Up in the Air ... ก้าวต่อไป กับ ชีวิตติดปีกเหล็ก
ขณะนี้ OncE UPoN'-'a MaN มี "Facebook" แล้วนะครับ ..ขอชักชวนมาเป็น 'แฟน' กัน โดยคลิกมาที่... //www.facebook.com/pages/OncE-UPoN-a-MaN/362974106204 นี่คือ อีกทางที่จะติดตาม และติดต่อกับผมได้ นอกจากในบล็อกนี้(ที่บางทีอาจหายหน้าไปเลย) และใน Twitter (ที่หมั่นเข้าไปบอกกล่าวอะไรๆแทบทุกวัน) ด้วยอารมณ์ที่ยังหมั่นเขี้ยวใน The Hurt Locker ไม่หายไปนัก ..และย้อนกลับไปดูท้ายบทรีวิวนั้น ก็จะเห็นว่า ผมแสดงตัวตนเป็นปลื้มกับ Up in the Air อย่างสุดๆ มันก็เลยเป็นผลพวงให้เกิดการกระทบกระทั่ง จนได้มาเป็นรีวิวบทนี้นี่เอง ที่ได้เวลาผมจะขอสาธยายถึงความปลื้มที่มีต่อ หนังดีที่ออสการ์เมินเรื่องนี้ อย่างเต็มๆ หลังจากสร้างชื่อเสียง สั่งสมความใหญ่โตให้ตัวเองไปไม่ใช่น้อยๆ จากผลงานชิ้นก่อนหน้าที่ทั้งได้ชิงออสการ์หนังยอดเยี่ยม และรางวัลอีกหลากหลาย ในฐานะเป็นหนึ่งในตัวเต็ง กับ โจ๋ป๋องใจเกินร้อยนาม Juno .. เจสัน ไรต์แมน ก็ได้กลายมาเป็นบุคคลที่ฮอลลีวู้ดต้องการตัวสุดๆ ในฐานะของผู้กำกับอินดี้ รุ่นใหม่ไฟแรง ที่พร้อมจะขับเคลื่อนหนังของตัวเอง ไปสู่การขับเคี่ยวชิงชัยในรางวัลระดับโลก ..ซึ่งแม้เขาจะมีประสบการณ์ที่ยังน้อย แต่เมื่อมองถึงความเป็นคนคุณภาพแล้ว ก็พูดไม่ได้เป็นอันขาดว่า เขายังเด็กนัก ถึงโดยส่วนตัว อาจจะรู้สึกว่า Juno เป็นหนังก้าวข้ามพ้นวัยรุ่น ที่ยังไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเติบโตไปกับตัวละคร ขณะเดียวกัน ผู้กำกับก็ยังไม่โตเต็มตัว ที่จะสามารถคุมหนังให้คนดู(อย่างผม)อิน.. แต่นั่นมันก็อดีตไปแล้ว เพราะปัจจุบัน กับ Up in the Air เขาได้พิสูจน์แล้วว่า... เขาโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และไม่ธรรมดาตรงที่ เหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจ มองโลก อย่างว่าอายุเข้าสู่วัยกลางคนไปแล้ว เมื่อคราวรีวิวครั้งก่อน ผมพูดถึงหนังเรื่องนั้น ในเชิงนับถอยหลัง ให้สมกับเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องระเบิด.. มางวดนี้ ก็ขอนับกลับกัน เปลี่ยนให้ไปข้างหน้า เป็นก้าวๆ กับการสาธยายความชอบต่อหนัง ที่มีแต่จะมากขึ้นๆ จนไปถึงก้าวสุดท้าย ที่ทำให้ผมรักหนังเรื่องนี้อย่างหมดใจ ..เรียกได้ว่า ทุกก้าวย่างของผู้ชายที่ชื่อ ไรอัน บิงแฮม ล้วนแต่มีอะไรที่ทำให้ผมโดน! ทั้งนั้นก้าวที่ 1 : ณ จุดเริ่มต้นของหนังที่เปิดตัวด้วยภาพ Bird Eye View มุมสูง ของแผ่นดินอเมริกา อันประกอบกับเพลงที่ชื่อ This Land is Your Land ..เอาแค่ เพียงฉากเครดิต ประมาณ 4 นาที ก็เริ่มทำให้ผมรู้สึกดีกับหนังเรื่องนี้เข้าให้แล้ว ...อาจจะด้วยเพราะ ความสวยงามของภาพ ก็หนึ่ง และสอง เพลงที่เล่นคลอไปด้วย ก็เป็นเพลงจังหวะมีเดียมที่ทำผมเคลิ้มจัด ถึงขนาดทำให้มือและเท้าอดนิ่งไม่ได้ ต้องเคาะทำจังหวะกับมันไปด้วยก้าวที่ 2 : การจะทำให้คนดูรู้จักกับตัวละครเอก ..หนังส่วนใหญ่ อาจจะเปิดให้เห็นความเป็นฮีโร่ ในตัวของเขา ทำให้เรารู้สึกไว้วางใจบุคคลท่านนี้ได้ (โดยยังไม่ต้องไปสนใจ ว่าสุดท้ายอาจจะหักมุมว่า เลว) ...แต่กับ Up in the Air แล้ว ไม่เลือกทำอย่างนั้น เพราะถ้าขืนยอมให้เรารู้สึกดีกับพระเอกแต่ต้น เราคงไม่เห็นว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้างเพื่อจะเรียนรู้กับการเป็นคนที่เข้าใจโลกมากขึ้น ไรอัน บิงแฮม เริ่มต้นด้วยการเป็นตัวละครที่เรามองเห็นถึงความเป็นคน เจ้าอุดมคติ ..ผู้ที่แสนจะรักการใช้ชีวิตบนน่านฟ้า มากกว่ายอมอยู่บ้านจนแห้งตาย อีกยังไร้ซึ่งความกรุณาใดๆ ต่อการกระทำที่เขาเรียกมันว่า อาชีพ การไล่คนออกจากงาน คือ อาชีพของเขา.. อาชีพที่เราไม่เข้าใจ และไม่มีวันอยากเข้าใจ หากลองต้องโดนเขากระทำเช่นนี้เข้าสักวัน ที่หนังเกริ่นนำ ไรอัน มาด้วยภาพของคนที่กำลังเซ็ง หน่าย ร้องไห้ และหมดอาลัยตายอยาก เพราะโดนเขาเชื้อเชิญ(ใช้ภาษาที่ฟังรื่นหูกว่านิดๆ)ไปหางานใหม่ทำ ..นี่คือ เรื่องที่บ่งให้เห็นความเป็นจริงของสังคมวันนี้ ที่กำลังประสบภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลก อีกมิวายเกิดพายุฝุ่น(จากคน..เตะ)ขึ้นกันพรึ่บพรั่บ แทบทุกหย่อมหญ้า มันอาจจะดูเป็นเหมือนว่าหยอกล้อไปตามสถานการณ์ของหนังที่ต้องการให้คนดูเห็นภาพของนายไรอันเป็นคนที่โลกไม่(อยาก)รักในภายแรก ..แต่เมื่อดันรู้ว่า คนที่เห็นอยู่เหล่านี้ ล้วนไม่ใช่นักแสดง Extra ธรรมดาๆ แต่หากเป็นคนจริงๆ ในโลกความจริง ที่เคยได้ประสบพบพานความว่างเปล่ากับวันที่เขาไม่เหลืออะไรให้ทำอีกต่อไป พอรู้เข้าอย่างนั้น มันก็กลายเป็นมุขตลกร้าย ..ที่ทำให้ผมตลกไม่ออก! มันช่างร้ายจริงๆ นายเจสัน! ก้าวที่ 3 : หลังจากนั้น หนังก็ทำให้เราเห็นว่า เพราะอะไรหนอ ผู้ชายที่ดูเหมือนน่าจะแบกรับความทุกข์จากคนที่เคยเผชิญหน้าหลายๆคน เช่น ไรอัน บิงแฮม ถึงได้มีความสุขกับชีวิตหนุ่มโสด อันโดดเดี่ยว ที่ไร้วี่แววจะมีพันธะกับใครอื่น หรือเอากระทั่งกับการปลูกสัมพันธ์ กับคนบ้านเดียวกัน(ครอบครัว) เขายังไม่คิดแคร์ด้วยซ้ำ มันเป็นเพราะว่า เขาคือคนที่รักความเป็นอิสระ ..มีความสุขได้ทุกครั้งที่โบยบินไปบนฟากฟ้า ไม่มีอะไรคอยเหนี่ยวรั้งบนพื้นดิน อีกทั้งสนุกกับการเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต ที่มีโอกาสได้ชื่อว่าเป็น ผู้ที่สะสมไมล์บิน ครบหนึ่งล้านไมล์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำได้ หากคนนั้น ไม่ใช่คนที่ขึ้นเครื่องบินแทบทุกวัน ใช้ชีวิตอยู่กับมันเหมือนเป็นบ้านหลังประจำ แม้จะดูเผินๆ เหมือนเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น สำหรับการแข่งขันเพื่อเป็นใครสักคนที่มีโอกาสได้เป็นคนที่โลกทั้งใบต้องยอมสยบให้ (เมื่อเขาได้สะสมไมล์ครบล้าน เมื่อไหร่ อภิสิทธิ์การเป็น VIP ระดับเฟิร์สคลาส หรูหรา แทบทุกอย่างที่โลกนี้มี ก็พร้อมจะกองแทบเท้าเขาในทันที) ..แต่ถ้าเรามองสำรวจตัวตนของ ไรอัน ไปถึงก้นบึ้งของจิตใจแล้ว เขาก็คือคนหนึ่งที่ช่างน่าเห็นใจ เต็มประดา ในฐานะที่เป็นคนที่ไม่อาจสามารถรู้เท่าทันโลกความเป็นจริง เพราะชีวิตที่ดำเนินมาหลายปีดีดัก ด้วยความเชื่อที่ว่า อยู่ตัวคนเดียว สบายใจดี ไม่มีภาระ ..นั่นคือ ความเชื่อที่ผิด สำหรับการมีชีวิตอยู่บนโลกความจริง และมันคือความเชื่อของคนเจ้าอุดมคติ ที่ไม่ยอมรับว่าตัวเอง คือ สิ่งมีชีวิตที่ต้องเกิดมามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆบนโลกนี้ แม้หนังจะไม่ได้ปิดช่องทางการมีปฏิสัมพันธ์ของชายคนนี้ กับคนอื่นรอบข้าง ..เขายังพูดคุยปกติกับ หัวหน้า ที่ไม่ค่อยฟังเขา ยังมีการรู้จักกับผู้หญิงทรงเสน่ห์ เช่นผู้ชายคนหนึ่งเป็นกัน ยังต้องรับบทบาทเป็นครูสอนงาน ให้เด็กใหม่ที่ยังไม่เข้าใจโลกการทำงานอันซับซ้อน และยังเป็นนักพูดงานสัมมนาอย่างมืออาชีพ ที่สะกดคนฟังให้เคลิ้มตามได้ง่ายดาย แต่กระนั้น ก็ใช่ว่า เขาจะรู้จัก วีธีการเข้าสังคมได้อย่างราบรื่น นี่คือ สิ่งที่ผู้ชายที่ชีวิตเหมือนแสนจะเพอร์เฟกต์คนนี้ ได้ขาดหายไป ..เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่า ภายใต้ภาพพจน์ที่ดูดี มีเสน่ห์ และน่าจะเข้ากับใครต่อใครได้ง่าย หากความเป็นจริง เขายังไม่รู้เลยว่า จะมีวีธีทำอย่างไร ให้คนประทับใจลึกไปที่จิตใจของเขาเอง เราจึงได้เห็นภาพของผู้ชายคนหนึ่ง ที่หัวดื้อกับ หัวหน้า ..ผู้ชายคนเดียวกัน ที่ไม่กล้าเข้าหาผู้หญิงที่กำลังสนใจ ..ผู้ชายคนนี้ ที่ไม่ใส่ใจกับการดูแลใครในอาณัติ แม้จะเป็นช่วงประเดี๋ยว ..และผู้ชายแบบ ไรอัน ที่พูดดี ทำให้คนอื่นรับฟัง แต่ไม่ยอมเปิดใจรับฟังสิ่งที่คนอื่นพูดก้าวที่ 4 : มันก็อาจจะจริง ที่มีคนกล่าวไว้ พูดดีเป็นศรีแก่ตัว ..ดังตัวอย่าง ที่ให้เราเห็นภายใต้การทำงานอันมีระบบระเบียบของ ไรอัน ทั้งยังเปิดทางสว่างให้ใครที่ได้ฟัง รู้สึกเห็นสัจธรรมกับใจกับของตัวเอง ...แต่นั่นมันก็แค่คำพูด หากไม่เหมือนกับการกระทำ ที่ดูจะเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างง่ายดายเหลือเกิน สำหรับชีวิตของพระเอกเรื่องนี้ เวลาเขาจะทำอะไร ก็มักผิดที่ ผิดทาง หรือกระทั่งผิดใจ โดยตลอด เพียงแต่ โลกใบนี้ ก็ไม่ได้โหดร้ายเกินไปสำหรับ ไรอัน ..เขาโชคดีเหลือเกินที่มีโอกาสได้ลองรับมาแก้ไข แล้วทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า โลกใบนี้ มีอะไรอีกหลายอย่าง ที่เขาไม่เคยรู้ เขาไม่เคยรู้เลยว่า... การมี ครอบครัว มันดีอย่างไร? ..เพราะตั้งแต่ที่เขาจากบ้านเล็กๆมา เพื่อเผชิญหน้ากับชีวิตในเมืองใหญ่ เขาก็ไม่เคยรู้เลยว่า ครอบครัว ของเขา ยังคงห่วงหาอาทรณ์มาตลอด อีกพร้อมจะต้อนรับเขากลับสู่บ้านหลังเดิม ที่ยังคงอบอุ่น เพื่อรอคอยให้เข้ามาอยู่ร่วมชายคาอีกครั้ง (แม้จะไม่ได้หมายความว่า ต้องอยู่ติดที่แห่งนี้ ตลอดไป ก็ตาม)เขาไม่เคยรู้เลยว่า... การมี เพื่อนร่วมงาน มันดีอย่างไร? ..ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเพราะ เขาเชื่อว่า ชีวิต คือ การแข่งขัน และเข้าใจไปเองว่า คู่แข่งขัน ก็คือ ใครก็ตามที่เข้ามาอยู่บนถนนชีวิตสายเดียวกับเขา ..เพียงแต่เมื่อมองพิจารณาไปที่รายละเอียดแล้ว คนบางคนก็ไม่ได้เกิดมาเป็นเพื่อเป็นคู่แข่งของเขา แต่อาจเกิดมาเพื่อมีเขาเป็นดังแรงบันดาลใจ เป็นครูสอน ที่ทำให้เข้าใจถึงคำว่า อย่ายอมแพ้ (ซึ่งถ้าเป็นงาน ไรอัน คนนี้ มีดีตรงที่ไม่เคยคิดยอมแพ้อยู่แล้ว)เขาไม่เคยรู้เลยว่า... การมี ความรัก มันดีอย่างไร? ..ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะความชอบสันโดษมันไปกัดกินหัวใจ กระทั่งถึงที่ตัวตนของเขาหรือเช่นไร จึงดูเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ที่ผู้ชายคนนี้ เลือกจะมีปฏิสัมพันธ์กับใครสักคน แบบมากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน (พูดง่ายๆ ก็ กิ๊ก นั่นแหละ) ...แต่เมื่อเขาได้พบเจอกับผู้หญิงทรงเสน่ห์ ที่เก่งรอบด้าน และเข้าอกเข้าใจทุกอย่างในตัวเขาขึ้นมา ก็ไม่แปลกที่ไฟรักมันจะสปาร์คอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ..รู้เพียงแต่ว่า ตกหลุมรัก มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เมื่อเขาได้รู้ว่า ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และความรัก เป็นสิ่งที่ทำให้ได้รู้จักการเข้ากับสังคมอย่างราบรื่น ..มันก็ได้เปลี่ยนความคิดความอ่าน ให้เขากลายเป็นคนใหม่ ที่พร้อมจะเปิดใจยอมรับกับความจริงที่โลกนี้ต้องมี ต้องเป็น และต้องอยู่ ซึ่งถ้าเขาไม่มีเรื่องเหล่านี้ผ่านเข้ามาในชีวิต ..ก็เชื่อได้ว่า ไรอัน บิงแฮม ก็คงจะเป็นอีกคนที่มีชีวิตในวัยบั้นปลายที่หงอย เหงา เศร้า ซึม และตายจากโลกนี้ไปฟรีๆ แบบไม่มีใครใส่ใจในคุณค่าที่เขามี ก้าวที่ 5 (ก้าวนี้ มี SPOILER! ) : แต่กระนั้น ก็ใช่ว่าชีวิตที่ได้รับโอกาสเรียนรู้ จะต้องพบแต่กับผลลัพธ์ที่สวยงามเสมอไป ..อันชีวิตคนเรา มีขึ้นถึงจุดสูงสุด มันก็อาจมีจังหวะดิ่งลงเหวในทันใด เป็นธรรมดา เรื่องที่ ไรอัน ต้องเจอกับความรักของตัวเองก็เช่นกัน ..เขาอาจจะกำลังหวานชื่นคืนสุข เห็นว่าชีวิตตัวเองมีแรงผลักดันที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่า และคิดไปเองว่านี่คือ สิ่งที่เขาตามหามาทั้งชีวิต กับสิ่งที่เรียกว่า ความมั่นคงของชีวิต แต่ก็ใช่ว่า สิ่งนี้ที่เขาต้องการมันจะมาถึงเวลาของมันแล้ว ซึ่งสิ่งที่เขาเจออยู่ อาจไม่ใช่ความมั่นคงหรอก ..แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า ความเสียศูนย์ จนเสียหลัก เพราะในโลกความเป็นจริง ชีวิตคนเรา มันต้องมีบ้างบางโอกาส ที่ตัวของเรา อาจจะอยู่ผิดที่ ผิดเวลา และผิดใจ ..และ ไรอัน บิงแฮม ก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจหนีพ้น ต้องพบเจอเรื่องอย่างนี้เข้าจังๆ การกระทำ(หลายสิ่งหลายอย่างเพื่อเอาใจหญิง)ของเขาอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะคนมีความรักเข้าแล้ว ทิฐิบางอย่างที่เคยมีเคยเป็นก็ต้องยอมลดลง หรือทำลายทิ้งไป ..ยิ่งเมื่อเข้าใจว่าชีวิตได้เจอกับใครที่ทำให้เขายอมหยุดที่จะอยู่บนพื้นดินได้แล้ว นั่นเท่ากับถึงเวลาที่เขาต้องหยุดความคิดเก่าๆของตัวเองลง พร้อมลุยไปเจอใครคนนั้นถึงหน้าประตูบ้าน เพียงแต่เมื่อประตูบานนั้นได้แง้มเปิดออกมา ..มันกลับไม่ใช่ประตูแห่งความมั่นคง แต่เป็นประตูที่ทำให้เขาได้พบว่า เมื่อตัวเขาเองต้อง เสียศูนย์ มันจะเป็นเช่นไร ช่วงเวลาที่ชะตาชีวิตของ ไรอัน บิงแฮม ก้าวมาถึงจุดหักมุม ..นับแต่นั้น เขาก็เผชิญหน้ากับความล้มเหลว สูงสุดเท่าที่ผู้ชายคนนี้จะเคยประสบพบมา เพราะไม่ใช่แค่เริ่มต้น แล้วจบลงที่ความรักเท่านั้น ..แต่มันยังแพร่ขยายไปถึงการงาน ที่ต้องสั่นคลอน เมื่อบังเอิญว่า ใครคนหนึ่งที่เขาเคยเชิญให้ออกจากงาน ดันคิดอะไรตื้นๆออกมา แล้วทำจริงๆ ..เลยทำให้จากเดิมที่บริษัทมีความตั้งใจจะหยุดให้พนักงานทุกคน ทำงานอยู่กับที่ ไม่มีการเดินทางอีกต่อไป (อีกกับตัว ไรอัน เอง ก็คิดตั้งใจจะหยุดตัวเองอยู่กับที่ไปเสียแล้ว) จำต้องระงับนโยบายสมัยใหม่เสียกระทันหันอย่างไม่มีกำหนด อีกกระนั้น กับเพื่อนร่วมงาน มือใหม่หัดไล่ ที่ได้กลายเป็นหนึ่งในคนสนิทของเขาไปแล้ว ก็เกิดดันถอดใจขึ้นมาเสียดื้อๆ เอากับการทำงานที่มีพื้นฐานอยู่บนความเสี่ยง(กับชีวิตผู้อื่น) ..เธอเลยเลือกจะขอลาออก เพื่อไปค้นคว้าตามหาความฝันที่ทิ้งค้างเอาไว้มาเนิ่นนาน เผื่อพบว่า สิ่งที่เธอควรจะเป็น คือสิ่งนั้นจริงๆ มันดูเหมือนจะบังเอิญไปเสียซะทุกอย่างอยู่หรอก ..สำหรับ ไรอัน บิงแฮม คนนี้ ที่จู่ๆก็ดันพานพบประสบความเสียศูนย์ กับเรื่องราวรอบตัวที่ประดังประเดเข้ามาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แต่มันก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่หรอก กับคนเราโดยปกติ ..เมื่อเจอช่วงเวลาเช่นนี้เข้ากับตัว ความบังเอิญทั้งหลายแหล่มักเล่นตลก ก็พร้อมจะถาโถมมา กระหน่ำซัด ให้เราต้องเสียหลัก เสมือนล้มทั้งยืน ซึ่งถ้าเพียงบางคน ไม่อาจต้านทาน ให้สามารถแบกรับมันได้ไหว ..ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดของมันก็คงไม่อาจพ้นไปจากกรณีที่ตัวละครคนหนึ่ง(ที่ไม่ได้สำคัญอะไรเลย) บังเอิญมาทำให้เรื่องราวของกลุ่มตัวเอกใน Up in the Air ต้องเปลี่ยนไปนั่นเองก้าวที่ 6 (ก้าวนี้ ก็ยังมี SPOILER! ) : แต่ Up in the Air ก็ใช่ว่าจะเสนอทางออกให้กับเหล่าตัวละครเอกด้วยความเศร้าโศก ..เพราะในโลกความเป็นจริง ถึงจะต้องลำบากใจ แต่ก็ใช่ว่า เราจะหาไม่มีโอกาสก้าวเดินต่อไปได้อีก ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกันกับ ผลงานเรื่องก่อนของ เจสัน ไรต์แมน ..ที่ถึงระหว่างทางในหนัง ตัวละคร หนูจูโน่ จะต้องเผชิญกับความลำบากใจมากมาย ไม่ว่ากับตัวเอง ครอบครัว หรือคนนอก ..แต่เมื่อถึงตอนจบ เธอก็พบหนทางในการปลดปล่อยตัวเองไปสู่ทางสว่างที่เปี่ยมไปด้วยความหวังจนได้ เพียงกระนั้น Up in the Air กลับไม่ได้มอบทางออกที่แสนสวยงามกับ ไรอัน บิงแฮม ซะทีเดียว ..เพราะท้ายที่สุด ไรอัน ก็ยังคงเป็น ไรอัน คนเก่า ที่เราเห็นมาแต่ต้นเรื่อง ซึ่งคือ คนที่มีหน้าที่การงาน เป็นนักไล่คน มืออาชีพ ผู้เดินทางเหนือ ใต้ ออก ตก ไปทั่วแผ่นดินอเมริกา หากแต่ที่เราเห็น ไรอัน ในตอนนี้ ก็เป็นในรูปของการกระทำที่เคยชิน เพียงเท่านั้น.. แต่กับจิตใจในเวลานี้ของเขามันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ด้วยเพราะเรื่องราวหลายหลากที่เผชิญมาแต่ต้นจนจะจบหนัง ...มันได้สอนให้เขารู้ว่า ชีวิต ไม่ได้มีเกิดมาเพื่อมีตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ จากที่เคยเดินทางด้วยกระเป๋าอันวางไว้ซึ่งแต่สัมภาระที่จำเป็นภายใน ..ในเวลานี้ เขาไม่รังเกียจรังงอนที่จะใส่อะไรอันไม่ใช่ความจำเป็น หากแต่ก็เป็นสิ่งที่ควรมีเอาไว้ เพื่อทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีคุณค่า ..ให้ชีวิตรู้ว่า เขาไม่จำต้องเป็น หนุ่มโสดหัวใจโดดเดี่ยว อีกต่อไปแล้ว ถึงใครต่อใครจะโคตรเหงาจับจิต กับฉากจบที่แสนเวิ้งว้างของท้องฟ้า อันมีแต่ปุยเมฆ เคลื่อนลอยไปอย่างไม่มีจุดหมาย ..และพระเอกของเรา ก็เป็นเช่นเดียวกับเมฆเหล่านั้น ที่ยังไม่รู้ว่า จุดหมายของตัวเองจะไปจบลงที่ไหน แต่เมื่อไหร่ที่เขาลงไปสู่พื้นเบื้องล่างแล้ว ..เขาก็จะกลายกลับมาเป็นคนที่ติดดิน และ ปีกเหล็ก ก็จะไม่ใช่บ้านหลังประจำของเขาอีกต่อไปแล้วก้าวที่ 7 : ในปีที่ ออสการ์ แข่งขันกันแบบชิลๆ เพราะแทบไม่ต้องลุ้นอะไรกับสาขาสำคัญทั้งหลายแหล่ ..ในบรรดาหนัง 10 เรื่องที่ได้ชิงหนังยอดเยี่ยม มีด้วยกัน 7 เรื่องที่ผมดูแล้ว โดยถ้าจำใจต้องตัดหนังที่มีชื่ออยู่ในลิสต์นี้ แบบว่าจัดมาเพื่อให้มันเต็มๆทุกที่นั่งเพียงเท่านั้น (ซึ่งมี 2 เรื่องด้วยกัน ที่เสียดายต้องถือว่าเป็นอย่างนั้นคือ Up และ Inglourious Basterds ..สองอันดับแรกในดวงใจของผมเมื่อปีก่อนนี่เอง) ..คงจะเหลือหนึ่งเดียว ที่คู่ควรกับรางวัลนี้ หากได้ตัดสินกันแบบส่วนตัวไปเลย Up in the Air ..ก็คือ หนังที่ผมคิดว่า มันคู่ควรกับคำว่า Perfect มากที่สุดแล้ว ซึ่งแม้ว่า ถ้าวัดกันที่ความสนุก บันเทิงเริงรื่น แล้วจะไม่อาจสู้ Avatar ได้เป็นแน่ ..อีกทั้งจะแข่งกันที่ การเสียดสีสะท้อนสังคมออกมาได้อย่างเจ็บปวดในวงกว้างมากกว่า ก็คงต้องยอมยกธงให้ The Hurt Locker เจ้าของชัยชนะตัวจริงอย่างจำเป็น เพียงแต่ ถ้าให้เลือกเอาแต่เรื่อง ที่สามารถจับจุด จับใจ ผมได้ตรง โดน และมีพลัง กันเน้นๆแล้ว ..Up in the Air เป็นหนังเรื่องนั้น เรื่องเดียว ที่ทำให้ ผมอิน เข้าลึก และกระทบจิต เอากระทั่งเมื่อดูจบออกจากโรงมา ก็ยังคงติดตรึง ค้างคา กลายกลับตัวผม ให้เป็นดังเมฆที่ลอยล่องอย่างไร้จุดหมาย ได้ในฉับพลันก้าวที่ 8 (ก้าวนี้ แอบมี SPOILER! นิดๆ): เจสัน ไรต์แมน สามารถจับจุดได้ถูก ว่าจะเล่าหนังเรื่องนี้ออกมาอย่างไร ให้คนดูรู้สึกทั้งหมั่นไส้ และเห็นใจ ตัวละครตัวเดียวกัน ได้ภายในเวลาการฉายร่วม 2 ชั่วโมง ซึ่งแม้เทคนิคนี้ จะเป็นเทคนิคที่ดูง่าย สำหรับผู้กำกับระดับมืออาชีพหลายต่อหลายคน ที่มากล้นด้วยประสบการณ์อายุงาน ..แต่กับคนที่เพิ่งผ่านการทำหนังมาได้ไม่นานดี นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำได้สบายๆ แต่ ไรต์แมน ก็คือคนหนึ่ง ที่ก้าวพ้น ..และเข้าใจได้อย่างดีว่า ไรอัน บิงแฮม ในหนังเรื่องนี้ ควรจะเป็นใครในโลกความจริง ซึ่งเมื่อคนนั้น คือ คนเดียวกันกับที่เคยได้รับการโหวตจากสาวๆ ว่าเป็นหนุ่มหล่อ แสนเท่ห์ เจ้าเสน่ห์ที่สุดของฟากฮอลลีวู้ด ..หลายคนก็แอบมั่นใจไปเลย ว่านอกจากภายนอกที่ดูดี อีกภายในยังเต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพของ จอร์จ คลูนีย์ เขาคงจะมอบการแสดงที่ดีที่สุดอีกบทบาทหนึ่งเอาไว้เป็นแน่ แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิดๆกันไว้ ..เขาคือ ไรอัน บิงแฮม ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ขณะที่ ไรต์แมน กำกับคนดูได้อยู่หมัด ส่วน คลูนีย์ ก็หล่อนิ่ง แต่ยิงเงียบอย่างเฉียบขาด ..อีกสองคน ที่บทส่ง ให้เด่น เคียงคู่พระเอกอย่างมีออร่า ก็คือ สองดาราหญิงต่างรุ่น ที่คนหนึ่งกำลังกรุ่นๆได้ที่ ส่วนอีกคนอาจอุ่นเครื่องมานานพอตัว แต่เครื่องเพิ่งจะติดเอาก็ตอนนี้ กับคนแรก อาจไม่เคยคุ้นเท่าไหร่ แต่เครดิตได้บอกเอาไว้ว่าเล่นหนังดัง ..แอนนา เคนดริก ซึ่งเคยผ่านกล้องแวบๆแบบกระพริบตาก็หาย ในหนังแวมไพร์กระหายรัก Twilight ได้ก้าวพ้นมาสู่บทบาทที่โดดเด่นอย่างมีคุณค่า และยังสามารถพิสูจน์ ความมีพรสวรรค์ทางการแสดง ได้อย่างน่าจดจำ ...ถึงอาจเป็นหนึ่งในดาราประเภทที่เกิดมารุ่ง อย่างก้าวกระโดด แต่ก็เชื่อเถอะว่า คุณภาพระดับเคยชิงออสการ์รับประกันมาครั้งหนึ่ง คงจะทำให้เธอไปไกลแสนไกล ..เพียงขอแค่ เลือกบทที่ขายเสน่ห์อย่างเปี่ยมล้นได้เช่นนี้ ส่วนคนหลัง รายนี้ ใครเคยได้ดู The Departed ก็คงจะพอนึกภาพออกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เด่นที่สุด(ในบรรดารอบข้างที่ล้วนแต่เป็นดาราชายชื่อดัง) หรือให้นึกง่ายไปกว่านี้ ก็ต้องได้ดู Orphan ในบทคุณแม่(บุญธรรม)ของยัยเด็กนรกนั่นเอง ..ซึ่งแม้ว่าก่อนหน้านี้ ชื่อของ เวร่า ฟาร์มิก้า จะดูสำคัญกับการเป็นดาราตัวประกอบซะเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อเธอได้โอกาสมาประกบบทกับหนึ่งในผู้ชายที่ทรงเสน่ห์ที่สุดแล้ว ...ผมก็ได้พบว่า ผู้หญิงคนนี้ มีของที่ซ่อนไว้ และได้งัดมันออกมาใช้เพื่อต่อกรกับ จอร์จ คลูนีย์ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถ้าลองว่า ผมได้เป็น ไรอัน บิงแฮม ขึ้นมาแล้วละก็ ..ถึงต่อให้ใจแข็งได้ขนาดไหน แต่ก็คงต้องแพ้ ยอมจะหลอมละลายเป็นน้ำเหลวๆ ให้เธอได้เสียอยู่ดี เพียงหากสุดท้าย จะต้องระเหยเป็นไอน้ำ ขึ้นมาเป็นอากาศ เช่นในสถานการณ์เดียวกับที่ ไรอัน ในหนังต้องเจอ ..มันก็ไม่แปลกที่จะชอกช้ำระกำจิต เมื่อดันโดนมารยาจริตเข้าเล่นงานอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเข้าอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถึงร้ายก็รัก จึงเป็นประโยคสรุป ความเป็นตัวละครของ ฟาร์มิก้า ได้อย่างลงตัวที่สุด ..เธอเล่นได้ดี จนเกินไป! ก้าวที่ 9 : Up in the Air พลาดออสการ์หนังยอดเยี่ยมไป อาจยังพอทำใจได้บ้าง ไม่ถือสา (แต่ไม่พึงกับหนังที่ได้อยู่ดี).. แต่ก็มิวายให้รู้สึกซึมเศร้าอยู่ดี เมื่อความจริงได้ปรากฏว่า หนังเรื่องนี้ ทำดีที่สุด ก็แค่เป็นผู้เข้าชิง หนึ่งในห้าที่เหมาะสม ซึ่งมันก็พาลให้น้อยใจยิ่งๆทีเดียว กับในสาขาด้านบทหนัง (เรื่องนี้ ชิง บทดัดแปลง) ..ที่ผมก็ไม่เข้าใจว่า เพราะอะไร หนังที่ได้รับการประกาศว่าเป็นตัวเต็งในสาขานี้มาตั้งแต่ต้น ถึงได้พลาดการขึ้นเวที แล้วมองผู้ชนะเป็นเรื่องอื่นไปเสียได้ พูดอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า ผมกำลังค้อน Precious แต่อย่างใด (ขอเลือกจะยังไม่ค้อนอะไร หากตราบใดที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องที่ว่ากับตาตัวเองก่อน ..ซึ่งไม่แน่ ว่าอาจจะเห็นด้วยก็ได้) ..เพียงโดยส่วนตัวแล้ว ไม่ว่าจะมอง Up in the Air ในมุมไหน กับเรื่องของบท ผมก็เห็นแต่ ความหนักแน่นในการเล่า ความประณีตทางอารมณ์ อีกทั้งรวมถึง ความราบเรียบแต่มีพลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากหนังเรื่องไหนๆ ที่ออสการ์ให้ความสนใจในปีนี้ก็ว่าได้ ถ้าจะบอกว่า นั่นเป็นจริตส่วนตัวที่พึงชอบ ในหนังดรามาสักเรื่อง ก็อาจใช่หรอก ..แต่สิ่งที่ Up in the Air ทำได้ในที่นี้ นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย โดยเฉพาะกับการทำให้คนดูวัยยังรุ่นอย่างผม เกิดรู้สึกแก่ตัวขึ้นมาได้ในฉับพลัน นับเฉพาะเวลาหนังฉายเช่นนี้ ..นี่แหละ ที่ผมเรียกว่า มันมีพลัง ...และเป็นพลังในจิตใต้สำนึก ที่ทำให้ผมอดคิดถึงชีวิตของตัวเองในวันข้างหน้าไม่ได้จริงๆ ซึ่งก็แน่นอนที่ผมคงจะไม่เป็นแบบ ไรอัน บิงแฮม ในช่วงแรกๆ ..แต่ก็ยังกลัวตัวเองที่จะต้องรับบทคนเหงา เช่น ไรอัน บิงแฮม ในฉากจบ เอาเสียจริงๆก้าวสุดท้าย : ถึงจุดนี้แล้ว คงไม่อาจมีคำใดสรุปกับ Up in the Air ได้ดีไปกว่าคำว่า Perfect แม้มันจะได้รับการประเมินความเยี่ยม เพียงแค่มีโอกาสติดหนึ่งในสิบของหนังแห่งปี ..แต่หากว่าผมเป็นอีกคนที่ได้ประเมิน ผมย่อมจะส่งชื่อๆนี้ เป็นหนึ่งเดียวที่ อาจเอื้อมกับรางวัลหนังยอดเยี่ยม โดยไม่มีข้อแม้ แล้วถ้าไม่วัด ว่านี่คือหนังหวังรางวัล คุณภาพเลิศ แล้วละก็ ..นี่ก็ยังต้องเป็น หนังดี มีคุณค่า อีกหนึ่งเรื่อง ที่ต้องดู สำหรับปีนี้ ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ...ครับเกรด A ... { }ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date : 16 เมษายน 2553
Last Update : 16 เมษายน 2553 1:54:42 น.
3 comments
Counter : 2457 Pageviews.
โดย: Nanatakara วันที่: 16 เมษายน 2553 เวลา:2:15:15 น.
โดย: 447 IP: 58.9.184.36 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:8:25:19 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30