"โอปปาติก : เกิดอมตะ" ... ความพยายามครั้งใหม่ของหนังไทย ที่แลกมาด้วยความล้มเหลว
"โอปปาติก (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ)" ... ความพยายามครั้งใหม่ของหนังไทย ที่หยิบจับเอาแง่มุมทางศาสนามาตีความมาเป็นเรื่องราวของกลุ่มคนที่ชีวิตไม่ได้จบลงแค่การฆ่าตัวตาย ...คนเหล่านี้ได้กลายเป็นอีกสิ่งมีชีวิตอีกชนิดที่น้อยคนจะมีโอกาสจะได้เป็น อันเรียกว่า โอปปาติก โอปปาติก มีพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่ขั้นสูงกว่ามนุษย์ปกติธรรมดาที่กำเนิดมาจากครรภ์แม่ ...คนเหล่านี้กำเนิดเกิดเริ่มต้นขึ้นมาโดยไม่ต้องมีการเติบโต และคนเหล่านี้ก็ยังเป็นผู้มีความสามารถที่เหนือชั้นกว่าคนปกติธรรมดาจะสามารถทำได้ หากแต่สิ่งที่โอปปาติกจะสามารถทำได้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคำสาปที่ย้อนมาทิ่มแทง ให้ทรมานทางกายและใจ เฉกเช่นเดียวกับ การฆ่าตัวตายที่ถือเป็นบาปขนานใหญ่สุดที่มนุษย์จะได้รับผลกรรมอย่างสาหัสสากรรจ์ ลงสู่นรกชั้นสุดท้ายที่โหดร้ายที่สุด ความพยายามครั้งใหม่ครั้งนี้ อาจจะดูไม่ใช่ของที่แปลกอะไรนักสำหรับคนที่เคยๆผ่านตา หนังแอ๊คชั่นเชิงศาสนา ที่เต็มไปด้วยปรัชญา อย่าง The Matrix รวมไปถึง การมีคาแรกเตอร์มนุษย์ที่เหนือมนุษย์เป็นตัวละครเอก อย่าง X-Men ...หรือจะเป็นหนังไทยเราๆเอง ก่อนหน้านั้น ก็เคยมี อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม ที่หาญกล้าเอาคำสอนทางพุทธมาเล่นเป็นเรื่องเป็นราวแนวๆ ตามสไตล์ผู้กำกับ เรียว-กิตติกร แต่กับ "โอปปาติก" ก็ยังคงพอจะถือเป็นอีกหนึ่งความใหม่ได้อยู่ ถ้ามองว่าหนังมีความพยายามที่จะหยิบจับเอาเรื่องราวสัจธรรมที่เข้าใจยากของสิ่งมีชีวิต มาผนวกรวมกับการสร้างความบันเทิงแบบตลาดๆด้วยหน้าหนังแอ๊คชั่น (อหิงสา ก็ถือว่าเป็นหนังแอ๊คชั่นอยู่หรอก หากแต่มันไม่น่าจะใช้นิยามของความเป็นหนังตลาดๆได้) โดยส่วนตัวแล้ว ก็มีความคาดหวังในความใหม่ครั้งนี้อยู่พอสมควร ...ด้วยตัวอย่างหนังที่ตัดต่อได้น่าดูน่าชม บวกกับภาพโปสเตอร์สวยๆเท่ห์ๆของบรรดาเหล่าตัวละครเอกทั้ง 8 ที่ทำได้อาร์ตล่อตาล่อใจได้ผลชงัก ...หากแต่ในความคาดหวังเหล่านี้ ก็แอบสังหรณ์ คาดคิดไปเองเกรงกลัวไปพลางว่า ตัวหนังที่แท้จริงๆ มันจะทำได้ไม่ถึงอย่างที่ตัวอย่างเสนอนะสิ แล้วมันก็เหมือนจะเป็นไปอย่างงั้น เมื่อคำวิจารณ์ของคนที่ได้ดูมาแล้วหลายต่อหลายคนออกจะเข้าข่ายติดเครื่องหมายลบซะเป็นส่วนมาก... แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังคงอยากจะดูให้เห็นกับตาอยู่ดี ถึงจะไม่ชอบไม่นึกประทับใจ ผมก็ยอมเสี่ยง ยังจะได้ไปพิสูจน์ความใหม่ครั้งนี้ด้วยตัวเองไปเลย แม้ตัวผมจะยังไม่ได้ดูหนังเรื่องก่อน อย่าง "Fake" กับ "X-Man" ของผู้กำกับ "ธนกร พงษ์สุวรรณ" มาก่อน ...แต่จากที่ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมา ก็นับว่า คนนี้เป็นผู้กำกับที่มีฝีมือคนหนึ่ง แล้วกับเรื่องล่านี้ เขาก็มีแนวคิดที่น่าสนใจมากๆ ในการหยิบจับเอาเรื่องศาสนา มาตีประเด็นถ่ายทอดเป็นหนัง โดยที่ใจความของมันถูกทำให้ไม่น่าใช่เรื่องที่ดูให้เข้าใจยากอะไร ...หลักก็คือการนำเอา โอปปาติก มาผูกกับความเชื่อในบาปบุญคุณโทษ และเริ่มต้นด้วยการฆ่าตัวตาย ที่เราถูกสั่งสอนมาว่าเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตที่เลวร้ายที่สุด ความกล้าที่จะทำความใหม่ ของผกก.ธนกร ในที่นี้ อาจจะถือว่าเป็นคุณ ที่น่าชื่นชมได้อยู่ ถ้ามองในแง่ของความตั้งใจที่อยากจะสร้างหนังสอนใจมนุษย์ให้รู้จักความบาปสักเรื่อง ...แต่กับความพยายามที่ผกก. มีให้ต่อความตั้งใจในที่นี้ มันถูกทำให้กลับกลายเป็นโทษซะมากกว่า เพราะในแง่ของความเป็นหนังสักเรื่อง โอปปาติก ยังดีแค่เปลือก ส่วนเนื้อในออกจะเหลว ไม่สวยเช่นข้างหน้าที่พยายามสร้างภาพให้น่าสนใจความเป็นหนังของ โอปปาติก ถูกนำเสนอเรื่องราวในแบบไม่ปะติดปะต่อ ไม่ต่อเนื่อง ใช้เทคนิคเหมือนเช่นหนังอาร์ต ที่ไม่เน้นย้ำเรื่องของเวลาให้เสียเวลา... แต่มันกลับไม่ใช่ข้อดีที่ควรทำของหนังแอ๊คชั่นเรื่องนี้ ที่มีพลอตเพียงพลอตเดียวแล้วต้องมาทำให้เรื่องราวยุ่ง ไม่เป็นเอกภาพเดียวกันเช่นนี้ และนั่นก็มีส่วนที่ทำให้ผมไม่รู้สึกอะไรกับจุดหักมุมของหนัง ที่พยายามทำให้คนดูงงงวย แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรกับความแปลกใจ เหนือไปกว่านั้น บทหนังก็มีปัญหาหยุบหยิบหยุมหยิมเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเหตุและผล ก็ดูเหมือนว่าหนังจะตัดมันออกไปอย่างดื้อๆ เอากันห้วนๆ เพื่อให้เวลาไม่ยืดไม่เยื้อ (และอาจจะเกี่ยวกับผลประโยชน์ของค่ายหนังที่จะได้รอบฉายเยอะๆด้วยละมั้ง? หรือเปล่าครับ เสี่ย...) ความเป็นมาเป็นไปของตัวละครแต่ละตัว นอกจากไปศลแล้ว คนอื่นๆ ถ้าไม่แตะต้องแบบเล่นแปะแข็ง ก็มากันแบบผีที่ไม่จำเป็นต้องไปรู้ถึงปูมหลังใดๆให้เสียเวลาหรอก ...แล้วก็ยังต้องรวมไปถึงคำพูดไดอะล็อกที่พยายามทำให้ดูมีปรัชญาน่าจดจำ แต่มันไม่จำเป็นต้องพูดด้วย ภาษาเทพเยี่ยงนี้แทบทุกประโยคสักหน่อย ทำให้พาลไม่รู้เรื่อง แล้วยังจะรำคาญอีก ปัญหาทั้งหมดทั้งมวล คือ ความน่าเสียดายอย่างยิ่งยวด สำหรับการสร้างความบันเทิงให้กับคนดูที่เหมือนว่าผู้กำกับตั้งใจจะให้เป็นอย่างนั้นมากกว่าเรื่องก่อนๆของเขา หากแต่ก็ด้วยลีลา และท่ามากเกินความเป็นหนังตลาดๆ เนี่ยแหละ ที่ย้อนหลังมาทิ่มแทงให้คนดูหมดอารมณ์สนุก จะตามเรื่องหนังไปได้ติด แต่ถึงจะน่าเบื่อ กระนั้นแล้ว หนังก็ยังพอมีอะไรให้รู้สึกไม่ถึงกับเซ็งได้อยู่ อาทิ การแสดงของทีมดาราที่ยกทัพเอาแต่คนมีชื่อมาดึงดูดให้น่าดูน่าชม ซึ่งถ้าไม่ติดว่าบทให้แต่ละคาแรกเตอร์มาอยู่บนจอเพียงเท่านั้น ศักยภาพของแต่ละคนก็น่าจะพอเพียงทำให้คนดูรู้สึกอินกับพวกเขามากไปกว่านี้ ...แต่ในที่นี้ ก็คงต้องยกเว้น ชาคริต แย้มนาม (ไปศล) ที่มีน้ำมีเนื้อมากที่สุด และตัวเขาก็ให้การแสดงที่เท่ห์ในฉากบู๊ทุกๆฉาก บวกกับสีหน้าอมทุกข์อันเคร่งขรึมที่พอจะทำให้เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาอยู่บ้าง (อาจจะพอบวกพี่อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ ด้วยอีกคน ...ที่ได้โชว์อ๊อฟเสียงพากย์ซะจนดูมีบทบาทกว่าการแสดงออกหน้าออกตาเสียอีก) ส่วนของฉากแอ๊คชั่น ก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง (แต่ก็ไม่ถึงกับคุ้มค่า 80 ล้านที่โม้ไปสักเท่าไหร่) โดยเฉพาะในฉากที่มีไปศลร่วมวงสู้ด้วย จะมันส์ ออกแบบได้เป็นจังหวะจะโคนที่สวยเป็นพิเศษ ...ถึงกระนั้นก็ยังมีที่น่ารำคาญใจมากๆ กับฉากที่อยู่ในเวลากลางคืนที่หนังตั้งใจมืด จนแทบจะไม่เห็นอะไรเลย (หรือก็ไม่แน่ว่า ทีมจัดแสงจะใช้ไฟฉายถ่าน AA แทนสปอตไลท์ เพื่อประหยัดทุน 80 ล้านเอาไปใช้ทำซีจีแทนละมั้ง หุหุ) ...ส่วนภาพที่ตั้งใจจะทำให้กรุงเทพฯดูหม่นอย่างมีมิติ มันก็สวยดี แต่ไร้เสน่ห์ให้ตรึงใจ เมื่อเทียบกับหนังไทยอีกหลายๆเรื่องที่บริหารเสน่ห์กรุงเทพให้ดูงามกว่านี้ได้เยอะ (ยกตัวอย่าง ยามราตรี ใน เฉิ่ม หรือกระทั่งกับ ยาม Y ใน เพื่อน กูรัก:-)ว่ะ -_-') และสิ่งที่ดีที่สุดของ โอปปาติก ก็ต้องยกให้กับแง่มุมทางศาสนาที่หนังเอามาเล่นเป็นเรื่องเป็นราว ...ที่นอกเหนือไปจากความกล้าที่น่ายกย่องแล้ว ส่วนเหล่านี้ที่หนังตั้งใจจะเสนอก็สนองกับข้อคิดที่หนังอยากจะบอกกับคนดู ว่า การฆ่าตัวตาย ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำเมื่อชีวิตหมดสิ้น เพราะนอกจากจะต้องสิ้นใจแล้ว ผลกรรมทั้งหมดยังต้องตกมาที่เรา ผู้ฆ่าตัวเองให้ต้องเป็นบาปกับตัวเองไม่ใช่ใครอื่นที่ทำให้เราอยากจะฆ่าตัวเองทั้งๆที่ตัวเราเองมีปัญหากับคนผู้นั้นที่ตั้งใจจะฆ่าตัวเราเองทั้งเป็น (พิมพ์เอง ก็งงเอง ...ใครเข้าใจก็ถือว่าท่านบรรลุแล้วละกัน สาธุ!!!)"โอปปาติก : เกิดอมตะ" ... ท่าจะดีแต่เริ่มคิดแล้วทำ แต่ถึงทีก็มาเหลวให้กับความลวกๆ อย่างน่าเสียดาย ...ตัวหนังก็เปรียบเสมือนว่ามีคำสาปเฉกเช่นเดียวกับตัวโอปปาติกทุกตน ที่ได้ใช้ความพยายามสนุก เพื่อแลกไปกับความล้มเหลวของความเป็นหนังบันเทิงเรื่องหนึ่งที่หวังจะสร้างความน่าพอใจแก่คนดู ...นอกเหนือไปจากข้อคิดดีๆ แล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นได้แค่ความน่าผิดหวังอีกครั้งหนึ่งของความพยายามครั้งใหม่ของหนังไทยที่ขาดทุนทั้งคนทำและคนดู เกรด C ... { } ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 27 ตุลาคม 2550
Last Update : 27 ตุลาคม 2550 0:24:53 น.
9 comments
Counter : 3873 Pageviews.
โดย: หนอนน้อย วันที่: 27 ตุลาคม 2550 เวลา:0:44:34 น.
โดย: poopan IP: 70.108.32.90 วันที่: 27 ตุลาคม 2550 เวลา:8:53:40 น.
โดย: วุ้นใสจ้า IP: 58.8.29.206 วันที่: 27 ตุลาคม 2550 เวลา:20:46:24 น.
โดย: คนอ่าน IP: 24.128.202.250 วันที่: 28 ตุลาคม 2550 เวลา:0:35:35 น.
โดย: greenbaret IP: 125.24.78.150 วันที่: 30 ตุลาคม 2550 เวลา:14:13:39 น.
โดย: amoderndog (amoderndog ) วันที่: 30 ตุลาคม 2550 เวลา:15:17:40 น.
โดย: artemissass (ArtemissAss ) วันที่: 1 พฤศจิกายน 2550 เวลา:2:34:13 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 6 พฤศจิกายน 2550 เวลา:11:38:19 น.
โดย: แฟง IP: 116.58.231.242 วันที่: 9 พฤษภาคม 2551 เวลา:10:39:46 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30 31
ก็คงจะไม่ได้ดูอีกนาน
เฮ้อ...