"Bridge to Terabithia" ... จินตนาการคืออาวุธ มิตรภาพคือเกราะกำบัง
ผมก็เหมือนกับใครหลายๆคน ที่ได้เห็นตัวอย่างหนังก็ถึงปักใจเชื่อไปว่า มันจะออกๆแนว Narnia ที่ผจญภัย ไปเจอสัตว์ประหลาดมากมาย และต่อสู้เพื่อเอาชนะกับบางสิ่งบางอย่างที่มันชั่วร้าย ...ซึ่งถ้าไม่มีใครในเฉลิมไทย มาบอกกันก่อนว่า ที่เห็นมานั้น ไม่ใช่อย่างนั้นซะทั้งหมด ละก็ ผมก็อาจจะเหมือนอีกบางคนที่ต่างพากันผิดหวังในการเดินทางไป "เทราบิเทีย" เพราะสิ่งที่คาดหวังในการผจญภัยไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในหนังตัวเต็มเรื่องนี้ ถ้าเปรียบ "Bridge to Terabithia" เป็นขนม ... ความเป็นแฟนตาชี ก็เป็นเพียงแค่น้ำตาลเคลือบหน้าเพื่อทำให้ดูน่ากิน และมีสีสัน ส่วนที่เป็นรสชาติคือเนื้อขนมปัง อันคือ หนังดรามาเรื่องหนึ่ง ...ตัวอย่างหนังก็แค่นำเสนอคนดูให้หลงเชื่อ เป็นเสมือนการโฆษณาตามหลักการทั่วไปที่บอกผู้บริโภคไม่ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ 20 เปอร์เซ็นต์แรก ได้ถูกบอกเล่าผ่านความยาว 2 นาทีแซมเปิลๆ อีก 80 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ ก็คือสิ่งที่หนังปกปิดบดบังเอาไว้ไม่ยอมบอกเอาไว้ให้เราได้รู้ เพื่อที่จะชวนให้เรามาดูด้วยตาของตัวเอง ถ้าเรามอง Bridge to Terabithia ด้วยตา ...เราจะพบว่า หนังเรื่องนี้ จะเป็นหนังที่ทั้งเสียดายเวลา และเสียดายสตางค์ 80 เปอร์เซ็นต์ที่เราคาดหวัง ไม่ใช่อย่างที่คิดเอาไว้เลยส่วนที่ว่ากันด้วยแฟนตาซี ทั้งหมด กลับเป็นเพียงแค่จินตนาการ ของพระเอกนางเอกที่สร้างขึ้นมาเพื่อจะหลีกหนีจากโลกความจริง ...เด็กๆทั้งสองคน ไม่ได้โหนเส้นเชือกข้ามลำธารเพื่อเข้าไป กอบกู้โลกเวทย์มนตร์ เหมือนอย่างที่หนังแนวนี้หลายๆเรื่องเป็น และบทสุดท้ายของหนัง ก็ไม่ได้หมายถึง ความสงบสุขของเทราบิเธีย จะคืนมา เมื่อความชั่วหมดไป มันไม่ใช่หนังที่ว่าด้วยเรื่องของธรรมะย่อมชนะอธรรม เหมือนที่หนังเด็กๆทั้งหลายต้องเป็นกันทุกที การมองด้วยตาเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้จิตใจของเราที่คะนึงคิดตามเป็นสุขได้ อย่างเช่นที่หนังเรื่องนี้ท้าทายให้เราได้(ตีตั๋ว)มอง ...มิเช่นนั้นแล้วก่อนที่คุณจะไปดูหนังเรื่องนี้ ขอจงให้ลืมทุกอย่างที่เคยเห็นมาในหนังตัวอย่าง ตัดความคาดคิดจากโฆษณาอันโจ๋งครึ้ม ที่บอกคุณสมบัติเป็น ผู้สร้างเดียวกับ Narnia ...ขอให้คุณปิดตาไม่นึกภาพเหล่านั้นอีก และเปิดใจเพื่อให้หนังได้ปรับความเข้าใจ ได้เล่าอะไรที่ปกปิดบดบังกันเอาไว้ ซึ่งถ้าเราได้มอง Bridge to Terabithia ด้วยหัวใจ ...แล้วเราจะพบว่า หนังเรื่องนี้ จะเป็นหนึ่งหนังดี ที่คำว่า เสียดาย ไม่มีมูลค่าอะไรจะพูดถึงหนังดรามาที่ว่าด้วยเรื่องของการข้ามพันวัย (Coming-of-Age) อีกเรื่องหนึ่ง 80 เปอร์เซ็นต์ที่ขาดหายไป จะถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกดีๆ แทนที่ ...ดีที่เราไม่คิดว่ามันจะต้องแฟนตาซีทั้งเรื่อง ดีที่เราได้อินไปกับตัวละคร และอยากให้สุดท้าย พระเอกได้เอาชนะความชั่วร้ายที่อยู่ในใจของเขาในท้ายที่สุด ขอย้ำอีกทีว่า การจะดู BTT ให้สนุกได้นั้น เราจำเป็นต้อง "Just close your eyes but keep your mind wide open" "Bridge to Terabithia" ...เป็นผลงานการกำกับ ของ "เกเบอร์ ซูโป" ผู้ที่เคยมีผลงานการ์ตูนบนจอทีวี อันโด่งดัง เป็นที่รู้จักของคนทั้งอเมริกา "The Simpsons" (ครอบครัวตัวสีเหลืองที่เตรียมยกทัพเพี้ยนมาบุกจอเงินในปีนี้) ...การข้ามพ้นมาทำหนังคนเป็นๆหนแรกของเขา ให้ผลลัพธ์ที่ดี เขาจับเรื่องที่เขาอยากจะเล่าได้แน่น ไม่วอกแวก ช่วงที่เป็นดรามา ก็สร้างอารมณ์บิวต์ให้อินตามสถานการณ์ และความรู้สึกของตัวละคร ในขณะที่ส่วนของแฟนตาซีที่มีเข้ามาประปราย พอช่วยเพิ่มสีสัน สร้างความตื่นเต้นได้พอทำเนา อารมณ์คอมเมดี้ที่แซมๆเข้ามา ก็นับว่าให้ความขำขัน และลดความตึงๆที่หนังออกจะซีเรียสไปได้บ้าง แต่ความรู้สึกในบางเวลาของผม ต่อหนัง มันก็ยังมีช่วงที่อินไม่ได้เต็มที่ ...ด้วยยังมีหลายตอนที่หนังยังขาดๆหายๆไป รู้สึกว่าเหตุผลบางอย่างมันยังหนักแน่นไม่มากพอจะทำให้เชื่อได้ (เช่น ตอนต้นหนังน่าจะปูพื้นเรื่องของเลสลี่ มากกว่านี้อีก จู่ๆก็มาปรากฏแบบไม่มีต้นสายปลายเหตุอย่างนี้ มันมีผลต่อความผูกพันของคนดู ...ซึ่งถ้าเกิด เลสลี่ ไม่ได้เสน่ห์ของคนแสดงมาช่วยเอาไว้แล้ว ฉากสำคัญของเธออาจไม่มีอะไรให้รู้สึกอินเลยก็เป็นไปได้) ถึงแม้ว่าหนังจะว่าด้วยเรื่องของจินตนาการเป็นส่วนหลักก็ตาม (คือ ให้เราคิดตามตัวละคร ให้เรารู้สึกร่วมไปด้วย) แต่ถ้าหนังจัดการความปะติดปะต่อได้ต่อเนื่องมากกว่านี้อีก มันน่าจะเพิ่มความเข้มข้นให้หนังเรื่องนี้ ไปถึงจุดที่ทำให้อิ่ม และประทับใจมากยิ่งขึ้น ... บทบาทของสองเด็กนักแสดงนำ สามารถตึงใจคนดูให้อยู่กับหนังได้ (แต่ผมยังอินกับการแสดงเป็น "เจส" ของ "จอช ฮัชเชอร์สัน" ได้ไม่เต็มที่ เพราะ เขายังมีความแข็งในบางช่วงที่ต้องแสดงออกถึงความสะเทือนใจ) กับการแสดงออกที่มีต่อกันของพวกเขา ถือว่ารับส่งกันได้เข้าที ...แต่ถ้าต้องให้ฟันธงลงเน้นถึงความชอบ ก็คงตัดสินไม่ลำบากที่จะเลือก "เลสลี่" ให้ชนะไปอย่างใสแจ๋ว เธอคือเสน่ห์ที่ทำให้ผมตรึงตาได้ตลอดเวลาที่เห็นเธอ น้องหนู "แอนนาโซเฟีย ร็อบบ์" ขโมยซีนได้ทุกทีที่เธอส่งยิ้ม และพูดจา ...ต่อม Lolicon ของผมต้องทำงานหนัก เมื่อเห็นหน้าเธออยู่บนจอ (ช่วงที่ไม่เห็นหน้าเธอแล้ว ทำให้ผมหมองหม่นลงไปในทันใด) ... บทหนัง คือ ส่วนสำคัญที่ทำให้ BTT ออกมาดูเป็นหนังดรามาสำหรับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่หนักแน่น มากกว่าจะเป็นหนังจากนิยายเด็กที่ยังคงมีเนื้อหาสวยงาม ...BTT มีแง่มุมของชีวิตที่จริงจัง และดูจะซีเรียสผ่านทางการแสดงออกของบุคคลรอบข้าง "เจส" ไม่ว่าจะเป็น... 1. เพื่อนๆ ที่คอยกลั่นแกล้ง รังแก เพราะเห็นเขาเป็นเพียงคนที่อ่อนแอ ไม่กล้าสู้คน 2. คุณครูสาวแก่ที่มองเขาในแง่ร้าย เพราะความไม่เอาใจใส่ในการเรียน สนใจแต่จะเขียนจะวาดภาพที่ดูจะไร้สาระในสายตาของคนอายุมาก 3. พ่อแม่ที่เอาใจใส่เขาน้อยกว่าพี่สาวและน้องสาว เพราะความเป็นลูกผู้ชายเพียงคนเดียว ภาพของ เจส ในตอนแรก มันจึงเป็นภาพของ เด็กผู้มีสถานะ Loser (ผู้พ่ายแพ้) เหมือนอีกหลายๆคนบนโลกความจริง ซึ่งก็เข้าข่าย อาจจะเป็นหนึ่งในสามข้อ/สองข้อ/หรือ ถูกทุกข้อ ก็ตามแต่ (ผมเองเคยเป็นในข้อ 1...แต่ทุกวันนี้ ก็กล้าสู้ จนยอมคนไม่เป็นไปซะแล้ว หุหุ) และเขาจะยังเป็น เจส คนเดิมอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เขายังคงเก็บตัว และเก็บกด ไม่พูดไม่จาไม่แสดงออกต่อคนบนโลกภายนอก ถึงความเป็นตัวเขาที่แท้จริงซึ่งไม่เคยได้แสดงตัวตนออกมา แต่แล้วเมื่อ "เลสลี่" ได้วิ่งเข้ามาในชีวิตเขา วิ่งเขามาทำความรู้จักด้วยการวิ่งแข่งขันกับ เจส (การวิ่งเป็นสิ่งเดียวที่ เจส สามารถเอาชนะเด็กทุกคนในโรงเรียนได้อย่างสะดวกสบาย) ...แต่การที่ เลสลี่ วิ่งชนะ เจส ได้ กลับกลายเป็นเหมือนการท้าทายที่พาลทำให้เจส ไม่ชอบเลสลี่ ทำให้เขาเกิดอคติว่า ในที่สุดเขาก็ยัง Loser อยู่วันยังค่ำ จนเมื่อ เลสลี่ ได้พยายามเปิดใจ จะพูดคุย จะชมเชย จะสนิทชิดเชื้อ ทำการกระเทาะใจแข็งๆของ เจส ออกมาทีละนิดๆ ...เจส ก็เริ่มมองเห็นความสวยงามของมิตรภาพจากคนที่เคยโดนท้าทาย เลสลี่ได้เปิดโลกใบใหม่ให้เขาได้รู้จักได้โดนทักทายกับคำว่า 'เพื่อน' ภาพของ เจส ในตอนนี้ ก็ได้กลับกลายเปลี่ยนแปลง เป็นคนใหม่ ...เลสลี่ ได้สอนให้เขา กล้าที่จะแสดงออกตัวตนของเขาออกมาทีละนิดๆ ทุกๆอย่างที่ทำให้กลายเป็น เจส คนใหม่ ถูกเริ่มต้นที่ เทราบิเทีย ...โลกอีกใบที่สอนให้เขารู้จักจะปิดตา และเปิดใจ เพื่อพบกับสิ่งดีๆ ที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เขากล้าจะเปิดตัวเอง เพื่อเตรียมพร้อมจะก้าวข้ามพ้นไปสู่โลกความเป็นจริง เทราบิเทีย ...ทำให้เขาได้เปิดใจใช้ความคับแค้นใจที่มีนำมาระบายผ่านการต่อสู้กับตัวประหลาดร้ายๆ ทั้งหลาย ที่เป็นตัวตายตัวแทน ของเพื่อนๆ ผู้คอยกลั่นแกล้ง รังแกเขาบนโลกเป็นจริงเทราบิเทีย ...ทำให้เขาได้ใช้ตัวตนที่มีแสดงออกผ่านศิลปะ การวาดภาพ ได้สร้างสรรค์ความเป็นตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่บนโลกความจริง เขาทำได้ไม่เต็มที่ เพราะมีคนมองว่าเขาไร้สาระกับสิ่งเหล่านี้เทราบิเทีย ...ทำให้เขาได้มีความรัก ได้มีคนที่สามารถเรียกว่า เพื่อน ได้เต็มปาก ได้เรียนรู้ว่า โลกใบนี้ไม่ได้มีเขาเพียงตัวคนเดียว ...เขายังมี เลสลี่ อีกคน ที่พร้อมจะเดินทางบนโลกทั้งสองใบ ไปกับเขา ไม่อ้างว้าง ไม่เดียวดาย เหมือนที่เขาเคยรู้สึก เมื่ออยู่กับคนอื่นๆ เทราบีเทีย ได้ทำให้เขารู้จักที่จะใช้ "จินตนาการ" เป็นเสมือน"อาวุธ" ต่อสู้ในเวลาที่เขาต้องเผชิญหน้ากับความชั่วร้าย ...ความชั่วร้ายที่เกิดมาจาก คนรอบข้าง หรือกระทั่งจากความคิดที่อยู่ในหัวของเขาเอง ทิฐิที่เขาไม่สามารถลดละได้เมื่ออยู่บนโลกความเป็นจริง และเทราบิเทีย ยังได้ทำให้เขารู้จักที่จะมี "มิตรภาพ" เป็นดัง "เกราะกำบัง" ช่วยป้องกันที่จะทำให้เขารู้สึกปลอดภัย และเลิกที่จะกลัวเกรงความเป็นจริง ...การได้รู้จักกับเลสลี่ ทำให้เจส มีความแข็งแรงในตัวตนของเขามากขึ้น เขากล้าจะสู้กับโลกภายนอกได้เพราะแรงบันดาลใจที่เลสลี่มีให้กับเขา เขากล้าที่จะตัดตัวเองออกจากบ่วงพันธนาการความทุกข์ เพราะ เลสลี่ช่วยให้เขามีความสุขทุกเวลาที่เขาได้โหนเชือกข้ามลำธาร ไปสู่อีกโลกหนึ่งซึ่งจะคอยป้องกันไม่ให้เขาต้องรู้สึกอ้างว้างอีกต่อไป "เทราบิเทีย" ไม่ใช่สถานที่ ที่มีไว้ให้ เจส และ เลสลี่ ได้จินตนาการ และก้าวข้ามโหนเชือกพ้นไปเท่านั้น ...พวกเราเอง ก็สามารถที่จะไปยังที่แห่งนั้นได้เหมือนกัน เพียงแค่ตัวเรามีจินตนาการ และรู้จักจะนำจินตนาการเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์ต่อตัวเรา ... เวลาที่เราทุกข์ใจ เราก็แค่นึกภาพว่า เรากำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาด ที่ชื่อว่า 'ความทุกข์' ...เราก็แค่จินตนาการหน้าตาของมัน จินตนาการว่าเรากำลังถือดาบกวัดแกว่งฉวัดเฉวียนต่อสู้กับมันด้วยความหาญกล้า และจินตนาการว่าสุดท้าย เราสามารถเอาชนะมันได้ในท้ายที่สุด ...แม้มันอาจจะยากเย็นที่คิดจินตนาการอยู่ไม่น้อย แต่มันจะไม่ยากเย็นอะไรอีกเลย เมื่อเรามีชัยเหนือ ความทุกข์ ที่เราสร้างขึ้นมา"Bridge to Terabithia" ... เพียงถ้าปิดตาตัดความคาดหวัง คาดคิดจากหนังตัวอย่าง และโฆษณาออกไปให้หมด และเปิดใจพร้อมรับกับสิ่งที่หนังต้องการนำเสนอ เราจะได้พบกับหนังดรามาดีๆ ที่มีอะไรให้วัยรุ่นอย่างเราๆ และวัยใหญ่อย่างพ่อๆแม่ๆ ได้ดู ได้เห็น และสัมผัสกับแง่มุมดีๆที่อยู่ในนั้น ...โลกใบนี้ที่ชื่อ เทราบิเทีย อาจจะไม่ได้ดีเลิศเลอเพอเฟกต์ถึงเป็นที่ประทับใจของผมอยู่ก็จริง แต่ เทราบิเทีย ของคุณ นั้นก็อาจจะแตกต่างในแง่ที่ดีกว่าผมก็เป็นได้ ขอเพียงถ้าคุณ "Just close your eyes but keep your mind wide open" เกรด B+ ...ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 30 มีนาคม 2550
Last Update : 30 มีนาคม 2550 0:21:35 น.
14 comments
Counter : 5991 Pageviews.
โดย: bua ja วันที่: 30 มีนาคม 2550 เวลา:1:46:23 น.
โดย: Kino (das Kino ) วันที่: 30 มีนาคม 2550 เวลา:11:22:35 น.
โดย: bb IP: 58.8.151.89 วันที่: 31 มีนาคม 2550 เวลา:5:20:04 น.
โดย: มือมาร (มือมาร ) วันที่: 31 มีนาคม 2550 เวลา:14:37:20 น.
โดย: mc IP: 124.120.71.131 วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:14:55:04 น.
โดย: ปกป้อง IP: 203.113.51.164 วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:0:04:27 น.
โดย: ปกป้อง IP: 203.113.51.164 วันที่: 29 พฤษภาคม 2550 เวลา:15:44:44 น.
โดย: Jabavok IP: 58.9.159.243 วันที่: 2 มิถุนายน 2550 เวลา:22:09:57 น.
โดย: ดาว IP: 203.102.255.222 วันที่: 10 ธันวาคม 2550 เวลา:5:46:29 น.
โดย: กอล์ฟ -8 IP: 222.123.62.195 วันที่: 16 ธันวาคม 2550 เวลา:4:03:43 น.
โดย: tonka IP: 119.42.77.155 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:13:45:08 น.
โดย: yok IP: 58.11.120.138 วันที่: 14 ตุลาคม 2555 เวลา:21:00:32 น.
โดย: nuke IP: 180.183.214.243 วันที่: 13 กันยายน 2557 เวลา:9:25:19 น.
โดย: notto IP: 223.204.34.183 วันที่: 22 พฤษภาคม 2562 เวลา:17:49:29 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30 31
"คุณค่าของหนัง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความคาดหวัง และกาลเวลา แต่อยู่ที่การเปิดใจ และความพร้อมของผู้ชม ..."
ชอบที่คุณสรุปมาก
"จินตนาการ" เป็นเสมือน "อาวุธ"
"มิตรภาพ" เป็นดัง "เกราะกำบัง"
ใช้จินตนาการ สร้างชัยชนะเหนือความทุกข์ ที่เราสร้างขึ้นมาเอง
เยี่ยมจริงๆ ที่ได้มาอ่าน