V for Vendetta ... การเมืองไม่ไกลตัว ความสนุกใกล้ๆตัว

This visage, no mere veneer of vanity, is it vestige of the vox populi, now vacant, vanished, as the once vital voice of the verisimilitude now venerates what they once vilified. However, this valorous visitation of a by-gone vexation, stands vivified, and has vowed to vangquish these venal and virulent vermin vanguarding vice and vouchsafing the violently vicious and voracious violation of volition. The only verdict is vengeance; a vendetta, held as a votive, not in vain, for the value and veracity of such shall one day vindicate the vigilant and the virtuous. Verily,this vichyssoise of verbiage veers most verbose vis-a-vis an introduction, and so it is my very good honor to meet you and you may call me V.
นี่คือ ข้อความแนะนำตัว(ยาวแสนยาว) ทั้งหมดที่ออกจากปากของตัวละครพระเอก "V" (ฮิวโก้ วีฟวิ่ง) ในฉากแรก ที่ปรากฏตัวต่อหน้านางเอก "อีวี่ย์" (นาตาลี พอร์ตแมน) แต่แทนที่ มันจะออกมาอย่างกะทัดรัด สั้นๆ และได้ใจความ เหมือนฮีโร่พระเอกหนังทั่วๆไป ...คำพูดที่ดูเป็นบทกวีชวนตะลึงนี้ กลับได้ใจผมตั้งแต่ที่ตัวละครนั้นพูดคำนี้จนจบ แปลว่าอะไร หมายความถึงอะไร ไม่สำคัญ รู้แต่ว่าคำพูดนั้นมันช่าง"โดน" อย่างประหลาดเสียจริงๆ
V for Vendetta... คือ หนังทริลเลอร์การเมือง ผลงานการร่วมมือครั้งต่อมาหลังจาก ความสำเร็จ แห่ง ไตรภาค "The Matrix" ของ สองพี่น้องวาชอว์สกี้ ...แอนดี้&ลาร์รี่ เพียงแต่เขากลับมาแค่ในหน้าที่ของผู้เขียนบทร่วม และถอยหลังมอบให้ผู้กำกับหน้าใหม่ แต่เก๋าฝีมือ นามว่า เจมส์ แมคทีค (เคยช่วยสองพี่น้อง เป็นผู้กำกับที่สอง ในหนังไซไฟเรื่องนั้น) ได้โอกาสมาทำหน้าที่เป็นวาทยากร ผู้ควบคุมจังหวะและทำนองของหนังทั้งเรื่อง
ด้วยหน้าหนังที่เป็นภาพของหนังแอ๊คชั่น อันได้เห็นจากตัวอย่าง อาจทำให้คนดูหลายต่อหลายคนเข้าใจผิด คิดว่า นี่เป็นหนังบู๊มันส์เอาเรื่อง แบบเดียวกับ The Matrix แต่ V for Vendetta ไม่ใช่อย่างที่ใครๆอาจคิด ...นี่คือ หนังที่พูดถึงเรื่อง ของ "การเมือง" เรื่องที่ต้องดูไป ขบคิดไป เรื่องที่ต้องรับฟัง และนำมาตีความ ถ้าให้คิดแจกแจงแยกออกมาฉากบู๊ทั้งหมดคงเป็นเพียงแค่ 1ใน 10 ของหนังเท่านั้น ...ถ้าคุณหวังจะเอาบันเทิงกับการเตะต่อยต่อสู้ ของฝ่ายดีและฝ่ายร้าย การถล่มกระสุนระเบิดพังวินาศสันตะโร แล้วล่ะก็ หนังเรื่องนี้คงไม่เหมาะกับคุณ
VFV เป็นเจ้าของความยาว 131 นาที ... เป็นความยาวกำลังดี ที่ผู้กำกับแมคทีคมอบให้ ...วาทยากรคนนี้ ได้บรรเลงเพลง ที่แสนสนุก เร้าใจ ตื่นเต้น และฟังนานๆก็ไม่รู้สึกเบื่อ หนังการดำเนินเรื่องของหนังเริ่มต้นด้วยการนำไปยังจุดเริ่มต้นของหนัง ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 1605 ...ด้วยอุดมการณ์ที่แรงกล้าของ "กาย ฟอว์คส" เขาต้องการระเบิดตึกรัฐสภาอังกฤษ เพื่อประกาศให้ประชาชนรับฟังว่า สิ่งที่เขาทำนั้น คือ การโค่นล้มเผด็จการอันเลือดเย็นที่รัฐบาลมอบให้พวกเขา แม้สุดท้ายแล้วแผนการนี้ จะทำไม่สำเร็จ อีกทั้งยังต้องแลกชีวิตด้วยการสั่งประหาร แต่ในที่สุด เขาได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึก และอุดมการณ์ของกาย ก็นำมาสู่การก่อกำเนิด ผู้ก่อการร้ายสุดอันตราย แห่งปี 2020 ...นามกรว่า "V"
หนังเดินหน้าพร้อมการบอกเล่า ความเป็นมา ของ พระเอกชื่อ V และ นางเอกชื่อ อีวี่ย์ ...คาแรกเตอร์ทั้งสอง ที่ได้รับผลกระทบอันเกิดมาจากเผด็จการเบ็ดเสร็จ ที่นายกรัฐมนตรีซัตเลอร์ (จอห์น เฮิร์ต) ประเคนให้ เขาและเธอ ต่างคนก็มีเบื้องลึกเบื้องหลัง ต่างคนต่างก็เคยสูญเสีย และต่างคนต่างก็ต้องกล้ำกลืนในความจองหองของรัฐบาล ...เพียงแต่ว่า วี และ อีวี่ย์ ต่างคนต่างก็มีวิถีทางเดินหน้าที่แตกต่าง ในขณะที่ V เลือกจะต่อสู้เพื่อชิงเอาความถูกต้องคืนมา ไม่ว่าอะไรจะเกิด เขาก็ยังสัญญายืนยัน และเดินหน้าลุย ไม่เกรงกลัวความตายที่ตามไล่ล่าไม่ละไม่เลิก ขณะนั้นอีวี่ย์ เลือกที่จะไม่ทำอะไร ไม่ขอเกี่ยวข้อง ถอยหลังเพื่อที่จะไม่รู้ไม่เห็น หลีกหนีความจริงที่ยังหลอกหลอนเธอตลอดมา ...
ด้วยวิถีการกำกับของ แม็คทีค ...ที่เล่าเรื่องด้วยความรวดเร็ว มีจังหวะเร้า จังหวะระทึกใส่เข้ามาโดยตลอด การปูเรื่องที่แน่น และการเดินหน้าไปสู่จุดจบที่ไม่มีช่องโหว่ ผนวกกับ วิถีการเขียนบทของสองพี่น้อง วาโชว์สกี้ ... ที่เล่าหนังโดยใช้คำพูด การสนทนา เดินหน้า เทคนิคนี้ อาจจะทำให้หนังหลายๆเรื่อง ดูเนือยหน่วงเหนี่ยงความสนุกไปเยอะ แต่ด้วยลีลาวาทะที่เร็วรวด น้ำเสียงของตัวละคร บทพูดที่ใส่รายละเอียดลงไป แทนการพูดออกมาด้วยภาพ สามารถดึงคนดูให้สนใจในตัวหนังทั้งเรื่อง และในหลายๆคำ มันก็สามารถฝังรากเข้าไปในใจคนดู หนังเป็นเจ้าของวลีคมๆ มากมายที่น่าจดจำ... แม้คำพูดของ V นั้น ในบางประโยคก็แสนยาวเหยียด ในบางคำก็แฝงด้วยเลศนัย และปริศนา แต่ถ้อยคำเหล่านั้นอันเกิดมาจากการกลั่นกรองของ สองพี่น้อง มันแสนไพเราะเฉกเช่นเป็นบทกวีมีคลาส จากนักประพันธ์ที่มีผลงานอมตะขึ้นหิ้ง
ใน The Matrix เราต่างก็เคยเกลียดชังกับความเหี้ยมโหดอำมหิต ของสายลับสมิธ ผู้บ้าระห่ำและเลือดเย็น ...การเปลี่ยนหน้าฉากมารับงานเป็นพระเอกในบทบาทล่าสุดของนักแสดงมากฝีมือ "ฮิวโก วีฟวิ่ง" นั้น เรียกได้ว่า "สมบูรณ์แบบ" ...วีฟวิ่ง ทำหน้าที่ของ V ได้ชวนตรึงใจคนดู ทั้งๆที่ไม่เห็นใบหน้า แต่ด้วยน้ำเสียง สำเนียง คำพูด และการใส่อารมณ์จากภาษาปากของเขา ทำเหมือนว่าคนดูได้กระเทาะหน้ากากรอยยิ้มนั้นให้แตกออกมา และสามารถล่วงเข้าไปในความรู้สึกในห้วงเวลานั้นของเขา ...เขาขโมยซีนได้ในทุกฉาก ทำตัวโดดเด่นได้ทุกนาที และทำให้ตัวละครอื่นๆ ยังต้องหม่นหมองไปในบัดดล ...กระทั่งฝีมือของนาตาลี พอร์ตแมน อันมีดีกรีเข้าชิงออสการ์ ก็มิอาจต่อกรได้เลย ...การเป็น อีวี่ย์ ของเธอ ยังขาดซึ่งความเต็มเปี่ยมของพลังที่ควรจะมีในตัวละครนี้ ...แต่อย่างไรก็ตาม หน้าที่และความซื่อสัตย์ต่อบทบาทการแสดงของเธอ ก็มิได้เป็นเพียงแค่ไม้ประดับ เธอยังคงปฏิบัติกับ บทอีวี่ย์ ได้เป็นดี (ฉากโดนกักขัง ไปจนถึงการเป็นอิสระ ถือได้ว่าเป็นช่วงนาทีทองของเธอ) คำว่า "คลาสสิค" มันฟังดูเข้ากันกับหนังเรื่องนี้ ... V for Vendetta เป็นเจ้าของเรื่องราวที่ "คลาสสิค" ไม่มีทางตกยุค ...เป็นเจ้าของคำพูดที่ "คลาสสิค" มีประโยคเด็ดๆ ใส่เพิ่มเข้าไปในพจนานุกรมภาษาหนังมากมาย ...เป็นเจ้าของฮีโร่ที่ "คลาสสิค" พระเอกสุดเท่ห์ที่น่าจดจำ และยังเป็นเจ้าของฉากจบที่ "คลาสสิค" ...เป็นฉากจบที่สมบูรณ์แบบ ภาพที่พระเอกต่อสู้ดวลมีดกับมือปืนนับสิบ ภาพที่ฝูงชนประจัญหน้าเหล่าทหารติดอาวุธอย่างไม่คิดเกรงกลัว ภาพที่ตึกรัฐสภาระเบิดเป็นจุลพร้อมเสียงเพลงคลาสสิค อันดังก้องในโสตประสาทหูชวนขนลุก และภาพสุดท้ายที่ประชาชนถอดหน้ากากออกมา เพื่อประกาศอิสรภาพว่า พวกเขาคือผู้ชนะ ...มัน คือ ช่วงเวลาสิบนาทีสุดท้ายของหนัง ที่จะตราตรึงใจคนดูเช่นผม ไปอีกนานแสนนาน ...ในคำพูดสุดท้ายที่อีวี่ย์ บอกกล่าว " วี คือ ฉัน , วี คือ คุณ , วี คือ พวกเราทุกคน " มันนำมาซึ่งน้ำตาของผม ที่หยาดหยดมาจากความอิน ที่หนังพยายามมอบให้เราในเวลา สอง ชั่วโมงกว่าๆ
V for Vendetta ... หนังการเมืองทริลเลอร์คลาสสิค อีกหนึ่งหนังดีที่ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ...เหตุผลหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูสนุกสุดใจ คงไม่ใช่อะไร นอกจากความอินที่สอดคล้องกับภาวะกาลปัจจุบันของบ้านเรา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกของหนังมันสอดคล้องกับเรื่องราวในโลกแห่งความจริง ...อุดมการณ์ที่ไม่ลดละจะต้านทาน ปะทะ การยืนหยัดต่อสู้ไม่ประนีประนอม สองคนสองพวกความคิดที่จุดจบของมันอาจไม่เป็นอย่างในหนัง... ความรุนแรงที่ตัวละคร V แสดงออกมา ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่กลุ่มต่อต้านจะพึงกระทำ ...การสูญเสีย ไม่ใช่คำตอบที่ถูก ที่ไม่ว่าจะใครหรือฝ่ายใด ควรจะเลือก ... ในเมื่อเรามีความคิดเป็นของตัวเอง เรามีความคิดเอาไว้ต่อสู้ เราก็หันมาใช้ความคิดอันเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ...ความคิดนี้มิใช่การก่อม็อบ การเดินขบวน การด่าทอดูถูกดูแคลน ...แต่ความคิดนี้คือการเจรจาต่อกรกับอำนาจมืด การต่อสู้กับคนร้ายใจทรามโดยละม่อม การกดดันอย่างเชื่องช้าแต่ทรงพลัง ...แม้ว่าอำนาจมืดนั้นจะไม่มีทางยอมรับ เราก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวว่าความคิดนั้นจะทำให้เราต้องเสียชีพ ตราบใดที่เรายังสัตย์ที่จะคิด สัตย์ที่จะกระทำ ...ความสัตย์นั้นจะแปลงเป็นเกราะ ปกป้องตัวเราอย่างแน่นอน
Ideas can break the bullets ...นิยามสั้นๆ คือ ความสัตย์ของเรา
เกรด A
Create Date : 29 มีนาคม 2549 |
Last Update : 29 มีนาคม 2549 12:03:00 น. |
|
1 comments
|
Counter : 2339 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: nanoguy IP: 203.113.35.7 วันที่: 9 เมษายน 2549 เวลา:4:53:34 น. |
|
|
|
|
|
คิดไปคิดมา อยากให้ตอนจบหนังมาเป็นตอนจบของการเมืองไทยจังเลย...
แต่สงสัยการเมืองไทยเพิ่งจะเริ่มเรื่องแฮะ...หึหึ