Harry Potter and the Half-Blood Prince ... ถึง(ผม)จะเป็นแฟน(หนังสือ) ..ก็ทำแทนไม่ได้!!
ทบทวนกันก่อนกับรีวิวภาค 5 ..ตามมาอ่านกันได้ที่นี่..."Harry Potter and the Order of the Phoenix" ... จากหนังสือหนาหนักไม่หนุก เป็นหนังโรงหนุกหนักหนา จากปีหนึ่ง ที่แต่งตัวเรียบร้อย ทุกกระเบียดอยู่ในระเบียบอันดีที่กฎเกณฑ์เขากำหนดมา และปีสอง ที่โตขึ้นอีกนิดหน่อย แต่ก็ยังเคารพความดีงามของกฎเกณฑ์เช่นเดิม ...หากแต่ ในสายตาของใครบางคน ก็ยังมองว่า มันเงอะงะ งุ่มง่าม และดูเฉยจนเกินไป เมื่อโตมาสู่ปีสาม ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ..เมื่อกฎเริ่มถูกละเมิด ความเป็นผู้ใหญ่เริ่มเข้าแทรกแบบเล็กๆอย่างพองาม ...แม้จะดูมีสีสันเกิดขึ้น มีความหวือหวากันบ้าง แต่กับตัวผู้คุมกฎ ก็ย่อมไม่เกิดความพอใจแหงซะ ยิ่งอยู่มาถึงครึ่งทางในปีที่สี่ ...กับการเปลี่ยนแปลงที่ดูเฟี้ยวฟ้าว และแกร่งกล้าขึ้นกว่าก่อนๆ ก็ยิ่งจะทำให้คนที่เคยศรัทธาในความดีงาม กลายเป็นคนอื่นที่ไม่อยากหยิบยื่นความชอบให้ ..เพียงแต่ถึงอย่างไร ความผูกพัน ก็ยังทำให้เขายังเลือกที่จะตามติดดูพัฒนาการของมันต่อไปในที่สุด ที่พูดมานี้ ผมคงจะหมายถึงสิ่งอื่นใดไปไม่ได้ นอกเสียจากสิ่งนั้นต้องคือ คนๆหนึ่ง ผู้มีสถานะเป็นนักเรียนโรงเรียดพ่อมด แม่มด และเวทย์มนต์ศาสตร์ ฮอกวอตส์ คนดังคับ(ทั้งสอง)โลก ซึ่งมีชื่อเสียงเรียงนามว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์ และดังที่ว่ามาถึงประวัติของเขาผู้นี้ ในสี่ปีแรก ที่เยื้อย่างเข้ามาสู่ ฮอกวอตส์ พร้อมกับการเป็นที่รู้จักของคอหนังทั้ง โลก(มักเกิ้ล) แห่งนี้ ..นี่ก็คือ เรื่องราวช่วงเวลาหนึ่งในวัยก่อนเข้าแรกรุ่น ของเด็กผู้ชายคนนี้ ที่เคยสามารถสร้างปรากฎการณ์บนแผ่นฟิล์มมาแล้วได้ตั้งมากมายหลายรูปแบบหลากเหตุการณ์ ...แต่ถึงจะเป็นแค่ช่วงๆหนึ่ง แต่ช่วงๆนั้น มันก็สามารถพิสูจน์อะไรต่อมิอะไรได้หลายอย่าง เกี่ยวกับเรื่องราวที่ว่าด้วย ความพึงพอใจ ของมักเกิ้ล ซึ่งโดยหลักๆ มันจะสามารถแบ่งออกมาได้ 2 รูปแบบ รูปแบบที่ 1 ..หากใครพึงพอใจ ในภาคแรก และภาคสอง ...นั่นเท่ากับว่า คุณเป็นแฟนพันธุ์แท้ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตัวยง ตั้งแต่เมื่อครั้งมันยังเป็นตัวอักษรในหนังสือ ..เรียกได้ว่า คุณร้ายกาจมาก ที่สามารถเก็บแทบจะทุกรายละเอียดของหนังสือมาจำ แล้วจดใส่ไว้ในใจ ให้ต้องกำหนดนึกเสมอ เมื่อในเวลาที่ได้มาดูมันตอนเป็นหนัง ...หนังต้องให้เราได้ทุกอย่าง เช่นที่หนังสือเคยให้ไว้ จงอย่าริผิดเพี้ยน!รูปแบบที่ 2 .. หากใครพึงพอใจ ในภาคสาม และภาคสี่ ...ย่อมหมายความว่า คุณอาจไม่จำเป็นต้องเป็นแฟน แฮร์รี่ พอตเตอร์ มาแต่เมื่อครั้งหนังสือก็ได้ ..หากเพียงถ้าคุณจะดูหนังในโรง เพราะอยากดูเอาสนุกเอาเพลิน แล้วปล่อยตัวปล่อยใจไปตามที่หนังมันจะนำพาไปสุดแล้วแต่ที่มันจะทำได้ ..ก็ถือว่า คุณไม่ได้ซีเรียส ว่าจะต้องได้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปซะทั้งหมด ล้วนแล้วขึ้นอยู่กับว่าตัวหนังเองจะทำให้คุณชอบหรือไม่ชอบได้ก็เท่านั้น! การแบ่งแฟน แฮร์รี่ พอตเตอร์ ออกเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจน ระหว่าง แฟนหนังสือที่ถูกใจเป็นพิเศษกับการได้เห็นภาพจินตนาการอย่างครบครัน กับแฟนหนังที่ชอบใจกับการได้สนุกในแบบที่ตัวของมันเป็นไปตามบท ..ย่อมพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า ในบรรดาหนังที่สร้างจากนวนิยายทั้งหลายแหล่ (โดยเฉพาะบรรดาพวกที่ขายดีติดอันดับท็อปฮิตทั่วทั้งโลก) เหมือนจะไม่เคยมีเรื่องไหนที่แน่พอจะสามารถรวมกลุ่มทั้งสองเอาไว้ในจำพวกเดียวกันได้เลย เอากระทั่งกับ The Lord of the Rings ที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงส่งบนเวทีรางวัลใหญ่คับฟ้า เช่น ออสการ์ ..ก็ยังคงมีแฟนหนังสือบางคนไม่พอใจ ที่นำหนังสือที่รักและเป็นอมตะ มาบั่นทอน ขนาดว่าจะเอาลุงตุ๊กตาทอง มาเป็นประกันช่วย ..ก็ยังไม่พ้นข้อกล่าวหาที่ระคนไปด้วยความผิดหวังจากแฟนพันธุ์แท้ ได้เสียอยู่ดี ฉะนั้นแล้ว ถ้าคนสร้างหนัง ริจะเอานิยายขายดี มาเล่าบนแผ่นฟิล์ม ..สิ่งหนึ่งที่ต้องเตรียมใจรับเอาไว้ให้ดีแต่แรกเลย ก็คือ เสียงต่อว่าต่อขานของคนอ่านที่คลั่งไคล้ในตัวหนังสืออย่างมาก ..หากไปขัดใจอะไรนิดๆหน่อยๆ ก็ต้องโดนอยู่ดี แล้วด้วยเหตุฉะนี้ กับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่มีสาวกมากมายเรือนแสนเรือนล้านมากมายหมายจะได้เห็นภาพในฝัน เป็นความจริงจนเนื้อตัวสั่นแล้ว ...หากความจริงที่สร้างขึ้นมา กล้าที่จะไปบิดเบือนความฝันของพวกเขาให้เสียรูป ผลตอบรับที่ได้กลับมาย่อมดูรุนแรงยิ่งกว่าเรื่องไหนๆ ..และนั่นก็เลยทำให้ หนังชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ ไม่ใคร่จะทำให้แฟนพันธุ์แท้ ชอบใจได้ง่ายๆเลย นับตั้งแต่ที่ภาคสามของผู้กำกับ อัลฟองโซ่ คัวรอน ริทำตัวแนว แตกแถวไปจากตัวหนังสือมิใช่น้อยๆ แต่กับบรรดาคนที่อยู่ในฝั่งของคนดูหนังเอาเพลินกันจริงๆแล้ว ..ตั้งแต่ภาคสามเป็นต้นมาเช่นกัน ก็ล้วนแต่รู้สึกว่า ยิ่งจำนวนภาคเยอะขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกดีกับหนังชุดนี้มากขึ้น ดูได้อย่างภาคที่ 5 กับ ภาคีนกฟินิกซ์ ..ที่เป็นการเข้ามาใหม่ ของผู้กำกับคนที่ 4 เดวิด เยตส์ ...แม้ว่าก่อนหน้าเขาจะเป็นใคร มาจากไหน ไม่มีใครใคร่รู้ แต่พอได้ดูกับผลงานด้วยตา เขาก็กลายเป็นที่ยอมรับของคอหนังได้อย่างไม่ยากเย็น ..อีกยังจะทำให้หนังชุดนี้ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นกว่าภาคก่อนๆเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็ด้วยผลงานที่เข้าตากรรมการอย่างจังจากภาคก่อนนั่นแล ..มันเลยพลอยทำให้ เดวิด เยตส์ เกิดงานเข้าอย่างจริง เพราะตัวหนังสองภาคสุดท้ายที่เหลืออยู่ ก็คือ ผลงานการกำกับชิ้นถัดไปของเขานั่นเอง เรียกได้ว่า ถ้างานนี้ ไม่ได้เกิดจาก แฮร์รี่ พอตเตอร์ จริงๆจังๆ ..ก็คงจะหาโอกาสดีๆที่ชวนให้เกิดมากกว่านี้ คงไม่ได้อีกแล้วซะละมั้ง เพราะฉะนั้น สองภาคสุดท้าย จึงเหมือนเป็นการพิสูจน์ ความจริงจังของ เดวิด เยตส์ กับบทบาทของผู้กำกับหนัง ที่ไม่ใช่แฟนหนังสือมาตั้งแต่ต้น ...ซึ่งเขาจำเป็นต้องทำให้แฟน แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็ตามที) เชื่อใจให้ได้ว่า เขาเหมาะสมแล้วที่จะกำกับหนังเรื่องนี้ ..โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเรียกร้องผู้กำกับระดับแถวหน้าที่มีชื่อเสียง มานั่งแท่นเสมอไป เพียงแต่กับผลลัพธ์ของภาคที่ 6 ที่ได้ออกสู่สายตาชาวมักเกิ้ลมาเป็นอันเรียบร้อยแล้ว ใน Harry Potter and the Half-Blood Prince ...มันก็ยังคงเป็นที่ฉงนสนเท่ห์ สำหรับคอหนังสือตัวจริงอยู่ดี ที่รู้สึกได้ว่า ภาคนี้ มันโหวงกว่าที่น่าจะเป็นเสียมากมาย อย่าว่าแต่กับคนที่ช่างจำจดเลย ..กระทั่งส่วนตัวผม ที่เป็นแฟนมาตั้งแต่ตอนยังเป็นตัวหนังสือ ก็ยังรู้สึกได้รับความกระทบกระเทือนใจ ที่ฉากบางฉากที่น่าจะมี มันได้สูญสลายหายไป ประเด็นบางเรื่องที่ควรจะเน้น ก็เล่าออกมาอย่างเบาบาง กระทั่งกับภาพจินตนาการที่เคยคิดไว้เสียอลังการ ก็แปรกลายมาเป็นอากาศธาตุในที่สุดจนได้ คือ ถ้าถามว่า ผิดหวังมั้ย? ..ก็คงพูดได้ว่า ผิดหวังแหงๆ ...แต่นั่นมันก็คือ ตัวผมที่อยู่ในสถานะของแฟนหนังสือคนหนึ่ง หากแต่ถ้าถามว่า ยังชอบอะไรบ้างมั้ย? แล้วละก็ ...ผมก็พูดได้เลยไม่ลำบาก ว่า ผมชอบหนังตอนนี้มากๆ และยังจะมากที่สุดในบรรดา ชุดมหากาพย์พ่อมดน้อยสายฟ้าฟาด อีกด้วยนะนั่น เพราะถ้าผมเอาตัวเองวางเอาไว้ในสถานะของคอหนัง ที่พึงประสงค์ต้องการความบันเทิงเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว ... เจ้าชายเลือดผสม สามารถให้ผมได้เต็มอิ่ม ..และทำให้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ที่ดูยาวนานของคนบางคน มีความหมายที่น่าพึงใจอย่างเพียงพอสำหรับผม จนไม่ยากจะลืมซึ่งสิ่งอันใดที่เป็นความผิดหวังเล็กๆน้อยๆ ไปได้เลย หลังจากภาค 5 ที่นำพา แฮร์รี่ พอตเตอร์ และผองเพื่อน(รวมถึงคนดู) ก้าวเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว (ในโลกที่เต็มไปด้วย ..การเมือง!!!) ..มาในภาค 6 นี้ ผู้กำกับเยตส์ ก็ยังคงสถานะความเป็นผู้ใหญ่เอาไว้ได้ในหนังภาคล่าสุด (แม้ว่าจะลดความรุนแรงให้กลายเป็นหนังเรต PG ก็ตามทีเถอะ) ..ที่ยังคงความหม่นมืดอลตระการสร้างสภาพแวดล้อมรอบข้างตัวละครที่ไม่น่าไว้วางใจ และบิวต์อารมณ์ให้ เรารู้สึกได้ว่า ฮอกวอตส์ ไม่ใช่ที่ๆปลอดภัยที่สุดอีกต่อไป ซึ่งนั่นก็ทำได้ถึงจุดที่ต้องเป็น ดังเช่นในหนังสือ กับปลายปากกาของ เจ.เค. โรว์ลิ่ง สามารถ... ผู้กำกับเยตส์ ได้ผสมผสานเนื้อภาพที่เน้นโทนมืดครึ้ม ฉากหน้าที่ดำทะมึน และมุมกล้องที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกอย่างจับต้องได้ ให้รวมกันออกมาเป็น งานศิลปะบนจอหนังที่สวยงามจับใจ ..จนยากจะปฏิเสธไม่ชื่นชมใน sense ของผู้กำกับคนนี้จริงๆ ที่สามารถต่อยอดให้ภาพจินตนาการต่างๆนานา ในหนังสือ ออกมาดูเป็นงาน Art ที่น่าทึ่ง ขึ้นมาได้ ผมว่าผมเคยคิดว่าฉากนี้ต้องได้ประมาณนี้ จินตนาการเท่านั้นก็คงจะพอ ..หากแต่ ผู้กำกับ เยตส์ (ผู้ไม่ใช่แฟนหนังสือด้วยนะนั่น) ยังจะคิดเค้นภาพจริงๆ ออกมาได้เหนือชั้นกว่าผมเสียด้วยซ้ำ ยกตัวอย่าง ในฉากห้องต้องประสงค์ ..ที่ผมเคยคิด(ตามตัวหนังสือ)ว่า มันคงจะไม่เป็นระเบียบสักเท่าไหร่ ...หากเมื่อมันมาอยู่บนจอ พร้อมกับความไม่เป็นระเบียบอย่างที่เคยคิดไว้แล้ว ..เอาเข้าจริง ภาพสิ่งของหลายหลากที่วางกระจัดกระจาย ไม่เป็นเอกภาพเหล่านั้น กลับสามารถทำให้ผมรู้สึกขนลุก ไปพร้อมๆกับความยิ่งใหญ่โอฬารของห้องๆนี้ ..ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่ามันยังทำให้เกิดฉากที่โรแมนติกที่สุดในเรื่องนี้ ได้อีกด้วย!!? แม้ผมจะถือตัวว่าเป็นแฟนหนังสือด้วยก็จริง ..แต่ถ้าลองให้ไปทำหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเองแล้ว ก็แน่ใจว่าคงจะทำออกมาไม่ได้เท่านี้แน่ๆ คงต้องขอยกธงขาว สละไม้กายสิทธิ์ และยอมแพ้ให้กับคนที่ไม่ใช่แฟนหนังสืออย่างหมดรูป ด้วยประการฉะนี้อีกกระทั่งเมื่อมองตัวหนังในภาพรวมแล้วด้วยละก็ ..เจ้าชายเลือดผสม ก็ถือว่าทำออกมาได้ลงตัวเป็นที่สุด ..และดีกว่าภาคที่ผ่านๆมา ตรงที่หนังสามารถเล่าเรื่องต่างๆออกมาภายในเวลา 2 ชั่วโมงครึง ได้อย่างไหลลื่น แม้ว่า ฉากแอ๊คชั่น การประลองเวทย์ หรือกระทั่งความอลหม่านต่างๆในรั้วฮอกวอตส์ จะลดน้อยลงไปมาก ..แต่ภาค 6 ก็ยังได้อย่างอื่นที่ดีมาทดแทน ไม่ว่าจะเป็นส่วนของอารมณ์ขันที่มากขึ้นกว่าภาคก่อนของผู้กำกับเยตส์ (ที่มันไม่ค่อยผ่อนคลาย ตรงที่หลายอย่าง มันมาแบบตึงเกินไป) ซึ่งหยอดเข้ามาได้ในจังหวะที่ดี และได้ผล.. ความโรแมนติกที่แซมๆลงมา พร้อมฮอร์โมนวัยรุ่นที่คุกรุ่น อันทำให้เห็นถึงอีโมชั่นตามวัยที่ต้องเป็นไปเป็นเรื่องปกติ (อย่าว่าผมอคติเลย ..แต่ตรงนี้ หนังพ่อมดน้อย ทำได้ดีกว่า หนังแวมไพร์หล่อบางเรื่อง อย่างเห็นได้ชัด!!!) ..หรือจะเป็นฉากดรามา ที่ดูเข้มข้นขึ้น ที่เปิดช่องให้นักแสดง(ทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่)ได้ขับเคี่ยวฝีมือกันมากขึ้นก็ด้วย แต่กับคนที่เรียกว่า ภาคนี้มีพัฒนาการทางการแสดงที่น่าประทับใจ ก็คงต้องยกให้ ทอม เฟลตัน ได้รับเครดิตนี้ไป... หลังจากที่ภาคเก่าๆ เราเห็นแต่ด้านที่น่าจงเกลียดจงชังของเขามาตลอด มาภาคนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำให้เราต้องรู้สึกเห็นใจ ในชะตากรรมของ เดรโก มัลฟอย ..กับอีกมิติหนึ่งที่แอบซ่อนความอ่อนแอ และอ่อนไหว เอาไว้ในตัวเอง ที่ไม่เคยได้เปิดเผยให้เห็นมาก่อน ...ผมว่า เฟลตัน ทำออกมาได้ดีมาก จนชวนให้คนดูรู้สึกเชื่อในสิ่งที่เขาจำใจทำ ได้มากกว่าที่ในหนังสืออธิบายเอาไว้เสียด้วยซ้ำ ซึ่งแม้ว่า เพื่อนนักแสดงรอบข้างจะมีบทบาทที่เด่นกว่า ได้ออกจอนานกว่า... แต่ถ้าถามว่าใครได้ออกแล้ว แสดงประสิทธิภาพของตัวเองได้ดีที่สุด ..ผมว่า นายมัลฟอย นี่แหละ ที่เด็ดขาดจริงๆ จากที่ตอนแรก ก่อนจะดูภาคนี้ ..ก็คิดแต่ว่า "ศาสตราจารย์ซลักฮอร์น" ผู้มาใหม่ คงแย่งซีนอย่างเมามันส์แน่ๆ (หนังสือก็อุตส่าห์พยายามทำให้ดูเด่น ดูเพี้ยน ซะขนาดนั้น) ... แต่เอาเข้าจริงแล้ว ระดับอังกฤษรุ่นใหญ่ตัวพ่ออย่าง จิม บรอดเบนต์ ก็ยังต้องแพ้ รุ่นใหม่ไฟแรงสูง อย่าง เฟลตัน เสียซะอย่างงั้นแต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าบางคนจะยังไม่เด่นได้ใจ ..หากก็ยังจัดว่าน่ายินดีที่หนังในภาคนี้ เฉลี่ยบทบาทของแต่ละคาแรกเตอร์ได้กำลังดี และผู้กำกับเยตส์ ก็กำกับนักแสดงของเขาได้เด็ดขาด ...ถึงอาจจะยังจำใจต้องตัดตัวแปรสำคัญที่ภาคนี้ อันควรมี บางตัวออกไป แต่เอาเท่าที่มีในหนัง ก็ถือว่า ไม่มีใครที่ถูกทอดทิ้งจนเคว้งคว้าง เช่นที่ภาคก่อนเคยเป็นกับ "โช แชง" (แต่ก็ยังพอทำใจได้ ตรงที่ภาคนั้น ..คุณน้องที่แสดง โคตรจะหมองเลย)และอีกอย่างที่ถือว่าภาคนี้ ผู้กำกับเยตส์ ยังสามารถกลับลำแก้ตัวคืนได้สำเร็จ หลังจากที่ภาคที่แล้วทำไม่ได้ ..ก็คือ การทำให้ผมน้ำตาไหล ให้กับการจากไปของเขาคนนั้น แม้ส่วนตัวจะผิดหวังเป็นที่สุด ที่จะไม่ได้ดูฉากแอ๊คชั่นประทะเวทย์ในช่วงไคลแมกซ์ ที่ผมเคยจินตนาการเอาไว้ในใจ ว่ามันต้องสนุกมากๆ เมื่อขึ้นมาอยู่ในบนจอ ...แต่ถ้ามันทดแทนได้ด้วยฉากส่งวิญญาณ ที่ดูเรียบง่าย แต่มีความทรงพลัง แล้วละก็ ..ผมยอมจะอดใจไว้มันส์กับภาคสุดท้ายเลยก็ได้ ซึ่งในตอนนี้ ก็ทำได้แต่หวังไว้ว่า ..ปากคำของผู้กำกับ เยตส์ ที่ยืนยันอย่างหนักแน่น ว่าภาคหน้า (ที่แบ่งตอนออกเป็นครึ่งๆ ..เพื่อหวังผลในการเล่าเรื่องได้ครบครันมากขึ้น) ต้องสนุกกว่า และมันส์กว่าแน่ๆ ...จะเป็นการรับปากที่เกิดขึ้นได้จริง เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ...ถ้าให้ถามว่า ภาคไหนของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ในฉบับหนังสือ ถือว่าเป็นภาคที่ดีที่สุด ..ผมก็ได้ยกให้ภาค 7 เป็นที่สุดของที่สุดไปเสียแล้ว มันเป็นที่สุดของความสนุก ..ที่สุดของความระทึก ..ที่สุดของการคลี่คลายทุกปมปริศนา ...และที่สุดของ นวนิยายสักเรื่องสักเล่ม ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าการรอคอยจะเห็นจุดจบของทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นอะไรที่คุ้มค่า เพราะฉะนั้นแล้ว งานหนักในภาคหน้าของ เดวิด เยตส์ ไม่ใช่เพียงแค่การแบกรับความคาดหวังของแฟนๆพ่อมดน้อยทุกคน ทุกกลุ่มเหล่า บนโลกใบนี้ กับการรอที่จะได้เห็นตอนจบที่สมบูรณ์แบบเป็นที่สุด ...แต่มันยังต้องเป็นการพิสูจน์ให้ได้รู้กันไปว่า การได้มากำกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ไม่ใช่เพราะความโชคดี เท่านั้น ...หากยังต้องรวมถึงความจริงที่ว่า เขาคนนี้ มีฝีมือ ที่คู่ควร เหมาะสมกับมันแล้ว อีกหนึ่งภาค (สองตอน)ที่เหลือ ผมขอแค่ให้เอาหนักๆ จัดมาดู เพื่อจะให้รู้กันไปเลยว่า ...ถึง(ใคร)จะเป็นแฟน ก็ทำแทน(เขา)ไม่ได้!!Harry Potter and the Half-Blood Prince ..หากดูมันแบบคาดหวังว่าจะเหมือนหนังสือ ร้อยทั้งร้อยคงต้องผิดหวัง ...แต่ถ้าลองปล่อยความทรงจำกับทุกสิ่งที่เคยอยู่ในหนังสือ ให้ไหลลงไปสิงสู่ในเพนซิฟ กันสักประเดี๋ยว และเหลือพกพาเอาแต่ความรู้สึกที่อยากสนุกกับหนังสักเรื่องติดตัวไปอยู่ในโรง ..เชื่อผมเถอะว่า ภาคนี้ จะทำให้คุณเพลินไปกับมุมมองการเล่าเรื่องของหนัง ที่ครบครันทั้งความบันเทิง และคุณภาพในตัวของมันเอง แม้สุดท้าย อาจไม่จำเป็น ต้องจัดให้เป็นภาคที่ดีที่สุด เช่นที่ผมรู้สึก ...แต่ถึงอย่างไรแล้ว คุณก็ยังจะได้พึงพอใจกับ พ่อมดน้อยภาคนี้ ..จนทำให้อดใจไม่ไหว ที่จะอยากเห็นตอนจบที่สมบูรณ์แบบกันสักที ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ...ครับเกรด A ... { } ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date : 26 กรกฎาคม 2552
Last Update : 26 กรกฎาคม 2552 16:56:33 น.
10 comments
Counter : 4316 Pageviews.
โดย: เทมโบ้พี IP: 125.24.92.141 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:38:18 น.
โดย: ไอซ์คุง (ปีศาจความฝัน ) วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:42:13 น.
โดย: Neville IP: 117.47.79.157 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:49:03 น.
โดย: deawdai วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:52:12 น.
โดย: marukoman วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:19:25 น.
โดย: ไกลนั้น วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:44:09 น.
โดย: มิสเตอร์ฮอง วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:19:25 น.
โดย: Jeda IP: 203.157.48.252 วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:48:57 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 4 กันยายน 2552 เวลา:14:16:29 น.
โดย: wahamanz IP: 118.172.147.30 วันที่: 8 กันยายน 2552 เวลา:10:34:51 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30 31