+-+ OncE UPoN'-'a MaN +-+ รักนะ.. คนอ่าน เข้ามาดู.. โดนใจ ออกไป.. อย่าลืมกัน
Summary for Best of the Year 2012 ..Please CLICK!!
"World Trade Center" ... บทเรียนราคาแพง ที่แลกได้กับ ความรักอันไม่สามารถประเมินค่า



เวลา 20.00 น. ของวันที่ 11 กันยายน ตามเวลาในไทย ... เวลานั้น ผมกำลังกลับบ้าน หลังจากเพิ่งไปส่งญาติขึ้นรถทัวร์ที่หมอชิต 2
เวลา 8.00 น. ของวันที่ 11 กันยายน ตามเวลาในอเมริกา ... เวลานั้น คือ ช่วงเช้าที่คนในนิวยอร์ก กำลังเดินทางไปทำงานกันอย่างพลุกพล่านเป็นเรื่องปกติ ทุกอย่างล้วนไม่สัญญาณใดๆที่จะบ่งบอกว่ากำลังเกิดอันตราย

เวลา 20.30 น. ของวันที่ 11 กันยายน ตามเวลาในไทย ... เวลานั้น ผมกำลังนั่งฟังข่าวทางวิทยุ ข่าวสุดท้ายที่วิทยุรายงาน เป็นข่าวด่วน ที่มีผู้สื่อข่าวรายงานว่า "ขณะนี้ ได้มีเครื่องบินลำหนึ่งพุ่งชนตึกเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์..." ผมถึงกับงง และก็คิดไปเองว่า มันกำลังเกิดขึ้นที่บ้านเราแหง
เวลา 8.30 น. ของวันที่ 11 กันยายน ตามเวลาในอเมริกา ... ตึกแรกใน 2 ตึกแฝดของ WTC ที่นิวยอร์ค โดนเครื่องบินพาณิชย์ลำหนึ่งชนเข้าอย่างจัง ไปที่ฉงนงงงันของคนทุกคนที่อยู่เบื้องล่างบนถนน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมเครื่องบินโดยสารถึงได้บินมั่วมาอยู่ท่ามกลางตึกสูงตระหง่านในเมืองนี้ได้ ?



พอผมกลับมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่ผมทำในคืนวันนั้น ก็คือ ... เปิดดูทีวี เปิดดูให้รู้ว่า เวิล์ดเทรดที่ว่านี้ ใช่เวิล์ดเทรดที่อยู่สี่แยกราชประสงค์หรือเปล่า? (ด้วยความที่ความรู้รอบตัวมีน้อยค่อนข้างมาก เลยไม่เคยรู้ว่าโลกใบนี้มีตึกเวิล์ดเทรดมากกว่า 1 แห่ง)

แม้ว่าเหตุการณ์นี้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นที่บ้านเราแต่ที่ผมเข้าใจแต่แรก ...แต่กับภาพที่เครื่องบินชนตึกที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ก็ทำให้คืนนั้นชีวิตของผมเป็นอันไม่ต้องหลับไม่นอน ตาสว่างถ่างดูความคืบหน้าที่เกิดขึ้นในนิวยอร์ค



ในขณะช่วงเวลาที่ผมกำลังจับตาดูฟรีทีวีในบ้านเราอย่างใจระทึก ...ขณะเวลาเดียวกันนั้นเอง "จอห์น แมคคัฟลิน" นายตำรวจยศจ่ากรมเจ้าท่านิวยอร์ค ได้พาลูกน้องอีกจำนวนหนึ่งรุดเข้าช่วยเหลือผู้คนที่ติดอยู่ในตึกเหนือ ของ WTC

ในช่วงเวลาที่ตึกเหนือที่เครื่องบินลำแรกพุ่งชนกำลังถล่มลงมา ...ขณะเวลาเดียวกันนั้นเอง นายตำรวจที่กำลังจะเข้าไปสู่ตึกเหนือ ก็ได้รับการแจ้งเตือนให้รีบออกจากที่เกิดเหตุโดยด่วน

เพียงแต่มันก็เป็นการแจ้งที่ช้าเกินไปสำหรับพวกเขาทุกคน ...ตึกเหนือที่ถล่มลงมา ได้ทับร่างผู้คนให้อยู่ภายใต้ซากปรักหักพังนั้นเรียบร้อยแล้ว รวมทั้ง จอห์น และลูกน้องทั้งหมดของเขาด้วย

World Trade Center ... เป็นเรื่องราวของการเอาตัวรอด การมีชีวิตอยู่เพื่อรอคอยความหวังสุดท้ายในชีวิต ของ สองนายตำรวจกรมเจ้าท่า "จอห์น แมคคัฟลิน" และ "วิล จีมีโน่" ...คนทั้งสองต่างก็ต้องพึ่งพาซึ่งอึกคนให้ช่วยประคับประคองชีวิตที่เหมือนตายทั้งเป็นภายใต้ซากตึกที่ถมทับร่างของทั้งคู่ ...

จอห์นและวิล ร่วมกันใช้เวลาที่ดูจะเป็นเสี้ยวสุดท้ายของคนทั้งคู่ หมดไปกับการแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตของแต่ละคน ...โดยมีเรื่องของ "ครอบครัว" เป็นประเด็นหลักที่คนทั้งคู่นำมาปรับทุกข์เล่าสุขซึ่งกันและกัน



ชีวิตครอบครัวของจอห์น กำลังอยู่ในช่วงที่ง่อนแง่น เป็นไปตามนิยามของคำว่า ยามแรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน พอนานไปก็จืดชืดไร้รสชาติ... ความรักระหว่างเขากับ "ดอนน่า" ที่ล่วงเลยมาเป็นเวลากว่า 20 ปี ดูเหินห่างมากขึ้นมาตลอดถึงแม้ว่าคนทั้งคู่จะยังนอนบนเตียงเดียวกัน ในขณะที่ความรับผิดชอบของทั้งคู่ที่มีต่อลูกๆไม่เคยเปลี่ยนไป แต่กับความรับผิดชอบในความรักของเขาและเธอต่างก็เปลี่ยนแปลงในทางที่น้อยลง

ส่วนชีวิตครอบครัวของวิล ก็ยังคงมีซึ่งความรักความห่วงใยที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเพราะวันเวลาที่มากขึ้น ...มาจนกระทั่งถึงในวันที่ "อัลลิสัน" กำลังอุ้มท้องอุ้มรักคนที่สองอยู่นั้น วิลก็ยังเป็นสามีคนเดิมและคุณพ่อคนเก่าที่เฝ้าทะนุถนอมต่อความรับผิดชอบที่เขามีให้ทั้งกับแม่และลูก

ในช่วงเวลาวิกฤตชีวิตที่คนทั้งคู่ต้องฟันฝ่ามันไป เผชิญหน้ากับมัจจุราชที่พร้อมจะกระชากวิญญาณออกไปได้ทุกเมื่อที่ออกซิเจนมีอยู่เพียงบางเบา ...คนทั้งคู่ต่างก็ยังหลงเหลือภารกิจที่พวกเขาต้องการจะทำเพื่อครอบครัวของพวกเขา การได้กลับบ้านคือสิ่งแรกที่พวกเขาต้องการมากที่สุดในเสี้ยวนาทีนี้



"World Trade Center" เป็นผลงานหนังที่หวังจะคืนฟอร์มดีของ ผู้กำกับ "โอลิเวอร์ สโตน" ...หลังจากที่สองปีก่อนไปเพิ่งเผลอพลาดพลั้งกับหนังเอพิคตำนานน่ารู้(ที่แสนจะน่าเบื่อของคนดู) "Alexander"

ด้วยความที่รอยแผลยังคงไม่จางหายไปจากใจของคนอเมริกัน กับช่วงเวลาที่ห่างกันไปไม่ทันจะนานระหว่างเรื่องจริงและเรื่องสร้าง เป็นเหตุใหญ่ให้การระลึกความหลังที่แสนเศร้าในเหตุการณ์ 9/11 แบบฉบับของภาพยนตร์นั้น กลายเป็นโปรแกรมบันเทิงที่คนดูหนังส่วนใหญ่เลือกที่จะละทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ... จึงไม่ต้องแปลกใจไปว่าทำไม WTC ในฮอลลีวู้ดถึงได้เป็นหนังฟอร์มใหญ่ที่เข้าข่ายไม่ประสบความสำเร็จอีกเรื่องของปีนี้ (ในกรณีนี้แป้กแบบนี้ ยังต้องรวมไปถึงหนังดีสุดยอด United 93 อีกหนึ่งด้วย)

แต่สำหรับผมแล้ว เรื่องของช่วงเวลาไม่ใช่ประเด็นใหญ่ที่จะต้องตำหนิ แล้วกับการสร้างหนังจากเรื่องจริงสักเรื่องหนึ่งนั้น ...ถ้าผู้สร้างผู้กำกับกล้าที่จะทำด้วย "ความตั้งใจจริง" และ "ความปรารถนาดี" แล้ว หนังเรื่องนั้นย่อมถูกที่ถูกเวลาที่คิดจะสร้างออกมาได้อยู่เสมอ



WTC ของผกก.สโตน ถือว่ามีครบทั้ง "ความตั้งใจจริง" และ "ความปรารถนาดี" ...ในช่วงเวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ ที่ผมหมดไปในโรงหนังกับการได้ดูเรื่องที่เคยเกิดบึ้นจริงเรื่องนี้ นับว่าคุ้มค่า พอที่จะพูดออกมาได้เต็มปากว่า นี่คือหนัง 9/11 ที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง

หนัง 9/11 เรื่องนี้ มีความประณีตในรายละเอียดของเหตุการณ์ ที่เล่าเรื่องฉากต่อฉากได้อย่างไม่มีสะดุดในอารมณ์ ...ช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงแรกเริ่มใน WTC ถือเป็นช่วงนาทีทองที่สามารถกระทบอารมณ์ความรู้สึกของคนดูได้อย่างไม่ประนีประนอมอ้อมค้อมหัวใจ ตั้งแต่การเปิดฉากด้วยภาพความสงบเรียบร้อยของมหานครนิวยอร์คในอารมณ์ที่นิ่งๆราบลื่น แล้วไปจนถึงช่วงนาทีที่ตึกเหนือกำลังถล่มลงมาด้วยความระทึกใจและกดดันสุดกู่จนขนลุก ...นี่คือช่วงเวลาที่สัมผัสได้ถึง ความตั้งใจ ที่ผกก.สโตนใส่ลงไปอย่างจริงจัง

30 นาทีแรก ของ World Trade Center เรื่องนี้ ต้องถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด และก็สร้างความประทับใจให้กับคนดูได้อย่างไม่ยากเย็นเลยทีเดียว ...แต่ก็คงต้องบอกกันตามตรงเลยว่า หลังจากนาทีสุดท้ายนั้นได้หมดลงไปแล้ว WTC ก็เหลือแต่ซึ่ง ความดีที่ไม่มีอะไรให้ประทับใจอีกต่อไป...



ช่วงเวลาที่เหลือ หนังหมดลงไปกับการตัดสลับ เรื่องราว 3 ส่วนที่หลอมรวมเป็นเนื้อเรื่องของหนัง ...การเล่าเรื่องประคองชีวิตของจอห์น วิล , ความหวังลมๆแล้งๆของดอนน่า อัลลิสัน กับผู้คนในครอบครัวทั้งสอง และ การทำตามประสงค์พระผู้เป็นเจ้าของอดีตนาวิกโยธินที่ลุยเข้าไปช่วยเหลือชีวิตเบื้องล่างของซากตึกเวิล์ดเทรด เป็นพลอตสามส่วนที่หนังเดินเรื่องควบไปด้วยกันได้อย่างลงตัว มีการตัดต่อที่ถูกจังหวะ และรักษาความต่อเนื่องได้อย่างแนบเนียน กับความรู้สึกของผมก็พอจะยอมรับได้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ล้วนแต่ดูดีไปเสียหมด ...เพียงแต่มันก็ยังมีข้อแม้อยู่อย่างที่ผมรู้สึกไม่ถึงความโดนใจของหนังที่พยายาม ซึ่งมันก็คือความรู้สึกของ ความอืดเอื่อยเรียบเรื่อยเชื่องช้า ที่หนังจงใจแสดงออกมาอย่างเด่นชัดจนเกินไป ...WTC ยังไม่สามารถจับใจคนดูให้นั่งติดเก้าอี้และติดตามความคืบหน้าของหนัง ได้อย่างที่หนัง 9/11 เรื่อง United 93 เคยทำเอาไว้

ซึ่งจะว่าไปมันก็น่าแปลกใจอยู่ ทั้งๆที่ WTC เรื่องนี้ทำให้ผมตาสว่างไม่มีอาการง่วงเลยแม้สักครั้ง ส่วนหนัง 9/11 เรื่องก่อนหน้าซึ่งอืดเอื่อยเหมือนกัน ต้องทำให้ผมหาวหวอดๆอยู่หลายห้วงหลายที ...แปลกแต่จริงที่ความรู้สึกผมกลับ เลือกจะชูมือให้เรื่องก่อนหน้าชนะไปอย่างใสสะอาด



แม้งานกำกับ ของสโตนในครั้งนี้ สามารถที่จะเรียกศักยภาพผู้กำกับหนังคุณภาพคืนมาได้ก็จริงอยู่ แต่ในความรู้สึกของผม งานของเขาชิ้นนี้นั้นก็ยังไม่มีคุณภาพมากพอที่จะกุมหัวใจคนดูไว้ได้อย่างเต็มหมัดเต็มมือ ...ในช่วงเวลาขณะที่กำลังอยู่ในโรงของผม อาจจะถือเป็นช่วงเวลาดีๆที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง แต่หลังจากนั้น ในตอนที่ผมออกมาจากโรงหนังมาแล้ว ส่วนของความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่หนังปรารถนาดีจะมอบให้ กลับไม่ได้ค้างคาติดตัวออกไปด้วย

ในส่วนของการแสดง ของ 4 ดาราคุณภาพนั้น ต้องถือว่า ต่างก็ทำหน้าที่ได้สมน้ำสมเนื้อกันทุกคน ...แต่ถ้าได้พินิจพิเคราะห์ในรายละเอียดของบทบาทแล้ว น้ำหนักความประทับใจจำเป็นต้องเทไปให้ฝ่ายหญิงมากกว่า



ไม่มีข้อโต้เถียงที่จะพูดว่า นิโคลัส เคจ และไมเคิล พีน่า สามารถเล่นเป็นคนหมดหวังได้อย่างน่าสงสารและน่าลุ้น แต่ยังไงก็ตาม บทบาทของผู้ชายสองคนนี้ก็ยังทำให้อินได้ไม่มากเท่าการแสดงของ "ดอนน่า" และ "อัลลิสัน" ...ตัวละครภรรยาที่ มาเรีย เบลโล่ และ แม็กกี้ จิลเลนฮาล สวมทับนั้นดูมีตัวตนที่จริงยิ่งกว่า ตัวละครสามีของพวกเธอ ...เบลโล่ แสดงความนิ่งในกิริยาท่าทาง แต่ใช้สายตาบอกออกมาได้ถึงความรู้สึกที่เจ็บปวดลึกๆ ...จิลเลนฮาล แสดงซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดอย่างบ้าคลั่ง เก็บไว้ไม่อยู่เมื่อรู้ว่าสามีของเธอเป็นอีกคนที่อาจจะสังเวยให้กับการถล่มของตึกคู่นั้น เธอทั้งสอง ทำให้คนดูรู้สึกเจ็บปวดไปพร้อมกับการรับรู้ที่ต้องคอยเอาใจช่วยให้พวกเธอสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาชีวิตอันเลวร้ายนั้นไปให้ได้

"World Trade Center" ... เสียดายในความยิ่งใหญ่ของเรื่องราว เสียดายในจุดมุ่งหมายที่หนังต้องการเสนอ และเสียดายในความสมบูรณ์แบบที่หนังเกือบจะทำได้ ...แม้ผมจะไม่ผิดหวัง ที่ได้เสียเงินเพื่อดูภาพเหตุการณ์จำลองบนจอสี่เหลี่ยมของโรงภาพยนตร์ในครั้งนี้ แต่กับความรู้สึกประทับใจที่ผมแอบหวัง ยังไม่ทำให้รู้สึกต้องจดจำ ได้เหมือนหรือเทียบเท่าที่เราเคยเห็นภาพจริงๆบนจอสี่เหลี่ยมของทีวีในคืนวันนั้น เมื่อ 5 ปีที่แล้ว

ดู{ดี} วิธ มายเซลฟ์ :
1. 30 นาทีแรกที่เป็นสุดยอดของการตรึงอารมณ์
2. การดำเนินเรื่องตัดสลับที่ทำออกมาได้ลงตัว
3. การแสดงของสองดาราหญิงที่อินอย่างเข้าถึง

ดู{ด้อย} วิธ มายเซลฟ์ :
1. ความอืดเอื่อย ที่ทำออกมาอย่างเด่นชัดจนรู้สึกได้

เกรด B+

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ




Create Date : 05 ตุลาคม 2549
Last Update : 5 ตุลาคม 2549 0:12:41 น. 1 comments
Counter : 2190 Pageviews.

 
เรื่องนี้อยากดูมากมาย แต่กลัวว่ามันจะหดหู่เลยไม่กล้าไปดู แต่จริงๆ อยากดูมากๆ เลย เพราะว่าจะไปดูแม็กกี้ จิลเลนฮาล เธอเล่นได้สุดยอดทุกเรื่อง ติดใจมากมาย


โดย: Moonlight Mile วันที่: 6 ตุลาคม 2549 เวลา:21:06:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

OncE UPoN'-'a MaN
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์

คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี
พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ
พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา
พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!)

ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว

ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ

once_upon.a.man@hotmail.com


My @ http://twitter.com/once_upon_a_man

ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่าน

ผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย

ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ

OncE UPoN'-'a MaN on Facebook
Blog ใหม่ล่าสด..สด
"VieTrio & Friends" ... เพื่อนร้อง พี่น้องเล่น เป็นเพลงเพราะเสนาะหู
"Lady Antebellum : Need You Now" ... ลูกทุ่งแบบมะกัน แต่สีสันระดับโลก
"The Social Network" ... วันนี้ คุณรู้จัก Facebook ดีพอแล้วหรือยัง?
"Harry Potter and the Deathly Hallows : Part I" ... ฉันต้องเปิด เพื่อจะปิด!
"Scrubb : Kid" ... คำตอบของเพลงอินดี้ที่ฟังง่าย อยู่ในอัลบั้มนี้แล้ว
"Due Date" ... รวมกันเราต้องอยู่ (กรุณา)อย่าทิ้งตูเป็นอันขาด!!?
"B.o.B. Presents: The Adventures of Bobby Ray" ... อาจเป็นฮิปฮอปหน้าใหม่ แต่ไม่ขอยึดติดความฮิป
"RED" ... โตอย่างสมวัย แก่อย่างมีคุณภาพ และจงระห่ำอย่างไม่เหลืออะไรจะเสีย!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... (หนังสั้น)แบบตัวเต็ม ที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็ยังมีความจริงใจ!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... กับตัวอย่างน้ำจิ้ม ของหนังสั้นที่คงจะมีอะไรๆอยู่ในนั้น
"อินทรีแดง" ... สมศักดิ์ศรีที่ได้กลับมา ..วีรบุรุษที่หนังไทยต้องการ!
"ชั่วฟ้าดินสลาย" ... เมื่อคำ “รัก” มีค่าเท่าคำว่า “ร้าย” คงทำลายคนทั้งหลายให้วายวอด
"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
"Lula : Twist" ... เพลงฟังชวนเพลิน จากคนเพลินๆ ที่ชื่อ 'ลุลา'
"Piranha 3D" ... กัดกระจุย เลือดกระจาย สามมิติกระเจิง!!!
"CHARICE" ... เพชรน้ำงามเม็ดเล็กแห่ง ‘เอเชีย’ ที่คู่ควรกับการเจียระไนโดย ‘อเมริกา’
"กวน มึน โฮ" ... ความรัก อาจแพ้บ้างอะไรบ้าง แต่ ความ ‘เห็นแก่ตัว’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง!
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
5 ตุลาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add OncE UPoN'-'a MaN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.