"Meet the Robinsons" ... ชีวิตยังไม่สิ้น ก็ต้อง 'Keep Moving Forward' กันต่อไป
ถ้าคิดจะดูหนังอนิเมชั่นแล้ว ชื่อหนึ่งที่ต้องคิดถึงกันทุกคนก็คือ "Pixar" ...ถ้าไม่ใช่สตูดิโอนี้ที่เป็นคนริเริ่มเบิกทาง และคอยทำการ์ตูนสนุกๆมาให้ดูกันแล้ว เราก็แทบจะวางใจในชื่ออื่นๆได้อย่างไม่ค่อยเชื่อถือ และก็ไม่เว้นกับ ค่าย "ดิสนีย์" ผู้ผูกขาดกับ Pixar มานานนับสิบปี ที่เมื่อถึงเวลาต้องยอมให้นกกระจอกแตกรัง จำทนให้เขาเป็นฝ่ายจากไปแล้ว ...การก้าวหน้ามาผลิตอนิเมชั่นด้วยตัวเอง ก็ดูจะเป็นอะไรที่ไม่ชอบกล และก็ไม่ชอบกลอย่างที่คิด เมื่องานชิ้นแรก "Chicken Little" ได้ฤกษ์เปิดตัวสู่สายตาประชาชน ...แม้ตัวหนังจะทำเงิน 100 ล้าน แต่ความสำเร็จของเจ้าไก่น้อย ก็ต้องแลกคืนมากับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบ ทั้งคนที่เป็นนักวิจารณ์ และคนดูผู้เคยปลื้มดิสนีย์ ในสมัยที่ยังมีพิกซาร์เป็นคู่บุญคนรู้ใจ และมันก็ยังผลร้ายมาถึงเรื่องต่อมา หนังรวมสิงสาราสัตว์(ที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะล้อเลียนหนังดรีมเวิร์คส Madagascar มาอีกที) "The Wild" จะให้ทำเงินมันก็แป้ก อยากได้เสียงวิจารณ์ก็พาลตกต่ำลงไปกว่าเดิมอีก ...(แต่ก็ยังมีความโชคดีที่งานร่วมสร้างของพิกซาร์ "Cars" กู้หน้าสร้างชื่อทำรายรับถล่มทลาย พอจะให้หลงลืมความช้ำไปได้เยอะ) คนที่เคยลุกยืนอย่างสง่าผ่าเผย(ในโลกอนิเมชั่น) เมื่อถึงคราวต้องล้ม ความเจ็บปวดมันก็ต้องมีตามมา ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าจะน้อยจะมากตามแต่ความคาดหวัง ...อย่าง ดิสนีย์ ก็คงจะหนักพอดูกับการต้องเห็นหนังสองเรื่องที่คิดจะเทียบชั้น Pixar กลายเป็นงานดาษๆ เห็นงั้นๆ ในสายตาคนทั่วไป ... ในเมื่อมีดิสนีย์แล้ว ก็ต้องมีพิกซาร์ ยังไงสองชื่อนี้มันย่อมขาดกันไม่ได้สำหรับการเป็นสองผู้ยิ่งใหญ่ในวงการอนิเมชั่น... ถ้ายังจำกันได้ ปัญหาความขัดแย้งทั้งหมดของคนทั้งคู่ มันเกิดขึ้นเพียงความต้องการที่มากเกินไปสำหรับฝ่ายที่ใหญ่ยักษ์มากกว่า ...ดิสนีย์ คือฝ่ายที่ต้องการส่วนแบ่งอย่างไม่มีประนีประนอม คิดหวังรายได้ที่ตกเป็นของตนด้วยเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่า จนชวนให้น่าน้อยใจสำหรับผู้น้อยที่คอยป้อนงานสร้างทุนสูงคุณภาพสุดยอดเสมอมา เพราะในเมื่อไม่มีพิกซาร์แล้ว ดิสนีย์ก็ต้องกลายเป็นโดดเดี่ยวผู้อ้างว้างและน้อยใจ เฝ้ากระพริบตาถี่ๆมองความสำเร็จของคู่แข่งอย่างดรีมเวิร์คสอย่างอิจฉา พร้อมกับความคิดที่อยากจะให้อะไรต่อมิอะไรกลับมาเป็นเหมือนเดิม ... ถึงแม้ทุกวันนี้สองบริษัทจะกลับมาปรองดองกลายร่างเป็นหนึ่งเดียวไปแล้ว แต่รอยแผลเป็นเล็กๆที่ฝังอยู่บนผิวหนัง คงจะเป็นคติสอนใจอย่างมากมายให้กับคนที่เคยคิดทะนงตนว่า การอยู่ยิ่งใหญ่เพียงคนเดียวไม่ใช่เรื่องยาก คำพูด "Keep Moving Forward" เป็นคำคมของลุง วอลท์ ดิสนีย์ (ที่เหมือนจะรู้อนาคต) กล่าวทิ้งเอาไว้สอนใจลูกหลานคนดิสนีย์ทั้งหลาย ...บอกให้พวกเขาได้รู้ว่า 'เมื่อถึงวันที่ต้องล้ม เวลาที่ต้องพลาด จงลุกขึ้นมา และเดินหน้าต่อไป ...' คำพูด "Keep Moving Forward" ในหนังเรื่องสุดท้ายภายใต้การสร้างอันโดดเดี่ยวของดิสนีย์ ได้นำเอาคำคมที่พวกเขาเคยเรียนรู้และแก้ไขมาใช้งาน ...เพื่อบอกให้พวกเราได้รู้ว่า 'เมื่อตราบใดที่ชีวิตยังไม่สิ้น มันก็ยังต้องพยายามดิ้นกันต่อไป ...' "Meet the Robinsons" ... หนังเรื่องสุดท้ายภายใต้การสร้างอันโดดเดี่ยวของดิสนีย์ (ก่อนที่จะควบพิกซาร์คืนมาเป็นของตัวเองได้สำเร็จ) ว่ากันด้วยเรื่อง ของ เด็กกำพร้า และความฝันอันยิ่งใหญ่"ลูอิส" คือ เด็กชายที่ถูกแม่ทอดทิ้งไว้ตั้งแต่แบเบาะ ...เขาพยายามตามล่าความฝัน โดยคิดว่าสักวันเขาต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ลูอิสใช้กำลังสมองและสองกำลังมือที่มีต่อสู้ฝ่าฟันความหวังด้วยการพยายามประดิษฐ์สิ่งของต่างๆนานา เขาเลือกใช้สิ่งของที่อยู่รอบตัวมาประยุกต์ได้อย่างสร้างสรรค์ และเขาก็ได้นำงานที่สร้างขึ้นมา มาอวดให้กับว่าที่คุณพ่อคุณแม่ให้ดู ...เพียงแต่สุดท้ายมันก็ต้องมีปัญหา งานของเขาทุกชิ้นจะต้องจบการทดลองลงด้วยความล้มเหลว และทำให้ไม่มีใครคิดจะลงเอยด้วยการอุปการะเขาเลยสักคน ...ลูอิส เฝ้าโทษตัวเอง ถึงความผิดหวังซ้ำซากในงานของเขา อีกทั้งยังน้อยใจที่เกิดมาแล้วไม่มีใครรัก รวมทั้งแม่ของเขาที่ให้กำเนิดมายังรังเกียจ แต่ด้วยกำลังใจและคำพูดของคนที่รักเขา ก็จุดประกายให้ลูอิสคิดจะสร้างอุปกรณ์ที่จะทำให้เขาได้เจอแม่ ได้ย้อนเวลากลับไปเพื่อพบว่าแม่ของเขาหน้าตาเป็นอย่างไร ...แต่ทว่า มันก็เกิดเรื่องล้มเหลวอีกจนได้เมื่อวันที่เขานำชิ้นงานไปเสนอในงานแสดงวิทยาศาสตร์ มีคนบางคนที่หวังร้าย และหัวใส(ใสจริงๆ จนโล้นเลยทีเดียว) จะนำเครื่องย้อนเวลาของลูอิสไปทำให้เป็นเครื่องสร้างความร่ำรวย ...และนั่นจึงเป็นสาเหตุของความวุ่นวายอลวนที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อคนจากโลกอนาคตที่ชื่อ "วิลเบอร์" ได้มาปรากฏตัวเพื่อหวังช่วย(เหลือและยุ่ง) ให้ลูอิสได้แก้ไขอดีตอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป พลอตหนังของ MTR ดูเป็นอะไรที่มักคุ้น ฟังแล้วก็เหมือนจะเป็นการผสมผสานเอาสองหนังผู้ใหญ่ Back to the Future และ The Butterfly Effect มาไว้ด้วยกันยังไงยังงั้น ...แต่ก็ต้องทำเป็นการผสมที่ลดดีกรีความเข้มข้นให้มีฤทธิ์ที่อ่อนโยนต่อผู้ชมในวัยเด็ก โดยใช้ภาพตัวการ์ตูนเป็นตัวล่อ และก่อสร้างเรื่องราวขำขันมีข้อคิด มาประดิษฐ์เคล้ารวมไปอีกด้วย แต่ถ้าได้ลองถามความเห็นเด็กๆหลังจากที่ดูแล้ว เชื่อเลยว่าคำตอบส่วนใหญ่จะต้องออกแนวประมาณ "ดูไม่รู้เรื่อง" "ไม่เข้าใจ" "อะไรกัน ง้งงง" ...สาเหตุนั่นก็เป็นเพราะ วิธีการเดินเรื่องของ MTR มีความแตกต่างจากวิถีทางหนังการ์ตูนทั่วไป ... ในขณะที่หนังอื่นๆล้วนแต่ใช้หลักการทำความเข้าใจเป็นเส้นตรง แต่ MTR กลับเลือกที่จะเดินเรื่องส่ายไปส่ายมาโยกนู้นโยกนี่ มีลูกเล่นแบบหนังลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน มีเรื่องราวที่เหนือความคาดคิด มีจุดหักมุมอันชวนเวียนเฮด ถ้าใครตามรายละเอียดไม่ทันขึ้นมา อาจจะหลุดในจุดมุ่งหมายจนสับสนอลวนหัวไปเลย ...ซึ่งถ้าไม่ติดว่าหนังยังมีภาพที่น่ารัก มุขตลกขำขัน และตัวละครต๊องๆ แล้วการ์ตูนเรื่องนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ น่าเบื่อ ไม่หนุก และในที่สุดอาจจะเกิดเสียงร่ำร้องจากเหล่าวัยซน ขอกลับบ้านซะยังดีกว่าต้องทนดูอยู่ต่อไป มิเช่นนั้นแล้ว MTR คงจะสนุกกับคนที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ...เพียงแต่ว่า ผู้ใหญ่คนนั้น ต้องสามารถลดวัยตัวเอง ให้ทนดูภาพสีสันสดใสชวนบาดตาในเวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆ ได้เป็นพอ เรื่องของภาพ ถ้าจะให้ฟันธงกันตรงๆ ก็คงต้องบอกว่า ยังด้อยกว่าพิกซาร์อยู่เช่นเคย ...แถมยังพาลรู้สึกว่าความสดใสซาบซ่าในเมืองอนาคต กลับดูหลอกตาเสียยิ่งกว่ามหานครหุ่นยนต์ ใน "Robots" ซะด้วยซ้ำ แต่ถึงยังไงก็ยินยอมให้อภัยกันได้ เพราะเท่าที่เห็นและเป็นอยู่ ก็นับว่ามีความตั้งใจ(ให้มันดูเป็นการ์ตูน มากกว่าจะทำให้สมจริง) ตัวละครตระกูลโรบินสันส์ อาจจะดูไม่ค่อยมีเสน่ห์เท่าไหร่ ในเวลาที่เรามองแบบฉายเดี่ยว ...แต่ถ้าเบิกตามองกันในมุมที่กว้างและใหญ่แล้ว ครอบครัวนี้ คือ สีสันที่สดใสของหนัง อีกทั้งยังเป็นกลุ่มตัวละครอนิเมชั่นที่ระดับความน่ารัก(ยกแก็งค์) สูสีกับเหล่ารถใน "Cars" เลยทีเดียว ...และการออกแบบคาแรกเตอร์ที่หลากหลาย ให้ต่างคนต่างมีความสามารถที่แตกต่าง ก็ยังผลให้ฉากแอ๊คชั่นของเหล่าสมาชิกโรบินสันส์ เป็นช่วงเวลาที่ดูสนุก มันส์อัศจรรย์เป็นที่สุดของหนังอีกด้วย ความตลกก็นับว่า ไม่เสียแรงที่อยากขำ ...ถึงความฮาของมุขมันจะไม่ถึงระดับ 100% ก็ตาม แต่ก็ทดแทนกันได้ ตรงที่ยิงมากี่สิบมุข ก็มีอะไรให้หัวเราะสลับยิ้มกันไปถี่ๆ ไม่นับว่าแป้กก็โอเคแล้ว (มุขที่ผมขำแรงมากที่สุด ก็ตอนที่ กบโดนสะกดจิต) สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดใน MTR เรื่องนี้ นั่นก็คือ ข้อคิดที่แฝงเอาไว้ในภาษาการ์ตูนอย่างคมคาย ...บทหนังได้แอบซ่อนคติสอนใจทิ้งไว้มากมาย ให้ตามเก็บตามล้วงกันในซอกหลืบของเรื่องราว และเหล่าตัวละครซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่หนังได้สร้างความอลเวงขึ้นมาแต่ต้นนั้น สุดท้ายแล้วล้วนแต่มีสาระรอคอยอยู่ที่ปลายทาง ...ยกตัวอย่าง ตัวละคร "ลูอิส" เราจะเห็นว่าเขาล้มแล้วล้มอีก กลายเป็นคนเข็ดหลาบในความผิด ไม่กล้าคิดเองที่จะลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ถ้าเพียงแต่เขาไม่ได้กำลังใจจากชาวโรบินสันส์ และคำพูด "Keep Moving Forward" คอยย้ำเตือนแล้ว เรื่องราวทั้งหมดของหนังและชีวิตของเขาคงจะจบลงที่คำว่า พ่ายแพ้ เพียงเท่านั้น ...หรือถ้า "จอมวายร้ายสวมหมวก" คนที่มีอดีตอันขมขื่น และเลือกเก็บกดความแค้นเอาไว้เพื่อรอวันสะสางนั้น ยังไม่รู้จักที่จะเรียนรู้คำว่า "ให้อภัย" จนสุดท้ายแล้ว ในตอนจบ และอนาคต เขาก็ยังจะเป็นคนที่ต้องทุกข์ทนจากพิษอาฆาตของตัวเองอยู่ดี ในช่วงสุดท้ายของ MTR การสรุปเรื่องราวทุกอย่างมาถึงจุดที่ลงตัว ...เป็นเวลาที่การคลายปม เฉลยความทุกเรื่องจะจบลงด้วยความสวยงาม หนังมีอะไรให้เซอร์ไพรส์คนดูมากมาย (บางอย่างที่เคยแหม่งๆในความคิด พอรู้ความจริงเข้า ก็กลายเป็นมุขฮาโคตรจะเนียนเรียกเสียงหัวเราะไปเลย) รวมทั้งฉากจบที่ถือเป็นสุดยอดของการเซอร์ไพรส์สำหรับผมแล้ว ...ผมไม่ได้คาดคิดเลยว่าความซึ้งของหนังที่มาตั้งแต่ต้น ยังจะมีกั้กลูกสะอื้นลูกใหญ่ยักษ์เข้ามาในนาทีสุดท้าย นั่นเป็นนาทีที่ผมรู้สึกว่าความอินที่กำลังไหลนองหน้าอยู่นั้น มันมาพร้อมกับการสำรอกที่ต้นคอกำลังอึดอัดเหมือนกำลังจะปล่อยสะอึกที่เต็มตื้นอยู่ในอกออกมา ...ครั้งสุดท้ายที่มันเกิดขึ้นกับการดูหนัง ก็ตอนที่ผมกำลังซึ้งกับการจากลาของ อดัม แซนด์เลอร์ ใน "Click" เพียงแต่ทว่าในครั้งนี้กับ MTR มันต่างกัน... มันต่างกันตรงที่ ภาพนั้นของหนังเรื่องก่อน มันคือการบีบบังคับทางอารมณ์สุดกดดันที่จำเป็นต้องปลดปล่อย ...ในขณะที่เรื่องล่าสุด มันคือความประทับใจซาบซึ้งที่บทสรุปทุกอย่างมันนำพา ความสวยงามอย่างเป็นที่สุด มาสู่สายตา เป็นการนั่งมองภาพในนาทีสุดท้าย ด้วยอารมณ์ที่อาลัย และไม่อยากจะลืมเลือนในสิ่งดีๆ ที่หนังเรื่องนี้พยายามบอกเราว่า "Keep Moving Forward" "Meet the Robinsons" ... ผลงานทิ้งท้ายที่ทำออกมาได้ถึงคุณภาพเป็นที่สุดแล้วของดิสนีย์ผู้โดดเดี่ยว เป็นงานอนิเมชั่นที่ทั้งดูสนุก ได้สาระ ทั้งยังมีอะไรให้ประทับใจเอาเก็บไปคิดถึงกันในตอนจบ ...ถ้าจะให้ไปดูทั้งครอบครัวก็พอได้ แต่คนเป็นผู้ใหญ่น่าจะเข้าใจเรื่องราวได้ดีกว่าเด็กเป็นแน่แท้ มิเช่นนั้นแล้วก็ขอแนะให้ คออนิเมชั่นวัยโต ไม่ควรพลาดครับ ขอแนะนำ ...ครับ เกรด A- ...ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 30 เมษายน 2550
Last Update : 30 เมษายน 2550 3:57:59 น.
4 comments
Counter : 6630 Pageviews.
โดย: โทยะ อากิระ IP: 124.121.38.217 วันที่: 2 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:18:03 น.
โดย: MuTNicH IP: 203.131.220.2 วันที่: 18 ธันวาคม 2550 เวลา:14:02:13 น.
โดย: เธญเธญเธข IP: 61.19.30.194 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:37:14 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30
แต่ยาวจัง