The Road ... เมื่อโลกสิ้นสลาย คนอย่างเราก็ควรสิ้นใจตาย..หรือไม่?
ประกาศ...ประกาศ!! ผมมี Twitter เป็นของตัวเองแล้วนะครับ.. ใครสนใจจะ follow ผม ก็ขอชวน follow เข้ามากันที่.. //twitter.com/once_upon_a_man มีอะไรไวว่อง อยากจะบอก อยากจะพูด จะรีบมาอัพเดทที่ทวีตทันทีทันใดเลยนะครับ ..ขอขอบคุณที่รับผมเป็นเพื่อนครับ หลังจากที่เราเพิ่งได้รับชมภาพการล่มสลายของโลก ผ่านมุมมองของผู้กำกับที่เป็นเจ้าพ่อหนังวันโลกแตก ไปแล้วเรียบร้อย ..ก็ได้เวลาที่เราจะเปลี่ยนบรรยากาศ จากการดูตึกถล่ม แผ่นดินทลาย มารับชมในท้องเรื่องและเหตุการณ์หลังจากนั้นที่ทุกอย่างได้สงบ ..แต่ทุกๆสิ่งไม่ได้กลับคืนสู่ภาวะปกติ (เช่นที่หนังโลกแตกเรื่องอื่นๆเขาพึงกระทำ)The Road ..เล่าเรื่องราวหลังเกิดเหตุ นิวเคลียร์ล้างโลก (สงกะสัย จะคุมเกาหลีเหนือ กะตะวันออกกลาง ไม่อยู่ หรือเปล่า ก็ไม่รู้ เหอะๆ) ..ซึ่งทุกสิ่งได้สิ้นสลายอับปางลงไป มีแต่ฟ้ามืดมิดอยู่เบื้องบน ผืนดินอันแห้งผาก ต้นไม้ที่ตายทั้งยืน ให้แทบไม่เหลือสิ่งมีชีวิตอื่นใดอาศัยมีลมหายใจอยู่ได้ นอกไปจากมนุษย์อีกเพียงหยิบมือหนึ่ง ซึ่งรอดพ้นมาได้ แต่ต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป เหมือนว่าตายทั้งเป็น สองในหยิบมือหนึ่งที่เหลือรอด ได้ปรากฏเป็นพ่อลูกคู่หนึ่ง.. พวกเขามีความปรารถนาหมายมุ่งจะเดินผ่านซากของความล่มสลายเหล่านี้ เพื่อไปพบกับสถานที่ ที่ยัง(น่าจะ)เหลือรอดความหวัง อันอยู่ทางตอนใต้ของอเมริกา แต่ในระหว่างทางที่เขาเดินไปนั้น ...มันไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะสามารถประคับประคองชีวิตตัวเองให้มีความสุขกับสิ่งที่กระทำไปเพื่อความหวัง ในเมื่อคนคู่นี้ ต่างก็ยังต้องหวาดระแวงมนุษย์ด้วยกันเอง ...มนุษย์ที่เวลานี้ ไม่รู้ดีรู้ชั่วอะไรอีกต่อไปแล้ว รู้เพียงอย่างเดียวว่า ข้าต้องเป็นผู้รอดตาย (และนั่นก็ทำให้มนุษย์ กลายเป็น ซอมบี้ ดีๆ ในหนังเรื่องนี้นี่เอง) The Road มีที่มาจากนวนิยายของนักเขียนชั้นนำอีกคนในยุคนี้อย่าง คอร์แม็ก แม็กคาร์ธี่ ผู้ที่มีส่วนสำคัญกับการให้กำเนิด หนังออสการ์ปี 2007 อย่าง No Country for Old Men ..และก็ด้วยความที่มันได้รับการชื่นชมจากบรรดาเหล่าหนอนหนังสือ ว่านี่คือ หนังสือแห่งศตวรรษอีกเล่มที่ควรค่าแก่การได้อ่าน มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่เกินคาดเดา หากเราจะได้เห็นมันถูกนำมาพัฒนาให้กลายเป็นหนังฉายโรง ด้วยเรื่องราวที่หม่นมืด แทบสิ้นหวัง อันแสดงออกมาอย่างเต็มไปด้วยความหยาบโลนของคนด้วยกัน .. The Road จึงไม่ได้เป็นหนังบอกเล่าเหตุการณ์โลกแตกทั่วๆไป ที่เน้นขายความหวือหวาของภาพ อลังการไปด้วยงานเทคนิค ..แต่เลือกที่จะใช้บรรยากาศ แบบดิบๆ อันเวิ้งว้าง แสดงความน่ากลัวของมันออกมาอย่างถึงจริงเป็นที่สุด ผู้กำกับ จอห์น ฮิลโค้ด ถือว่า แน่มาก สำหรับการทำให้คนดูรู้สึกใจสลาย ไปพร้อมๆกับการต้องทนเห็นโลกใหม่ ที่แทบไม่เหลือเค้าความน่าอยู่อีกต่อไป... แม้ว่าเหตุการณ์นั้นมันจะยังมาไม่ถึง (หรืออาจไม่มี ..ก็หลอกตัวเองกันไป) แต่ถ้าให้คิดถึงในวันที่เรามีสภาพอยู่ในความวังเวงอย่างนั้นแล้ว มันก็ชวนให้เราคิดอยากฆ่าตัวตายได้ทุกเวลาเหมือนกัน (ต่อให้รักชีวิต ก็ดูไม่มีเหตุผลต้องทนอยู่ เพื่อจะต้องเฝ้ารอความตายอันทรมานทรกรรมในสักวัน) The Road สามารถเอาคนดูได้อยู่ ในส่วนของการสร้างบรรยากาศชวนหลอน และการทำให้คนดูรู้สึกอยากตายอย่างค่อยเป็นค่อยไป.. แม้จะไม่มีฉากใดๆที่พยายามชี้นำ กดดัน ให้เราต้องเลือกความตาย แต่เรื่องราวในหนังก็ทำให้เราอยากจะสิ้นหวัง ได้อย่างเต็มประดา อย่างไรก็ตาม ถึงหนังจะแลดูให้มองเห็นเพียงความสิ้นหวัง ..แต่สองตัวละครหลัก ที่ต้องแบกภาระอันทุกข์ยาก(และหนังทั้งเรื่อง)เอาไว้บนบ่าของพวกเขา ก็ยังเป็นแสงสว่างน้อยๆ รำไรๆ ที่ทำให้เราได้รู้สึกถึงความอบอุ่น ในโลกที่แสนหนาวเหน็บ และเปลี่ยวเหงา ความสัมพันธ์อันตัดไม่ขาดของคู่พ่อลูก (ที่เราไม่รู้จักชื่อ) ได้ทำให้เรารู้สึกถึงแก่นสารอันแท้จริงที่ The Road ต้องการบอกกล่าว ..นี่ไม่ใช่หนังที่ต้องการให้เราเรียนรู้และเตรียมตัวรับมือ หาก(เหตุการณ์วันโลกสลาย)มันต้องเกิดขึ้น แต่มันคือหนังที่พยายามจะทำให้เราได้รู้จักศรัทธากับการมีความหวัง ดังเช่น ที่(ตัวละคร)พ่อ พยายามพร่ำสอนลูกในหลายๆครั้ง หลายๆหน ว่าจงทำแต่สิ่งดี ..จงเก็บแสงสว่างในจิตใจเอาไว้ให้มิดชิด อย่าได้คิดเบี่ยงเบนไปทำเรื่องชั่วๆ (เช่น ที่คนยังกินคนกันเองได้) ..นี่คือ แก่นของการศรัทธาความดี ที่ทำให้เกิดความหวัง ...หวังว่าความดี จะทำให้คนที่เลือกปฏิบัติได้อยู่รอดแต่ถึงกระนั้นแล้ว The Road ก็ใช่ว่าจะสอนสั่งแต่ในเรื่องของความศรัทธาไปอย่างพร่ำเพรื่อ ..หากก็ยังมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ในการกระทำของพ่อ ที่บางสิ่งบางอย่างมันช่างดูเหมือนสิ่งที่ไม่ใช่คนเขาพึงกระทำกัน แม้ปากจะบอกจะหวังอยากให้ลูกเลือกทำแต่สิ่งที่ดีสำหรับตัวเอง.. แต่ตัวของพ่อเองกลับแสดงออกซึ่งสภาวะทางจิตที่ดูจะตรงกันข้าม ไปพร้อมๆกับอิริยาบถที่เต็มประดาไปด้วยความรังเกียจในมนุษย์ด้วยกัน ..หวาดระแวง ไหวหวั่น ไม่วางใจ และไม่เชื่อว่า ใครก็ตามที่เขาได้เจอ จะเป็นคนดี เหมือนที่เขาเชื่อว่าตัวเองเป็นความขัดแย้งในจุดนี้ มันได้ทำให้ The Road กลายเป็นหนังที่บั่นทอนจิตใจคนดู ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ..ไม่ใช่แค่หลอนไปกับภาพที่น่าหวั่นเกรงเพียงอย่างเดียว หากคิดตามสิ่งที่ตัวละคร พ่อ เลือกกระทำแล้ว ก็ยิ่งจะสั่นคลอน เมื่อรู้สึกได้ถึงความล่มสลายของจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ แม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ พ่อ ทำ จะบ่งบอกได้ถึงการปกป้องลูกให้พ้นทางจากความอันตราย และบางเรื่องเหล่านั้น มันก็ดูจะเถียงไม่ออกจริงๆ(ด้วยตรรกะ และเหตุผล) ลองให้เชื่อว่าถ้าเป็นเรา เราก็คงเลือกที่จะทำ ...แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้ มันทำแล้วเท่ากับเป็นการไม่ศรัทธา ความเป็นมนุษย์ ..แล้ว คนอย่างเรา สมควรจะมีความหวัง อยากมีชีวิตอยู่รอดต่อไป ได้จริงๆหรือ? นี่เป็นคำถามปลายเปิดที่ The Road อาจไม่กล้าถามกับคนดูตรงๆด้วยลมปาก ..แต่มันจะทำให้เรารู้สึกได้เองว่าเราควรจะต้องตอบคำถามนี้ หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ ซึ่งไม่ว่าสุดท้าย เราจะคิดว่า สมควร หรือไม่สมควร มีเหตุผล หรือไม่มี ก็ตามแต่ ..ที่สุดแล้วหนังเรื่องนี้ ก็คือ ข้อพิสูจน์อย่างหนึ่ง ที่อาจทำให้เราได้พบว่า ความคิดของเรา ยังหลงเหลือความเป็นมนุษย์ อยู่มากน้อยขนาดไหน แม้จะต้องยอมรับว่า The Road เป็นหนังที่ทำออกมาดี (โดยเฉพาะบรรยากาศ ..สร้างอารมณ์ร่วมได้ยอดเยี่ยม!) และยังสามารถตั้งคำถามที่ดี ให้คนดูเกิดการขบคิดจนเวียนหัวได้.. แต่โดยส่วนตัวแล้ว ยังไม่รู้สึกประทับจิตประทับใจไปกับมันได้อย่างเต็มที่ เพราะแอบขัดใจ ในความไม่ลงตัวของหนัง พอสมควร ..แบ่งเป็นข้อๆ ได้คือ 1) หนังดูหนืดเกินไป ทำให้หลายครั้ง ผมมีหาวหวอดๆ ..อีกกระทั่งเพื่อนร่วมโรงบางคนก็พาลหลับใหล และมีถึงขั้นบางคนออกจากโรงไปเลยก็มี (พอดีคนที่ว่าดันนั่งใกล้ๆกัน ได้ยินเลยว่า นี่มันหนังดีจริงๆเหรอ อยากจะบอกนะว่ามันดี แต่ก็เห็นด้วยว่าน่าเบื่อ -_-') 2) การตัดต่อ การเฟดภาพ หลายๆฉาก รู้สึกไม่กลืนกัน ให้ความไม่ต่อเนื่อง พาลสะดุดอยู่หลายๆครั้ง ..อีกกระทั่งบางฉาก ก็ดูใส่เข้ามาแล้วเวิ่นเว้อ มากกว่าจะรับใช้เรื่องราวได้ 3) ถึงจะต้องยอมรับว่า การแสดงของ วิกโก้ มอร์เทนเซ่น ยังคงทำหน้าที่ได้ดี เหมาะแก่การเข้าตาของกรรมการออสการ์ได้อีก ..แต่ส่วนตัว กลับรู้สึกว่ามันยังดีไม่พอสำหรับจะทำให้ผมอิน และอยากเชื่อในสิ่งที่เขาแสดงได้สนิทใจ ...แม้บางอารมณ์ จะเห็นใจบ้าง (อันนี้ บทที่ดีมันส่ง) แต่หลายครั้ง ก็ดูจะเอาใจช่วยได้ไม่เต็มที่สักเท่าไหร่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ผมคนเดียวหรือเปล่า ที่ดูหนัง(ที่เขาว่าเด็ด)ของ วิกโก้ แล้ว ยังไม่เคยยอมรับว่าเขาเป็นคนๆนั้นในเรื่องได้หมดใจ ..และก็ยังไม่เชิงยอมรับด้วยว่า เขาคือ ดาราคุณภาพตัวพ่อ อีกคนหนึ่งของวงการ ซึ่งอย่างใน The Road เรื่องนี้ ..ผมกลับจะรู้สึกประทับใจในการแสดงของลูกชาย (โคดี้ สมิธ-แม๊กฟี ) มากกว่าด้วยซ้ำ ทั้งๆที่จะว่าไปน้องคนนี้เขาก็ไม่ได้ขโมยซีนอะไรเลยหรอก ...แต่ตัวพ่อก็ไม่ได้โดดเด่นอย่างที่(บท)ควรจะให้เป็นจริงๆThe Road ... หลังจากเคยได้ดูวันโลกแตกมาก็เยอะแล้ว ก็ควรจะถึงแก่เวลารับชมหนังหลังวันโลกแตกกันบ้าง ..ซึ่งแม้โดยส่วนตัว จะรู้สึกอั้นๆ ไม่สุดทางไปกับตัวหนังซะทีเดียวก็เถอะ แต่ก็ขอบอกเลยว่า นี่คือ หนังดี ที่น่าให้ความสนใจ ไม่ควรจะมองข้ามไปเลยจริงๆ ยิ่งถ้าอยากรู้ว่าคุณจะใจแข็งพอ ยอมอยู่ในโลกที่ล่มสลายได้หรือไม่? ..หนังเรื่องนี้ คงให้คำตอบกับคุณได้ เกรด A- ... { } -> ขอแนะนำ ...ฉายเฉพาะที่ "โรงหนังในเครือ SF" ครับ ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date : 17 ธันวาคม 2552
Last Update : 17 ธันวาคม 2552 11:22:39 น.
2 comments
Counter : 1947 Pageviews.
โดย: POGGHI วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:2:18:31 น.
โดย: ในซอกหลืบ แห่งขุนเขา IP: 125.27.58.83 วันที่: 19 ธันวาคม 2552 เวลา:8:37:00 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
อ่านแล้ว มีส่วนที่ติมากกว่าพี่ แต่ให้ A-
ส่วนพี่ไม่ติอะไรมาก แต่ให้แค่ B+ ฮ่าๆๆๆๆ
ฮี่ๆๆ กดเกรดจังเรา
..