"Spider-Man 3" ... พลังอัน'ดำมืด' มาพร้อมกับ'ความรู้ผิดชอบชั่วดี'
ในสองภาคที่ผ่านมาของ "Spider-Man" ... เราคงจะได้เรียนรู้ความหมายของคำพูด "พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง" กันมาเป็นอย่างดีแล้ว คำพูดของ ลุงเบน ปาร์คเกอร์ ที่พร่ำสอน หนุ่มน้อย ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ก่อนจะลาลับโลก ไปด้วยคำนี้ ...เป็นการเตือนสติให้รู้ว่า ความสามารถเกินมนุษย์ที่เขามีอยู่นั้น มันไม่ได้มีไว้เพื่ออวด เพื่อโอ่โชว์อำนาจสิ่งที่ได้เลือกเขามาและเขาถูกกำหนดให้เป็น ก็เพื่อจะให้มีไว้ใช้ต่อกรกับความเห็นแก่ตัวที่อยู่ภายในใจลึกๆของเขามากไปกว่าอื่นใด ... ถ้าเรายังจำความเดิมในภาคแรกได้ ...ในฉากที่ปีเตอร์ได้ปล่อยให้คนร้ายลอยนวลไป นั่นยังแสดงให้เห็นว่าคำพูดที่ลุงเบนพร่ำสอนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ไม่ได้ทำให้เขาเข้าใจสัจธรรมการเป็นฮีโร่แต่อย่างใด มันก็จริงที่ว่าการตายของลุงเบน จะเป็นแรงจูงใจที่ทำให้ ปีเตอร์ เลือกจะเดินทางสายใหม่ (สายที่เขาจะเป็นผู้ชายที่แข็งแรงบนโลกใบนี้ และละทิ้งร่างของเด็กอ่อนแอคนเก่าทิ้งไป) ...แต่ถึงยังไงก็ใช่ว่า การตายของคนๆหนึ่ง จะสามารถสร้างฮีโร่ที่สมบูรณ์แบบเป็นที่สุดได้เลยในทันที (ลองมองดูกรณีคล้ายๆกัน อย่าง Batman...เขาก็ไม่ต่างอะไรกับปีเตอร์ ที่ต้องการจะฆ่าคนพรากชีวิตพ่อแม่ เหนือไปกว่าเหตุและผลที่ควรอโหสิให้) จากเหตุการณ์ที่ปีเตอร์เริ่มต้นเป็นสไปเดอร์แมนด้วยการสนองตัณหา(ล้างแค้น) มันก็มีความต่อเนื่องทางจิตเรื่อยมาในทุกขณะที่เขาสวมหน้ากากปราบอธรรม ...ผมคิดและเชื่อว่าในใจลึกๆดวงนั้นของปีเตอร์ ยังคงจะมีกิเลสซ่อนรูปเก็บไว้อยู่เสมอมา ...เขายังยึดมั่นในความเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งที่ปล่อยให้ความเห็นแก่ตัว อยู่เหนือเหตุผลการกระทำอันสมควร ...แม้พลังอันร้ายกาจของจิตใจคน มันจะไม่ได้ส่งผลกระทบอันร้ายแรงต่อหน้าที่ใดๆในสองภาคที่แล้ว แต่เราก็จะยังแอบเห็นได้ว่า บางครั้งเอง ปีเตอร์ ก็มีภาวะทางความคิดที่รุนแรงเหนือไปกว่าการกระทำ (มันก็ดีที่เขายังคงสามารถพอจะเก็บงำมันไว้ ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านเกะกะมือ เท้า และใยของเขา) มาถึงในภาคสาม ในคราวนี้ ก็ถึงทีที่ สไปเดอร์แมน ของเรา จะได้ประจัญหน้ากับบททดสอบที่สำคัญที่สุดในการสวมบทเป็นซูเปอร์ฮีโร่ผู้ผดุงธรรม ...บททดสอบที่ว่าด้วยเรื่อง 'ความรู้ผิดชอบชั่วดี' "Spider-Man 3" ... เริ่มต้นต่อจากจุดจบของภาคก่อน ที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวยในชีวิตของ "ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์" ...เขาสามารถเอาชนะใจ "เอ็ม.เจ. วัตสัน" ผู้หญิงที่เขารักและมั่นคงมาตลอดได้ เขากลายเป็นคน(สวมหน้ากาก)ที่ถูกรัก เป็นเพื่อนบ้านที่ประชาชนคนนิวยอร์กทุกคนไว้วางใจ และเขาก็คือฮีโร่ ที่อาชญากรตัวน้อยๆทุกคนขยาดกลัวจะต่อสู้ด้วย แต่อะไรที่มันสวยงาม ย่อมแอบแฝงพิษร้ายอยู่ภายในเสมอ ...และพิษร้ายที่ว่านี้ ก็มาในรูปของสารเคมี ที่มีส่วนผสมของ เพื่อน/ศัตรู(ตัวจริง)/คู่แข่ง/รักสามเส้า/ความหลงระเริง นำมารวมเคี่ยวข้นให้กลายเป็น ของเหลวสีดำจากต่างดาว ที่อันตรายถึง(การใช้)ชีวิตเพื่อน ... "แฮร์รี่ ออสบอร์น" ยังคงฝังคมแค้นคิดแต่จะจัดการคนที่ฆ่าพ่อให้ตายเพียงสถานเดียว เขาไม่สนคำพูดปฏิเสธของเพื่อนรัก ไม่ไตร่ตรองว่าความจริงแล้ว "นอร์แมน" ต้องตายเพราะการกระทำของตัวเองทั้งสิ้น ...(การใช้)ชีวิตของสไปเดอร์แมนถึงจุดอันตราย เพราะความลำบากที่จะชั่งใจว่า เขาควรจะฆ่าเพื่อน หรือปล่อยเพื่อนให้ตามฆ่าตัวเองไปอย่างนี้ศัตรู(ตัวจริง) ... "ฟลิ้นท์ มาร์โก" คือ ฆาตกร(ตัวจริง)ที่จบชีวิตลุงเบน ตามหลักฐาน(ตัวจริง)ของตำรวจ ...เมื่อปีเตอร์ได้รู้ความจริงข้อนี้ เขาจะอดได้หรือกับการตามฆ่าล้างแค้น อย่างเช่นที่เขาเคยทำกับศัตรู(ตัวปลอม) ...(การใช้)ชีวิตของสไปเดอร์แมนถึงจุดอันตราย เพราะตัณหาดิบที่เก็บงำเอาไว้ กำลังกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง กับตัวการ(ตัวจริง)คนนี้คู่แข่ง ... "เอ็ดดี้ บร็อค" พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะให้ได้ภาพสวยๆเท่ห์ๆของฮีโร่ขวัญใจเดลี่ บูลเกอร์ มาเรียกเรตติ้งยอดขายให้พุ่งกระฉูด ...เขาใช้สัญชาตญาณหมาล่าเนื้อ ยื้อแย่งอาหารจาก ปีเตอร์ ทุกชิ้นทุกอัน โดยไม่คิดถึงความชอบธรรม และจรรยาบรรณของนักข่าว ...(การใช้)ชีวิตของสไปเดอร์แมนถึงจุดอันตราย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ปีเตอร์โดนแย่ง มันมีค่าเท่ากับความแค้นที่สไปเดอร์แมนต้องการเอาคืนรักสามเส้า ... "เกว็น สเตซี่" เป็น มือที่สามผู้บังเอิญเข้ามาข้องเกี่ยวกับสมการความรักที่ยังไม่ลงตัวของ ปีเตอร์ และ เอ็ม.เจ. ...เธอคือตัวแปร ที่ทำให้ใจของเอ็ม.เจ.ผันเปลี่ยน เพียงแค่ความร้อนใจในความสนิทสนมที่มีมากเกิน (เกว็น เป็นคนที่ได้รับการช่วยเหลือจากสไปดี้ ไม่ต่างกับที่เอ็ม.เจ.เคยได้รับ และ เกว็นก็ยังเป็นเพื่อนร่วมห้องคู่บัดดี้ที่มหาลัยของปีเตอร์อีกด้วย) ...(การใช้)ชีวิตของสไปเดอร์แมนถึงจุดอันตราย เพราะ ความรักที่เขาศรัทธา กำลังโดนทำลายด้วยน้ำมือของผู้หญิงที่เขายอมเทใจให้ และจริงจังถึงขั้นจะขอแต่งงาน เขารับไม่ได้ถ้าจุดจบของชีวิตคู่จะลงเอยด้วยการเข้าใจผิดเช่นนี้ความหลงระเริง ... "สไปเดอร์แมน" กำลังไปได้สวยกับการเป็นยอดฮีโร่ที่ทุกคนต่างยอมรับ เขานึกถึงแต่คำสรรเสริญเยินยอมากไปกว่าความนอบน้อมที่เขาเคยเป็น ปีเตอร์ตกอยู่ในภวังค์หลงมัวเมากับความเชื่อที่คิดว่าเขาคือคนที่ทุกคนพอใจ โดยไม่เคยเหลียวมามองว่า เอ็ม.เจ. นั้นกำลังไม่พอใจในการเปลี่ยนไปในตัวตนและความคิด ...เธอมองออกว่าเขาคิดถึงแต่ตัวเอง มากกว่าจะคิดถึงคนอื่น เธอนึกได้ว่าพลังและอำนาจกำลังทำให้คนที่เธอรักเปลี่ยนแปลงไป (การใช้)ชีวิตของสไปเดอร์แมน ถึงคราวที่จะได้ประจัญหน้ากับบททดสอบที่มนุษย์ปุถุชนทั่วไป มีเอาไว้เพื่อใช้ชี้วัดความเห็นแก่ตัว ...บททดสอบที่ว่าด้วยเรื่อง 'ความรู้ผิดชอบชั่วดี' 'ความรู้ผิดชอบชั่วดี' มีอยู่ในจิตใจคนเราทุกขณะจิต เราคิดถึงมันโดยตลอดในตอนที่เรากำลังแสดงพฤติกรรมที่ส่อไปถึงจิตใต้สำนึกลึกๆที่เรารู้ตัว ...ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราเห็นคนแก่กำลังเดินข้ามถนน ในตอนนั้น เราจะมีความคิดที่เป็นทั้งขั้วบวกและขั้วลบเกิดขึ้นในใจ การขัดแย้งระหว่างขั้วทั้งสอง ต่างก็จะพยายามสร้างประเด็นหาเหตุหาผลที่เหมาะที่สมกับจิตใต้สำนึกที่เรามี และเมื่อเราได้แสดงความรู้ออกในรูปของพฤติกรรมแล้ว ในตอนนั้นเองที่ขั้วใดเพียงขั้วหนึ่งจะได้เป็นผู้ชนะ ...'ความรู้ผิดชอบชั่วดี' ต่อชีวิตของคนแก่ จะจบลงแบบไหนล้วนขึ้นอยู่กับจิตใจของคุณเอง ที่สามารถเลือกได้ว่า จะยอมรับในขั้วบวก (ช่วยประคองคนแก่ให้ข้ามถนนไปได้โดยปลอดภัย) หรือ ยอมแพ้ให้ขั้วลบ (ทำได้แค่มอง และเดินบนฟุตบาทต่อไป ปล่อยให้มันสิ้นสุดตามยถากรรมของชีวิตคนอื่นที่ไม่ใช่ชีวิตเรา) ก็แค่นั้น..."แซม ไรมี่" ผู้กำกับอภิมหาไตรภาค เลือกจะปิดท้ายหนังซูเปอร์ฮีโร่จักรวาลมาร์เวล(ที่ดีที่สุด) ด้วยการตอบโจทย์ที่เขาได้แอบตั้งทิ้งเอามาตั้งแต่ภาคแรก ...โจทย์ที่ว่าด้วยเรื่องของ 'ความรู้ผิดชอบชั่วดี' กับจิตใต้สำนึก และการเลือกกระทำ ในภาคแรก เรื่องราวของ สไปดี้ เริ่มต้นด้วยการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อยอมรับตัวตนฮีโร่ที่ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ถูกเลือกให้เป็น ...ส่วนภาคสอง ก็ถลำเขาไปในส่วนของจิตใจ ที่ซูเปอร์ฮีโร่คนหนึ่งจะต้องทนอยู่ และอยู่ทนกับความสามารถเหนือมนุษย์ที่เขาต้องเป็นไปตลอดชีวิต ...และภาคสรุปปิดท้าย ก็คือ การแสดงออกระหว่างดี/ชั่ว ขาว/ดำ ที่ซูเปอร์ฮีโร่ผู้มีกิเลสเยี่ยงมนุษย์ทั่วไปต้องแยกแยะให้ออก ผกก.ไรมี่ กำหนดแนวทางของ สไปเดอร์แมน ให้เป็นไปตามสเต็ป มีความเข้มข้นในจังหวะชีวิตที่ถูกเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ จากระดับที่หนึ่งสู่สูงสุดที่สาม ...แม้การเพิ่ม volumn จะให้ผลงานที่แรงขึ้น แรงขึ้นในทุกๆภาค แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสามภาคคงที่และไม่เปลี่ยนแปลงไป ก็คือ การที่ไรมี่ ยังคงรักษาและซื่อสัตย์ในจิตวิญญาณของตัวการ์ตูนคอมมิคส์ตัวนี้ ...ยังคงนับถือ สไปเดอร์แมน และความเป็นมนุษย์ปุถุชน เหนือสิ่งอื่นใด"Spider-Man 3" ... ยังคงเป็นหนังสไปดี้ที่เข้มข้นและตีแผ่ความเป็นมนุษย์ได้สุดลิ่มทิ่มประตูเช่นเดิม ...'บทหนัง' (ที่แซม ไรมี่ มีส่วนในการร่วมเขียน) ยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องราวบนจอตลอด 140 นาทีน่าลุ้นน่าติดตาม เพียงทว่าในทางกลับกัน 'บทหนัง' ก็มีส่วนช่วยสร้างปัญหาใหญ่ที่ทำให้การสรุปเรื่องราวในภาคจบไม่ลงตัว(เท่าที่ควรจะเป็น) อีกด้วย ซึ่งถ้าใครได้ดูภาคสองมาก่อน ก็คงจะเห็นด้วยว่า บทหนังและเรื่องราวในตอนนั้นดูลงตัว อีกทั้งสามารถกลบฝังปัญหาที่คอยขัดใจในภาคแรกได้อย่างเนี้ยบนิ้ง ...และนั่นก็เป็นเหตุเป็นผลที่ทำให้เราคาดหวัง กับภาคสุดท้ายและทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องดีกว่าเดิมขึ้นไปอีก ... ที่ว่า บทหนัง นั้นน่าติดตาม ก็ต้องถือว่า ทีมคนเขียนยังคงเวิร์กอยู่ในการสร้างจุดโฟกัสชวนให้คนดูสนใจจะมองไปตลอดทั้งเรื่อง การจัดการบทให้กลืนความเป็นดรามา แอ๊คชั่น ตลก โรแมนติก ยังทำออกมาได้กลมเกลียวไม่ผิดเพี้ยนมาตรฐานเก่า ประเด็นเรื่องที่ก่อขมวดขึ้นมาจากภาคก่อนๆ และเริ่มในภาคนี้ สามารถคลายเกลียวให้จบลงได้โดยไม่ติดค้างอะไรให้คาใจอีกต่อไป ...ทว่าสิ่งที่เป็นปัญหา มันก็คือการเดินเรื่องที่หลายช่วงหลายตอนดูจะรวบรัด มีรูโหว่ และมักง่ายไปหน่อย การจับยัดศัตรูเข้ามามากถึง 3 คน นับเป็นสิ่งที่ดี ถ้านี่คือความพยายามที่ต้องการให้คนดูได้ตื่นเต้นกับการต่อสู้(ทั้งศัตรูที่มีตัวตน และด้านมืดที่เป็นศัตรูในจิตใจ)เป็นที่สุด ...เพียงแต่ ความพยายามนี้ ก็มีผลทำให้เอกภาพของเรื่องราวหนังบิดเบี้ยวไปด้วย มันอาจจะไม่รุนแรงจนถึงขั้นเละเทะ แต่มันก็เป็นปัญหาตรงๆต่อการเดินเรื่องที่ต้องรวบรัดทุกสิ่งทุกอย่างให้จบลงในหนังภาคสุดท้ายนี้ ส่วนเรื่องของรูโหว่ และมักง่าย ...มันก็คือ ผลที่ตามมา จากการรวบรัดเรื่องราวให้จบลงในเวลา 140 นาที(ที่ดูจะน้อยเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับประเด็นมากมายที่น่าจะเก็บตุนเผื่อเอาไว้ใช้ในภาคต่อไปก็ยังเป็นไปได้) ไม่รู้ว่าที่บทหนังออกมาเป็นอีหรอบนี้ เกิดขึ้นเพราะแรงบีบรัดจากความคาดหวังของคนดูมากเกินไป หรือว่า การเพียรทำงานที่อยากจะให้ถึงจุดอิ่มตัวเป็นที่สุดของไรมี่เอง กันแน่ ...แต่ถึงสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะโทษกับอะไร หนังภาคนี้ก็ยังขึ้นชื่อว่า ดูสนุกให้ความเพลิดเพลิน และมันส์ระห่ำสุดขั้วหัวใจเช่นที่เคยปรารถนา การออกแบบฉากแอ๊คชั่น การถ่ายภาพ-ตัดต่อ และงานเอฟเฟคท์ ยังคงเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมไม่ต่างไปจากภาคก่อนๆ ...ยิ่งในภาคนี้ที่พัฒนาการโปรดักชั่นได้ล้ำหน้าขึ้นไปอีกขั้น ก็ยิ่งทำให้ความน่าตื่นตาตื่นใจของภาพ เร้าอารมณ์ตื่นเต้นให้อะดรีนารีนคุกรุ่นในทุกทีที่สไปดี้ปะฉะดะศัตรูทั้ง 3 ...และก็ต้องไม่ต้องลืมว่า ภาพที่ดูดีสุดๆนั้น ย่อมต้องควรได้รับคำขอบคุณจากเสียง(ดนตรี)ที่เร่งเร้าอารมณ์ลุ้นของ "แดนนี่ เอลฟ์แมน" อีกด้วย การแสดงคุณภาพล้นของดารา(ทั้งคนเก่าและคนใหม่)ทุกคน ไม่ทำให้ผิดหวัง ...ความเข้มข้นของเรื่องราว(ที่มีจุดอ่อน)สามารถถ่ายทอดออกมาได้ถึงเพียงนี้ เพราะพวกเขาต่างก็เล่นเต็มที่กับบทบาทที่สวมทับ "โทบี้ แม็คไกรว์" ...ยังยอดเยี่ยมไม่มีใคร(ในหนัง)เกิน การแสดงออกสองขั้วให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เขาสัมผัสได้ถึงเนื้อแท้ภายในใจของ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ในสถานการณ์ที่ต้องเลือก ขาวกับดำ ...โทบี้ ทำให้เราเชื่อในสิ่งที่เขากระทำออกมา ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกที่น่ารัก หรือด้านลบชวนหมั่นไส้(แถมยังทำตัวตลกร้ายกาจอีกต่างหาก)"เคิรสเต็น ดันสต์" ...ไม่สวยอย่างไง ก็ยังไม่สวยอย่างงั้นในภาคนี้ ส่วนเรื่องของการแสดงดีอย่างไงในภาคสอง มาภาคสามเธอก็ยังดีเหมือนเดิม เป็นเอ็ม.เจ.ที่น่ารัก มีเสน่ห์ แฝงความน่าเห็นใจอยู่ในลึกๆ / "เจมส์ ฟรานโก้" ... กระแทกด้านมืดที่เก็บงำในภาคสอง ออกมาไม่ยั้งในฉากต่อสู้ฉากแรก บทบาท "แฮร์รี่ ออสบอร์น" ที่เขาสวม และ "นิวก็อบลิน" ที่เขาสิง ในภาคนี้ ทำให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นอีกขั้นของ ฟรานโก้ พร้อมกันกับหน้าตาที่หล่อเหลาล้ำโทบี้ไปซะแล้ว / "โทเฟอร์ เกรซ" ... ร้ายสุดขั้วไม่มีใครเกินแล้ว กับการเป็นศัตรูเบอร์หนึ่งของสไปเดอร์แมน "เวน่อม" เขาคือศัตรูคนเดียวที่คนดูไม่ชอบอย่างไงในตอนเริ่ม ก็จะไม่ชอบอย่างงั้นไปจนถึงตอนจบ แต่ถ้าเป็นเรื่องในการแสดงของโทเฟอร์ ผมชอบเขานะ ดูโฉดดี / "โธมัส เฮเดน เชิร์ช" ... มนุษย์ทราย "แซนด์แมน" ที่ทำชั่วลงไป เพราะความรักลูกตัวเดียว เชิร์ชสะท้อนความเป็นคนดีที่เกิดมาในสถานภาพต้องร้ายได้น่าเห็นใจ ถึงแม้มันจะมีอะไรมาให้ขัดใจในช่วงท้าย แต่ก็พอให้อภัยได้(เหมือนที่หนังต้องการให้ปีเตอร์ ทำเป็นแบบอย่างให้คนดู) / "ไบรซ์ ดัลลาส ฮาวเวิร์ด" ... ดูแห้งแล้ง(บทบาท)มากไปหน่อย กับการเข้ามาเป็นมือที่สามของ "เกว็น สเตซี่" แต่เพราะเรื่องนี้ ไบรซ์ ดูสวยกว่าเรื่องก่อนๆ ก็เลยดีที่มีอะไรให้ดูเพลินตาเจริญใจกับไม้ประดับช่อนี้ / "โรซแมรี่ แฮริส" ... ทำให้ผมต้องน้ำตาตกในทุกฉากที่มี "ป้าเมย์" และหลานปีเตอร์อยู่ร่วมกันบนจอ / "เจ.เค. ซิมมอนส์" ... ตัวขโมยซีนคู่รักคู่แค้นสไปดี้ "เจ.เจ. เจมสัน" ยังคงเรียกเสียงหัวเราะดังสนั่นในทุกทีที่เขาปรากฏ แม้บทหนัง (ที่เขาร่วมเขียน) จะทำออกมาได้ด้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่เรื่องของงานกำกับ "แซม ไรมี่" ไม่ปล่อยปละละเลยให้กลายเป็นที่ติฉิน(ยิ่งไปกว่านี้) ...เขาควบคุมงานสเกลใหญ่ได้อยู่มือเช่นเคย ซ้ำยังกำใจคนดูไว้ในอุ้งมือ ที่บีบก็ตาย ให้คลายก็ไม่รอด ไปจากเรื่องราวชวนอินที่เขานำเสนอให้คนดูได้สนอง "Spider-Man 3" ... มันอาจจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่าที่คิด แต่ก็มีอะไรให้ประทับใจอยู่นิดๆในบทสรุปของทุกสิ่งทุกอย่างที่จบลงอย่างสวยงาม และปลายเปิดของมันก็แทบไม่จำเป็นที่ต้องมีภาคต่อไป จะยังดีเสียกว่ากระมั้ง ...เป็นหนึ่งหนังซัมเมอร์ฟอร์มยักษ์ ที่น่าจะให้ความคุ้มค่าคุ้มสตางค์ได้ ถ้าคุณตัดความคาดหวัง ปล่อยใจไปตามสบาย แล้วตีตั๋วเข้าโรงหนัง พร้อมกันกับทุกคนในครอบครัว ขอแนะนำ ...ครับเกรด A- ...{ }หมายเหตุ : "ไตรภาค Spider-Man" ... ความชอบตามลำดับของผม คือ...ภาค 2 ...การต่อสู้บนหลังคารถไฟระหว่างสไปดี้ และด๊อกอ๊อค โคตรอมตะฉากบู๊คลาสสิคอันดับ 1 ของหนังตระกูลซูเปอร์ฮีโร่ ภาค 3 ภาค 1 ...โรแมนติกที่สุดของสไปดี้ กับเอ็ม.เจ.ต้องยกให้ฉากจูบดูดดื่มกลางสายฝนไปเลยขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 07 พฤษภาคม 2550
Last Update : 7 พฤษภาคม 2550 0:23:42 น.
13 comments
Counter : 8653 Pageviews.
โดย: nanoguy วันที่: 7 พฤษภาคม 2550 เวลา:4:44:09 น.
โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 7 พฤษภาคม 2550 เวลา:9:30:16 น.
โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 7 พฤษภาคม 2550 เวลา:9:31:52 น.
โดย: โสมรัศมี วันที่: 7 พฤษภาคม 2550 เวลา:10:21:08 น.
โดย: lordoflife วันที่: 7 พฤษภาคม 2550 เวลา:14:31:45 น.
โดย: -lvl๐๐*lvl'๐๐- IP: 222.123.116.162 วันที่: 7 พฤษภาคม 2550 เวลา:18:37:50 น.
โดย: anight IP: 202.142.200.252 วันที่: 8 พฤษภาคม 2550 เวลา:10:22:13 น.
โดย: ... IP: 58.8.186.185 วันที่: 12 พฤษภาคม 2550 เวลา:16:39:07 น.
โดย: เห้เพ้ IP: 110.168.154.77 วันที่: 28 กรกฎาคม 2555 เวลา:11:36:11 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30 31
ไปดูมาแล้วชอบม๊กๆๆๆๆมากเลยขอบอก..
อยากไปดูอีกแต่ว่าแพงอะ..รอโหลดเก็บไว้ดูอีกที่..
แต่ขอบอกว่า เสียใจน้ำตาซึมที่แฮรี่ ตายอะ..แง๊ๆๆๆ