"Stardust" ... ความรักรายรอบดวงดาว แพรวพราวสกาวยิ่งกว่าแสงใด

มองแบบผิวเผิน วัดจากหน้าหนัง "Stardust" ก็ดูเป็นหนังแฟนตาซีที่สุดแสนจะธรรมด๊า ธรรมดา ไม่ได้น่าดูมากไปกว่า การเป็นหนังรวมดาวที่ได้นักแสดงมีชื่อดอดมาร่วมแจมด้วย ...ซึ่งอาจพอให้ความบันเทิงจากการแสดงของพวกเขาได้อยู่ หากแต่ก็มองกันไม่ค่อยชัดเจน ว่าตัวหนังจะดี จะสนุกอย่างที่หนังตัวอย่างพยายามทำการล่อใจได้อย่างจืดชืด
แล้วถ้าถามว่ามีใครบ้างที่รู้จักว่า Stardust เคยเป็นหนังสือมาก่อน จะมีสักกี่คนเชียวที่รู้ความนี้ ...แล้วกับคำโปรยที่ว่าสร้างมาจากนิยายขายดี มันก็ไม่ได้สร้างความสนใจให้ผมได้มากสักเท่าไหร่ อย่างที่ The Lord of the Rings หรือจะ Narnia ก็ยังดูจะมีชื่อเล็ดลอดเข้าหูผมมาก่อนจะได้รู้จักฉบับหนังกันบ้าง
ความที่ให้รู้สึกจะอยากดู มันก่อขึ้นมาก็ตอนที่คำวิจารณ์โดยรวมๆของแทบทุกคนยันว่า เป็นหนังที่ดูเพลินๆ เอาสนุกได้ดี... แล้วกับโดยส่วนตัวที่เคยได้ดูงานชิ้นก่อนของ "แมทธิว วอห์น" ใน "Layer Cake" ก็ถือว่าสนุกดี ถึงแม้มันจะดูเหมือนเป็นการลอกสไตล์ กาย ริชชี่ ยังไงๆอยู่ก็ตามที (และที่สำคัญ ก็ต้องขอบคุณหนังเรื่องนี้ด้วย ที่ช่วยผลักดัน พี่แดเนียล เครก ได้กลายเป็น เจมส์ บอนด์ คนใหม่ ที่โคตรๆเท่ห์ได้ใจอย่างแรง)

"Stardust" ... มีพลอตย่อยหลักๆ 3 อย่าง ที่นำมาเล่ารวมๆโดยมีดวงดาวที่ชื่อ "อีฟเว่น" เป็นตัวกลางของเรื่องราวทั้งหมด

หนึ่ง... ไอ้หนุ่มหมาวัด "ทริสตัน" มีความหวังลมๆแล้งๆ จะเด็ดดอกฟ้าสวยเลิศ "วิคตอเรีย" ให้ลงมาจากปลายกิ่งด้วยเจตนาอันใสซื่อบริสุทธิ์ ...เมื่อมีดาวดวงหนึ่งได้ตกลงมาจากฟากฟ้า เขาก็ได้ให้คำมั่นสัญญากับสาวเจ้าเอาไว้ ว่าเขาจะไปเดินทางด้วยใจมุ่งมั่น ไปเก็บเอาดาวดวงนั้นให้เธอได้เชยชมแต่เพียงผู้เดียว ...แต่ ทริสตัน หารู้ไม่ว่า การตกของดาวดวงนี้ จะมีอันทำให้ชีวิตของเขานับตั้งแต่เดินข้ามกำแพงต้องเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันเหมือนเดิม

สอง... กษัตริย์วัยชราง้ำเงอะแห่งนครสตรอมโฮลด์ (ที่อยู่ในอีกฟากฝั่งหลังกำแพงที่ทริสตันข้ามมา) มีอันจะต้องเสียชีวิตอยู่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว หากแต่พระองค์ก็ยังไม่ได้ตกลงปลงใจจะเลือกใครมาครองราชย์ต่อจากกัน แล้วด้วยความที่ลูกชาย (ที่ยังหลงเหลือชีวิตอยู่ 4 จาก 7 คน) ก็ไม่มีใครที่จะเอาไหนให้ไว้ใจอะไรได้เลยสักคน จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ พระองค์ต้องการจะพิสูจน์หาใครสักคนที่น่าจะดีที่สุด สำหรับตำแหน่งที่ลูกๆทุกคนหมายปอง(และพากันแก่งแย่งแบบที่ไม่รู้จักคำว่าพี่และน้อง)

สาม... สามพี่น้องแม่มดจอมร่าย(มนต์)และร่าน(ชีวิต) มีจุดประสงค์คิดเห็นร่วมกันอย่างหนึ่ง ถึงความพึงพอใจในรูปโฉมอันสะสวยแต่หัวจดเท้า ที่พวกเธอหวังจะคงไว้แบบเป็นอมตะ... เมื่อเธอได้เห็นภาพของดวงดาวที่ตกร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ถึงเวลาต้องกลับมาสวย เลิศ เชิด หยิ่ง อีกครั้งหนึ่งของพวกเธอแล้ว ..."ลาเมีย" สมาชิกน้องนุชสุดท้องเลยขันอาสา จะไปหมายปลิดเอาดาวดวงนี้มาประทังชีวิตให้พวกๆเธอได้เอามารักษาความสะพรั่งให้คงอยู่กับเธอไปอีกนานนับร้อยปี
อีฟเว่น... เธอ คือ ดวงดาวที่ ทริสตัน หมายปอง(จะเอามาให้คนที่เขารัก) , เธอ คือ คนกลางที่จะไกล่เกลี่ยให้ใครคนใดคนหนึ่งเหมาะสมได้ตำแหน่งกษัตริย์แห่งสตรอมโฮลด์ไป และเธอ ก็คือ สิ่งมีชีวิตที่ลาเมียจะต้องไล่ล่าด้วยทุกวิธีการอันสกปรกเพื่อความปรารถนาที่จะกลับมาสาวได้เป็นความจริง ...เธอ คือ เจ้าของชื่อหนัง "Stardust" และก็คือตัวละครสำคัญที่จะทำให้เราคนดูได้ลึกซึ้งกับคำว่า ความรัก อันแสนงดงาม ซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่บนโลกใบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริงเป็นอันขาด

เรื่องราวของ "Stardust" ยังคงสไตล์แบบว่าโลกเบี้ยวเฉกเช่นกับงานเรื่องก่อนของ แมทธิว วอห์น ที่สร้างความโยงใยยุ่งเหยิงให้เกิดขึ้นกับคนหมู่หนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างก็มีจุดมุ่งหมาย พฤติกรรม และการกระทำของตัวเองที่แตกต่างกันออกไป ...ถ้า Layer Cake เป็นความยุ่งเหยิงบิดเบี้ยวในโลกความจริง แห่งแวดวงอาชญากรรม และการค้ายา Stardust ก็ย่อมเป็นความยุ่งเหยิงในอีกรูปแบบของ วอห์น ที่คราวนี้เป็นการพยายามบิดโลกของนิยายและจินตนาการให้เบี้ยวออกไปจากความเป็นปกติแบบเดิมๆ
ด้วยการที่หน้าหนังพยายามทำตัวให้ดูธรรมดาเข้าไว้ ...คงรูปแบบเหมือนเป็นหนังแฟนตาซีอีกเรื่องที่สร้างขึ้นตามกระแส อภินิหารแห่งแหวน และตู้เสื้อผ้า เลยทำให้ผมพยายามไม่คาดหวังอะไรให้มันมากนัก (ถึงแม้โดยส่วนหนึ่งก็ได้หลงเชื่อคำโฆษณาว่าดีมาก่อนแล้ว) และคิดว่าถ้าสนุกสมคำร่ำลือจริงๆ นั่นก็ถือเป็น สิ่งที่เหนือจากความคาดหวังอีกทีหนึ่ง
(ที่คิดอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะโดยส่วนตัว ผมก็ไม่ถึงกับปลื้มการดูหนังแนวแฟนตาซีโบราณๆซะเท่าไหร่หรอก ...อย่างที่อยากจะดูจริงๆ มันก็มีน้อยมากๆจนจำไม่ได้ว่ามีเรื่องไหนบ้างซะงั้น ...และที่แน่ๆ ก็ไม่มี The Lord of the Rings (ภาคแรก) กับ Narnia รวมไว้ในกลุ่มหนังแฟนตาซีในสเปคของผม กลุ่มที่ว่านี้อีกเสียด้วยซ้ำ)

และแล้ว Stardust ก็ให้ผลลัพธ์ในแง่ที่ดีสมประโยคบอกเล่าที่สืบๆต่อกันมา ...สำหรับผม เป็นหนังที่สนุก ดูเอาเพลิน แฝงอารมณ์ไว้หลากหลายกำลังดี ทั้งยังเด็ดดวงกับการแสดงของทีมดาราชั้นเยี่ยม รุ่นใหม่ยันถึงวัยสูงอายุ

สนุก... ไปตามกลวิธีการเล่าแบบเบี้ยวๆ ของ แมทธิว วอห์น ที่ดัดแปลงมาใช้กับหนังแฟนตาซีได้เนียนๆ ...แถมยังเป็นการบิดรูปแบบธรรมเนียมเก่าๆที่หนังแนวนี้เขาไม่ทำกัน ได้เข้าท่า และดูมีสไตล์ที่แปลกใหม่เร่งเร้าใจดี ทั้งยังกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ น่าเบื่อแบบที่ Narnia เคยทำให้รู้สึกเซ็งอย่างรุนแรงที่เผลอคาดหวังไปเยอะ

เพลิน... จากตัวหนังสือและฝีปากกาของ "นีล ไกแมน" ที่เขาว่ากันว่า บรรเจิดสุดโต่งโดนใจวัยสะรุ่น ในทุกๆงานเขียน ...ก็อาจมีส่วนอย่างรุนแรง ให้เป็นอะไรที่เพลินมากๆสำหรับผม คนดูวัยขบเผาะที่ได้เห็นจินตนาการแบบหลุดจากโลก ในรูปแบบที่หลุดจากความเป็นโลกนิยายทั่วไปอีกทีหนึ่ง ...ไม่ว่าจะในแง่ของคาแรกเตอร์ตัวละครหลักๆที่มีลักษณะโดดเด่นแตกต่างในแต่ละผู้ หรือกระทั่งฉากในเรื่องต่างๆ ที่ดูจะแหวกและแปลกกว่าที่เคยเห็นมาจากหนังแฟนตาซีสร้างภาพโดยทั่วไป

อารมณ์หลายหลาก... ช่วงแรกๆ ก็ออกแนวจะเป็นละครไทยยังไงๆอยู่ ถัดมาอีกสิบนาทีได้ หนังก็เริ่มออกเดินทางไปสู่การพบผจญภัยที่อุดมปนด้วยความฮาจากคำพูด ความคิด และการกระทำของบรรดาเหล่าตัวละครสีสันจัดจ้าน ทั้งยังแอบโรแมนติกใส่กันระหว่างทางของคู่พระนางที่กัดกันไปกัดกันมาก็ลงเอยด้วยรักกันตามแบบแผน ...แต่ที่ผมชอบมากๆในแง่ของอารมณ์ตัวเรื่อง ก็คือ ฉากที่ดวงดาวกล่าวถึงความรักของมนุษย์บนโลก ที่ให้คำพูดเชิงประชดเสียดสีในนาทีแรก แล้วหักมุขจบลงด้วยมุมมองน่ารักๆในแง่บวกที่ทำให้เราต้องยิ้มทั้งน้ำตาในนาทีต่อมา
 
การแสดง... "แคลร์ เดนส์" ดูสวยแบบแปลกๆ (แบบไม่น่าจะเคยใช่ จูเลียตมาก่อนไงงั้น) แต่เธอก็มีเสน่ห์ที่น่ารักช่วยประคองจอเอาไว้ , "ชาร์ลี ค็อกส์" ยังดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่ แต่เขาก็เล่นดีใช้ได้กับการเป็นพระเอกครั้งแรก , "มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์" ร้ายจริตได้เนียนแถมยังแอบฮา แบบน่าจำประมาณเช่น Hairspray , "ปีเตอร์ โอ ทูล" ปู่แกโผล่มาสั้นๆ แต่ก็ขโมยซีนด้วยเสียงหัวเราะแบบเฮียได้ใจ , "โรเบิร์ต เดอ นีโร" โคตรฮาอย่างแรง และ เซอร์ไพรส์สุดโต่ง ที่ได้เห็นลุงแกกล้าจะเล่นเยี่ยงนี้
โดยรวมๆ แล้วใน 4 ข้อนี้ อาจทำให้ Stardust ดูเป็นหนังที่น่าพอใจมากๆ ได้อยู่ ...แต่ในแง่ความรู้สึกและประทับใจแล้ว ผมกลับเห็นว่า มันยังดูกั้กๆ และสร้างความเพลินได้ไม่สุด ตัวหนังยังขาดซึ่งความอิ่มเอมทั้งในแง่ของเรื่องราว (ตอนท้ายดูรวบรัดเกินไปหน่อย) และในแง่ของการบิวต์อารมณ์ ที่ยังดูมีช่องว่างจะเติมความอินเข้าไปได้อีกเป็นหย่อมๆ ...ถ้าหนังจัดการในส่วนนี้เพิ่มเข้าไปอีกสักหน่อยอย่างมีเหตุมีผลที่ลงตัว มันก็น่าจะทำให้โดยรวมๆ ของหนังจะเป็นที่น่าพอใจ และดูน่าจดจำ ชอบใจได้มากไปกว่านี้
"Stardust" ... 'ความรักรายรอบดวงดาว แพรวพราวสกาวยิ่งกว่าแสงใด' คือ นิยามหลักๆที่หนังแฟนตาซีเรื่องนี้พยายามจะบอกกับคนดู ในแง่ของความรู้สึก ยอมรับว่าโดน แต่ถ้าวัดจากความประทับใจ ก็เสียดายที่นิยามประโยคนี้ ยังไม่ดีพอจะได้เป็นอมตะอย่างที่มันน่าจะเป็นไป ...สุดท้ายก็เป็นเพียงหนังอีกเรื่องที่ผมชอบมากๆตอนที่อยู่ในโรง แต่เมื่อออกมาแล้ว ความรู้สึกก็เลือนสลายหายไปกลายเป็นหนังที่น่าพอใจ คุ้มค่า แต่ไม่ได้ปลาบปลื้มอะไรเป็นพิเศษ
เกรด B+ ... { }
ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน
ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 17 ตุลาคม 2550 |
Last Update : 17 ตุลาคม 2550 2:15:23 น. |
|
6 comments
|
Counter : 5837 Pageviews. |
 |
|
|