"The Kingdom" ... เกิดขึ้นจากสอง เริ่มต้นด้วยหนึ่ง ลงท้ายด้วยสูญ
"The Kingdom" ... เกิดขึ้นจากความขัดแย้งของสองประเทศ ที่ต่างก็มีความเป็นพันธมิตร ที่แอบแฝงร่างร้ายของศัตรู จ้องทำลายแก่กันและกันอย่างเงียบๆ"The Kingdom" ... เริ่มต้นด้วยความคิดหนึ่ง ที่ต่างฝ่ายต่างก็มีอยู่เหมือนๆกัน ก็คือ การทำลายแก่กันและกัน โดยไม่สนถึงความถูกหรือผิด"The Kingdom" ... ลงท้ายด้วยความสูญเสีย ที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องแลกกันมา เพียงเพื่อจะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ในการใดที่จะจบมันลงด้วยความคิดที่ไม่มีใครถูก และไม่มีใครผิดเกิดขึ้นจากสอง เริ่มต้นด้วยหนึ่ง ลงท้ายด้วยสูญ ...คือ เรื่องราวของหนังที่มีชื่อเรื่องว่า "The Kingdom" ที่นำเอาประเด็นทางการเมืองระหว่างสองมหาอำนาจโลกที่ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเป็นกองกำลังและสรรพาวุธพร้อมรบ อีกฝ่ายตรงข้ามก็มีแหล่งทำเงินทำทองที่เรียกว่า น้ำมัน คอยหนุนนำอำนาจความเจริญจากอีกประเทศให้เข้ามาเกื้อกูลซึ่งผลประโยชน์แก่กันและกัน หนังใช้เวลาประมาณ 4 นาทีแรกของ Open Title ในการจัดการเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์อันแสนยาวยืด ระหว่างประเทศทั้งสอง ที่มีปูมหลังฝังใจกันมาแต่เป็นร้อยปี ...ซึ่งมูลเหตุต่างๆที่ล้วนมีต้นสายและกลายเป็นปลายที่ไม่มีสิ้นสุดนี้ มันก็เกิดมาจากการที่ ...'สหรัฐอเมริกัน' มีความพยายามแสวงหาซึ่งผลประโยชน์จากทรัพยากรนอกประเทศ หวังจะกอบโกยอำนาจความรุ่งเรืองของตนโดยพึ่งใบบุญของประเทศแถบตะวันออกกลางที่ล้วนมีความอุดมสมบูรณ์ซึ่งแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงใต้บาดาล และหนึ่งในประเทศนั้น ก็ยังรวม 'ซาอุดิอาระเบีย' เอาไว้ ทั้งยังมีการจัดตำแหน่งวางให้เป็นอันดับต้นๆ ของพันธมิตรที่มีความแน่นแฟ้นทางเศรษฐกิจ ไม่ต่างไปจากแถบยุโรปเลย แต่ในเปลือกหน้าของความปรองดองที่ผู้นำประเทศทั้งสองมีให้แก่กัน ส่วนของเนื้อในขณะเดียวกันนั้นก็ยังคงแฝงไว้ซึ่งพิษภัยในแง่ของความแตกต่าง แม้โดยในช่วงเวลา 4 นาทีแรกของตัวหนังนั้น จะได้มีการกล่าวพาดพิงไปถึง โอซามา บิน ลาเดน ศัตรูหมายเลข 1 ของ จอร์จ ดับเบิลยู บุซ ด้วย ...หากแต่ในส่วนของเนื้อเรื่องแล้ว การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นกับไม่ใช่ฝีมือของยอดผู้ร้ายตัวเอ้นายนี้แต่อย่างใด ตัวเรื่องราวจริงๆของ The Kingdom กลับมีการทำให้แตกไปจากส่วนเกริ่นนำ (หากก็ไม่ได้แยกออกจากประเด็นที่เริ่มต้นซะทีเดียว)... หนังเลือกจะสร้างผู้ร้ายคนใหม่ที่บนโลกใบนี้ไม่ได้มีตัวตนจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงใส่แบ็คกราวด์ให้การกระทำทุกอย่างอ้างอิงไปถึงเหตุการณ์ที่มีเค้าโครงความจริงที่โลกนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว อาจเป็นเนื่องด้วยเหตุและผลที่หนังฮอลลีวู้ดแทบทุกเรื่องนั้น มักชอบโยนความผิดไปให้ชาวประเทศอื่น ต้องรับผิดชอบกันเต็มๆ ...จึงไม่ถือเป็นเรื่องแปลกที่มุมมองคนนอกอย่างเราๆ จะรู้สึกกันไปเองว่า หนังเรื่องนี้ ก็คือ อีกหนึ่งการโปร-อเมริกา ที่ชาวฮอลลีวู้ดชื่นใจจะนำเสนอ แล้วอย่างตัวผมเองก็เช่นกัน ถ้าตัดสินใจตัวหนังเพียงแค่ใช้เวลา 10 กว่านาทีแรกในการดู ...ก็คงไม่พ้นที่จะอคติกับการอวดอ้างความเป็นมหาอำนาจ ที่กร่างไปได้ทุกที่ พยายามทำเก่งกันไปทุกหน เพียงแต่มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นไปซะทีเดียว (โดยก็ยังพอยอมรับในเรื่องความชอบทำตัวเป็นฮีโร่ของชาวมะกันได้ เพราะเราก็เคยเห็นในหนังแอ๊คชั่นอื่นๆมานักต่อนักแล้ว) ...เพราะในนาทีที่นักการเมืองชาวมะกันรู้ว่า FBI ต้องการจะทำอะไรในซาอุฯ หลังจากนั้นหนังก็เดินหน้าลุยกัดจิกโดยไม่สนอุดมคติความรักชาติที่ท่านผู้นำคนปัจจุบันพยายามเป่าหูใส่ให้ใครทุกคนต้องเคลิบเคลิ้ม (ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่เคลิ้ม ก็คงไม่มีทางอยู่ยั่งยืนมาเป็นสมัยที่สองได้ซะหรอก) หลังจากกำกับหนังแอ๊คชั่นแบบสำเร็จรูป ที่เน้นขายความแมนของ เดอะ ร็อค ใน "The Rundown" สู่ผันตัวไปทำดรามา ในแวดวงอเมริกันฟุตบอล กับ "Friday Night Lights" ..."ปีเตอร์ เบิร์ก" ก็ก้าวมาทำเรื่องราวเชิงซีเรียส ที่แอบแฝงความบันเทิง โดยยังหวังจะใช้เครดิตโปรดิวเซอร์ของ "ไมเคิล มานน์" มาช่วยหนุนหลังให้กลายเป็นหนังหนักแน่นที่ใช้สไตล์ของภาพขับเคลื่อนนำ ผกก.เบิร์ก ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ หมดไปกับการพยายามเปิดทางให้กลุ่มก้อนดารานำกระทำการส่งตัวเองเข้าไปยังสมรภูมิสุดอันตรายในแดนตะวันออกกลาง สู่การสืบสวนหาต้นตอของชนวนเหตุที่ได้จัดฉากเอาไว้อย่างซ้ำซ้อน ก่อนจะจบลงด้วย 20 นาทีสุดท้าย กับช่วงเวลาที่หนังขายความเป็นแอ๊คชั่นอย่างเต็มตัว ด้วยสถานการณ์การช่วยเหลือตัวประกันที่มีคนหนึ่งในก๊วน FBI โดนจับไปทำคลิปวิดีโอฆ่าปาดคอ แบบอย่างที่เราเคยเห็นกันมาจนชินตาThe Kingdom สามารถรักษาสมดุลความพอดีระหว่างส่วนของความเป็นหนังทริลเลอร์ สืบสวน ที่มากกว่า กับฉากแอ๊คชั่นที่ขึงขัง ตึงตัง ตื่นเต้น อันน้อยนิดแต่ให้ความมันส์ได้มากมาย ...ขณะที่สมดุลแห่งการโอนเอียง ก็ไม่เฉไฉยึดเอาอเมริกาเป็นใหญ่ ทั้งก็ยังไม่ได้ยัดเยียดให้ซาอุฯต้องเป็นผู้ร้ายตัวจริง ...เพราะขณะที่กลุ่มหนึ่งทำตัวเป็นปรปักษ์ เพื่อสร้างเรื่องให้อเมริกาต้องตามมาเช็ด อีกกลุ่มก็มีหน้าที่ติดตามความเป็นไปทุกย่างก้าวของคนนอก และล้างความผิดมวลรวมที่ทำให้ภาพของตะวันออกกลางต้องแปดเปื้อนไปด้วยอคติในสายตาคนอื่น สองนายตำรวจตัวแทนซาอุฯ ให้การแสดงของคนในที่มีชีวิตจิตใจเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่มีความเจ็บปวด และรู้จักที่จะใช้เพื่อการสร้างประโยชน์มากกว่าโทษมหันต์อย่างคนในอีกกลุ่มที่ตั้งตัวตรงกันข้าม ..."แอซรัฟ บารอม" กับ "อาลี ซุไรมาน" อาจจะมีบทบาทต่อหนังน้อยกว่าตัวละครมะกัน แต่บทก็ใส่แง่มุมของสองตัวละครนี้มาได้กำลังดี พอบวกกับการแสดงอย่างมีมิติแล้ว ก็ยิ่งทำให้เรามีความเห็นใจในชะตากรรมที่เขาต้องเจอ (โดยเฉพาะกับคนแรก ที่ทำเอาผมน้ำตาซึม กับฉากลูกๆของเขาในตอนจบ) ขณะที่ กลุ่มตัวละคร FBI อาจจะสืบสู้อะไรให้ดูเก่งเว่อร์เกินไป(ไม่)หน่อยเหอะ ...แต่คุณภาพของคนแสดง ก็ทำให้เราเข้าถึงตัวละครเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ..."เจมี่ ฟ็อกซ์" ดูมีภาษีกว่าใครเพื่อนในฐานะพระเอก , "คริส คูเปอร์" กับ "เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์" คนแรกไม่ได้โชว์ฝีมืออะไรมาก แต่ก็พอจะสร้างสีสันอยู่กลายๆ และคนหลังก็เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวของหนังมาดแมนเรื่องนี้ ที่มีมาขัดกับวัฒนธรรมของซาอุฯที่ไม่เป็นปลื้มในพลังหญิง บทหนังของ "แมธธิว ไมเคิล คาร์นาแฮน" เขียนออกมาได้สมเหตุสมผลดี ยังจะมีจุดโหว่อยู่บ้างจากการเล่าเรื่องในระยะเวลาไม่กี่วันอย่างรวบรัด แต่ก็คงความระมัดระวังกับจุดอ่อนไหวที่ไม่ตีให้มีเรื่องราวขัดแย้งออกมาทางนอกจอ ...การกำกับของ เบิร์ก ทำได้กระชับ และมีความสนุกน่าติดตามอยู่ในแต่ละส่วนหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 20 นาทีสุดท้าย ที่ระห่ำแลกกระสุนกันมันส์หยดให้อารมณ์ประมาณเดียวกับการฉากต่อสู้กลางเมืองของ Heat (หนังของโปรดิวเซอร์ ไมเคิล มานน์) ยังไงยังงั้น ...ส่วนกับมุมกล้อง การถ่ายภาพแบบแฮนด์เฮลด์ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับผมที่เหมือนจะยังพอมีภูมิคุ้มกันมาจาก บอร์น ภาคสาม หลงเหลือติดตาอยู่ สิ่งที่ผมชอบที่สุดของ The Kingdom คงต้องยกให้กับ ฉากสุดท้ายของหนังที่สามารถสรุปเรื่องราวอันคาราคาซังของคนแต่ละฝ่ายที่ไม่ลงรอยได้อย่างลงตัว ...กับคำถามที่ทุกคนมีคำตอบอยู่ในใจและความคิดที่มนุษย์ทุกผู้มักจะหาวิธีการกระทำอันเหมาะสม มันสามารถลงเอยได้อย่างพอดีกับ คำพูดง่ายๆของคนสองคนที่อยู่ต่างโลกและต่างความเชื่อ แต่ในใจกับคิดที่อยากจะจบเรื่องราวทุกอย่างเอาไว้เหมือนๆกัน"The Kingdom" ... หนังบันเทิงเนื้อเข้มข้น ที่ให้ความสนุกได้อย่างน่าพอใจ พอๆกันกับส่วนประเด็นเรื่องราวที่ไม่ถึงกับเป็นสารคดีแต่มีความแน่นปึ้กอยู่เพียงพอ ... นี่เป็นหนังดีที่มีเหตุผลมากพอจะชวนให้คุณๆไปดู และไปรู้ว่า คำพูดง่ายๆอะไรหรือ ที่สามารถมัดใจใครต่อใครให้ชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้ได้กันนักต่อนัก ขอแนะนำ ...ครับเกรด A- ... { } ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 19 ตุลาคม 2550
Last Update : 19 ตุลาคม 2550 1:03:36 น.
5 comments
Counter : 5731 Pageviews.
โดย: zeeD.mj วันที่: 19 ตุลาคม 2550 เวลา:1:12:28 น.
โดย: nanoguy วันที่: 19 ตุลาคม 2550 เวลา:1:19:51 น.
โดย: Pui&Deb วันที่: 19 ตุลาคม 2550 เวลา:5:38:44 น.
โดย: หอมกร วันที่: 19 ตุลาคม 2550 เวลา:6:58:57 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 19 ตุลาคม 2550 เวลา:10:56:21 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30 31
แ ว ะ ม า เม้ น ส์ น ะ ค่ ะ
ที ซี * *
จุ๊ ฟ ฟ ฟ ..