+-+ OncE UPoN'-'a MaN +-+ รักนะ.. คนอ่าน เข้ามาดู.. โดนใจ ออกไป.. อย่าลืมกัน
Summary for Best of the Year 2012 ..Please CLICK!!
บางที อนิเมชั่นดีๆ อาจไม่ใช่ Pixar เสมอไป ดังเช่น “ลูกชิ้นทะลุมิติ” “มังกรตาแบ๊ว” & “ป๊ะป๋าวายร้าย”

นอกจากติดตามตัวผมในบล็อกนี้แล้ว ก็ขอชวนไปสนุกกันในอีกช่องทางกับ "Facebook" และ "Twitter" ด้วยครับ

Like Me @ //www.facebook.com/Onc3.UPoN.a.MaN

และ Follow Me @ //twitter.com/once_upon_a_man






ยังให้ความยืนยันว่า การดู อนิเมชั่น เป็นกิจกรรมการดูหนังอันดับต้นๆ ที่ผมชอบนักชอบหนา ..แล้วถ้า อนิเมชั่น เรื่องไหนเข้าโรงในบ้านเรา เรื่องนั้น มักจะไม่เป็นอันพลาดจากการเข้าโรงของผม

เพียงแต่ การจะดูแต่ละเรื่อง ใช่ว่าจะเลือกซะเลยทุกเรื่อง ..อย่างหนึ่งที่สำคัญ และหนังอนิเมชั่นแต่ละเรื่องควรจะมีเป็นต้นทุน ก็คือ การเรียกร้องให้คนดูรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ได้เห็นในตอนเป็นตัวอย่าง

เพราะถ้าดูแค่ตัวอย่าง แล้วรู้สึกว่ามันไม่เวิร์ค ..มันน่าจะเฝื่อนๆ เจื่อนๆ อาจจะกลายอนิเมชั่นที่เหมาะสำหรับเด็กดู แต่ละทิ้งผู้ใหญ่ให้นั่งเขินๆอยู่ในโรง ตากแอร์เล่นไปอย่างงั้น ผมก็ไม่อาจจะทำใจลดวัยลงไปเป็นเด็กได้ซะทุกทีไป

เพราะเหตุนี้ นี่เองจึงไม่แปลกอะไร ที่ถ้าถามว่า “คุณมั่นใจอนิเมชั่นจากค่ายไหนมากที่สุด?” เมื่อไหร่ ..แทบทุกคนก็ล้วนจะตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า “Pixar เท่านั้น”



เพราะทำไมถึงต้องเป็น Pixar ..ก็คงสามารถยืนยันได้จาก การที่มันได้รับรางวัลออสการ์สาขาอนิเมชั่นยอดเยี่ยมแทบจะทุกปี ...และยืนยันได้อีกที กับการทำเงินอย่างมโหฬาร ไปถึงระดับติดท็อปเท็นทั่วโลก ในทุกๆปีที่ค่ายนี้ส่งหนังออกฉาย

ที่เราสามารถให้ใจกับเขาได้ ก็เพราะเขาใส่ใจในการทำอนิเมชั่นทุกเรื่อง ...ถึงจะไม่ได้ต้องการให้คนดูพูดคำว่ายอดเยี่ยมออกไป ในทุกๆครั้ง แต่ผลงานที่เขาให้ออกมา ก็ไม่เคยด้อยกว่ามาตรฐานของเขาเอง(ที่เป็นมาตรฐานให้กับอนิเมชั่นทั่วโลกด้วย)เลยสักครั้ง

แล้วก็คงเพราะเหตุนี้นี่แหละ ถึงทำให้อนิเมชั่นเรื่องอื่นๆ ที่ถูกคลอดออกมา จากค่ายอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Pixar ..ล้วนแต่ถูกมอง แบบนอกสายตา แทบทั้งนั้น

สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น อคติก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง (อันนี้ เถียงไม่ได้หรอก ..เพราะผมกีมี) ..แต่ถ้าว่ากันที่คุณภาพเนื้องาน ของค่ายอื่นๆ ก็มักจะมีจุดดีเด่นในด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ก็จะเห็นถึงจุดบอด ที่บกพร่องในหนังแต่ละเรื่องอย่างชัดเจนเช่นกัน ...หรือจะสรุปง่ายๆ ก็คือ หนังค่ายอื่นๆ ยังไม่อาจรักษาสมดุล ระหว่างการสร้างความสนุกจากมุขตลก ความน่ารักน่าชังของคาแรกเตอร์ หรือพลอตเรื่องที่สร้างสรรค์ ให้เท่าเทียมกับ การสร้างอารมณ์ร่วม ปลูกความรัก ปั้นความผูกพัน ให้ฝังจิตฝังใจจำกับคนดู ได้เหมือนเช่นที่ Pixar ทำได้



แต่ผมก็ยืนยันเลยว่า ผมดูอนิเมชั่น ได้หมดทุกค่าย ไม่จำเป็นต้องเป็นของ Pixar เสมอไป (เพียงแต่ Pixar ทำอะไรออกมา ก็ดูซะทุกเรื่องเท่านั้นเอง) ..เพราะยังหวังในใจไว้ว่า มันต้องมีสักเรื่อง ของค่ายอื่นๆ บ้างแหละ ที่ทำให้เรารู้สึกปลื้มใจ ที่ได้ดู

และปีนี้ก็ดูท่าจะเป็นอย่างที่หวังเอาไว้ได้จริง... เพราะตั้งแต่เปิดปี 2010 มา กับการดูอนิเมชั่นที่เข้าฉายในโรงทุกๆเรื่อง หากไม่รวม การกลับมาครั้งสุดท้ายของ “Shrek” (ที่ยังไงก็ยังไม่อิ่มอกอิ่มใจเท่าภาคต้นๆ) ผมล้วนแล้วแต่รู้สึกปลื้มใจกับ อนิเมชั่นเหล่านี้ (ที่จะไล่เรียงจากเก่าสุดมาหาใหม่สุด)






“Cloudy with a Chance of Meatballs” (3D)






เรื่องราวสุดมหัศจรรย์ อันเกิดจากความสติเฟื่องของนักวิทยาศาสตร์หนุ่มสุดเนิร์ด ที่บังเกิดไอเดียสุดพิสดาร อยากจะสร้างปาฎิหาริย์ ช่วยเหลือคนบ้านเดียวกัน ที่กำลังหิวโซ อดมื้อกินมื้อ ให้ได้อิ่มท้องกับอาหารรสเลิศสุดโอชาจะหาไหนเทียบ แต่ต้องน่าประหลาดใจจริงแท้ ที่อาหารเหล่านี้ สร้างขึ้นมาได้ด้วย น้ำเปล่า!!?

แต่เอวัง เรื่องราวของมันจะให้สงบสุขในทันที หนังก็คงจบด้วยเวลาไม่ถึงสิบนาทีละหนอ ..คนคิดพลอตเลยต้องบรรเจิดให้มากกว่านั้น ด้วยการอุตริให้การทดลองเกิดความผิดพลาด เครื่องผลิตอาหารพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ...แต่ก็ไม่อาจให้นักวิทยาศาสตร์ผู้ชอกช้ำ ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อีก เบื้องบนฟ้าประทาน จึงได้มอบของขวัญอันยิ่งใหญ่ ด้วยการส่งอาหารจากเครื่องผลิตอันสุดพิลึก หลั่งไหลเป็นฝนลงมาสู่เบื้องล่าง เพื่อให้ไพร่ฟ้าหน้าใส ได้ลิ้มรสอันสุด delicious เท่าที่ชีวิตจะเคยพานพบ

แต่ช้าแต่ ไม่จบลงง่ายๆได้หรอก หากจะให้สนุกไปมากกว่านี้ บทบาทของเครื่องผลิตฟ้าประทานก็ต้องเพิ่มความพิลึกให้มากกว่านั้น ..หนังเลยเสกสรรปั้นแต่ง ใส่ด้านมืดให้กับผลงานสุดล้ำของเจ้านักวิทยาศาสตร์ผู้(ที่ขณะนี้)จู่ๆก็ทะลึ่งเป็นคนดัง ให้มันกลายมาเป็นคอมพิวเตอร์ที่คิดเองเป็น ทำเองเป็น และขออิสระให้กับตัวเองได้เป็น แล้วมันก็เป็นเรื่องจนได้ เมื่อเครื่องผลิตในร่างตัวร้าย สร้างเหตุวิบัติภัยอันยิ่งใหญ่โอฬารหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ไร้ซึ่งการควบคุมใดๆได้อีก

สุดท้าย ท้ายที่สุด คนที่ต้องมาเป็นพระเอกตัวจริงของเรื่อง ก็คงจะเป็นใครไปอีกไม่ได้แล้ว หากไม่ใช่ เจ้านักวิทยาศาสตร์หนุ่มสุดเนิร์ด ผู้เคยชอกช้ำ แต่จู่ๆก็ทะลึ่งเป็นคนดัง ซึ่งเป็นคนให้ชีวิตมันขึ้นมา แล้วที่สุดก็ต้องทำลายชีวิตมันเช่นกัน ด้วยกำมือน้อยๆของเขานี่เอง



เล่ามาซะยาวเสียเยิ่นเย้อ ทั้งๆที่จะว่ากันตามตรงก็สรุปโดยสั้นกว่านี้ยังได้ ..แต่อย่าได้แคร์กับผมในจุดๆนี้เลย เพราะสิ่งที่น่าให้สนใจจริงๆ ไม่ใช่เรื่องของพลอตอันสุดแสนช่างคิด แต่เป็นที่ Cloudy with a Chance of Meatballs เรื่องนี้ สามารถสร้างสมดุลที่ลงตัว ระหว่างเหตุการณ์หลุดโลก อันไม่น่าสมเหตุสมผลใดๆ มาพบกันที่ครึ่งทางกับ สถานการณ์ความสมจริงของชีวิตมนุษย์ ที่เสี้ยวหนึ่งคงเคยคิด หรือเคยเจอกับเรื่องราวแบบนี้มาบ้าง

ในส่วนของความสนุก ถือว่าเพลิดเพลินเลยทีเดียวกับ การดูในแบบ 3D แล้วได้เห็นอาหารหน้าตาน่ากินร่วงหล่นจากฟากฟ้า เหมือนจะใกล้ หากสัมผัสไม่ได้ แต่ก็ทำให้แอบหิว!!

ถึงอาจจะต้องยอมรับว่า ตรรกะบางอย่างที่หนังเรื่องนี้มี มันไม่สามารถเอามาใช้ได้กับจินตนาการของผม (พูดง่ายๆ ก็คือ มันเชื่อไม่ลง) ..แต่เมื่อหนังนำเสนอมันออกมาในทางตลก การบิดเอามาใช้เป็นมุข ก็ดูเข้าท่าชวนยิ้ม หรือบางมุขที่โดนๆเข้าหน่อย ก็ทำให้หัวเราะได้อยู่



แต่เมื่อมองมาที่สาระบ้าง ..ต้องถือว่า อนิเมชั่นจากบ้าน ‘โซนี่’ เรื่องนี้ มาแบบเหนือคาดเล็กๆ และสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

ยิ่งกับคนที่รู้สึกหวั่นไหว กับประเด็นที่เกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ พ่อลูก ไม่ว่าจะในทางบวกหรือทางลบ ..คงมีหลายคนที่อดจะน้ำตาตกไม่ได้ กับฉากที่พ่อลูกคู่นี้ กลับมาเข้าใจกันและกัน ...และคนเป็นพ่อ ก็ชื่นชมคนเป็นลูก ด้วยประโยคคำพูดที่เปล่งออกมาจากปาก เป็นครั้งแรกในชีวิต

ผมว่า หนังเล็งจะเล่นทางดรามาได้ถูกจุดเลยทีเดียว ..เพราะเรื่องของความปากหนัก มันเป็นอะไรที่คลาสสิคมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในเชิงครอบครัว ความรักหนุ่มสาว หรือว่าเพื่อนฝูง ...ยิ่งถ้าหนังปูทางความไม่ราบรื่นได้อย่างน่าสนใจด้วยแล้ว มันคงเป็นหมัดฮุคหนักๆเลยทีเดียว ที่สามารถทำให้คนดู(น้ำตา)ร่วงได้ เมื่อได้ยินประโยคเด็ดที่ไม่เคยได้ยิน จากคนที่เราคาดหวังจะให้พูดเพียงสักครั้ง มาตลอดเท่าที่ชีวิตเคยรู้จักกันมา



เท่าที่ผมเคยดูอนิเมชั่น ของค่ายโซนี่(โคลัมเบีย)มา คงจะนับจำนวนได้แค่สอง คือ หนึ่ง “Surf Up” ที่ในความรู้สึกผม ก็ถือว่าเข้าท่าดีกับการทำเป็น Mocumentary (เลียนแบบสารคดี แต่มีบทกำหนดทุกอย่างไว้แล้ว) แต่ไม่ค่อยอินกับประเด็นดรามาที่ดูหละหลวมเกินไป

แต่กับเรื่องที่สองอันหมายถึง ลูกชิ้นตกทะลุมิติ เรื่องนี้ ต้องถือว่าเป็นงานชิ้นก้าวหน้า ที่น่าปลื้มใจ ควรยกให้เป็นหน้าเป็นตาของค่ายได้เลยทีเดียว ...เพราะ เอากับความสนุกก็จัดว่าได้ แถมดรามายังชวนซึ้งใจแบบเด็ดๆ เป็นหนังที่ดูได้ทั้งครอบครัว แล้วทำให้ติดอกติดใจได้ ไม่ว่ากับคนในวัยไหนๆ

ไม่จำเป็นต้อง 3 มิติ เราก็สนุกทะลุมิติไปกับลูกชิ้นได้ ..ลองหาแผ่นเช่า(หรือซื้อ)มาดู พิสูจน์คำพูดของผมกันได้


ขอแนะนำ...ครับ

เกรด A- ... {}







“How to Train Your Dragon” (3D)






กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานไปจนถึงสมัยที่โลกนี้ ยังมีคนกลุ่มหนึ่ง เรียกตัวเองว่าเป็น “ไวกิ้ง” และสมัยเดียวกันนั้น ก็มี “มังกร” เป็นสัตว์ดุร้ายที่น่ากลัวที่สุดยิ่งกว่าใดๆในโลกนี้ ...ได้มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ปราบดาตัวเองขึ้นมาเป็นนักปราบมังกร ที่เชี่ยวชาญนักกับการขับไล่ผู้รุกรานบินได้ แต่ถึงต่อให้จะเก่งกาจสักแค่ไหน เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือมังกรยังมีโคตะระมังกรตัวหนึ่ง ที่จะพยายามปราบอย่างไร ก็ไม่เคยจะสำเร็จผลสักที ..มันมีชื่อว่า “ราตรีพิโรธ”

หากกระนั้น ไอ้หนุ่มหงอนายหนึ่ง ที่พยายามเหลือเกินจะเป็นนักปราบมังกร ให้ได้เหมือนอย่างพ่อของเขา (ที่เป็นทั้งหัวหน้าเผ่า และฮีโร่ของคนในหมู่บ้าน) ก็เกิดฟลุกไปยิงโดนมังกรตัวหนึ่งเข้า จนปีกเสียหาย ..มันเลยทำให้ นายหงอ ที่สุดแสนจะมีจิตเมตตา ให้ความอนุเคราะห์ดูแล เป็นการไถ่โทษที่สร้างปัญหาให้มังกรตาแบ๊ว ที่สุดแสนจะน่าสงสาร ...แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น เมื่อขณะเดียวกัน พ่อของนายหงอ กลับมีแผนการจะโค่นรังมังกรให้พินาศ โดยที่ไม่เคยล่วงรู้เลยว่า ในรังแห่งนั้น ยังมีโคตะระของโคตะระมังกร แอบซ่อนตัว รอคอยต้อนรับพวกเขาอยู่ด้วย



How to Train Your Dragon ..เป็นผลงานความพยายามปั้นงานชิ้นใหญ่ที่จะเป็นแฟรนไชส์ตัวใหม่ ให้กับสตูดิโอ ‘ดรีมเวิร์คส’ ที่นำทีมมาโดยสองผู้กำกับที่เคยทำงานอยู่ฟากของดิสนีย์ และเคยสำเร็จสุดๆไปกับ “Lilo & Stitch” (ที่ถือเป็นหนึ่งในหนังการ์ตูน 2D เรื่องท้ายๆ ของค่ายนี้ ที่ผมหลงรัก) ..โดยงานนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเอาเรื่องที่เป็นจุดเริ่มต้น มาเปิดประเด็นให้กลายเป็นเรื่องยาวแสนยาวได้ หากว่าภาคแรก ไม่ทำออกมาให้ใครต่อใครรู้สึกประทับใจได้

ฉะนั้นสิ่งที่ ดรีมเวิร์คส หวังไว้ ก็คงจะเป็นแบบเดียวกับ “Shrek” และ “Kung Fu Panda” ..คือ การทำหนังที่ดูสนุกเข้าว่า และสามารถส่งคนดูออกจากโรงด้วยรอยยิ้ม บนความอิ่มอกอิ่มใจ ...พวกเขาจึงได้เลือกคนที่เคยทำให้มนุษย์ต่างดาวชวนหวาดเกรง กลายไปเป็นตัวละครที่ดูน่ารักน่าชัง ที่คงจะให้ความมั่นใจได้ ว่าจะทำให้ มังกรตัวอันตราย กลับกลายคล้ายมาเป็นแมวแสนเชื่อง ที่คนดูจะต้องหลงรัก

แล้วก็ไม่ผิดจากที่หวังไว้ ..เมื่อ How to Train Your Dragon ได้รับการเปิดตัวเป็นปฐมภาค (ที่อาจจะทำให้มีภาคต่อตามออกมาได้อีกถึง 7 ภาค!!) มันก็กลายเป็นหนังที่นักวิจารณ์ชื่นชอบ คนดูชื่นชม แถมหนำซ้ำยังมีใครหลายๆคน ยืนยันความดี ด้วยการยกให้ “มันเป็นอนิเมชั่นของ ดรีมเวิร์คส ที่ดีที่สุด เท่าที่เคยทำมา!”



ซึ่งเมื่อผมได้พิสูจน์ถึงความน่าเชื่อถือของประโยคข้างบนแล้ว ..ก็ขอยืนยันด้วยอีกคน ว่ามันเป็นความจริง!!

เพราะเท่าที่เคยดู อนิเมชั่นของบ้านนี้มา ..เราๆก็รู้กันดี ว่าจะมันมีอะไรมากไปกว่า ความขายขำ อำแหลก และล้อเลียนกับสิ่งใดก็ได้ที่บนโลกนี้มี ...แต่หามีน้อยครั้ง ที่อนิเมชั่นของบ้านนี้ จะทำให้เราเกิดความซาบซึ้ง ตรึงจิต ไปกับอะไรที่เป็นดรามา พูดถึงชีวิตจริงของคนเรา

ซึ่งผมก็คิดไว้นานแล้ว ที่อยากจะเห็นหนังสักเรื่องของบ้านนี้ ที่ลองจะลดระดับความขายขำ อำแหลก แล้วเปลี่ยนมาทำอะไรที่มันเห็นได้ถึงความสร้างสรรค์ ..ก็เพิ่งจะมามีเรื่องนี้นี่แหละ ที่ทำให้ผมได้มองเห็น การเปลี่ยนแปลง

มังกรตาแบ๊ว เรื่องนี้ มีความลงตัวในแทบทุกสิ่งทุกอย่างที่หนังอนิเมชั่นคุณภาพเยี่ยม เรื่องหนึ่งควรจะมี ..ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง ที่ดูจริง ถึงจะแฝงความเว่อร์แบบการ์ตูน ก็ยังคล้อยตามว่าน่าเชื่อ ..หรือจะเป็นการสร้างคาแรกเตอร์ ที่ทำให้มีภาพจำ เป็นของตัวเอง ทุกๆตัว (ยิ่งโดยเฉพาะกับ “เจ้าหลอ” มังกรตัวเอก ที่คงทำให้ใครต่อใครต้องจดจำมัน จนถึงขั้นอยากเสกให้มีชีวิตจริง แล้วเอากลับมาเลี้ยงที่บ้านให้หนำใจ!) ...อีกทั้งอารมณ์ขันที่หนังมีก็เป็นอะไรที่ดูธรรมชาติ จับต้องได้ มากกว่าจะแต่งแต้มสีสันให้ดูเกินๆไว้ก่อน อย่างที่บ้านนี้ ชอบทำมาแต่ไหนแต่ไร



อีกสองอย่างที่น่ายกย่องมากๆของ มังกรตาแบ๊ว ..ก็คือ งานเทคนิค ที่ล้ำไปอีกก้าวของ ดรีมเวิร์คส ซึ่งทำให้ทั้งผืนน้ำ ท้องฟ้า เมฆหมอก และบรรยากาศ กลายเป็นอะไรที่ดูจริง เนียนจนให้อารมณ์เหมือนตอนดู “Avatar” แล้วตื่นตากับภาพที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็น CG (ผมได้ดูเป็น 3D ด้วย ยิ่งให้รู้สึกอยากเอื้อมมือไปจับมันเลยล่ะ) ...และสุดท้าย คือ ฉากแอ๊คชั่น ที่มีน้อย แต่มันส์ยิ่งกว่า Kung Fu Panda เสียด้วยซ้ำ

วกกลับมาพูดมุมซึ้งอีกสักที เพื่อเป็นการปิดท้ายว่า ..How to Train Your Dragon คือ ครั้งแรกของอนิเมชั่น โดยดรีมเวิร์คส ที่ทำให้ผมต้องเสียน้ำตา! ...ซึ่งคงยืนยันได้แล้วว่า นี่คือ หนังที่น่าประทับใจ ด้วยประการทั้งปวง และทำให้ภาคต่อกลายเป็นอะไรที่มีความหมายทั้งผู้สร้าง และคนดู


ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ครับ

เกรด A ... {}







“Despicable Me” (3D)






นานทีมีหน ที่ตัวร้ายจะขอเป็นพระเอกกะเขาบ้าง ..และตัวร้ายในหนนี้ ก็มาด้วยภาพลักษณ์ของ จอมโจรสุดแสบ ที่เก่งนักกับการแอบขโมยสิ่งของที่......เออออออ! มันสำคัญตรงไหนเนี่ย?? (อาทิเช่น ทีวีจอยักษ์ ที่ไทม์สแควร์ นิวยอร์ค, เทพีเสรีภาพขนาดย่อ ที่ลาสเวกัส)

ก็เพราะเป็นจอมโจรที่ขโมยแต่ของกระจ๊อก..กระจอก อย่างงี้นี่แหละหนา เลยปล่อยให้มือใหม่จอมแซงค์ขั้นเทพ วิ่งแซงหน้าไปหลายขุม ด้วยการขโมย ปิรามิด(ของจริง) แห่ง อียิปต์ เป็นการท้าทาย

โดนเข้าอย่างนี้ มีหรือที่ “กรู” จะยอม (ชื่อเขาจริงๆนะ ไม่ใช่ภาษาไทย และไม่ได้หยาบคายใส่ ฮ่าๆๆๆ) ..กรูก็เลยต้องเหยียบเมฆขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการหวังจะขโมยดวงจันทร์(ของจริง...จริ๊งงงง) เอาให้เหนือยิ่งกว่า

แต่คิดจะทำงานใหญ่ได้จริง ไม่ใช่แค่ต้องทำใจให้นิ่งเท่านั้น ..แต่ยังจะต้องใจแข็งเพื่อรับมือกับตัวฉุดโอกาสอันยิ่งใหญ่ ดังยกตัวอย่างเช่น เด็กสาวตัวน้อยๆ วัยใส 3 ใบเถา ที่จู่ๆก็ต้องเข้ามาเป็นหมากบนกระดานของเกมการแข่งขันค้นหาสุดยอดจอมโจรเหนือเมฆในครั้งนี้ซะอย่างงั้น



Despicable Me ..อาจไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอยากจะดูแต่แรกรู้จัก ในโปสเตอร์ที่เฉยๆ กระทั่งตัวอย่างทีเซอร์(ที่เป็นฉากเปิดเรื่องในหนังตัวเต็มด้วย) และตัวอย่างตัวเต็มที่รู้สึกไม่ค่อยจะให้ความไว้วางใจได้ซะเท่าไหร่ ...แต่เมื่อได้ข่าวจากเสียงวิจารณ์ในอเมริกา บอกว่าเป็นหนังที่ดูสนุกแน่นอน พร้อมๆกับยังเปิดตัวด้วยรายได้ที่น่าตื่นตา หากคิดว่านี่ไม่ใช่หนังภาคต่อแต่อย่างไร ...ผมก็เพิ่งจะรู้สึกว่า เฮ้ย! ต้องดูซะหน่อยแล้ว

พอได้ดู มันก็จริงที่คำเข้าว่า (สรุปว่า หนังทั้ง 3 เรื่องในรีวิวนี้ ..ได้ดูก็เพราะเสียงวิจารณ์ทั้งนั้นแล!) ..มันสนุก ก็ทำให้ขำจริงขำจัง

ยิ่งถ้าใครชอบ ความตลก ที่เกิดจากความเจ็บตัว (คือ โดนหนักขนาดไหน ยังไงก็เป็นอมตะ) อย่างเช่นที่ตอนเป็นเด็กเคยสนุกไปกับการ์ตูนจำพวก “Looney Toons” หรือว่า “Tom & Jerry” หรือโตมาแล้ว ก็ได้มาเจอแบบที่เคยคุ้นใน “Ice Age” (ที่พอดีว่ายังเป็นผลงานที่เคยสร้าง ของทีมเดียวกันแห่ง ป๊ะป๋าวายร้าย เรื่องนี้นี่แหละ) ..นี่คือหนัง ที่จะทำให้คุณลืมความจริงจังใดๆในชีวิต แล้วถอยตัวเองกลับสู่โหมดที่หรรษากับอะไรที่เว่อร์ และเพ้อเจ้อสุดๆแบบนี้

แต่ที่เหนือกว่าคาด อย่างมุมดรามา ที่ขอให้มีซึ้ง ..ป๊ะป๋าวายร้าย ก็ยังบิวต์ได้ขึ้น แถมยังจะชวนให้คิดถึงอารมณ์แบบ Pixar ขึ้นมาตะหงิดๆ แบบที่เราจะได้เห็นการเปลี่ยนไปของวายร้าย กลายมาเป็นป๊ะป๋าผู้แสนอบอุ่นอย่างแนบเนียน



ถ้าจะให้รางวัลกับอนิเมชั่นสักเรื่องหนึ่ง ในปีนี้ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า เฮ้ย! มันดีกว่าที่คิดไว้มากๆเลย แล้ว ...ผมก็จะขอมอบรางวัลนี้ให้กับ Despicable Me ซึ่งเป็นทั้งผลงานป้ายแดง ชิ้นแรก กับการทำอนิเมชั่น ของ ‘ยูนิเวอร์แซล’ และยังเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง ที่ทำให้สดูดิโอแห่งนี้ เปิดตัวได้น่าหวั่นเกรงทีเดียวเชียว

ดังนั้น (ในขณะที่ตอนนี้ ยังฉายในโรงอยู่) ถ้าถามว่าน่าดูมั้ย? ผมพูดได้เลยว่า มันน่าดูจริงๆ สำหรับใครก็ตามที่ชื่นชอบการดูอนิเมชั่น ..และถ้าถามว่า เราไม่มีทางเลือกจะดู 2D เลย แล้วมันจะคุ้มมั้ยกับการจัด 3D ไป ก็ขอให้ความมั่นใจว่า คุ้ม! ...เพราะเอาแค่ได้รอดู ฉากพิเศษช่วงเครดิต ก็จะรู้เลยว่า หนังเรื่องนี้ มันตั้งใจจะเป็น 3D ก็เพื่อจะได้จัดมุขสุดท้ายที่ขำหนักที่สุด กันเช่นนี้นี่เอง


ขอแนะนำ...ครับ

เกรด A- ... {}



แล้วพบกันใหม่ กับรีวิวในเรื่องของอนิเมชั่นอีกที ..เมื่อ “Toy Story 3” ได้ฤกษ์เข้าสู่โรงฉายในบ้านเราสักที!!!





ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ



Create Date : 23 กรกฎาคม 2553
Last Update : 23 กรกฎาคม 2553 11:59:37 น. 3 comments
Counter : 3741 Pageviews.

 
ชอบดูอนิเมชั่นมาก ๆ เหมือนกันค่ะ
เห็นด้วยว่า ลูกชิ้นตก กับ มังกรตาแบ๊ว เป็นอนิเมชั่นที่ประทับใจมาก สนุกมาก และอิ่มเอมใจมาก

เรื่องสุดท้ายยังไม่ได้ดูค่ะ รู้สึกว่ามันไม่น่าสนใจ แต่ตอนนี้คงต้องหามาดูบ้างซะแล้ว

แล้วมาวิว อนิเมชั่นดี ๆ อีกนะคะ ชอบค่ะ


โดย: Nok IP: 118.173.118.159 วันที่: 23 กรกฎาคม 2553 เวลา:14:54:07 น.  

 
ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆครับ ติดตามอ่านมาตลอด
ีรออ่าน toy 3 ครับ เสียงวิจารณ์จากทั้ง imdb และเว็บมะเขือเน่า อยู่ในระดับสุดยอด และรายได้ตอนนี้เป็นที่ 1 ของปีนี้


โดย: bigwore IP: 222.123.55.83 วันที่: 23 กรกฎาคม 2553 เวลา:18:48:25 น.  

 
แต่ไอ้เรื่องลูกชิ้นนี้ สำหรับผม ไม่คอ่ยเมกเซนท์เท่าไรนะครับ


โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 1 สิงหาคม 2553 เวลา:15:44:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

OncE UPoN'-'a MaN
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์

คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี
พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ
พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา
พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!)

ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว

ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ

once_upon.a.man@hotmail.com


My @ http://twitter.com/once_upon_a_man

ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่าน

ผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย

ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ

OncE UPoN'-'a MaN on Facebook
Blog ใหม่ล่าสด..สด
"VieTrio & Friends" ... เพื่อนร้อง พี่น้องเล่น เป็นเพลงเพราะเสนาะหู
"Lady Antebellum : Need You Now" ... ลูกทุ่งแบบมะกัน แต่สีสันระดับโลก
"The Social Network" ... วันนี้ คุณรู้จัก Facebook ดีพอแล้วหรือยัง?
"Harry Potter and the Deathly Hallows : Part I" ... ฉันต้องเปิด เพื่อจะปิด!
"Scrubb : Kid" ... คำตอบของเพลงอินดี้ที่ฟังง่าย อยู่ในอัลบั้มนี้แล้ว
"Due Date" ... รวมกันเราต้องอยู่ (กรุณา)อย่าทิ้งตูเป็นอันขาด!!?
"B.o.B. Presents: The Adventures of Bobby Ray" ... อาจเป็นฮิปฮอปหน้าใหม่ แต่ไม่ขอยึดติดความฮิป
"RED" ... โตอย่างสมวัย แก่อย่างมีคุณภาพ และจงระห่ำอย่างไม่เหลืออะไรจะเสีย!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... (หนังสั้น)แบบตัวเต็ม ที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็ยังมีความจริงใจ!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... กับตัวอย่างน้ำจิ้ม ของหนังสั้นที่คงจะมีอะไรๆอยู่ในนั้น
"อินทรีแดง" ... สมศักดิ์ศรีที่ได้กลับมา ..วีรบุรุษที่หนังไทยต้องการ!
"ชั่วฟ้าดินสลาย" ... เมื่อคำ “รัก” มีค่าเท่าคำว่า “ร้าย” คงทำลายคนทั้งหลายให้วายวอด
"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
"Lula : Twist" ... เพลงฟังชวนเพลิน จากคนเพลินๆ ที่ชื่อ 'ลุลา'
"Piranha 3D" ... กัดกระจุย เลือดกระจาย สามมิติกระเจิง!!!
"CHARICE" ... เพชรน้ำงามเม็ดเล็กแห่ง ‘เอเชีย’ ที่คู่ควรกับการเจียระไนโดย ‘อเมริกา’
"กวน มึน โฮ" ... ความรัก อาจแพ้บ้างอะไรบ้าง แต่ ความ ‘เห็นแก่ตัว’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง!
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
23 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add OncE UPoN'-'a MaN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.