Public Enemies ... โจรปล้นเงินผู้ยิ่งใหญ่ ที่ง่ายเกินไป ตรงไม่กล้าปล้นใจ
แม้ส่วนตัวจะเคยดูผลงานที่พีคที่สุดของผู้กำกับ ไมเคิล มานน์ อย่าง Heat มาก่อนแล้ว ..แต่ก็น่าแปลกไม่น้อยเลยที่ผมจะรู้สึกเฉยๆ ค่อนไปทางไม่ชอบหนังเรื่องที่ว่านี้ แตกต่างกับชาวบ้านที่ยกย่อยเรื่องนั้นให้เป็นที่สุด (อาจเกี่ยวส่วนหนึ่งที่ช่วงนั้น ผมยังไม่เชี่ยวกับการดูหนังเนิบๆ ยาวๆ ด้วยแหละ) ..หากกับเพิ่งมารู้จักเขาผู้นี้อย่างเต็มตัวก็ตอนที่เขาจับ ทอม ครูซ มาเป็นมือปืนตัวชั่วใน Collateral นั่นเอง และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็สมัครเข้าเป็นสมาชิกแฟนคลับของเขาอย่างเต็มใจ ถ้าดูเอาจากที่ผมได้เห็นฝีมือของเขาใน หนังทริลเลอร์ที่ผมรักที่สุดเรื่องนี้แล้ว เพียงเรื่องเดียว ..ผมว่า ผมสามารถมองเห็น ความเป็นผู้กำกับขั้นเทพ ได้รวมเอาไว้ในหนังเรื่องนี้เรื่องเดียวได้อย่างครบถ้วน เอากับแค่ การมาคิดตีความถึง ฉากกวางน้อยโดดมาขวางหน้ารถแท็กซี่ที่ผู้ร้ายและพระเอกนั่งอยู่ร่วมกันแล้ว ...มาถึงตอนนี้ ผมก็ยังคิดไม่ออกสักที ว่ามันต้องการสื่อถึงอะไรกันแน่ ...เพราะแม้บางคนก็บอกว่า มันต้องการโยงถึงตัวร้าย แต่เมื่อหาเหตุผลให้พระเอกกับฉากๆนี้ มันก็มีอีกเหมือนกันที่จะข้องเกี่ยวกับเขา แม้เรื่องบางเรื่องในหนังของเขาจะยังมองไม่ทะลุปรุโปร่ง และยังคงค้างคาในใจของผมเสมอมา ...แต่ผมก็ไม่ถือสา หากตราบใดที่ ไมเคิล มานน์ ยังคงมีผลงานใหม่ๆมานำเสนอได้อีก ซึ่งผมเชื่อว่า... ถึงต่อให้มันเป็นหนังขั้นเทพยังไง มีอะไรให้ยุ่งยากใจ แต่ความดูสนุก ก็ยังคงมี และถือเป็นลายเซ็นเฉพาะตน ที่ผู้กำกับน้อยคนจะมีได้ แต่กระนั้น ผมก็ได้สัมผัสกับความผิดหวังมาแล้ว ซึ่งเป็นที่เพิ่งผ่านพ้นมากับผลงานชิ้นล่าสุดของเขา กับการนำซีรี่ส์ในจอตู้ที่ดังในยุคหลายปีก่อนอย่าง Miami Vice ขึ้นจอใหญ่ ...มันช่างเป็นหนังของ ไมเคิล มานน์ ที่ดูแล้วรู้สึกทรมาน มากกว่าจะนั่งสนุกไปกับการตามล่าแก๊งยาเสพติดของสองพระเอกต่างสีที่ดู non sense เสียยิ่งกระไร เพราะถึงแม้ ความรักใน Collateral จะหักลบกลบนี้ไปได้บ้าง ..แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกหวั่นๆไม่น้อย ที่จะรอคอยผลงานต่อไป ด้วยใจที่หวังว่าเขาจะกลับมาสู่ร่องสู่รอยที่เป็นผู้กำกับขั้นเทพของเขาได้อีก ซึ่งถึงในตอนนี้ การรอคอยก็ได้ถือเป็นอันสิ้นสุด และผลลัพธ์ของมันก็ออกมาในทางที่น่าจะดีใจ สมดังหวังได้จริงๆPublic Enemies ...อันเป็นการนำเอาเรื่องจริงซึ่งเป็นประวัติศาสตร์บทสำคัญแห่งชาติอเมริกันมาตีแผ่บนจออีกครั้งของ ไมเคิล มานน์ (หลังจากที่เคยมาแล้วครั้งหนึ่งในท้องเรื่องนักมวยโลกไม่ลืมอย่าง Ali ) มาพร้อมกับประเด็นที่เข้าทางเขาเป็นอย่างยิ่ง ...เมื่อหนังเรื่องนี้ ได้พูดถึงเรื่องราวในช่วงที่รุ่งโรจน์อันเป็นที่สุดของจอมโจรปล้นธนาคาร นามว่า จอห์น ดิลลิงเจอร์ ..นักก่ออาชญากรรมมือวางอันดับต้นๆ ของประเทศอเมริกา ในช่วงเวลายุค 30 ที่ฟองสบู่แตกดังโครม เศรษฐกิจล่มจนพาลทำคนเจ๊งระเนระนาดไปทั่วทั้งแผ่นดินแห่งเสรืภาพ แต่ในขณะเดียวกันกับที่ คนธรรมดาทั่วไป ชาวบ้านตาดำๆ ได้แต่จนลง จนลง กลายเป็นคนขัดสนทั่วทุกหย่อมหญ้านั้น ..กลับยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่รวยเอา รวยเอา ได้หน้าชื่นตาบานกับการโกงเงินประชาชน ผู้ที่ต้องตั้งหน้าตั้งตาฝากเงินกับธนาคารต่างๆ เพื่อหวังจะช่วยพิทักษ์ทรัพย์สินให้เขาอยู่รอดในเวลาที่ข้นแค้นสุดๆ ...ซึ่งคนกลุ่มที่ว่า ก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเหล่านายทุน เจ้าของธนาคารหน้าเลือด ที่ขูดรีดไถประชาชนในแทบทุกวิถีทางที่จะทำได้ และด้วยเหตุฉะนั้น มันก็เลยเป็นเหตุเป็นผลที่เหมาะสม ที่จะทำให้เกิดยอดวีรบุรุษขึ้นมา ..แล้วก็เป็นวีรบุรุษที่ไม่เหมือนใครที่เคยมีมาในโลกนี้ ตรงที่เขาคือ โจร ...คือ ผู้ร้ายที่ทางการขึ้นประกาศล่าหัวอย่างหนักหน่วง จนหมายสุดท้ายให้เป็นหนึ่งใน Public Enemies (กลุ่มศัตรูของประเทศ) ในที่สุด สิ่งที่ จอห์น ดิลลิงเจอร์ ไม่ใช่การปล้นเพื่อตัวเองได้เสวยสุขสบายไปทั้งชีวิตเท่านั้น ..หากแต่เอาเข้าจริง มันก็คือ วิธีการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเหล่าประชาชน ผู้ที่หน้าดำคร่ำเคร่งกับการหาเงินแทบตาย แต่มิวายโดนโกงกันง่ายๆ และไม่มีสิทธิต่อสู้อะไรได้ เพราะถึงทำไปยังไง รัฐบาลก็ต้องปกป้องอยู่ดี ซึ่งถ้ามองและพิจารณา กันด้วยตรรกะที่เป็นกลางแล้วละก็ ..ย่อมจะเห็นได้ว่า นี่คือ ความคิดและการกระทำอันอยู่นอกเหนือจากกรอบอันดีงาม แต่ก็จำเป็นและสมควร สำหรับในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจพิกลพิการแทบล้มทั้งยืนเช่นนั้นเหมือนกันแต่ถ้าผมเลือกจะไม่ใส่ใจกับการได้ตามอ่านเรื่องราวของพระเอกที่ชื่อ จอห์น ดิลลิงเจอร์ ตัวจริงเสียงจริงคนนั้นมาก่อน แล้วก็เข้ามานั่งดูหนังเรื่องนี้ในทันทีเลยละก็ ...มันย่อมอยากพูดตรงๆได้อย่างไม่ต้องพึ่งตรรกะใดๆทั้งสิ้น ว่า จอห์น ดิลลิงเจอร์ ที่เห็นในหนัง ยังไม่ได้เหมาะกับคำว่า วีรบุรุษ แต่อย่างไรเลย มิหนำซ้ำ เขาก็คงเป็นแค่โจรคนหนึ่งที่เดินดุ่มๆเข้าไปปล้นธนาคาร ชักปืนจ่อหัวคนเปิดเซฟ แล้วเชิดเงินออกมา อย่างลอยหน้าลอยตา (อาจมีบ้าง ที่ต้องต่อสู้กับตำรวจกระจอกๆ ..หากที่สุด ก็หลุดจากบ่วงติดข้อมือแบบสบายๆ) ...ทำเหมือนว่า นี่เป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง ที่โจรคนหนึ่งจะพึงกระทำกันก็เท่านั้น นี่คือ เหตุผลที่ทำให้ผมไม่รู้สึกผูกพันกับ จอห์น ดิลลิงเจอร์ เลย ...และถึงต่อให้ผมจะเกิดทันเป็นคนยุคนั้น (ต่อให้อีกนิด ตรงที่เป็นคนอเมริกัน ด้วยละกัน) ผมก็จะไม่รัก จอห์น ดิลลิงเจอร์ ในหนังเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะเขายังดูธรรมดาเกินไปที่จะเป็น วีรบุรุษ ของใครเขาได้ ซึ่งแม้ว่า ตัวหนัง Public Enemies จากฝีมือของ ไมเคิล มานน์ ...จะเป็นผลงานที่สามารถพูดอวดอ้างได้ว่า ผู้กำกับที่ผมรัก คนเดิมได้กลับมาแล้ว ..แต่ก็ยังไม่อาจเต็มปากเต็มคำได้เลย ในเรื่องของความประทับใจ ที่มันช่างห่างไกลกับ Collateral อย่างไม่เห็นฝุ่นคือ ถ้ามองกันเฉพาะ ในเรื่องของเอกลักษณ์การทำหนัง ที่มาพร้อมกับลายเซ็นอันชัดเจนอีกครั้งหนึ่งในหนังเรื่องนี้ ..ก็ย่อมเป็นเรื่องที่น่าดีใจสำหรับแฟนๆ ที่เราได้ดูหนังที่มาพร้อมกับคุณภาพในการนำเสนอขั้นสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนชอบ ไมเคิล มานน์ อยากจะได้ดู ได้เห็น กันเต็มที่ โดยความเต็มที่ในที่นี้ หมายถึง การถ่ายภาพที่ดูดิบๆ แต่มีมุมที่สวยแอบแฝงอย่างแยบยล ..การตัดต่อที่เร็วรวด แต่หวดความรู้สึกของคนดูให้ต้องจับตาอย่างไม่อาจคลาดเคลื่อน ..อีกยังจะมีเทคนิคการบันทึกเสียงที่ดูจริง จนคล้ายว่าตัวเราได้ติดอยู่ในฉากนั้นๆกับตัวละครในหนังไปด้วย (ยิ่งกลับฉากแอ๊คชั่นแล้ว กระสุนเป็นกระสุน ฟิ้วผ่านหูไปเฉียดๆเลยทีเดียว) ...และเหล่านี้ ก็คือ สิ่งที่หาได้ในหนังของผู้กำกับคนนี้ มาโดยตลอด แต่หากจะถามหาความทรงพลังในภาพและเสียงเหล่านั้นแล้วละก็ ..ผมไม่ได้เห็นมันเลยใน Miami Vice ซึ่งถ้านับกันแต่เรื่องที่คิดถึงเหล่านี้อย่างสุดหัวใจแล้ว ..ผมคงไม่มีเหตุผลอื่นใด มาคะคานความไม่ใช่หนังธรรมดาๆ ของ Public Enemies ได้เลยจริงๆ ...หากดูเอาคุ้มแค่ได้เห็นฉากเทพๆ อันมีผสมอยู่ประปรายหลายแหล่ ก็คงไม่เสียหายอะไรหรอก แต่เมื่อมาคิดๆดูอย่างจริงจัง ไปพร้อมกับการเล่าเรื่องของหนังด้วยละก็ ...มันคงเต็มใจจะพูดว่าหนังเรื่องนี้ เป็นผลงานที่น่าประทับใจของ ไมเคิล มานน์ ไม่ได้เลยจริงๆ เพราะแค่จะทำให้คนดูรู้สึกผูกพันกับตัวละครใดๆสักตัว ในเวลาที่มากมายถึง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ..ก็ถือเป็นสิ่งที่ยากจะเป็นไปได้ในหนังเรื่องนี้ ...ยิ่งหากถามกันอย่างลงลึกว่า เราได้รู้จักกับ จอห์น ดิลลิงเจอร์ มากแค่ไหน ..ก็คงจะยากทำใจ บอกออกมาว่า เราได้รู้จักเขาเป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งก็น่าเสียดายแทนทรัพยากรดีๆที่มีอยู่ของ Public Enemies ..อันประกอบไปด้วย พลอตที่น่ารู้(ในเรื่องประวัติศาสตร์) และน่าสนุก(ในความบันเทิง) อีกยังต้องรวมถึงการได้นักแสดงเจ้าฝีมือมีคุณภาพ มาประชันบทกันอย่างน่าติดตาม ...เพียงแต่สองสิ่งนี้ โดยหลักๆ กลายเป็นสิ่งที่ไปไม่ถึงจุดสูงสุด ..หากไม่ถึงกับธรรมดา แต่ก็ไม่ยอดเยี่ยมอย่างที่ควรจะเป็นแต่อย่างไรบทหนัง ยังคงมีจุดอ่อน ยังมีความหละหลวมในองค์ประกอบการเล่า ที่เอาเรื่องจริงมาตีความเป็นหนัง แต่ไม่สามารถทำให้เข้มข้นได้เท่าเทียมกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์ ...ทั้งๆที่การชื่นชมโจรใครสักคน เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาง่ายๆ และกรณีของ Public Enemies ก็คือ การทำให้คนดูรู้สึกว่า เขาคนนี้ น่าชื่นชมอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ..หากแต่เมื่อเรายังไม่ได้รู้จักความตื้นลึกหนาบางของโจรผู้นี้มาก่อนแล้วละก็ การได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วเกิดอยากจะยกย่องขึ้นมา ย่อมเป็นไปไม่ได้ ยิ่งกระทั่งตัวหนังก็แทบจะไม่ได้ปูความใดๆเลย ว่าทำไม ผู้คนในสมัยนั้น ถึงได้หลงรักความเป็นโจรของเขา.. หากเลือกจะเปิดเรื่องมาพร้อมกับการเปิดตัวที่ดูไม่ออกเลยว่า เขาคือ โจรปล้นธนาคาร ...เอาแค่นั้น มันก็ยากจะเกิดความรู้สึกเชื่อว่า เขาคือ ที่รักของประชาชน ..หากให้มองอย่างใจแคบ จอมโจรดิลลิงเจอร์ ก็แค่รักพวกพ้องของตัวเองมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็ยิ่งตอกและย้ำ ซ้ำเติม ถึงความหมายของการเป็นโจรธรรมดาคนหนึ่ง ให้หนักข้อขึ้นไปกว่านั้นได้อีก ..เมื่อหลังจากฉากเปิดตัวไปแล้ว เขาก็แทบไม่ได้ทำอะไรให้ประชาชนรู้สึกต้องขอบคุณแม้แต่ฉากเดียว ...กระทั่งเวลาผ่านไปจนเกือบจบเรื่อง ก็ยิ่งชัดเจนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นในหนัง มันล้วนแล้วแต่ตอบรับกับความรักในตัวเอง และพวกพ้อง เพียงเท่านี้จริงๆ นี่ถ้าเรียกหาแต่ความน่าสนใจจาก จอห์น ดิลลิงเจอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของหนังเพียงคนเดียว ก็คงจะรู้สึกว่า มันน่าขัดใจอย่างเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว... แต่พอนับเอาตัวละครรอบข้างมาข้องเกี่ยวด้วยแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกไม่อินไปกับหนังเรื่องนี้อย่างจริงจัง หนังไม่ได้ทำให้ใครเหล่านั้นโดดเด่นเป็นพิเศษเลย อีกแค่จะบอกเล่าให้รู้ว่าเขาคือปัจจัยที่สำคัญในชีวิตของ ดิลลิงเจอร์ ก็ไม่มีคนไหนที่ได้ทำอะไรให้สมน้ำสมเนื้อ ..ต่อให้แม้ว่าเรื่องบางเรื่อง จะรุนแรงในความรู้สึก และเป็นจุดพลิกผันที่ส่งผลกระทบให้หนังน่าติดตาม (เช่น การที่เมียของดิลลิงเจอร์โดนจับตัวไป) แต่ถึงที่สุด ก็ไม่ได้มีความหมายที่หนักแน่นพอจะตอบแทนว่า มันคือสิ่งที่น่าเห็นใจ ทั้งที่มันก็ควรจะเป็นไปได้ ฉะนั้นแล้ว นั่นจึงเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบให้อย่างจัง กับส่วนของการแสดง ที่ถึงขนาดว่าได้ระดับ จอห์นนี่ เดปป์ , คริสเตียน เบล และนางเอกออสการ์เป็นประกันอย่าง มาริยง โกติลลาร์ด มาประดับจอ ก็ไม่สามารถเรียกพลังการแสดงอันเหลือล้นของแต่ละคนออกมาได้คุ้มค่า แม้ว่า ป๋าเดปป์ จะเท่ห์เหลือกิน กับมาดของโจรมือวางอันดับต้น ที่วัดกันด้วยความรู้สึกเชื่อ ก็จัดว่าไม่ใช่โจรกระจอกทั่วไปแหงแก๋ (ทั้งๆที่หนังก็ไม่ได้มีอะไรโชว์ออกมาเป็นพิเศษ ที่ทำให้เขาดูเป็นโจรเหนือโจรด้วยนะนั่น) ..แม้ว่า พี่แบทแมน จะได้รับบทบาทที่ดูมีน้ำมีเนื้อมีเน้นให้น่าจำกันบ้าง หลังจากเป็นเพียง จอห์น คอนเนอร์ ที่เป็นเบี้ยล่างให้กับหุ่นยนต์อีกที ..และแม้ว่า มาริยง จะออกน้อยฉาก แต่เมื่อได้ออกที แล้วมีสิ่งให้ตรึงตาอย่างมาก อีกยังเป็นเจ้าของฉากจบที่ทรงพลังยิ่งๆเสียด้วย แต่ถึงที่สุด ...ผมว่า ทุกคนเหล่านี้ ล้วนแต่น่าจะให้การแสดงที่ยอดเยี่ยมออกมามากกว่านั้นได้อีก ..หากได้บทหนังที่ทำให้คนดูรู้สึกผูกพันกับพวกเขาได้มากกว่านี้และนี่ก็คือ เหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกว่า Public Enemies น่าจะดีมากกว่านี้ได้อีกนั่นเอง ..ซึ่งยิ่งคิดถึง ก็ยิ่งพาลเสียดายแทนคุณภาพที่จัดว่ามากล้น ทรงพลัง และแฝงคุณค่า ของ ไมเคิล มานน์ (โดยเฉพาะ)ในครานี้... ที่ถือเป็นการกลับมาที่น่าให้ชื่นชอบ คุ้มค่ายิ่ง แต่ในที่สุด ก็ยังไม่ใกล้ถึงกับจุดที่จุใจเท่านั้นเอง ถึงจะเป็นโจรปล้นเงินผู้ยิ่งใหญ่ในโลกความจริงอย่างไร ..แต่เมื่ออยู่บนจอหนัง จอห์น ดิลลิงเจอร์ ก็ยังเป็นได้แค่โจรธรรมดาคนหนึ่ง ที่ทำอะไรก็ดูง่ายเกินไป แถมจะปล้นใจใคร(คนดู) ก็ยังไม่เป็นงานในที่นี้นี่เอง และนั่นจึงทำให้ผมยังรู้สึกไม่ชื่นชม Public Enemy ผู้นี้.. ทั้งที่ในเรื่องราวอันเป็นประวัติศาสตร์ของเขา (ได้อ่านแล้ว)น่าสนุกกว่านี้อีกมากๆเลย ขอแนะนำ ...ครับเกรด A- ... { } ปล. ผมว่าจะกลับไปดู Heat อีกสักทีสิ ..ว่าผมจะชอบได้หรือไม่?? ...ไหนๆทุกวันนี้ ผมก็มีภูมิคุ้มกันความเนิบที่แน่นหนาพอแล้ว อิอิ ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date : 01 สิงหาคม 2552
Last Update : 1 สิงหาคม 2552 12:14:47 น.
4 comments
Counter : 2760 Pageviews.
โดย: navagan วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:3:44:52 น.
โดย: I_sabai วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:13:40:21 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 4 กันยายน 2552 เวลา:13:40:29 น.
โดย: tIK- IP: 110.169.34.146 วันที่: 8 กันยายน 2552 เวลา:2:38:04 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30 31
โดยเป็นการใส่เข้ามาที่ไม่ค่อยมีประโยชน์กับเรื่องราวนัก
กระทั่งตัวละครเด่นๆบางตัวก็ยังใช้ประโยชน์ได้ไม่คุ้มค่าครับ
ผมก็รีวิวไว้สักพักหนึ่งแล้ว ลองไปอ่านดู < a href ='https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=navagan&month=07-2009&date=29&group=2&gblog=53' target='_blank' > ที่นี่ < /a > ครับ
ส่วนหนังของ Mann ที่ชอบที่สุดก็ Heat หล่ะครับ
ส่วน Miami Vice ผมชอบที่การถ่ายภาพมากๆครับ