"รักแห่งสยาม" ... เรียนรู้ที่จะรัก แล้วจงรักที่จะเรียนรู้
เตือนล่วงหน้า : บทความรีวิวนี้ จะมีความยาวมากกกกกกกกกกเป็นพิเศษ ...ยาวกว่าที่ผมเคยเขียนรีวิวหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาก่อนหน้า มิเช่นนั้นแล้ว ต้องขออภัยถ้าจะทำให้คุณรู้สึกใช้เวลากับมันนานจนเกินไปนะครับ... ถ้าคุณไม่อยากอ่านจะปิดกระทู้นี้ไปเลยก็ได้ ไม่่ว่ากันจ้ะเรียนรู้ที่จะรัก... การที่ในทุกวันนี้เรายังมีชีวิต และยังมีความสุขกับการได้ทำในสิ่งที่เราทำอยู่... 'การเรียนรู้' ก็คือ สิ่งสำคัญที่สุดเหนืออื่นใด ทำให้เรายังคงเป็นเราอยู่จนถึงวันนี้ที่ยังหายใจ และก็อาจด้วยเพราะชีวิตของคนเรานั้น มันต้องเคลื่อนไหว และเราต้องเดินหน้าไปไม่มีวันจะให้หันหลังกลับ ...ฉะนั้นแล้ว การเรียนรู้ คือ สิ่งเดียวที่จะทำให้เราได้เติบโต และพัฒนาไปสู่อีกขั้นหนึ่ง ที่สูงยิ่งกว่าเดิมไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้ง การเรียนรู้ สามารถนำมาแบ่งแยกออกมาเป็นบทเรียนต่างๆได้หลายหลากร้อยพันบริบท มีรูปแบบที่จะทำให้รู้ได้เป็นพันเป็นหมื่นวิธี ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะมีอีกหมื่นแสนผลลัพธ์ที่รอคอยเราอยู่ที่สุดทางของการเรียนรู้ อย่างเรื่องของ 'ความรัก' ก็เป็นหนึ่งในบทเรียนภาคบังคับตัวสำคัญ ที่มนุษย์ทุกๆคนจำเป็นจะต้องผ่านและได้รู้จักกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วถ้าสมมติว่าเราไม่เคยได้ผ่าน และไม่ยอมคิดจะทำความรู้จักกับมันเลยล่ะ ...เราจะยังคงสามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ได้หรือเปล่า ? ผลลัพธ์ที่จะเป็นคำตอบของคำถามนี้ก็คือ... ไม่มีทาง ก็เฉกเช่นเดียวกัน กับที่ผมได้เรียนรู้มาจากหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งคนคิดเรื่องได้ตั้งคำถามกับความรัก ที่ชวนให้น่าค้นหาคำตอบ ว่า... "คนเราอาจสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินข้าว แล้วความรักล่ะ มันจำเป็นกับการมีชีวิตของเราด้วยหรือไม่ ?" ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ได้นำคำถามโลกแตกที่ดูจะค้างคาใจของเขามาตลอด ต่อยอดให้กลายเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่เขามีความคิดอยากจะทำให้มันเป็นความจริงมากที่สุด ...เรื่องราวจากคำถามคาใจ ได้กลายเป็นมาหนัง "รักแห่งสยาม" เรื่องราวของความรักที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ หัวใจของแต่ละตัวละครที่ต่างใจก็ต่างซึ่งรูปแบบกัน ใจของ "มิว" ...อ้างว้าง โดดเดี่ยว และอยู่กับความเหงามาเนิ่นนาน ตั้งแต่ที่เขาสูญเสียอาม่าอันเป็นที่รักที่สุดของเขาไป ใจของ "โต้ง" ...สับสน ว้าวุ่น และอยู่อย่างกล้ำกลืน ด้วยสภาพแวดล้อมที่ครอบครัวและผู้หญิงคนรัก ไม่มีใครเข้าใจเขา ใจของ "สุนีย์" ...เหนื่อยอ่อน และปวกเปียก แต่ก็ยังคงจำใจแข็งขืน และหนักแน่น เพื่อต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนพ่อที่เสียผู้เสียคน ใจของ "กร" ...แห้งเหี่ยว หมดเรี่ยวแรง สามารถประคองชีวิตไปวันๆ ได้เพียงแค่การดื่ม ดื่ม และดื่มสุรา ไปจนกว่าจะถึงวันที่ชีวิตนั้นหาไม่ ใจของ "จูน" ...แจ่มใส ร่าเริง ในเปลือกนอก แต่ภายในกลับบอบช้ำไปด้วยความผิดบางอย่างที่เธออยากจะแก้ไข แต่มันก็สายเกินจะแก้ได้เสียแล้ว ใจของ "หญิง" ...แอบซ่อน ปกปิด และไม่กล้าจะเปิดเผยว่าเธอหลงรักเด็กผู้ชายข้างบ้าน ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ ใจของ "โดนัท" ...เย่อหยิ่ง ถือทนง และไม่เคยจะยอมใครตราบใดที่ใครคนนั้นจะยอมเธอก่อน ใจของตัวละครทั้ง 7 ...ถูกโยงใยให้ต้องมาข้องเกี่ยวกันด้วย ภายใต้สภาพสังคมที่แวดล้อมไปด้วยความวุ่นวาย และวกวนของชีวิตอีกนับแสนล้านคน... ที่ทุกหนแห่ง ทุกซอกมุมมี ความรัก เป็นอากาศให้ได้หายใจ คุณมะเดี่ยว เป็นอีกหนึ่งในผู้กำกับหนังไทย ที่ผมไว้ใจและเชื่อมือ โดยยังไม่ต้องไปพิจารณาว่า ตัวหนังจริงๆจะเป็นเช่นไร... เพราะถึงจะยังคงคาดหวังทุกๆครั้งว่าหนังเขาต้องดี แต่กระนั้นมันก็เชื่อใจในมาตรฐานที่เขาตั้งเอาไว้สูงในทุกงานที่เขาจับ ...ไม่ว่าจะ "คน ผี ปิศาจ" "12 (เกมสยาม)" "13 เกมสยอง" ที่เขากำกับ จนกระทั่งล่าสุดกับบทหนังสุดล้ำลึกของ "บอดี้ ศพ #19" ทุกๆเรื่องก็ล้วนแต่รับการกล่าวขวัญในทางที่ดี อีกทั้งยังสามารถเอามาเป็นต้นแบบให้กับหนังเรื่องใหม่ๆ ที่จะมีออกมา ภายใต้สไตล์เรื่องที่ใหม่ ยังไม่มีใครคิดจะแหวกขนบทำ แล้วกับงานชิ้นล่าที่ริจะพลิกรูปแบบ และการทำหนังที่ว่าด้วยเรื่องของความรักเป็นหลักใหญ่เช่นนี้ ...มันก็ยิ่งทำให้ผมกล้าจะรู้สึกว่า เขาต้องมีของอะไรสักอย่างเป็นแน่แท้ ที่ทำให้เขาแน่ใจจะทำหนังที่แตกต่างจากแนวทางเดิมๆที่เราคุ้นเคยซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลยกับ ทุกฉากที่ได้เห็นจาก รักแห่งสยาม ในเวลา 2 ชั่วโมงกับอีกราวๆ 30 นาที ...ทุกๆภาพ ล้่วนเป็นผลิตผลแห่งความประทับใจ และมันก็ตราตรึงเสียยิ่งกว่า หนังไทยเรื่องอื่นใดในรอบปีนี้ที่ผมได้ดูมา ตัวหนังและเรื่องราว เดินหน้าอย่างเอื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ไม่รีบไม่ร้อน... การให้รายละเอียดในตัวเรื่อง มียิบย่อยให้ต้องขยันตามเก็บไปในทุกๆฉาก รวมกับการวางเหตุ และให้ผลของแต่ละพลอต ก็ยังมีความต่อเนื่องทอดสะพานไปถึงกันและกัน ในแบบที่เราแทบไม่เห็นรอยต่อที่ขัดแย้งกันเลย ...คุณมะเดี่ยว ยังคงยอดเยี่ยมกับบทบาทของนักเขียนบท ที่เพลิดเพลินในความคิด จับใส่สัญลักษณ์ อะไรต่อมิอะไรไปหลายอันให้คนดูต้องคอยสังเกตสังกากันอย่างสนุก ...แล้วกับในส่วนที่เขียนขึ้นเพื่อเป็นความบันเทิงหรรษา ก็ล้วนกลายเป็นแง่มุมอันน่ารักที่สร้างความสดใสให้เราเจริญใจ ...และเป็นกลวิธีการประโลมใจอันชาญฉลาดที่ทำให้เราตกอยู่ภวังค์แห่งความเพ้อฝัน ก่อนจะได้ตบหน้าเราให้ตื่น ด้วยภาพแรงๆ ดรามาเจ็บๆ ที่จะโถมซัดเข้ามาแบบไม่ทันให้เราได้ตั้งตัว บทหนังของ รักแห่งสยาม ตีกรอบสร้างประเด็นที่สะท้อนสังคมในยุคนี้เอาไว้ด้วยแง่มุมอันหม่นหมอง แข็งกร้าว และหนักหน่วง ที่สอดคล้องกับ ความรัก ของคนเราที่มีให้แก่กันและกันในวันนี้ที่โลกเรายิ่งหมุนก็ยิ่งน่าเวียนหัวมากกว่าเดิม ...แนวคิดของเรื่องอาจจะดูมีความคล้ายคลึงกับ Love Actually อยู่ แต่มันก็ต่างซึ่งรูปแบบที่เจาะลงลึกยิ่งไปกว่า เรื่องหลังที่ยังจำเป็นแตะต้องอย่างพอดี วางน้ำหนักเรื่องให้สมดุลพอๆไปด้วยกัน ...แล้วกับ รักแห่งสยาม ก็ได้เวลาที่ยาวนานช่วยเอื้อให้หนังได้แตกปลายแง่มุม ตกผลึกความคิด คุณมะเดี่ยวแตกพลอตหลักทั้งสองส่วน ให้ประกอบกับพลอตย่อยอีกหลายๆส่วน แล้วจึงจัดการถ่ายโอนงานให้เราคนดูเป็นผู้มีหน้าที่ที่รวมเอาชิ้นส่วนทุกชิ้นมาหลอมกลายเป็นเนื้อเดียวกัน พร้อมกันกับการเข้าใจควบคู่ไปกับเรื่องราวอันเป็นชิ้นส่วนต่างๆของพลอตหลัก ใครบางคนอาจจะมองว่า คุณมะเดี่ยว เป็นเจ้าของความคิดที่หลอกลวงคนดูให้หลงเข้าใจว่าเป็นหนังรักใสๆหัวใจกิ๊กกั๊กเฉกเช่นเดียว Seasons Change หากความเป็นจริงกับซ่อนแอบอะไรเอาไว้ในนั้นด้วยซะงั้น ...ทั้งหมดนี้ ขอให้โทษไป กับวิธีการโปรโมตของ พีอาร์ค่าย จะดีเสียกว่า แล้วอีกอย่าง ตัวอย่างหนัง ก็เหมือนจะแทงกั๊กอะไรบางอย่างเอาไว้ กับฉากบางฉากที่ดูเพียงฉาบฉวยก็พอรู้ว่ามันต้องมีอะไรที่หนุนนำให้เรื่องมันต้องแรงกว่าที่รู้สึกแน่นอน (เช่น ฉากที่โต้งกอดรัดเชิงขืนใจหญิง) เห็นแค่นั้น ผมก็ตัดสินได้ว่า มันย่อมไม่ใช่หนัง Feel Good อย่างเช่น Seasons Change เป็นแน่แท้ แม้มันจะไม่ใช่ Seasons Change แห่งปีนี้ ก็ตามทีเถอะ... แต่กระนั้นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับที่ รักแห่งสยาม ได้กลายมาเป็น หนังไทยอันดับ 1 แห่งปีนี้ของผมคนนี้ (ในตัวเลขที่ๆเคยเป็นอันดับของ หนัง GTH เรื่องนั้นในปีก่อนนั่นเอง) เป็นที่เรียบร้อยแล้วได้รู้ในสิ่งที่รัก... ตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไปจะมีการ SPOILER เนื้อหาสำคัญของหนัง ...สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูและไม่อยากรู้เรื่องที่ผู้กำกับแอบๆเอาไว้ ก็ขอให้อย่าเพิ่งอ่าน แล้วข้ามไปที่ "จงรักที่จะเรียนรู้" เลยครับ ... (แต่จะว่าไปไอ้ที่ว่าแอบๆ เขาก็คงรู้กันหมดแล้วมั้ง อิอิ) ถึงมนุษย์เราอาจจะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างสบายได้ด้วยการกินข้่าว การหาอะไรเข้าท้องให้เกิดกระบวนการสร้างพลังงานแก่อวัยวะในร่างกาย ...หากแต่ เราก็คงจะไม่มีทางอยู่รอดได้ ตราบใดที่อวัยวะส่วนสำคัญ ที่เรียกว่า หัวใจ ไม่มีความรักเป็นอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่ชีวิตที่หายใจได้ และก็เพราะ ความรัก คือ ยาใจที่ช่วยชูกำลังให้คนที่ได้กินอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป และความรัก ก็ยังคือ วิตามินที่ช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับทุกชีวิตที่ได้เสพติดมัน ...มิเช่นนั้นแล้ว มนุษย์ทุกคนจึงจำเป็นต้องมีความรัก เพื่อไว้คอยยึดเหนี่ยวหัวใจให้คงอยู่กับเราตลอดไปทั้งชีวิตนี้ที่ยังเหลืออยู่ สิ่งที่ผมคิดออกไปนั้น ไม่ได้อยากจะให้เกินเลยไปด้วยคำที่สวยหรูเหวินเว่อร์ เพราะถึงมันยังจะเป็นสิ่งที่ผมประดิษฐ์ฺประดอยขึ้นมาอย่างเจตนา แต่กับความตั้งใจที่จะพูด มันก็เป็นเฉกเช่นที่ รักแห่งสยาม ได้บอกกับเราเอาไว้ ในทุกๆเรื่องราว ทุกๆแง่มุม ที่หนังเสนอเอาไว้ตั้งแต่้ต้นจนจบเรื่อง... กับประเด็นหลักทั้ง 2 ส่วน ที่หนังดำเนินเรื่องราวให้ตีคู่เคียงขนานกันไปตลอดเวลาที่เรากำลังเอาสายตาจับที่จอหนัง ...มันต่างก็ล้วนเป็นประเด็นที่กำลังเป็นปัญหากับความรักของคนในสังคมปัจจุบัน แบบที่เรื่องบางเรื่องอาจจะมองดูเฟคเหมือนละครน้ำเน่า แต่มันก็คือความจริง และมันก็ไม่ใช่ละครที่ถูกจัดฉากเสียด้วยรักของวัยรุ่น ...ใน รักแห่งสยาม'โต้ง' และ 'โดนัท' ...ฉากรักของคนคู่นี้ อยู่ในช่วงที่กำลังเกิดภาวะสั่นคลอนในความเชื่อมั่น ...มันอาจจะเป็นไปด้วยเหตุผลง่ายๆที่คนทั้งสองไม่เข้าใจกันก็หนึ่ง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกหนึ่ง คือ การที่โต้งและโดนัทกำลังค้นหาตัวเอง และต่างค้นหาว่าความรักที่แท้จริงของเขาและเธอ มันเป็นอย่างไร ฝ่ายชาย ...คือ คนที่เงียบๆ ไม่ชอบทำตัวโอเว่อร์ และไม่มีความต้องการจะคอยประคบประหงม เอาอกเอาใจแฟนอะไรมากนัก ...เพราะเขาเชื่อมั่นว่า เขารักในแบบที่ตัวเขาเป็น คือวิธีการที่ดีที่สุดแล้วอันต่างกันกับฝ่ายหญิง ...ที่เธอไม่ชอบทำตัวเงียบๆ ออกจะแคร์กับการพรีเซนต์ตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด (แคร์ไม่แคร์ วัดกันจากการได้รับตำแหน่ง สวยเลือกได้ ประจำโรงเรียน) แล้วที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ก็ยังจะต้องการความแคร์จากผู้ชายที่เธอคบหาอยู่ด้วยทุกคน โดยไม่สนว่าเขาคนนั้นจะใช้คำว่า แฟน ด้วยหรือไม่ก็ตามที ...ด้วยคุณลักษณะของคุณหนูไฮโซที่ยึดมั่นถือมั่นกับความเห็นแก่ตัวเองยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ทำให้เธอรับไม่ได้กับวิธีการแสดงออกของโต้ง ที่ไม่เหมือนชายคนอื่นๆที่เธอแอบกิ๊กกั๊กด้วย 'ความแตกต่าง' ของคนคู่นี้ ทำให้เราได้รู้ว่า... 'การปรับตัวปรับใจเข้าหากันเป็นสิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดในความรัก' เราคงเคยได้พบได้เห็นชีวิตคู่ของคนหลายต่อหลายคนต้องล่มสลายลง เพียงเพราะความไม่เข้าใจในกันและกัน เมื่อมีปัญหากันเมื่อไหร่ ก็ทำได้แต่โทษอีกฝ่าย ว่าเป็นผู้ผิด ไม่ได้ย้อนคิดถึงความเป็นจริงว่าคนผู้ว่ากล่าวนั้นเองก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความผิดขึ้นมา จนเมื่อสุดท้ายที่ความรักของทั้งสองคนไม่มีทางได้เคลียร์กันให้จบ เรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านพ้นจึงจบความเข้าใจกันลงไปตรงที่การเลิกรา ...และนั่นจึงเป็นเรื่องของความแตกต่าง ที่หนักหนาสาหัสมากกว่าเรื่องอื่นใดในสารบบปัญหาความรัก ถึงผมจะรู้สึกรำคาญ และไม่ชอบอุปนิสัยอันดื้อดึงของโดนัท เฉกเช่นเดียวกับโต้ง ก็จริงเถอะ...แต่กระนั้น มันก็ถือว่าน่าเห็นใจเธออยู่้เช่นกัน ที่สิ่งที่เธอเป็น ไม่สามารถเข้ากันได้กับ สิ่้งที่โต้งเป็น หากเพียงถ้าเธอรู้จักจะปรับตัวปรับใจแก้ไขอะไรที่เธอเป็นให้มาจูนกันกับโต้งได้ ความรักของคนทั้งสองก็คงไม่จำเป็นต้องจบลงที่คำพูดอันชวนน่าหมั่นไส้ของโดนัทเช่นนั้นหรอก'มิว' และ 'หญิง' ...ฉากรักของคนคู่นี้ ไม่ได้มีฉากที่ลึกซึ้งของคำว่า 'แฟน' จำกัดความเอาไว้ เฉกเช่นโต้ง กับ โดนัท ...แต่กระนั้นนี่ก็คืออีกแง่มุมของความรัก ที่คนหนึ่งต้องพยายามปกปิด ด้วยคำว่า 'แอบชอบ' ส่วนอีกคนก็คือผู้ที่โดนปกปิดไม่ให้รู้ว่า มีคนอีกคนที่แสดงออกด้วยคำว่า 'ห่วงใย' คอยเฝ้าจับตาดูอยู่อย่างชิดใกล้ ฝ่ายชาย ...คือ คนที่มีชีวิตอยู่เพียงตัวคนเดียว และชอบการอยู่กับตัวเองมาตลอดนับแต่วันที่เหลือเขาเป็นคนสุดท้ายในบ้านหลังที่เขาไม่เคยได้ย้ายจากไปไหน ...ตอนนั้นเขาก็คือเด็กผู้เดียวที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวในละแวกบ้านที่ไม่มีเด็กวัยเดียวกับเขาอาศัยอยู่ (ตอนนั้นคือตอนที่โต้งย้ายบ้านออกไปแล้ว) และเขาก็ไม่เคยคิดบากบั่นจะไปหาใครคนอื่นมาเป็นเพื่อนของเขาอีกเลย (นอกเหนือไปจากโต้งเพียงคนเดียวเท่านั้น) แต่ในที่สุดแล้ว การเข้ามาสู่ละแวกบ้านเดียวกันแห่งนี้ของเด็กผู้หญิงที่รักการจะมีเพื่อน ก็ได้ทำการเปิดประตูต้อนรับให้เขาได้รู้จักกับการมีเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง หากแต่ในความรักแบบเด็กร่วมหมู่บ้านของหญิง ก็มีความนัยซ่อนอยู่ ...นัยที่ว่าเธอรักเขาคนนี้มากกว่าคำว่า 'เพื่อน' โดยที่ มิว ก็ยังไม่เคยจะรู้ได้ว่า เขาคือคนที่หญิงห่วงใยยิ่งไปกว่าใครต่อใครที่เป็นเพื่อนเธอทั้งหมด แต่จนเมื่อเรื่องราวมันเดินหน้ามาจนถึงจุดที่ มิว ได้รู้จักความรักที่แท้จริงแล้ว ...เขาก็ได้พบความจริงที่แอบซ่อนไว้ และสิ่งที่ใจเขาปรารถนาอยู่นั้น ก็ย่อมไม่ใช่เด็กผู้หญิงคนแถวบ้าน ผู้ที่ปรารถนาเขามาตลอด คนนี้เป็นแน่แท้ ...และเพราะ มิว ก็ยังคงเห็นแก่คำว่า 'เพื่อน' มากกว่าคำอื่นใด เขาจึงได้มอบนิยามของคำว่า 'เข้ากันไม่ได้' เป็นเหมือนของรางวัลปลอบใจ แด่เพื่อนสาวที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวของเขาผู้นี้ 'ความเข้ากันไม่ได้' ของคนคู่นี้ ทำให้เราได้รู้ว่า... 'ความเป็นแฟน ย่อมไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตที่อยากจะมีความรัก' มันก็อาจจริงอยู่ที่ว่า การที่มีคนที่เรารักและรักเรา เป็นสิ่งที่ดีที่สุัดที่ชีวิตเราควรจะหามาได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการได้เกิดมาเป็นคน ที่ยังมีสิ่งอื่นให้เห็นว่าจำเป็นกว่ากันอีกมากมาย... อย่าลืมไปว่า บนโลกกลมๆใบนี้ก็ยังมีผู้คนอีกนับหลายแสนหลายล้าน ที่เขียนสถานะความเป็นโสดห้อยคอเอาไว้ให้เราได้เห็นกันไปทั่ว และผู้คนเหล่านั้นที่เป็นหนึ่งในนั้น ก็มีมากมายที่ไม่ได้เห็นสถานะความเป็นแฟน จะคือ สิ่งสุดท้ายที่ในชีวิตเขาจะต้องมีกันให้ได้ แน่นอนที่ผมเอง(ผู้มีประสบการณ์ในด้านนี้มาก่อนค่อนข้างโชกโชน) ย่อมต้องรู้สึกเจ็บปวดกระเทือนใจแทนตัวหญิง ในสิ่งที่เธอได้รับคืนมาเป็นรางวัลปลอบใจอยู่ ...แต่กระนั้น นั่นก็คือวิธีการสั่งสอนเตือนใจที่ดีที่สุดที่ผมเห็นควรด้วย นอกไปเสียจากมันจะทำให้เธอได้เติบโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ที่สำคัญกว่าอื่นใด ก็คือ นี่คือความรักครั้งแรกที่จะช่วยสอนสั่งเพาะบ่มความเป็นคนให้เข้มแข็งขึ้นในครั้งต่อๆไปที่เธอ(หญิง) หรือเรา(คนดูเอง)มีความรัก 'โต้ง' และ 'มิว' ...ฉากรักของคนคู่นี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากความเป็นเพื่อน ...หนึ่ง คือ เพื่อนบ้าน , สอง คือ เพื่อนร่วมโรงเรียน ในวัยเด็กของพวกเขาทั้งสอง ...ความรักที่เขาและเขามีให้ต่อกัน ยังสามารถเรียกคำว่า เพื่อนสนิท ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ...เพื่อนสนิทที่คอยให้การช่วยเหลือกันและกัน ในเวลาที่อีกคนกำลังเดือดร้อน ...เพื่อนสนิทที่มีเวลาว่างเมื่อไหร่ ก็ต้องมานั่งขลุกมาเล่นสนุกตามประสาของเด็กผู้ชายที่ลิงโลด ...เพื่อนสนิทที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน เพื่อนที่มีใครทำอะไร อีกคนก็ยินดีจะยอมทำตามโดยไม่อิดออด (ตัวอย่างในหนัง ก็คือ การแสดงละครเวที ...ที่มิว มีบทเด่น แต่กับ โต้ง เป็นแค่ตัวประกอบฉากซะงั้น) แต่เมื่อถึงวันที่พวกเขาได้เติบโตขึ้นมาเจอกับโลกใบที่ใหญ่และกว้างกว่าเคยมองเห็นในวัยเด็ก ...ความรักที่เขาและเขามีให้ต่อกัน ก็เหมือนจะมีเจตนาอะไรบางอย่างที่ทำให้คำว่า เพื่อนสนิท อาจจะมีคุณค่าน้อยเกินไปเสียแล้ว ถ้าจะไปกล่าวโทษถือผิดให้เป็นภาระของโลกใบนี้ที่นับวันก็ยิ่งทวีมีกลุ่มมีก้อนของคนสีม่วงมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ Non-sense มากกว่าจะ Make-sense ...แล้วกับ นิยามของความรักในวันนี้ มันก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรที่ตายตัวเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ความรักที่คนสองคนมีให้ต่อกัน ไม่ได้มีข้อบังคับใดๆบีบให้ต้องเป็น ชาย กับ หญิง เพียงเท่านั้น ความรักของ โต้ง กับ มิว ยังนับว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ และดูสดใสมากไปกว่า คำพูดของคนอื่นคนนอกที่ยัดเยียดว่า So-mom ...เมื่อลองได้หยิบเอากรณีของคนคู่นี้ไปเปรียบเทียบกับความเป็นจริงของสังคมสีม่วงในวันนี้แล้ว ก็จะยิ่งเห็นได้เด่นชัดที่ โต้ง กับ มิว ก็ยังคงห่างไกลซึ่งคำว่า So-mom อีกยาวไกล แต่ถึงมันจะยังคงความบริสุทธิ์ใสๆเช่นรักในวัยรุ่นใสๆ เอาไว้เช่นไรก็ตามที กับสุดท้ายแล้วในสายตาของคนอื่น(โดยส่วนใหญ่)ก็ยังคงเลือกจะมองความรักวิปริตเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ทุเรศ เป็นการกระทำที่สิ้นคิด และยุว่าส่งเสริมการทำลายล้างวัฒนธรรมความเป็นคนให้เหลวแหลกขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นแล้ว โต้ง กับ มิว ก็จึงไม่มีทางอาจหนีไปจากความเป็นจริงของสังคมที่ยัดเยียดให้เขาและเขาต้องจบลง ด้วยความเป็นเพื่อนสนิทเช่นที่เคยเป็นกันมา ได้เพียงเท่านั้น 'ความรักที่ไม่สมหวัง' ของคนคู่นี้ ทำให้เราได้รู้ว่า... 'สังคมวันนี้ยังคงต้องการความรักที่บริสุทธิ์แบบชายหนุ่มและหญิงสาว มากกว่าจะยอมยินดีเปิดช่องทางให้คนเพศเดียวกันชอบพอและเบี่ยงเบนกันเองได้' แม้ผมจะเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยมีความคิดจะมีความรักแบบนี้เลย (อาจจะมีบ้างก็เฉพาะตอนที่หยอกล้อขำๆกับเพื่อนฝูงบ้าง ฮาๆกันไป) แต่กระนั้นผมก็ไม่เคยจะมีความคิดต่อต้านโดยใดๆ ...และถึงผมจะมีความยินดีเห็นดีเห็นงามด้วยแล้ว ก็คงมิอาจไปมีกำลังโต้เถียงขอความเรียกร้องใดๆ ให้คนทุกคนบนโลกเห็นดีเห็นงามในรักแบบนี้ดูบ้าง ...เพราะเรื่องแบบนี้ มันยังคงละเอียดอ่อน และเต็มไปความหวั่นไหว ที่ยิ่งพูดก็ยิ่งจะกลายเป็นการสร้างเครื่องหมายลบในใจมากกว่าเดิมเท่านั้น มิฉะนั้้นแล้ว ...เรื่องของวันเวลา จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ที่จะช่วยพิสูจน์ให้ใครต่อใครผู้นั้นได้เห็นกับ เรื่องบางเรื่อง มันก็ควรจะมองข้ามระบบระเบียบกันได้ ...ถ้าตราบใดที่ความรักแบบนี้ ไม่ได้ไปทำให้โลกใบนี้ต้องมีปัญหา (เฉกเช่นที่คนบางคนอาจกำลังทำอยู่ในวันนี้)รักของผู้ใหญ่ ...ใน รักแห่งสยาม'สุนีย์' ...ฉากรักของเธอคนนี้ เต็มไปด้วยความผิดที่เธอยินยอมปล่อยผ่านให้มันเกิดขึ้นมา... การหายตัวไปของ 'แตง' ลูกสาวคนโตของเธอ ทำให้ครอบครัวที่เคยอบอุ่น กลายเป๊นอีกหนึ่งครอบครัวที่จำทนอมเศร้าเพียงกับความทรงจำอันเลวร้ายของอดีต... สุนีย์ต้องแบกรับกับความรู้สึกที่ย่ำแย่ของสมาชิกแต่ละคนที่ต่อกันไม่ติด ทั้งๆที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน ก็เหมือนไม่ใช่คนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน สุนีย์ -> กร : พยายามทุกวิธีการที่จะทำให้กรเลิกเจ็บปวดกับความจริงอันเลวร้ายที่ตัวเขาก่อ เธอทำได้โดยไม่เคยสนว่าวิธีนั้น จะทำได้จริงหรือไม่ ...ทั้งๆที่จริงแล้ว เธอเองก็เลือกจะสนแต่การหลอกลวงตัวเองไปวันๆ กับการพร่ำบอกว่า แตง ทำตัวของตัวเองให้ต้องจากพวกเขาไป'กร' ...ฉากรักของเขาคนนี้ เต็มไปด้วยความผิดที่เขาเป็นผู้เริ่มก่อโดยมิรู้ตัว... การหายตัวไปของ 'แตง' ลูกสาวคนโตของเขา ทำให้ความสุขที่เคยอบอวลในวันก่อน กลายเป็นวันแห่งความทุกข์ที่ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์... กรยังคงเจ็บปวดกับความคิดและการกระทำของเขา ที่มีส่วนทำให้สมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวต้องลาลับ ไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่ ...นอกเหนือไปจากความผิดติดตัว สิ่งที่เขาเหลืออยู่ในชีวิตนี้ก็มีเพียง 2 สิ่ง คือ เหล้า และอดีต เขาเลือกเหล้ามากกว่าเมีย และเลือกจะจมกับอดีตมากกว่าการอยู่กับปัจจุบันที่ วันนี้มันควรจะดีกว่าวันนั้นกร -> จูน : ความรู้สึกดีๆกลับคืนมา เมื่อเขาได้เจอหน้าลูกสาวที่เขารักและรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ ...หากแต่ในความจริงแท้ จูน ก็คือ คนอื่นที่ได้รับการว่าจ้างจากสุนีย์และคำขอร้องจากโต้ง ให้มาช่วยบั่นทอนความรู้สึกเศร้าของกรให้ลดน้อยถอยลงไป'จูน' ...ฉากรักของเธอคนนี้ เต็มไปด้วยความผิดที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะก่อ หากแต่เธอก็ล่วงเกินทำมันมานาน จนสุดท้ายก็กลายเป็นสิ่งที่สายเกินแก้ ...เธอเลือกจะเดินจากครอบครัวออกมา เพื่อเผชิญหน้ากับชีวิตอันน่าจะสุขสบายในเมืองใหญ่ จูนคาดหวังที่จะทำงาน งาน และงาน เพียงเพื่อหวังจะได้ส่งเสียเงินทองไปยังพ่อแม่ที่รอคอยการกลับไปของเธอ ...แต่เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ จูนก็พบว่าไม่ได้มีใครต้องการจะรอคอยเธออีกต่อไปแล้ว และในวันนั้นก็คือ วันที่ทำให้วันนี้ เธอเลือกจะรักตัวเอง มากไปกว่าจะรักใครคนอื่นให้เท่าเทียมคนที่เธอเคยรักจูน -> สุนีย์ : ถูกดึงเข้ามาเพื่อต้องการให้เปลี่ยนแปลงชีวิตของครอบครัวสุนีย์ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ...หากแต่ในทางกลับกันแล้ว จูนกลับเป็นคนที่พยายามดึง สุนีย์ กร และโต้ง ให้กลับมามีความเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง ...ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเพราะ ความผิดที่เธอเคยทำให้ครอบครัวตัวเองล่มสลายละมั้ง มันจึงเป็นเหมือนการได้รับโอกาสที่ดีที่จะช่วยแก้ให้ครอบครัวของคนอื่น กลับมาเป็นครอบครัวที่น่ารักเป็นที่สุดอย่างที่เธอพยายามพร่ำบอก เรื่องราวความรักที่เกี่ยวเนื่องกันของ คนทั้งสาม ทำให้เราได้รู้ว่า ...'ความผิด มันอาจจะได้ชื่อว่าเลวร้าย แต่กระนั้นมันก็ยังจะมีแง่มุมดีๆอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน หากแค่เราสามารถดึงเอาแง่มุมนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์' ทุกๆอย่างบนโลกใบนี้ มันล้วนแต่มี 2 มุมด้วยกันทั้งนั้น ...ซึ่งในบางสิ่งที่คนมองว่าดี ก็อาจจะกลับกลายเป็นร้ายได้ถ้าเราใช้มันแบบผิดๆ และทางกลับกันกับบางสิ่งที่มันดูแย่ ก็ใช่ว่าจะแย่ไปซะหมด ตราบใดถ้าเราเอาสิ่งที่แย่เหล่านั้น มาแปรรูปให้มันเป็นสิ่งดีๆที่จะช่วยให้ชีวิตเจริญเติบโตขึ้นกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่น... สิ่้งที่สุนีย์ทำให้กร มันก็ยังอาจจะดูเป็นวิธีการที่เหมือนแก้ไขที่ปลายเหตุอยู่ แต่กระนั้นถ้ามันจะช่วยประคับประคองให้คนรักยังคงจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไป มันก็ย่อมดีซะกว่าไม่ยอมทำอะไรเลย ...หรือกับสิ่งที่กรทำให้จูน ก็คือ การสร้างความรู้สึกดีๆที่ช่วยทดแทนความผิดครั้งอดีตที่เธอเคยทำให้พ่อแม่ต้องเจ็บช้ำ กับการได้อยู่ช่วยดูแลรักษา(ที่แลกด้วยอามิตสินจ้าง) นอกไปจากจะทำให้ กร มีชีวิตที่ดีขึ้น (และยังทันเวลาที่จะไม่ทำตัวเองให้ต้องตาย) จูนก็ยังได้ประโยชน์ที่ช่วยลบล้างที่เธอไม่ทันไปดูใจคนที่เธอรักที่สุดได้ทันเวลาเช่นกัน ...หรือกับสิ่งที่จูนทำให้สุนีย์ ที่เหมือนจะเป็นการก้าวก่ายคนอื่นก็เถอะ แต่ถ้าเธอก้าวก่ายแล้วทำให้ครอบครัวของคนอื่นกลับมาปรองดอง รักมั่น เช่นที่เคยเป็นได้ ก็คงจะดียิ่งซะกว่าการยุ่มย่ามแล้วสักแต่มาเอาประโยชน์เพื่อตัวเงินหรือตัวเองเพียงอย่างเดียว เฉกเช่นเดียวกับที่คนบางคนในสังคมนี้คิดอยู่ รักของทุกคน... ใน รักแห่งสยาม เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ มีคุณค่า และช่วยเหลือเพาะบ่มความเป็นคนให้มันเติบโต เปลี่ยนแปลง ทำให้คนหนึ่งคนได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไร ได้เปิดใจที่จะยอมรับในสิ่งที่มันต้องเกิดขึ้น ...ความเป็นไปทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นใน รักแห่งสยาม จึงเป็นเรื่องที่จริงซะยิ่งกว่าจริงในแบบที่มีหนังเพียงน้อยเรื่องที่จะจริงจังและจริงใจกับคนดูได้มากเท่าเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ที่ได้เห็นได้ชมอยู่นี้จงรักที่จะเรียนรู้... บทหนังที่ร่ายกันมาจากข้างบนนั้น อาจจะว่ายอดเยี่ยมในเนื้อหาและการนำเสนอแล้ว ...แต่กับส่วนอื่นๆ ที่รวมเป็นหนังทั้งเรื่อง ก็ไม่ต่่างอะไรกันไปเลย แถมจะส่งเสริมให้หนังที่จริงจัง และจริงใจ เข้มข้น และสนุกน่าติดตาม โดยไม่มีช่วงเวลาใดใน สองชั่วโมงครึ่งอันยาวนาน ที่น่าเบื่อเลยงานกำกับของคุณมะเดี่ยว ก็เช่นกันกับบท ...นำพาอารมณ์คนดูให้คล้อยไปตามภาพโดยไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกสะดุดตา สะดุดใจ กับจังหวะเรื่องที่เนิบนาบ ก็ไม่ชวนให้อยากหลับ การแสดงของนักแสดงรุ่นใหม่... ดูใช่ในคาแรกเตอร์ ดูเหมาะกับภาพจำที่ทำให้เราเชื่อในตัวละครที่เขา/เธอเป็น และการแสดงที่เขา/เธอทำ ..."พิช-วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงศ์กุล" เป็น มิว ได้น่ารัก หน่อมแน้มได้ใจ แล้วกับฉากที่เป็นดรามาจริงจัง เขาก็เอาได้อยู่ ที่สำคัญ ร้องเพลงเพราะจนอากู๋น่าจะชวนไปทำอัลบั้ม , "มาริโอ เมาเร่อ" เหมือนจะดูแข็งๆ แต่เปลือกนอกที่เห็นก็ทำได้ดูจริง สอดคล้องบทบาท แล้วก็เด็ดขาดกับการใช้สายตา ที่มองมาทีไรก็บริหารหัวใจให้คนดูสาวๆได้ขยับเต้นๆตุ๊บตั๊บ พอๆกันกับหนุ่มๆ(แต๋วแตก) ที่กรี๊ดกร๊าดกันจนน่าหมั่นไส้ (เฮ้อ! ก็ตูมันไม่หล่อเท่าเขาเองนี่) , "ตาล-กัญญา รัตนเพชร์" น่ารักน่าเลิฟมากกับความแก่นๆใสๆของเธอ แต่ที่มากไปกว่าความสวย ก็คือ ฝีไม้ลายมือความอินที่ไม่ด้อยไปกว่าหน้าตาเลยทีเดียว , "เบสท์-อธิชา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์" เป็นคนเดียวของหนังที่ทำได้น่าผิดหวัง ทั้งในแง่ของลักษณะตัวละครที่ต้องว่า สวยเลือกได้ แต่กลับดูธรรมดามากๆที่จะให้หนุ่มๆต้องเหลียวตามอง อยากรักอยากจีบ แล้วกับการแสดงก็ดูจะแข็ง เสียจนชวนหมั่นไส้ในความร้ายกาจที่มีอยู่มิติเดียวของโดนัท การแสดงของนักแสดงรุ่นใหญ่... ใส่กันเต็มสตรีม อินกันเต็มพิกัด กับบทบาทที่เฉือนกันได้คม เข้มข้นด้วยความเป็นดรามาเรียกน้ำตา ..."นก-สินจัย" แค่หวังจะมาดูพี่เธออย่างเดียว ก็คุ้มค่าเป็นยิ่งๆแล้ว กับคุณภาพตัวแม่ที่เธอยังคงทำให้ประจักษ์ความสุดยอดเหมือนเคย ฉากที่เธอต้องมีน้ำตา ก็ยังกระชากน้ำตาผมได้เช่นกัน , "กบ-ทรงสิทธิ์" อมความทุกข์ไว้ภายในสีหน้าและแววตาได้จริงจัง น่าสงสารและเห็นใจ , "พลอย-เฌอมาลย์" อาจยังไม่ถึงขั้นชั้นเยี่ยมเฉกเช่นสองคนหน้า แต่ความเป็นตัวเธอ ก็สร้างเสน่ห์ และดึงใจคนดูให้มาอยู่กับเธอ ในทุกครั้งที่กล้องจับภาพจูนเพลงประกอบหนัง (Soundtrack) จากฝีมือเขียนของคุณมะเดี่ยว (ด้วยประสบการณ์ที่เคยเขียนเพลงมาก่อนหน้าจะเขียนหนัง) ก็ล้วนแต่เพราะหมดทุกเพลง แถมยังเหมาะเจาะกับการเอามาใช้ในแต่ละฉากอย่างลงตัว ...กับการถ่ายภาพก็ออกมาดูสวย มีมิติและมุมมองที่แฝงอารมณ์ของฉากนั้นๆให้จับต้องได้ ยิ่งกับฉากต่างๆที่เกิดเหตุในสยามสแควร์ ก็ช่างช่วยยกระดับให้ดูน่าเที่ยวมากกว่าภาพที่เป็นอยู่จริงๆเสียอย่างมากมาย คนหลายๆคนอาจจะนึกสงสัยว่า ทำไมหนอ ผกก. มะเดี่ยว ถึงต้องตั้งชื่อหนังว่า "รักแห่งสยาม" ทั้งที่ความเป็นจริง หนังมีฉากที่เกี่ยวกับที่นี่ เพียงนานไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ...? สำหรับมุมมองของผม ผมมองว่า มันเป็นชื่อที่เหมาะที่สุดที่จะเอามาตั้งแล้ว ...เมื่อพิจารณาในแง่ที่ว่าที่นี่ เป็นศูนย์รวมแห่งการเรียนรู้ การเรียนรู้ในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะ การมีมหาวิทยาลัยชื่อดังที่สุดของประเทศตั้งอยู่ข้างๆ ,การมีโรงเรียนที่รวบรวมเด็กหัวกระทิระดับประเทศเกาะอยู่เคียงๆกัน หรือกระทั่งการมีสถาบันกวดวิชามากมายหลายสิบเจ้า มาเปิดหวังพึ่งใบบุญของแหล่งรวมวัยรุ่น ...แต่ผมจะหมายถึงว่าที่นี่ยังเป็น สถานที่ที่มีเรื่องราวความรักมากมายให้เราได้ศึกษาเรียนรู้ คนหนุ่มคนสาว หลายต่อหลายรายมาพบรักกันที่นี่ ...คนหลายคน เชื่อว่าการมาบอกรักกันในบรรยากาศแบบนี้ จะเป็นใจให้อีกฝ่ายยินดีพร้อมรับ ...และกับคนอีกบางคู่ ก็เลือกจะมาทะเลาะ มาตบหน้า หรือกระทั่งขอเลิก ในสถานที่อันแสนวุ่นวายแห่งนี้มาไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ...ฉะนั้นแล้ว สยามสแควร์ จึงถือเป็นสถานที่ที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรักมากมายที่น่าได้มารู้ได้มาลองมอง ก็จะได้เห็นความเป็นจริงของคนในสังคมอันกว้างใหญ่ที่มีต่อมุมมองของคำว่า 'ความรัก' แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ที่นี่แล้ว มันก็ยังจะมีที่อื่นอีกเช่นเดียวกัน ที่จะมีอะไรแบบนี้ให้เราได้เรียนรู้ ให้เราได้สัมผัส ...ซึ่งที่อื่นที่ว่า มันก็คือ ทุกๆที่ทุกๆแห่งที่อยู่บนโลกกลมๆเบี้ยวๆของเราใบนี้ นี่เอง และเราพร้อมจะเรียนรู้กับมันได้อยู่เสมอ ในทุกๆที่ ทุกๆเวลา ...ในตราบใดก็ตามที่เรารักที่จะเรียนรู้ เรารักที่จะอยากรู้จักกับมัน ...เรารักใน ความรัก ที่ทำให้เราทุกคนได้เกิดมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด ...สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'มนุษย์'"รักแห่งสยาม" ... หนังรักที่จบลงด้วยความสมบูรณ์แบบของทุกองค์ประกอบ แต่อารมณ์ความรู้สึกของผมและคนดูหลายต่อหลายคนไม่สิ้นสุดลงแค่ตรงนี้ ...และมันจะยังคงรัก ที่จะพูดถึง ที่จะกลับเอามาคิดถึงไปได้อีกเนิ่นนาน ตราบใดก็ตามที่ผมยังรักที่จะเรียนรู้ เรื่องราวของความรัก ที่โลกใบนี้จะสอนให้เราได้รู้อย่างไม่ที่สิ้นสุด ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ...ครับเกรด A ... { } ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน"กันและกัน" โดย "คิว-สุวีระ บุญรอด (วง Flure)" เพลงโปรโมตที่ทำเอาคนมีความรัก เคลิ้มกันและกันไปทั่วแล้ว ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 30 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2550 0:01:44 น.
33 comments
Counter : 4082 Pageviews.
โดย: nanoguy วันที่: 30 พฤศจิกายน 2550 เวลา:0:04:32 น.
โดย: Kuraki IP: 203.146.124.166 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2550 เวลา:0:48:13 น.
โดย: Ange de Suisse IP: 62.202.95.10 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2550 เวลา:3:55:19 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 30 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:36:02 น.
โดย: kimi ni aitai IP: 58.9.232.55 วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:20:15:16 น.
โดย: *omega* IP: 58.136.61.16 วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:21:29:11 น.
โดย: taeuy IP: 124.122.210.35 วันที่: 2 ธันวาคม 2550 เวลา:0:15:34 น.
โดย: takky de KL IP: 218.111.19.157 วันที่: 2 ธันวาคม 2550 เวลา:10:03:19 น.
โดย: blueboyhub IP: 58.10.102.10 วันที่: 2 ธันวาคม 2550 เวลา:15:47:50 น.
โดย: absent-minded IP: 221.237.127.210 วันที่: 3 ธันวาคม 2550 เวลา:14:33:57 น.
โดย: KM IP: 221.128.84.234 วันที่: 3 ธันวาคม 2550 เวลา:17:30:55 น.
โดย: ต้น IP: 58.64.91.1 วันที่: 3 ธันวาคม 2550 เวลา:20:24:17 น.
โดย: เอ IP: 202.7.166.182 วันที่: 3 ธันวาคม 2550 เวลา:22:54:33 น.
โดย: KaPPa! IP: 124.121.112.12 วันที่: 5 ธันวาคม 2550 เวลา:21:24:10 น.
โดย: กะปิหวาน IP: 124.120.16.62 วันที่: 5 ธันวาคม 2550 เวลา:22:32:51 น.
โดย: KookaiAjaAja!!! IP: 124.121.247.172 วันที่: 6 ธันวาคม 2550 เวลา:1:09:47 น.
โดย: ิboyi IP: 61.91.157.130 วันที่: 6 ธันวาคม 2550 เวลา:17:08:51 น.
โดย: ชอบจริง IP: 203.146.85.150 วันที่: 6 ธันวาคม 2550 เวลา:20:06:58 น.
โดย: onioncrush IP: 61.7.137.88 วันที่: 15 ธันวาคม 2550 เวลา:0:54:32 น.
โดย: P!nK_PuNK_Pr!NC3s$ IP: 58.8.140.198 วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:1:22:11 น.
โดย: ขุนเขาแห่งแม่น้ำแควน้อย IP: 124.121.11.209 วันที่: 31 ธันวาคม 2550 เวลา:21:18:52 น.
โดย: wow gold IP: 123.148.30.237 วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:9:38:43 น.
โดย: ใบหลิว IP: 202.91.19.204 วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:20:35:59 น.
โดย: ขุนเขาแห่งแม่น้ำแควน้อย IP: 124.121.11.102 วันที่: 23 เมษายน 2551 เวลา:22:08:25 น.
โดย: sunvalley IP: 220.231.201.36 วันที่: 3 พฤษภาคม 2551 เวลา:15:03:15 น.
โดย: Tukta21 วันที่: 8 กันยายน 2551 เวลา:4:45:56 น.
โดย: สวย IP: 125.26.215.219 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:15:19:28 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30
รอข้าพเจ้าเขียนเต็มๆก็แล้วกัน
ไม่ใช่วันนี้หรอก
เพราะวันนี้โดนดูดวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว
ด้วยภาพบาดตาบาดใจ T T