"An Inconvenient Truth" ... โลกร้อน เพราะ'อากาศ'เปลี่ยนแปลงบ่อย
ถ้าคุณมีโอกาสขอพรให้กับ'โลก'ได้หนึ่งข้อ คุณจะขอว่าอะไร ?... ขอให้โลกนี้สงบสุข... ขอให้โลกนี้มีแต่สันติภาพ... ขอให้คนทุกคนบนโลกนี้รักกัน... คนเราเองก็มักจะขอแต่พรที่คิดว่าดูดีเข้าว่า ต่อให้มันเว่อร์ก็จะขอ โดยไม่คิดไตร่ตรองดูว่า ในความจริงอย่างปัจจุบันนี้แล้ว โลกนี้ยังจะให้เราได้อีกหรือ ? สงบสุขที่ทุกวันมีแต่ผิดอาญา ผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย ผิดวัฒนธรรม... สันติภาพที่ทุกแห่งหนกำลังอาฆาตพยาบาทใส่กันอย่างไม่ยอมหยี่หระ จะประเทศมหาอำนาจหรือว่าชาติกำลังพัฒนาก็ไม่มีใครยอมใคร... ความรักที่หลากผู้คนต่างพากันริษยา สวมหน้ากากใส่กัน แล้วจะเอาอะไรกับพรที่ขอไปแล้ว โลกนี้ให้ไม่ได้ ...ในสังคมปัจจุบันที่สภาพของมันเสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆ การที่จะได้เห็นผลของพรเหล่านี้มันจึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า การงมเข็มในมหาสมุทร ขอให้ลองคิดใหม่ดูอีกทีสิครับ แล้วก็ลองมองไปดูรอบๆตัวของคุณ มองไปยังสภาพแวดล้อมบนโลกที่คุณกำลังอยู่อาศัยนี้ แล้วคิดถึงพรข้อใหม่ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณมองอยู่นี้ ...คิดออกหรือยังครับ ว่าพรข้อนี้ผมอยากให้คุณขออะไร ?..."An Inconvenient Truth" ...หนังสารคดี ที่ถูกสร้างออกมาเพื่อหวังตีแผ่ความเป็นจริงของภาระแห่งโลก ที่มาในรูปของ "พลังงานความร้อน" หลังจากอกหักดังสนั่น เพราะโดนคู่แข่งตระกูลบุซ โกงกันซึ่งๆหน้า ...นายอัล กอร์ อดีตว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ ก็เลือกที่จะหยุดหน้าที่การงานทางการเมืองของเขาลงแต่เพียงเท่านั้น และคิดจะใช้เวลาตลอดชีวิตที่เหลืออยู่นี้ เพื่อหมดไปกับการทำหน้าที่ที่เขารัก และงานสำคัญที่เขาตั้งใจจะให้คนทั่วโลกได้รับรู้ ...มันคือการสวมหน้าที่เป็นวิทยากรให้ความรู้ความใจในเรื่องราวของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้นมา อันถูกเรียกว่า "ภาวะโลกร้อน" ใน AIT เราจะได้เห็นภาพของการพูดด้วยวาทะศิลป์ที่แยบยลคมคายไปด้วยความหมายเลศนัย และการกัดจิกกัดเจ็บอย่างแสบสันต์อันเป็นของถนัดของคนที่เป็นนักการเมือง เพียงแต่เรื่องที่อัล กอร์พูดบนเวที ไม่ใช่เรื่องที่ปลิ้นปล้อน สับปลับอย่างนักการเมืองทั่วๆไปเขาทำกัน ...เขาเลือกใช้ความถนัดที่เขามีอยู่นี้ ในการสร้างแรงจงใจ แรงกระตุ้นให้กับกลุ่มประชาชนที่เข้ามารับฟังเข้าในที่ประชุม ด้วยความหวังที่อยากจะสร้างการซีมซับต่อเรื่องราวที่เขาเสนอ ซึ่งมันกำลังร้ายแรงขึ้นต่อโลกใบนี้ ทุกวันๆ หนังนำเสนอ "ภาวะโลกร้อน" ออกมาได้ตรงไปตรงมา อยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาอย่างไม่ต้องเกรงกลัวว่าคนดูคนฟังจะรับไม่ได้ ...หนังโยงใยประเด็นในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ยันไปถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของมนุษย์เราๆ ซึ่งล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกับภาวะโลกร้อนแทบทั้งนั้น ... มีทั้งที่มาในรูปของคำพูดปลุกปั่นระดมกำลังของ อัล กอร์ หรือจะเป็นสื่อประกอบการแสดง ที่มีทั้งเนรมิตสร้างสรรค์เอง และนำรูปถ่ายของจริง มานำเสนอได้อย่างเห็นภาพและเห็นผล AIT แบ่งเรื่องของตัวเองออกเป็น 2 ภาค คือ ภาคบรรยาย และภาคสารคดีชีวิต ซึ่งทั้ง 2 ภาคนั้นจะทำการตัดสลับ ผันเปลี่ยน ช่วยแบ่งเบาภาระการเล่าเรื่องให้ความเข้าใจแก่คนดูไปพร้อมๆกัน หนังเสียเวลาหมดไปกับภาคบรรยายอยู่มากโข แต่ในความมากโขของมันก็เป็นอะไรที่ดูสนุก เร้าอารมณ์คนดูได้เป็นดี ก็แอบมีบ้างเล็กๆน้อยๆในบางช่วงตอนกลางๆเรื่อง ที่ผมจะเกือบงีบหลับไป แต่สุดท้ายแล้วก็สามารถพยุงตัวเองประคองอารมณ์ให้ติดตามดูหนังสารคดีเรี่องนี้ได้ตลอดต้นจนจบ ไม่มีขาดตอน ด้วยวาทะศิลป์การพูดที่เป็นกันเองของอัล กอร์ นั่นก็มีส่วนที่ทำให้คนดูเองเหมือนได้มีส่วนร่วมอยู่ในที่ประชุมแห่งนั้นไปด้วย ...คนดูรู้สึกตื่นเต้นไปพร้อมกับการเสียดแทงด้วยประโยคเจ๋งๆ คนดูสนุกไปกับความขำขันที่นายกอร์แสดงตัวตนออกมาอย่างผ่อนคลาย และคนดูก็ต้องอัดอั้นเป็นตายในคำพูดที่ทำให้รู้สึกเหมือนโดนตบหัวแล้วลูบหลัง ซึ่ง อัล กอร์ เอ่ยเอื้อนมันออกมาได้เจ็บ โดนกระทบในจิตใต้สำนึกเข้าอย่างจังๆ ...บวกเข้าไปกับสื่อการแสดงที่ทำออกมาได้เห็นจริง รู้เรื่องง่าย และเข้าใจในทันที ไม่ว่าจะเป็น การ์ตูนของเจ้าแสงอาทิตย์ที่โดนรุมสะบักสะบอมจากวายร้ายเรือนกระจก , กราฟของปริมาณน้ำแข็งที่หลอมละลาย , การเล่าเรื่องของคุณครูช่างมั่วกับนักเรียนช่างถาม และที่โดนใจเป็นที่สุด ก็คือ ภาพที่เป็น รูปทองคำและโลกอยู่บนตราชั่ง ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นมุขตลกร้ายที่ทำให้คนดูรู้สึกสนุกทั้งเครียด ในส่วนของภาคสารคดีชีวิตนั้น ...ก็เป็นสารคดีชีวประวัติของอัล กอร์นั่นเอง ที่เล่าเรื่องราวของเขาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัยในความเป็นอยู่แบบเกษตรกรชาวฟาร์มซึ่งรักฤดูร้อน ...มายังชีวิตวัยหนุ่มที่ได้รู้จักกับคำว่า "ภาวะโลกร้อน" เป็นครั้งแรกจากอาจารย์วิชาวิทยาศาสตร์ของเขาเอง ...พัฒนาไปสู่การเป็นนักการเมืองที่พยายามจะเรียกร้องสิทธิของการดูแลโลกใบนี้ในทุกที่ที่มีโอกาส และถึงท้ายที่สุดกับการเป็นวิทยากรที่ออกร่อนเร่เดินทางไปทั่วโลก เพื่อจะประกาศกร้าวถึงโลกในอุดมคติของเขา การเล่าภาคชีวิตของนายกอร์ มีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับภาคบรรยายของเขา เพราะทุกสิ่งที่เขาพูดเสริมทับในการเล่าเรื่องราวของเขาเองนั้น จะไปเป็นส่วนประกอบสำคัญที่บอกถึงความตั้งใจจริงของเขาที่มีต่อหน้าที่การเป็นผู้พิทักษ์โลก ... ชีวิตของอัล กอร์ ทำให้คนดูรู้สึกอินในสิ่งที่เขาพูดบรรยายออกมามากขึ้น ชวนให้เกิดความเชื่อในสิ่งที่เขาปรารถนาจะให้เชื่อ และก็ได้รู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของเขา นอกเหนือไปจากหน้าฉากที่เคยเป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ในเวลา หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ กับ การแสดงเดี่ยวไมโครโฟนอัดเทปของ อัล กอร์ในครั้งนี้ ให้ผลการตอบรับที่ดีมากจากคนดูทุกคน ...ไม่ใช่แค่กับคนดูที่อยู่ในห้องส่งเท่านั้น แต่มันยังต้องรวมไปถึงคนดูหนังสารคดีเรื่องนี้ไปด้วย กับการจูงใจ ใช้แรงกระตุ้น กดดันด้วยกลวิธีต่างๆนานาของนายกอร์ในหนังเรื่องนี้นั้น ได้ทำให้ผมแค้นในตัวเองเป็นอย่างมาก ทั้งโกรธ รู้สึกผิด และอยากลงโทษตัวเองในการกระทำที่แล้วๆมานั้นไม่เคยได้ใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างเอาจริงเอาจังเลย ...ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าตอนนี้โลกเราเป็นอย่างไร เรียนมาแล้วว่า ภาวะโลกร้อนจะส่งผลร้ายต่ออนาคตมากมายเสียหายขนาดไหน กับการป้องกันต่างๆนานาไม่เคยได้นำมาคิดไตร่ตรองจริงๆจังๆ สักแต่ทำเพียงผ่าน (คือ ผมก็ทำประโยชน์ได้เฉพาะบางเรื่อง แต่กับหลายๆเรื่องก็เลือกที่จะมองข้ามไป) หนังเรื่องนี้ทำให้ผมได้มีเวลาหันกลับมองดูการกระทำของตัวเองที่แล้วมา และได้คิดไปถึงอนาคตข้างหน้า ที่เป็นชีวิตของเรา ของลูกหลาน ของรุ่นต่อๆไปหลายสิบรุ่นที่จะต้องสืบทอดสายพันธุ์มนุษย์ไปอีกยาวไกล ... ถ้าโลกที่เราอยู่ในทุกวันนี้ มันหมดความสวยงามไปแล้ว เราจะสามารถฟื้นฟูมันกลับมาเหมือนเก่าได้อีกหรือเปล่า ? เราจะสามารถคืนโลกใบนี้ให้กลับมาสู่สมดุลเดิมได้หรือไม่ ? แล้วมันจะทันเวลาหรือ สำหรับคนรุ่นหลังของพวกเรา ? ...อย่ามัวแต่ได้ตั้งคำถาม กับสถานการณ์ที่เรายังสามารถแก้ไขได้ เลิกใช้เวลาคิดค้นปัญหาเหล่านั้น แล้วเรามาร่วมด้วยช่วยกันทำให้โลกใบนี้ดีขึ้น จะดีกว่ามั้ย ? ในท้ายเครดิตของหนังได้พยายามเสนอบอกข้อควรทำเอาไว้กับพวกเราทุกคน ...มีแนวทางมากมายให้เราได้เลือกไว้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันของพวกเรา ในข้อแยกย่อยนับสิบๆอย่าง มันสามารถผนวกรวมใจความสำคัญเข้าไปได้ใน 3 ข้อหลัก ที่หนังเน้นย้ำว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ และจริงจัง... เริ่มแรกด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนแปลงการกระทำ และเปลี่ยนแปลงความคิด ในทุกสิ่ง ทุกอย่างและทุกมุมมอง จากที่เราเคยมองโลกใบนี้เป็นเพียงแค่ผืนพสุธา และแผ่นน้ำที่อยู่ใต้เท้าของเรา... ลองคิดว่าเราเป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆตัวหนึ่งซึ่งต้องถือกำเนิดขึ้นมาให้เป็นภาระของโลกดูบ้างจะเป็นไรไป ต่อมาก็ด้วยการแก้ไขพฤติกรรมต่างๆที่เคยทำแล้วสร้างผลเสียต่อโลกใบนี้ เลิกให้หมด ...แล้วหันเหทิศทางความเป็นเราเข้ามาสู่การเป็นผู้พิทักษ์รักษาสมดุลโลก ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เหมาะที่ควรต่อโลกใบนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และสุดท้ายที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ...อย่าลืมภาวนาขอพร "ขอให้คำว่า 'ภาวะโลกร้อน' หมดไปจากโลกใบนี้ " มันยังไม่สายเกินไป ที่พรข้อนี้จะได้สัมฤทธิ์ผล ขอเพียงแค่การร่วมมือร่วมใจของสมาชิกโลกทุกคนที่ตั้งใจและปรารถนาดีจริง มันคงไม่ใช่เรื่องยากเกืนไป ที่เราจะเอาชนะมันได้ในสักวัน ...ก็หวังเพียงแต่ว่าสักวันในวันนั้น มันจะต้องเป็นวันที่เจ้าตัวแสบชื่อ "ภาวะโลกร้อน" จะต้องสูญสลายมลายสิ้นไปจากโลกใบนี้ได้เสียที"An Inconvenient Truth" ...นี่คือเรื่องจริงที่ทุกคนต้องดู ต้องรับรู้ และต้องเข้าใจ หนังสารคดีเยี่ยมยอดเรื่องนี้ มีแรงกระตุ้นมากพอ จะทำให้คุณได้เกิดประกายความกล้าอยากจะเปลี่ยนแปลงปฏิวัติตัวเองเสียใหม่ ... ผมอยากขอให้ทุกท่านได้ให้โอกาสกับหนังเล็กๆเรื่องนี้ เพียงแค่สักครั้งในโรงสกาลา แล้วคุณจะได้พบว่าสิ่งที่ผมนำเสนอออกไปนี้ ...ไม่มีคำเท็จเหมือนนักการเมืองแถวๆนี้แน่นอนหมายเหตุ : ผมตั้งใจ เจตนา และปรารถนา ที่จะให้ชื่อกระทู้นี้ มีหัวข้อว่า "เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย" สาเหตุเป็นเพราะมันตรงตัวกับสิ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการนำเสนอครับ ...โลกร้อน เพราะ'อากาศ'เปลี่ยนแปลงบ่อย แต่ความเป็นจริงก็อยากเกาะกระแส Seasons Change นั่นแหละ (อิอิ)ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ... ครับดู{ดี} วิธ มายเซลฟ์ : ทุกสิ่งทุกอย่างที่หนังเรื่องนี้ต้องการนำเสนอ ...โดนจิตใต้สำนึกของผม เกรด A ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 13 กันยายน 2549
Last Update : 13 กันยายน 2549 0:12:47 น.
10 comments
Counter : 3283 Pageviews.
โดย: jonykeano วันที่: 13 กันยายน 2549 เวลา:2:02:12 น.
โดย: The SoVo IP: 124.102.87.139 วันที่: 19 กันยายน 2549 เวลา:18:32:00 น.
โดย: HaMishNaRuk วันที่: 17 ตุลาคม 2549 เวลา:17:35:37 น.
โดย: kingkiyopretty IP: 125.24.202.158 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:8:46:03 น.
โดย: ม่อน IP: 202.142.208.12 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:9:09:08 น.
โดย: มนตรี IP: 202.142.208.12 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:9:11:50 น.
โดย: กี้ค่ะ IP: 58.9.110.232 วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:13:13:43 น.
โดย: ิbarkata.exteen.com IP: 222.123.140.114 วันที่: 20 มีนาคม 2550 เวลา:14:47:09 น.
โดย: pay IP: 124.121.128.176 วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:15:15:53 น.
โดย: psyC IP: 161.200.255.162 วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:20:56:19 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
ยอมรับนะว่าเนื้อหาในหนังมันเหมือนจะมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่หากตัดจุดนี้ออกไป
มันจะเป็นสารคดีที่ดีเอามากๆทีเดียว