกำหนดให้มันต้องเป็นไป ตามใจจะต้องการ ...โดยมิอาจแยกแยะว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกหรือเรื่องที่ผิด แล้วคุณคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นใน Atonement ควรจะเป็นไปในทางไหนดีล่ะ ...คือ เรื่องของเบื้องบน หรือเป็นเรื่องของคนที่ทำให้มันต้องเป็นไปความแตกต่าง บนความแตกต่าง ...คือ เรื่องที่พยายามจะทำให้มันต่างกัน ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่เบื้องบนต้องการให้ไม่เหมือนความแตกต่าง บนความไม่แตกต่าง ...คือ เรื่องที่พยายามจะทำให้มันต่างกัน หากสุดท้ายมันก็ลงเอยเหมือนเดิม เพราะใจมนุษย์คิดแต่จะหาวิธีทำให้มันแตกต่าง โดยไม่มองหาเหตุผลที่ควรแตกต่าง นี่คือ ปริศนาที่มันจะไขออกเมื่อคุณไปดูหนังเรื่องนี้ให้เห็นกับตา ...แล้วมันจะทำให้คุณรู้ว่าความหมายของ "ความแตกต่าง" มันควรจะเปลี่ยนแปลงด้วยอะไร? ...ระหว่างเบื้องบน หรือมนุษย์เราๆ กันแน่หมายเหตุ : Atonement ควรค่าแก่ออสการ์ เพราะ... 1. กำกับ... ด้วยพัฒนาการอันก้าวกระโดด และความเหนือชั้นของการควบคุมเรื่องราวกับสภาพแวดล้อม ..."โจ ไรท์" จึงเข้าใกล้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไปอีกก้าว รอเพียงแต่งานหน้าจะทำให้เขาขยับไปถึงสักที2. บท... ฉลาด ล้ำลึก และเฉียบคม3. การแสดง... อินในบทบาทอย่างน่าเชื่อถือทุกๆคน ...แต่ที่ประทับใจและต้องยกย่องให้เป็นที่สุดก็คือหนูน้อย "เซียซ่า โรแนน" และคุณป้า "วาเนสซ่า เรดเกรฟ" ที่ทำให้ "ไบรโอนี่" เป็นตัวละครที่ร้ายกาจ แต่ทำยังไงให้คนดูรู้สึกต้องเจ็บปวด ก็เกลียดไม่ลง ...ส่วน "โรมาล่า กาไร" ...ถือว่าดี สืบลักษณะได้เนียน แต่ไม่รู้สึกเข้าถึงบทบาทในช่วงของเธอเท่าที่ควรจะเป็น4. โปรดักชั่น... โดดเด่นทุกด้าน สมจริงทุกทาง ซ่อนความรู้สึกในภาพและเสียงได้สะเทือนสะท้านหัวใจได้ทุกเวลา ...โดยเฉพาะ ลองเทค ที่ใช้เวลาทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า กับงานฉากสเกลใหญ่ ที่เต็มไปด้วยคนนับร้อยร่วมอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน เต็มประสิทธิภาพแห่งความทึ่ง ...ใครเคยดูลองเทคใน Children of Men อาจมองว่าสุดยอดแล้ว เจอฉากนี้เข้าไปอาจมีใจโลเลเช่นผมขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ...ครับเกรด A ... { }คุยแหกโค้ง..สุดท้าย Oscar 2008 : - หนังยอดเยี่ยม ...ลุ้นให้ได้เป็นอย่างยิ่ง เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง - การแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ...ก็อยากให้หนูเซียซ่าได้นะ ...ติดแต่ว่า คู่แข่งคนอื่น ยังมีพลังจะเอาชนะได้มากกว่า - บทดัดแปลงยอดเยี่ยม ...อันนี้ก็โคตรลุ้นเลย เชียร์ให้ต้องได้ ...แม้จะยังไม่อ่านต้นฉบับ แต่ก็เชื่อว่าการดัดแปลงนี้ต้องเป็นอะไรที่น่าพอใจมากๆ - กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม ...งานฉาก องค์ประกอบออกแบบได้ดูจริงมากๆ งามสุดๆ ...สมควรจะได้เช่นกัน - กำกับภาพยอดเยี่ยม ...ภาพก็ถ่ายสวย มีความลึกทางอารมณ์ จะมองในมุมของตัวละครไหน ก็เชื่อตามภาพ ...สมควรอีกแล้ว - เครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม ...สมจริงในช่วงเวลา แต่ยังไม่โดดเด่นอะไรมากในความรู้สึกของผม - ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ...เอาแค่เสียงพิมพ์ดีด ก็ชนะเลิศแล้ว ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2551 12:27:41 น.
9 comments
Counter : 2411 Pageviews.
โดย: BoOKend วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:36:32 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:11:40 น.
โดย: tonktn28 IP: 202.28.27.4 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:28:03 น.
โดย: 45 IP: 124.121.14.82 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:13:13 น.
โดย: Gentleman IP: 58.8.156.19 วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:09:44 น.
โดย: Tenjo_Utena วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:49:32 น.
โดย: องค์หญิงการะบุหนิง IP: 202.28.27.3 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:15:27:04 น.
โดย: องค์หญิงการะบุหนิง IP: 202.28.27.3 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:15:34:27 น.
โดย: Buffy IP: 58.8.58.187 วันที่: 13 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:54:06 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ