Revolutionary Road ... เชิญมารู้จักกับ ครอบครัวตัวอย่าง สาขา ปฏิวัติดีเด่น
จะมีใครคนไหนกล้าปฏิเสธบ้างไหม ว่าชีวิตของใครคนนั้น ไม่เคยมีความฝัน ...!!! เพราะ มันคงเป็นไปไม่ได้เลย ที่คนทุกคนจะยอมมีชีวิตอยู่กับความเป็นจริงในทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วไม่คิดจะฝันเฟื่อง ถึงสิ่งอย่างที่เขาอยากให้มันมี หรือได้เป็น ..เรื่องราวที่เขาอยากให้ชีวิตน้อยๆ ได้เจอะเจอมันอย่างน้อยๆก็สักครั้งหนึ่ง และเมื่อได้เจอจริงๆ ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเรียกร้องมองหาอะไรอีกต่อไป ..กระทั่งใครบางคนอาจถึงกับบอกว่า ชีวิตนี้ นอนตายตาหลับแล้วก็ยังได้ ความฝัน คือ วิธีการสร้างความสุขอย่างง่าย วิธีหนึ่ง ที่เราสามารถคิดและทำมันขึ้นมาได้โดยง่าย... อีกทั้งกลไกการพัฒนาจากภาพจินตนาการ ให้เกิดเหตุเป็นความจริง ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่ซับซ้อน ขอเพียงแค่เลือกได้ใช้ชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมายในเบื้องหน้า แล้วก็พุ่งตรงไปหาอนาคต อย่างไม่ต้องรีรออะไร ...ยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเจอมันเร็วเท่านั้น แต่มันก็น่าแปลกที่หลายครั้ง หลายคราว ..ความที่มันไม่น่าจะซับซ้อนอะไรเลยเหล่านั้น กลับยังจะเรียกร้องความต้องการอะไรต่อมิอะไรหลายๆอย่างจากคนๆหนึ่ง เกินที่เคยคาดหวังไว้เมื่อครั้งเริ่มต้น ..จนกับบางคน ก็คิดว่ามันอาจเกินความพอดีมากไป แล้วขอล้มเลิก ...หรือถ้าที่สุด จะไม่มีวันคิดถอยแล้ว สิ่งที่เรียกว่า ความฝัน มันก็อาจกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำแล้วเปลืองเนื้อเปลืองตัวเป็นที่สุดก็ย่อมได้เหมือนกันRevolutionary Road ...คือ ผลงานหนังเรื่องล่าสุดของผู้กำกับมือฉมัง แซม เมนเดส ..ผู้เป็นเจ้าของเดียวกับหนังที่เคยตีแผ่ชีวิตชาวมะกันอย่างแสบสันต์ปนขมขื่น ใน American Beauty แล้วเป็นที่ต้องตาต้องใจของออสการ์ จนรัศมีความยอดเยี่ยมจับ และกลายมาเป็นโลโก้ประจำตัวไปเลยด้วยซ้ำ ..ที่เขาจะถูกมองว่าหนังของเขาทุกเรื่อง ควรต้องมีอะไรที่ทำให้ อเมริกัน ต้องเหวอะหวะ แต่เห็นว่ารู้จัก อเมริกัน ดีอย่างนี้แล้ว... คงอาจต้องขอโทษชาวฮอลลีวู้ดที ที่ตัวจริงของเขา มีเชื้ออังกฤษ พันธุ์แท้ ฝังลึกอยู่นะนั่น นี่ยังไม่รวมกับความจริงที่ว่าผู้กำกับคนนี้ ยังมีภรรยาสาวคนสวย เป็นอีกหนึ่งอังกฤษฝีมือเยี่ยมที่ทั้งโลกแซ่ซ้อง ...และเป็นนามที่คงไม่มีคอหนังคนไหนไม่มีสิทธิ์ไม่รู้จักได้เลย ว่าเธอคนนั้นคือ เคต วินสเล็ต ..นักแสดงที่เป็นที่ต้องการของรางวัลออสการ์ คนนี้นี่เอง และแล้ว สิ่งที่บางคนเคยรอคอย ถึงขั้นว่าใฝ่ฝันอยากให้มี ก็ได้เกิดเป็นภาพความจริงขึ้นมาในที่สุด ...เมื่อคู่ผัวเมียฝีมือเยี่ยมขวัญใจออสการ์ ต่างหันหน้ามาจูบปาก และจูงมือ ร่วมหัวจมท้ายบนโลกมายา กับการมีชื่อเครดิต ร่วมงานอยู่ในหนังเรื่องเดียวกัน ทั้งเหนือไปจากนั้นแล้ว ก็ยังจะต้องรวมด้วยชื่อของ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ อีกหนึ่งเครดิตอันสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันในงานนี้ ...ซึ่งคล้ายจะเป็นความฝันกลายๆ สำหรับคอหนังโรแมนติกดรามา ที่อยากจะได้เห็นกัน อีกสักครั้ง ในการกลับมาร่วมงานกันของคู่ขวัญชู้รักเรือล่ม ..ผู้เป็นทั้งปรากฏการณ์ และตำนาน ที่ยากจะมีใครลืมว่า เขาและเธอเคยเป็นคู่ดาราที่มีคนเชียร์ให้เป็นคู่รักในชีวิตจริงมากที่สุด ในช่วงระยะเวลาก่อนที่ฝ่ายสาวเจ้าจะมีสามีเป็นตัวเป็นตนได้จริง Revolutionary Road ..จึงคล้ายจะเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญอยู่เหมือนกัน ที่เราจะได้เห็นทั้ง การเติบโตของสองดาราที่แสดงฝีมือได้ถึงคุณภาพออกมา อย่างชัดเจน ในวันที่คราบไคลความเป็นหนุ่มสาวแทบจะหมดหดหายไปจากภาพที่เคยจำได้ เสียแล้ว ..อีกยังต้องรวมถึงการแทคทีมของตัวผู้กำกับ และนักแสดงครั้งที่เรียกว่า พิเศษเป็นที่สุด ...เพราะถ้าผู้กำกับคนที่ว่าจะดันมีบรรดาศักดิ์เป็นสามี ของนางเอกที่ต้องบดขยี้ปาก(และ จุด จุด จุด) กับชายหนุ่มคนอื่น(ที่สวมบทเป็นสามี)ต่อหน้าต่อตา ..คงต้องเรียกว่า คู่นี้เขาให้เกียรติกันอย่างไม่ถือเนื้อถือตัวเลยจริงๆ แต่สิ่งที่ถูกมองว่าเป็นปรากฏการณ์เหล่านั้น ก็คงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรนัก ...เมื่อเทียบกับตัวบทเรื่องราวของหนัง ที่วางฟอร์มตัวเองให้อยู่ใน สภาวการณ์ความตึงเครียด อย่างเป็นทางการ ..ชนิดที่ ถ้าใครฝันว่าจะได้เคลิบเคลิ้มกับการกลับมาเจอกันอย่างหวานดูดดื่มของคู่พระนางกันแล้วละก็ คงได้คอตกตั้งแต่อยู่ในโรง (ซึ่งไม่แน่ใจว่าอาจจะเป็นการหลับได้ด้วยหรือเปล่า) เพราะมันเป็นเรื่องราวความรักที่ผ่านพ้นวันวานยังหวานอยู่ มานานไกลเกินไปแล้ว สำหรับคู่สามีภรรยาสกุล วีลเลอร์ ...หนึ่งชายหนึ่งหญิงที่ยอมจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน และลงหลักปักฐาน มีลูกสักสองคน อาศัยอยู่ร่วมในละแวกบ้านเรือนที่เป็นเหมือนฝันสำหรับอเมริกันชน บนถนน ณ ชานเมือง สายหนึ่งที่มีชื่อว่า Revolutionaryแฟรงค์ และ เอพริล ย่อมมีความฝันที่วาดหวังไว้คล้ายๆกัน คือ การมีชีวิตที่เป็นความสุขชั่วนิรันดร์ ..โดยที่ตลอดมา หลังจากเป็นผัวเมียกันแล้ว พวกเขายอมที่จะเลือกหนทาง ปลดปล่อยให้ชีวิตของพวกเขาเคลื่อนไหวไปตามครรลองของสิ่งที่กระทบกระเทือนเรื่อยมา อันเนื่องด้วยความเข้าใจที่เชื่อว่า ผู้ชายต้องเป็นช้างเท้าหน้า หาเงินเข้าบ้าน ขณะฝ่ายหญิงก็คือช้างเท้าหลัง ที่มีงานประจำคือการเป็นผู้จัดการประจำบ้าน ที่สามารถจะดูแลความเรียบร้อย ให้สะอาดสะอ้านอยู่เสมอ เพื่อคอยต้อนรับการกลับมาของสามี ให้หายเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน และสบายใจทุกคราวที่ได้กลับมาอยู่ในบ้านเสมอๆ แต่แล้วทุกสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความฝัน ในทุกเมื่อเชื่อวัน ก็เริ่มเกิดการสั่นคลอนขึ้นมา ..เมื่อความเชื่อแบบเดิมๆ เริ่มเป็นอะไรที่น่าเบื่อหน่าย สำหรับฝ่ายสาวเจ้า ผู้กลับมานึกขึ้นได้ ว่าเธอเองก็เคยมีชีวิตที่ทะเยอทะยาน และยังได้โลดโผนกว่านี้เป็นยิ่งนัก และแล้ว แผนการณ์การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ก็บังเกิดขึ้นในห้วงความคิดของ เอพริล ..ทันทีที่เธอเคยจำได้ว่า อยากจะมีสักครั้งที่ได้ไปเที่ยว ปารีส กับครอบครัว ...แต่แผนการณ์นี้ ไม่ใช่แค่ไปเที่ยวเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปเท่านั้น หากยังจะถึงขั้นย้ายถิ่นฐาน ไปตั้งหลักใหม่กันอีกหน เพื่อหวังจะให้ชีวิตครอบครัวได้ยังคงประคับประคองกันต่อไปถึงจุดที่เป็นความนิรันดร์ในฝันให้จนได้ แต่มันจะเป็นไปได้หรือ? ที่ แฟรงค์ จะสามารถจำยอมให้กับความคิดรูปแบบนี้ได้อย่างเต็มใจ ..ในเมื่อชีวิตและบทบาท การเป็นมนุษย์เงินเดือนของเขา กำลังถูกทดสอบครั้งยิ่งใหญ่ และมันอาจหมายถึงความก้าวหน้าที่มั่นคงกว่าเดิม สำหรับครอบครัวของเขาได้เหมือนกัน ถ้าเขาเลือกจะยังคงปักหลักอยู่บน Revolutionary Road และใช้ชีวิตเยี่ยงอเมริกันชนทั่วไปอย่างไม่ท้อถอย เพื่อความฝันอันเป็นนิรันดร์เช่นกัน แล้วใครล่ะที่จะเป็นเจ้าของความคิดที่ถูกต้องที่สุด? ..เมื่อต่างคนต่างก็เชื่อว่าตัวเอง จะทำให้ครอบครัวดีขึ้นกว่าเดิมได้เหมือนๆกันทั้งนั้น ขณะที่คนหนึ่ง ปักใจจะเลือกความมั่นคงทางสถานะ และอีกคน ปักเสาบ้านขอเลือกความมั่นคงในฐานะ ...แล้วสิ่งที่เรียกว่า ความฝัน มันมีบรรทัดฐานอยู่ที่ตรงไหนของความมั่นคง? ความแปลกของเรื่องราวนี้ ไม่ได้อยู่ที่ความฝัน ณ ปลายทาง ว่าใครจะกลายเป็นฝ่ายที่ถูกต้องที่สุดในตอนท้าย ...แต่ที่มันแปลกจนน่าใจหาย ก็คือ ความเป็นจริง ในระหว่างทางของความฝัน ที่มันเรียกร้องการเสียสละของคนสองคน เสียอย่างใหญ่หลวง จนคล้ายจะยิ่งทำให้ความมั่นคงของครอบครัว วีลเลอร์ คลอนแคลนหนักข้อมากไปกว่าเดิมในทุกครั้งที่คนหนึ่งคนใดต้องตัดสินใจ ยิ่งเมื่อหนังเล่นหยอกล้อ ยั่วเย้ากับประเด็นที่เป็นสัญลักษณ์รอบข้างตามรายทาง ..ด้วยภาพของความฝันแบบอเมริกันชน ที่ทุกคนมุ่งหวังความเจริญก้าวหน้า โดยยอมจะใช้ชีวิตให้อยู่ในจุดๆเดิม และทำอะไรแบบเดิมๆ ...ไม่วางแผนให้วุ่นวาย และปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามการกระทบกระเทือนของสิ่งรอบข้างเท่านั้น ด้วยความเชื่อที่สืบต่อกันเรื่อยมา ว่ามันคือ หนทางที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนคนในประเทศนี้ไปแล้ว เราก็จะยิ่งได้เห็นความแปลกแยกที่ไม่น่าอภิรมย์ สำหรับคนที่อยู่รอบข้าง ครอบครัววีลเลอร์ ..ไปพร้อมๆกับความแปลกประหลาดในห้วงความคิดของคนอเมริกัน ที่ต่อให้จะมีใครกล้าคิดดี น่าภาคภูมิ เสียขนาดไหน ก็ไม่ได้รับการยอมรับอย่างที่คาดหวัง ทั้งยังกลายเป็นความหยามเหยียดที่วางฟอร์มอคติต่อ American Dream อันเป็นธรรมเนียมที่ใครๆเขายึดมั่นปฏิบัติกันอย่างนี้ เช่นเดียวกันกับ ความจริงที่ว่า ถ้ามีอเมริกันคนไหน ลองกล้าจะปฏิวัติตัวเองให้แตกต่างจากใครอื่น ก็ขอให้พึงระวังให้ดีว่า ชีวิตของเขาคนนั้น อาจจะไม่สมเป็นสุขอย่างหวังได้อีกต่อไป เหมือนดังที่หนังต้องการบอกกับคนในประเทศนั้น... มันก็ไม่ได้หมายความว่า คนในประเทศอื่น จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เลย มิหนำซ้ำ ในทุกๆสังคมที่มีคนเคร่งครัด ต่อการใช้ชีวิตอย่างเป็นระเบียบแบบแผนที่ยึดมั่นความเชื่อดั้งเดิม(ที่มักจะผูกติดกับเรื่องโชคลาง) ดังเช่นคนส่วนมากในประเทศแถวๆนี้ด้วยแล้ว กระทั่งว่าคนในครอบครัวใดๆ จะรู้สึกดีเสียแค่ไหน ที่ได้ทำการปฏิวัติตัวเอง ไม่ให้เชื่อเหมือนใครเขาอีกแล้ว ..แต่สำหรับคนที่อยู่นอกบ้านออกไป สายตาที่มองเข้ามาในบ้านหลังนั้น ก็คงจะไม่เหมือนดังเดิมอีกต่อไปเช่นกัน Revolutionary Road ..เป็นหนังที่มีเรื่องราวหนัก และแน่นในเนื้อหาหม่นๆ ที่หาญกล้าวิพากษ์สังคมมะกัน อย่างไม่ต้องกลัวโดนหยามเหยียดจากใคร ...เพราะนอกจากประเทศนี้จะเปิดโอกาสให้ทำอะไรได้อย่างเสรี ก็ยังไม่ต้องเกรงอำนาจใดๆ จะมาปิดกั้นจินตภาพบนจอ ..ทุกอย่างมาอย่างเปิดเผยเช่นไร ก็ปล่อยออกไปเต็มที่เท่าที่สามารถจะจำกัดตามเรตก็เท่านั้น (แน่นอนล่ะ ..มันไม่มีทางเหมือนประเทศแถวๆนี้ได้หรอก) แม้ก่อนหน้าของ แซม เมนเดส จะเคยมาทางตลกร้ายกันสุดกู่ ในการวิพากษ์สังคมอเมริกันแบบแยบยล.. แต่เมื่อเขาขอลองเปลี่ยนแนวมาเล่าเรื่องทุกข์ๆ ด้วยมุมมองทุกข์ๆกันสุดกู่ดูบ้าง ก็นับถือว่าทำออกมาเข้าท่าเข้าทีกันทีเดียวโดยเฉพาะกับการเป็นผู้กำกับนักแสดงฝีมือฉมังคนหนึ่งมาก่อนอยู่แล้ว ที่สามารถเรียกศักยภาพของตัวละครได้ออกมาอย่างโดดเด่นเสมอๆ ...ในครั้งนี้ เขาก็ยังปฏิบัติได้อย่างนั้น และสร้างความน่าจดจำให้กับคาแรกเตอร์สำคัญๆ ที่ต่างก็พร้อมได้ดาราที่ฝีมือถึง มารับหน้าที่อย่างน่าดูชม ตัวละคร แฟรงค์ ทำให้ หนุ่มดิคาปริโอ ..มาได้ไกลถึงจุดสูงสุดในฐานะดาราฝีมือดีมีคุณภาพอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ล่าสุดสำหรับผม ที่ว่าเยี่ยมสำหรับเขาจริงๆ ก็คือ การสวมวิญญาณเป็นมหาเศรษฐีผู้ย้ำคิดย้ำทำใน The Aviator นั่นเลย ...ซึ่งถือว่าน่าเสียดายที่ออสการ์จะมองเมินไปในคราวนี้ แม้ขณะเดียวกันยังจะต้องทำใจยอมรับว่าทีมผู้เข้าชิงก็แข็งเอามากๆก็ตาม แต่ถ้าพูดในเรื่องของความโดดเด่นแล้ว ก็กลับกลายว่า ความมีมิติฉบับมนุษย์เงินเดือนของ แฟรงค์ ยังไม่เข้มข้นเท่ากับอีก 2 ตัวละครที่ผสมรวมความเป็นคน เข้ากันกับพฤติกรรมแบบสุดกู่ในทางของตัวเอง และส่งความสุดกู่ของตัวละครนั้นๆได้ลึกล้ำจนสมควรได้รับการเหลียวมองจากออสการ์อย่างจริงจัง แต่ในขณะที่คนหนึ่ง สามารถทำให้ออสการ์ต้องมองได้สำเร็จ ..กับอีกคน กลับได้หนังอีกเรื่องมาเป็นตัวแทนในการลงชิงชัย ทั้งๆจะว่าไป ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่า บทบาทในหนังเรื่องนี้ด้วยซ้ำไมเคิล แชนนอน ..อาจจะเป็นชื่อที่ใครหลายคนคงไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักกันซะเท่าไหร่ เพราะบทบาทโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นสมทบเล็กๆมาตลอด ...แต่เมื่อสมทบเล็กๆของเขาในครั้งนี้ มาพร้อมสีสันที่ฉูดฉาด รุนแรงเป็นที่สุดแล้ว การเป็นสมทบที่ออกแค่ 2 ฉากก็สามารถแย่งซีนจากดารารอบข้างที่มีชื่อกว่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วยังช่วยส่งพลังความเข้มข้นของหนังให้พัฒนาไปอีกระดับ ..สู่ขั้นที่ทำให้ตัวละครนำสองพระนาง สามารถระเบิดบ้านทั้งหลังได้เป็นจุณ หากว่ามีไฟแช็กในมือเท่านั้นเองฉะนั้นแล้ว ถ้าบ้านหลังนี้จะต้องระเบิดในที่สุด ..หน้าที่ของเชื้อเพลิงชั้นดี จึงควรต้องยกให้คาแรกเตอร์คนบ้ามีสมอง อย่าง จอห์น กิฟวิ่งส์ มีบทบาทอยู่ในนั้น เพียงแต่ผมก็มิวายเสียดายที่ เขาผู้นี้ดันได้เข้าชิง(สมทบชาย)ผิดปีจริงๆ ..เพราะเราก็รู้ๆกันดีว่า มีเพียงคนเดียวในทั้งหมด จะต้องเป็นเจ้าของในท้ายที่สุดไป และอีกคนที่น่าเสียดายเอามากๆ ยิ่งกว่าใครเพื่อนในที่นี้ อย่างนางเอกของเรื่อง ...ก็คือ อีกครั้งหนึ่งของการแสดงอันยอดเยี่ยมถึงที่สุด ของสาวเคท ..ที่ไม่ว่าจะเป็นเพราะบทส่งให้แรง ด้วยอานิสงส์การกำกับของสามีที่ตั้งใจให้เมียเริ่ดได้อีก กระทั่งว่าตัวนักแสดงเองที่ตีความได้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ...ก็รวมความได้ว่า เอพริล คือ ความน่าจดจำ ที่สามารถรวมอยู่ในลิสต์อันเป็นมาสเตอร์พีซของ เคท วินสเล็ท ได้เลย แล้วยิ่งเมื่อผมได้มีโอกาสดู The Reader ..เรื่องที่ส่งให้เธอได้ชิงออสการ์ในปีนี้ให้แล้ว ...ก็ตัดสินได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดว่า (ถ้าผมได้เป็นกรรมการ) ..การแสดงเป็นภรรยาผู้ระทมทุกข์ ดูเข้าทีกับการมีเอี่ยวชิงนำหญิงได้น่ารักน่าลุ้นกว่า คาแรกเตอร์โคแก่กินหญ้าอ่อนเป็นไหนๆไม่ใช่แค่ว่า บทของ เอพริล ได้ฉายความเป็นนักแสดงคุณภาพได้หลายวิธีการมากกว่า(ที่น่าฉงนว่า ออสการ์ ชอบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?) ..ยังเรียกร้องความสามารถหลายๆทางประกอบกันด้วย ไม่ว่าจะสีหน้า นัยน์ตา การเคลื่อนไหว จนกระทั่งกับฉาก XXX ..ที่ทำให้ผมรู้สึกมีอารมณ์ร่วมมากกว่าใน The Reader ที่มีเอี่ยวกับการสร้างความผูกพันของตัวละคร เสียด้วยซ้ำ (ซึ่งการแสดงในเรื่องหลังผมจะพูดถึงอีกที ในรีวิวของหนังเรื่องที่ว่าต่อไป) พอมาได้ประกบ และประกอบเป็นคู่ผัวเมียที่มีเคมีเข้ากันกับหนุ่มลีโอด้วยแล้ว ...ก็ยิ่งช่วยเพิ่มพูนความเข้าใจในความสัมพันธ์ของตัวละครพระนางได้อย่างที่หนังต้องการ ..และสมที่ประสบการณ์อันเพาะบ่มนับ 10 ปี หลังจาก Titanic เป็นต้นมา ...การกลับมาเจอกันเป็นผัวเมียที่สมหวังได้อยู่ร่วมหมอนเคียงเตียงเสียที คราวนี้ แสดงความเติบโตได้อย่างชัดเจนจริงๆ แต่จะว่าไปตัวหนังทั้งเรื่อง ก็ยังคงไม่ใช่ที่สุดของความเยี่ยมสำหรับผม ..แม้ว่าการกลับมาเจอกันของ แจ๊ค กับ โรส จะน่าประทับใจ ถึงอย่างไร ผมก็รู้สึกว่าหนังยังมีเส้นบางๆ ที่กั้นกลางระหว่าง ความรักของคนสองคนที่มีอะไรให้ได้เจ็บปวดเสมอ แม้จะไม่ตั้งใจ กับ ความทรมานที่เรารับรู้ได้จากการสังเกตการณ์ หากไม่เข้าใจในที่สุด ว่าพวกเขาได้อะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง แม้บทและกำกับจะเขียนจะสร้างภาพคั้นอารมณ์ออกมาได้เยี่ยมเพียงใด ..แต่เมื่อมา ณ จุดสุดท้าย ผมยังคิดว่า ถ้าตอนจบจะบอกอะไรให้ชัดเจนกว่านี้ ก็คงจะซึ้ง และบาดลึก สะเทือนอารมณ์มากกว่านี้ แต่ที่ต้องยกให้ในฐานที่เข้าใจ ผมก็ขอยกย่องว่าฉากสุดท้าย ..จี๊ดใจ ชนะเลิศ!!!Revolutionary Road ... แม้หนังโดยรวม จะไม่ถึงดีพร้อม ในเรื่องของความยอดเยี่ยม ..แต่ถ้าพูดถึงการแสดงแล้ว นี่คือหนังที่ควรค่าแก่การพูดถึงในหมู่มวลหนังคุณภาพของปี 2008 อย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ สำหรับผมแล้ว ...การได้รู้จักกับ ครอบครัวตัวอย่าง สาขาปฏิวัติดีเด่น ครอบครัวนี้ ..เป็นอะไรที่ไม่ใช่แค่คุ้มค่าได้เรียนรู้ แต่ยังทำให้ผมได้เห็นอนาคตลางๆ ของครอบครัว ...ว่าผมควรจะฝันให้มันเป็นอย่างไรดี? และความฝันที่ว่า ...ขอให้ไม่เป็นอย่างที่หนังเรื่องนี้เป็นทีเถอะ!!! ขอแนะนำ ...ครับเกรด A- ... { }"สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนังได้ที่ //vreview.yarisme.com " ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2552 1:52:43 น.
12 comments
Counter : 4539 Pageviews.
โดย: nanoguy IP: 125.24.122.118 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:2:09:07 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:11:17:15 น.
โดย: calcium_kid วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:21:55:54 น.
โดย: YoiChi~ IP: 118.174.16.215 วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:12:16:19 น.
โดย: Eswat's Girl วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:25:22 น.
โดย: bitoei IP: 124.121.174.244 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:18:44 น.
โดย: คนขับช้า วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:56:10 น.
โดย: คนขับช้า วันที่: 11 ตุลาคม 2552 เวลา:6:18:53 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
ส่วน เคต ในเรื่องนี้เธอเล่นดีจริงๆ และบทส่งด้วย แต่ต้องอย่าลืมว่า ออสการ์ปลาบปลื้มแค่ไหนเวลาเธอแก้ผ้า และปลาบปลื้มแค่ไหนเวลาเห็นคนสวยๆมาทำตัวโทรมๆ แก่งั่ก (ซึ่งล้วนปรากฏใน The Reader)