"The Guardian" ... คลื่นลูกเก่าจากไป ยังมีคลื่นลูกใหม่ตามมา
The Guardian ... หนังแนวแอ๊คชั่น ดรามา ชิ้นล่าของผู้กำกับที่เคยสร้างงานระทึกลุ้นมันส์ หนังแฮริสัน ฟอร์ด "The Fujitive" เป็นเรื่องราวของกลุ่มคนที่เลือกจะฝากชีวิตไว้กับทะเลคลั่งและยอมเสียสละทุกสิ่งเพื่อต้องการช่วยเหลือผู้คนให้รอดพ้นจากความตายหน่วยยามชายฝั่งสหรัฐ (U.S. Coast Guard) เป็นหน่วยงานที่มีอายุการใช้งานมานานกว่า 200 ปี ก่อนที่กองทัพเรือจะทันส่งคนเข้าไป หน่วยนี้จะเป็นหน่วยแรกที่ต้องไปถึงสถานที่อันตรายก่อนใครเพื่อน เพื่อทำการช่วยชีวิตให้กับคนที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ร้ายๆในท้องทะเล"เบน แรนดัลล์" คือ The Guardian ในตำนาน เขาคือ ผู้สร้างสถิติช่วยเหลือคนให้รอดชีวิตได้มากที่สุด ...เขาไม่เคยหวั่นกลัวภัยใดๆในท้องทะเลที่มันกำลังเกิดเลยสักครั้ง เขาหวังเพียงแต่จะทำการยื้อชีวิตคนกำลังจะตายให้ได้จำนวนเยอะที่สุด และก็ไม่สนด้วยว่าเขาอาจจะตายเพราะการเสี่ยงที่ไม่ควรจะเสี่ยง ...แต่แล้วสิ่งที่เขาไม่เคยคาดฝันว่ามันจะเป็นไปก็ได้เกิดขึ้น ...เมื่อการออกไปช่วยชีวิตคนอื่นในสภาวะอันตรายได้นำมาซึ่งความตายของเพื่อนร่วมทีมทุกคน และก็มีแต่เขาเท่านั้นที่รอดชีวิตกลับมาได้ หลังจากฝันร้ายที่ได้ทำลายความมั่นใจของเบน ไปจนแทบหมด เขาจึงโดนบังคับ(แกมขู่)จากผบ.ให้ไปทำงานเป็นครูฝึก เพื่อหวังจะให้เขาได้พักฟื้นแผลใจ และสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพให้ กับหน่วย ...ในการเข้าไปของเบนได้ ทำให้ระบบระเบียบการสอนพื้นฐานต้องเปลี่ยนแปลงไปเสีย อีกทั้งยังกลายเป็นครูฝึกที่นักเรียนต่างพากันหมั่นไส้ โดยเฉพาะกับ "เจก ฟิสเชอร์" ผู้ซึ่งโดนเบนเล่นงานทุกเวลาที่มีโอกาส แต่ก็ด้วยประสบการณ์เลวร้ายเรื่องหนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างก็เคยเจอมาเหมือนกัน ได้กลายเป็นเครื่องช่วยปรับช่วยจูนให้ เบนกับเจก ได้เข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ทั้งก่อให้เกิดมิตรภาพระหว่างครูกับศิษย์ที่แน่นแฟ้นจนเมื่อ เจคเรียนจบและได้รับเข้าทำงานในสังกัดเดียวกันกับเบน มิตรภาพของคนต่างรุ่นก็เลยได้สานต่อมาด้วยการเปลี่ยนสภาพเป็นเพื่อนร่วมงานที่ต่างก็มีความห่วงใยต่อกัน จนกระทั่งถึงภารกิจที่สุดท้าทายของคนทั้งสอง ...ขณะที่คนหนึ่งต้องเข้าไปช่วยเหลือคนที่ติดอยู่ในเรือกำลังอับปาง อีกคนก็ต้องลงเรือเพื่อรักษาชีวิตของอีกคนที่เลือกจะเสี่ยงเอาไว้ให้ได้ เมื่อคลื่นลูกใหม่ที่มาแทนที่ คิดจะซัดไปตามคลื่นลูกเก่าที่เขาหวังจะเป็น... แล้วกับคลื่นลูกเก่าที่เพิ่งผ่านพ้นไป จะทำอย่างไรกับคลื่นลูกใหม่ลูกนี้ที่เขาหวังจะให้เป็นตาม ...? หลังจากสร้างงานชิ้นก่อนที่ดูจะน่าผิดหวังขึ้นมาอย่าง "Collateral Damage" (เป็นอีกหนึ่งหนังผู้ว่าฯอาร์โนลด์ คนเหล็ก ที่แป้กสนั่น ในช่วงบั้นปลายชีวิตนักแสดงของเขา) ...ผกก. แอนดรูว์ เดวิส ก็ห่างหายจากการจับหนังไปก็ราว 5-6 ปี จนมาถึง The Guardian เรื่องนี้ ...การกลับมาจับหนังที่มีอารมณ์ความเป็นดรามาสูงเช่นนี้ เลยกลายเป็นความท้าทายอยู่อย่างหนึ่งซึ่งผกก.คนนี้เลือกจะลอง ...ด้วยความที่เดวิสมีความถนัดกับหนังแนวทริลเลอร์ระทึก อารมณ์ขึงขังมาแทบตลอด การเปลี่ยนมาทำโทนเบาๆอย่างจริงๆจังๆในครั้งนี้ เลยเป็นอะไรที่ให้รู้สึกเซอร์ไพรส์นิดๆ หนังดำเนินเรื่องได้อย่างมีความน่าติดตาม ทั้งในส่วนที่เป็นภารกิจการช่วยเหลือ ...ซึ่งได้บรรยากาศของทะเลคลั่งบวกกับมุมกล้องการถ่ายภาพมาช่วยเสริมความระทึกใจได้เป็นอย่างดี กับในส่วนที่เป็นการฝึกนักเรียนใหม่ ...ซึ่งดูเป็นการเรียนที่น่าสนุก (แต่ความเป็นจริงมันคงไม่ใช่เรื่องเล่นๆแน่) การฝึกแต่ละอย่างแต่ละด้าน หนังก็เลือกเอามาใส่ได้น่าสนใจ (ผมชอบการฝึกทนความหนาวในบ่อน้ำแข็ง และการใช้เพื่อนช่วยกันดันก้อนอิฐในสระน้ำ) การกำกับของ ผกก.เดวิส สามารถคุมอารมณ์หนังส่งผลต่อเนื่องไปยังคนดูได้เป็นอย่างดี ...ในฉากขายระทึกอันเป็นงานถนัด เขาก็สามารถเอาได้อยู่หมัด ส่วนกับฉากขายความเป็นดรามา เขาก็จัดการโทนอารมณ์ให้อยู่ในช่วงจังหวะที่กำลังพอดี ไม่พยายามบีบให้ฟูมฟายจนเกินไป (หนังสามารถเรียกน้ำตาผมได้ จากฉากที่ เบน เรียกพบ เจค หลังจากที่ฝ่ายหลังเพิ่งหาเรื่องกับทหารเรือมาแหม่บๆ) ...ความโรแมนติกของหนังก็ดูจะมีบทบาทเข้ามาช่วยผ่อนคลายความเป็นบุรุษของหนังให้มีแง่คิดแง่มุมดีๆได้อย่างเหมาะเจาะ (ฉากที่เบน พูดว่าเขาก็เหมือนคนที่มีสัญชาตญาณไม่อยากตาย ด้วยการกดหัวภรรยาตัวเองให้จมน้ำ ...เป็นคำพูดที่เหมือนจะตั้งใจประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างไงอย่างงั้น แต่อารมณ์คนพูดก็ช่วยทำให้ไดอะล็อกนั้นมันดูจะเฉียบคมกระแทกใจคนมีความรักได้ดีเชียว) การแสดงของ "เควิน คอสเนอร์" อาจจะดูเดิมๆไปสักหน่อย แต่การเป็น "เบน" ของเขา ก็ดูจะเอื้อไปกับอารมณ์หนังอย่างเต็มที่ ทั้งความขึงขังในมาดครูฝึก ความอ่อนแอจากการสูญเสียความเชื่อมั่น และความเสียใจที่ความรักของเบนกับภรรยาไปกันไม่รอด ...ส่วนบทโชว์หน้าละอ่อนหล่อเหลาของ "แอชตัน คุชเชอร์" กับการเป็น "เจค" ก็ทำหน้าที่ได้ดี ดูจริงจังกับการแสดงที่เขาได้สวมลงไปในทุกฉาก เขาสามารถลบภาพเก่าๆที่เราคุ้นเคยในหนังตลกโปกฮาได้หมดไปเหมือนเช่นครั้งที่เขาเคยทำได้ใน The Butterfly Effect มาแล้ว ดูจากองค์ประกอบหลายๆอย่างที่หนังเรื่องนี้มีแล้ว ก็ดูจะเป็นการไม่ยากที่จะทำให้เกิดความรู้สึกประทับใจในคนดูได้เลยทีเดียว ...แต่ก็ด้วยเพราะ มีจุดบกพร่องบางอย่างที่หนังออกจะให้มามากเกินไป ซึ่งสำหรับผมก็หมายถึง ความยาวของหนังกับฉากสุดท้ายที่ออกจะเป็นสูตรตายตัวไปสักหน่อย ...ในระดับความยาว 2 ชั่วโมงกว่าๆนี้ ถ้าจะทอนลงมาอีกสักสิบนาทีกับการตัดฉากช่วงหลังที่ออกจะยืดเยื้อแล้ว มันก็น่าจะพอเพียงต่อการดึงใจคนดูให้รู้สึกอยากติดตามได้อย่างคงที่ ส่วนกับฉากจบที่ดูเหมือนจะทำให้กินใจได้เลยนั้น แต่ก็ด้วยมุขเก่าๆซึ่งหนังเอามาเลือกใช้นั้น ดันกลายเป็นสิ่งที่เดาได้ง่าย ก็เลยไม่สามารถทำให้ภาพในฉากนั้นกลายเป็นความใจหายสำหรับคนดูอย่างผมได้เลยแม้แต่น้อยThe Guardian ... ดูสนุกในความเป็นหนังแอ๊คชั่น ให้ความเพลิดเพลินในการดำเนินเรื่องและบทบาทแสดงของสองดารานำที่ทำออกมาได้อย่างลงตัว นี่ถือเป็นงานหนังดรามาที่เข้าขั้นดี แต่ก็เพราะมีบางสิ่งที่ไม่เอื้ออำนวยไปซะหมดที่ส่งผลให้ความอิ่มใจในตอนจบนั้นยังไม่มี ...แต่ผมกล้ายืนยันจะพูดว่าผมชอบ และก็น่าจะเป็นหนังอีกเรื่องในช่วงนี้ที่พอจะมีอะไรดีๆทำให้ทุกคนที่ได้ดูรู้สึกชอบได้ไม่ยากเช่นกันครับ เกรด B+ ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 02 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2549 0:14:59 น.
3 comments
Counter : 2811 Pageviews.
โดย: Pdmj (Pdmj ) วันที่: 2 พฤศจิกายน 2549 เวลา:0:29:27 น.
โดย: hikawa IP: 141.44.163.169 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2549 เวลา:3:52:30 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ