"Drag Me to Hell" ... สยองแบบเบๆ แต่โอเคมากๆ ที่มันช่าง.. แหม! ทำไปได้
จะมีสักกี่น้อยมากคน ผู้เป็นวัยสะรุ่น ณ ปัจจุบันนี้ ที่จะรู้จักว่า ก่อนหน้าได้มาทำหนังไอ้แมงมุม ฉบับไตรภาค กวาดเงินถล่มทลายทั่วโลกา ..ผู้กำกับที่เป็นที่จดจำที่สุดในบรรดาคนทำหนังซูเปอร์ฮีโร่ด้วยกัน อย่าง แซม ไรมี่ จะเคยมีก้าวแรกในชีวิตคนทำหนังแบบไม่น่าเป็นไปได้ คือ การเป็นผู้กำกับและเขียนบท หนังสยองขวัญ สั่นประสาท บวกกับยังจะเป็น เจ้าของผลงานหนังผีที่คลาสสิคที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในโลกมาก่อนด้วยล่ะนั่น คือ ถ้าเป็นคนที่เกิดทัน ได้ดูหนัง ยี่สิบกว่าปีก่อน คงเข้าใจเป็นอย่างดี ว่า แซม ไรมี่ ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ...แต่สำหรับคนยุคนี้ ที่มักจะชื่นชอบความใหญ่โตโอฬารของงานเทคนิค ผสมรวมกับความตื่นตาในหนังแอ๊คชั่นฟอร์มใหญ่ คงอยากจะเชื่อว่า คนอย่าง แซม ไรมี่ ไม่น่าจะทำหนังที่ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างในบริบท ล้วนแต่ดูเป็นเกรดบี๊ เกรดบี เช่นกับที่เขาได้ทำมันขึ้นมา ให้เป็นหนังสยองขวัญ สั่นประสาท นามว่า Drag Me to Hell ซึ่งพลอตของมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก ..เรื่องราวมันก็แค่เริ่มมาจาก ตัวนางเอกของหนัง มีการงานเป็นพนักงานธนาคารในฝ่ายสินเชื่อ ที่ต้องดูแลและช่วยเหลือผู้ที่เข้ามากู้เงินไว้กับธนาคาร ผ่านการพิจารณา และตัดสินใจของตัวเธอเอง ...และเมื่อกอปรกับการที่ตัวนางเอก ได้มีความทะเยอทะยาน อยากจะก้าวขึ้นไปรับตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเธอก็สามารถ ไม่แพ้ใคร เธอจึงได้เลือกตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ที่จะบอกปัดความช่วยเหลือจากหญิงชรานางหนึ่ง ที่หวังจะอ้อนวอน ให้ธนาคารไม่ยึดบ้านที่แสนรักของนางไป ...ซึ่งตัวนางเอก ก็คงจะคิดถูกแล้ว ถ้ามองว่าเธอก็ทำไปตามหน้าที่ ที่พึงเป็น (คือ หน้าที่ประจบสอพลอเจ้านายนั่นเอง!!) แต่มันกลับผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในทันที ...ที่เธอได้ล่วงรู้ว่า แท้ที่จริง หญิงชราผู้นี้ คือ คนมีของ ..และของที่ว่า ก็กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของนางเอก ให้มันเหมือนว่าเธออาจจะต้องตกนรกทั้งเป็นไปชั่วกับชั่วกัลป์ แล้วนี่ก็คือ พลอตเรื่องของหนัง ที่มีแค่เพียงชื่อเรื่อง ก็มีความหมายอย่างตรงไปตรงมา มากพอจะทำให้เรารู้เรื่องทั้งหมดได้แล้วเชียว แต่ถึงเอาให้รู้แค่นี้ ก็อย่าได้คิดดูถูก กับคนมีของ ที่ชื่อว่า แซม ไรมี่ เลยเชียว ...เพราะ ถ้าลองได้รู้ว่า ผลงานแจ้งเกิดของเฮียคนนี้ คือ บรรดาหนังในตระกูล Evil Dead แล้วละก็ ...คงเถียงไม่ออก ไม่ว่าจะกรณีไหนเลยจริงๆ ซึ่งแม้ว่าส่วนตัวผมจะยังไม่เคยได้ดูหนังในตระกูลที่ว่านี้มาก่อนด้วยซ้ำก็เถอะ ...แต่จากที่ได้ยินเสียงเล่าอ้างเมื่อหนเก่า ก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ ที่ เฮียแซม จะยังเลือกกลับมากับแนวทางนี้ แล้วเกิดอีกทีได้อย่างสง่าผ่าเผย ยิ่งพอได้เห็นของจริง ของตัวจริง แบบเต็มๆ ...ก็ยิ่งต้องยอมเชื่อเลยว่า เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ ซึ่งกระทั่งว่า Drag Me to Hell จะไม่ได้พยายามขอแหวกแนวสยองให้แปลกไปกว่าชาวบ้านที่เขาทำมา ..มิหนำซ้ำยังออกจะหยอกล้อ หนังผีเมื่อหลายสิบปีก่อนก็เถอะ ...แต่เอาเข้าจริง เมื่อมันมาอยู่ในยุคนี้ ในยุคที่ หนังสยอง แทบจะพยายามทำตัวให้แปลกตลอดเวลา ..หนังเฮียแซม เลยกลับตาลปัตรกลายเป็นของแปลกที่น่าประหลาดสำหรับคนยุคนี้ ไปเสียชิบ ความประหลาดของ Drag Me to Hell ไม่ได้อยู่ที่... การเดินเรื่องแบบตรงไปตรงมา ไม่มีเล่าซับซ้อน ยอกย้อน กลับกลอก อีกยังจะมุ่งหน้าไปสู่เงื่อนไขเพียงสิ่งเดียว ที่ตัวละครเอกต้องบรรลุให้พ้นจนได้เมื่อถึงตอนจบ ..แม้จะพอเข้าใจว่า มันหาไม่ค่อยได้ในหนังสยองยุคนี้ที่ชอบหาเรื่องให้สับสนไปเรื่อย แต่นี่ก็ยังจัดเป็นสูตรสำเร็จอย่างหนึ่ง ที่เคยสร้างหนังสยองคลาสสิคได้อีกมากมายมาก่อนเช่นกัน แต่ความประหลาด ที่ผมรู้สึก และได้รับจากมันอย่างชัดเจน ชนิดที่หนังสยองหลายเรื่องในเวลานี้ทำไม่ค่อยได้ ก็คือ ...ความมีเสน่ห์อย่างประหลาด ที่เย้นยวนชวนตามติด จนไม่น่าเชื่อว่าหนังสยองเรื่องนี้ จะทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าเราเป็นตัวละครเอกในหนังเรื่องนี้ไปกับเขาด้วย มันเป็นความจริงอย่างที่นักวิจารณ์มะกันเขาเชียร์กันอย่างเว่อร์เลย ว่า.. Drag Me to Hell สามารถจะทำให้เรากลายเป็นคนที่อยู่ในเรื่องราวและสถานการณ์ของหนังได้อย่างหมดตัวหมดใจ ..อย่างกะว่าเราจะโดนลากลงนรกไปกับนางเอกด้วยล่ะนั่น ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นไปด้วยอานิสงส์ของบริบทรอบข้าง ที่แม้จะดูว่าเป็นหนังเกรดบี๊ เกรดบี อยู่นั่นแล ...แต่ก็เอาอย่างเชื่อได้เลย ว่านี่มันเป็นการทำหนัง ที่รวมงาน และคนระดับเกรดเอ เอาไว้ในเรื่องเดียวกัน แทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้กำกับ เฮียแซม ที่อย่าว่าแค่รักษามาตรฐานชื่อเสียงของตัวเองไว้ได้เลย (ที่อาจจะแอบดรอปๆไปหน่อยๆหลังจาก Spider-Man 3 ออกฉายไปนั่นแหละ) ..แต่ยังจะทำให้คนดูหนังได้สนุกกับหนังสยองที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหนังแนวนี้ด้วยกัน ...ซึ่งถ้าจะทำให้ถึงเท่า ไม่ใช่แค่ใช้ความสามารถในการทำหนัง แต่ยังต้องมีของแปลก และนำเสนอมันออกมาในรูปแบบที่ทำให้ใครต่อใครต้องมองว่า มันดูเป็นอะไรที่ใหม่ ได้อีกด้วย โดยเฉพาะกับการกำกับจังหวะ ที่ทุกอย่างในทุกฉากอยู่ในการควบคุมของ เฮียแซม ได้อย่างเต็มที่ ..ทำให้เหมือน เขารู้ดีว่า ณ จุดๆนั้น ในฉากๆนี้ จะทำให้คนเกิดความรู้สึกสยอง หลอกหลอน ได้โดยสำเร็จอย่างไร ซึ่งแม้โดยเงื่อนไขของฉากเหล่านั้น มักจะลงในอีหรอบที่ว่า เคยมีมาแล้วในหนังสยองเรื่องอื่นๆ ...แต่ก็กลายเป็นว่ามุขเก่าๆ เดิมๆ ที่เคยทั้งได้ผล และไม่ได้ผล มาก่อน เมื่อมันมาอยู่ในการควบคุมของผู้กำกับที่มีฝีมือจริงๆ แล้ว ยังจะสามารถเล่นงานคนดู ได้คุ้มค่า จนคลุ้มคลั่ง แทบทั้งหมด ถึงจะบอกว่า มันเป็นอะไรที่ดูเบสิคเหลือรับ สำหรับหนังสยองเรื่องหนึ่ง ที่ไม่ยอมคิดหาสร้างมุขใหม่ๆให้น่าแปลกใจเกินกำลัง... แต่ Drag Me to Hell ก็ไม่ทำให้มันดูน่าเบื่อ จนต้องบ่นในใจ ว่า ทำมาเพื่อ...!! เหมือนหนังแนวนี้อีกหลายเรื่อง ที่เดินตามรอยความสำเร็จต้อยๆ แต่ไม่ทำให้ใครคล้อยตามจะสนุกอย่างที่ต้องการได้เลยอีกอย่างที่จัดว่า 'ขึ้นหิ้ง' ในบรรดาหนังสยองยุคใหม่ด้วยกัน สำหรับ Drag Me to Hell เรื่องนี้ ..ก็คือ บทหนัง จากฝีมือของสองพี่น้องไรมี่ (ที่มีคนน้อง อีวาน ไรมี่ มาแจมด้วย) ที่เขียนและเล่าเรื่องได้อย่างตรงไปตรงมาในที แต่ก็ไม่วายแอบฉลาดหลายๆที ที่สามารถระโยงระยางเอา ทั้งเรื่องใหญ่ที่เป็นพลอตหนัง และเรื่องเล็กเรื่องน้อยที่ดูเหมือนไม่สำคัญ ไล่ใส่เข้ามาตามรายทาง ซึ่งไอ้ที่ว่ามันอาจจะดูไม่สำคัญเท่าไหร่นี่แหละหนา ...ที่กลายกลับมาเป็นตัวสร้างเซอร์ไพรส์ชั้นดี ให้กับเรื่องราวโดยรวมของหนังเรื่องนี้เสียซะอย่างงั้น แม้มันจะจัดว่าอยู่ในแนวทางที่พอเดาความต้องการได้ ...แต่ก็น่าแปลกประหลาดยิ่งนัก ที่ผมยักไม่รู้สึกเอะใจ อีกยังพลาดพลั้ง จะเจอหนังตลบหลังเข้าอย่างจัง จนแทบช็อก!!! และเป็นการช็อก เพราะไม่อยากเชื่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จะทำให้ผมรู้สึกโง่ไปเลย ที่เคยมองข้ามในความไม่สำคัญของมันไปเสียหมด ด้วยการเล่า อย่างมีลำดับขั้นตอน และดำเนินอารมณ์อย่างเป็นสเตปทีละขั้นๆ ตามไปพร้อมกับเวลาที่บีบรัดให้ตัวละครต้องรีบทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองรอด ..ดูเหมือนว่า บทหนังที่เขียนมาด้วยพลอตง่ายๆแต่ต้น เรื่องนี้ ยังคงจะแฝงความยากอยู่ในตัวของมันมาพร้อมสรรพด้วย โดยเฉพาะกับการสร้างเงื่อนไขที่ทำให้คนดูหงายหลังเมื่อรู้ความจริงไม้ตาย ไม้เด็ด ที่สองพี่น้องไรมี่คู่นี้ ได้ถือเอาไว้ ..จัดว่า อาจยังเป็นอะไรที่ไม่ล้ำลึกนักหรอกในกลวิธีแสดงออกของมัน แต่ถ้ามองตามกรณีที่หนังพยายามจะทำให้มันมีคุณค่าน้อยที่สุดแล้วละก็ ...ผมยอมรับเลยว่า ไม้ตาย ไม้นี้ เล่นงานกับผมได้ถึงปางตายทีเดียวเชียว และมันก็เล่นสนุก อย่างแสบ และร้ายกาจ เสียยิ่งกว่า การแอบทำตัวเป็นหนังตลกของมัน ..ที่โดยส่วนตัวของผม ยังไม่รู้สึกจะได้ก๊ากกับมันอย่างเต็มที่(เช่นที่หลายคนบอกว่ารู้สึก) แต่ต้องยอมรับว่าหลายๆฉาก มันแสดงออกมาช่างน่าขบขันได้อย่างเงียบเชียบเสียจริงๆ (ผมหมายถึงว่า มันเป็นมุข ตลกร้าย ล่ะนะ)นอกเหนือจากงานกำกับจังหวะสยองชั้นเลิศ และบทหนังเล่าสนุกชั้นเซียนแล้ว ..Drag Me to Hell ยังใช้ศักยภาพของการเป็นหนังสยองขวัญ สั่นประสาท ได้อย่างคุ้มค่า ด้วยการถ่ายภาพ และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งๆ กับการใช้เสียง ...ที่สามารถเอาคนดูได้อยู่จริงๆ กับการทำให้สะดุ้งเฮือกๆ อย่างได้ผลเต็มที่ สำหรับใครที่อาจจะบ่นๆว่าพักหลังๆ หนังสยองเน้นสะดุ้งกันง่ายๆ ทำเบาะสะเทือนบ่อยๆ จนน่ารำคาญ ..เชื่อว่า หนังเรื่องนี้ คงจะไม่หาเรื่องทำให้โดนบ่นได้ ...มิหนำซ้ำ ยังจะสนุกทุกทีที่ได้สะดุ้งเสียเปล่าๆ ส่วนการแสดงของนักแสดงในหนัง ..แม้โดยส่วนตัวจะไม่มีใครที่ทำได้น่าประทับใจเป็นพิเศษจริงจัง อีกยังดูจะมาพร้อมรูปแบบเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวนางเอก(+แก๊งผู้ช่วยนางเอก) หรือยัยแม่หมอตัวร้าย กับคู่อาฆาตตัวรอง (หรือจะเรียกว่า ตัวอิจฉา ก็ได้ ..ที่งานนี้กลายกลับเป็นผู้ชายซะงั้น!!? ) ..แต่ทุกคน(ที่ไม่ค่อยดัง)ก็ทำหน้าที่ที่ตัวเองได้รับเสียดิบดี สนุกไปกับหนังได้อย่างถึงตามแต่ระดับจุดพีคของแต่ละคาแรกเตอร์ อีกยังจะดูมีมิติซ้อนซับ มากไปกว่าการแสดงของดารา(ดังๆ ระดับซูเปอร์)ในหนังสยองขวัญอีกหลายๆเรื่อง ที่ทำได้แค่ออกมากรี๊ดๆ หวีดๆ วิ่งหนี แล้วก็จบเห่ ...ถึงต่อให้มีฝีมือในหนังแนวอื่นๆแค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้ตัวเองดูดีได้เลยในหนังแนวนี้ ..มันช่างน่ารำคาญเสียจริง!!!Drag Me to Hell ...คือ ความสยองแบบง่ายๆ ที่มาพร้อมกับนิยามของคำว่า แหม! ทำไปได้ ผุดขึ้นมาอยู่ในหัวของผมได้หลายครั้ง หลายครา ...ซึ่งมันก็ไม่ใช่แค่ทำไปได้แบบว่าเรื่อยเปื่อย หากแต่ยังทำได้ถึงในจุดที่หนังสยองหลายๆเรื่องไม่เคยไปถึงได้เลยด้วยซ้ำ ใครที่กำลังมองหาอยากดู หนังสยองขวัญ ที่สนุกได้อย่างจริงจัง ..ก็ขอเรียนชวนทุกคนมาร่วมตีตั๋ว เดินทางไปเที่ยวชมนรก โดยพร้อมกัน ทริปนี้ ขอรับประกัน ณ ตรงนี้ ว่า ได้ตายชัวร์ ..แบบไม่ทันจะได้ร้องขอชีวิตโดยแน่แท้!! ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ...ครับเกรด A ... { } ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date : 14 มิถุนายน 2552
Last Update : 14 มิถุนายน 2552 1:50:13 น.
7 comments
Counter : 4404 Pageviews.
โดย: จ๊ะเอ๋ (เจ๋อ๊ะ ) วันที่: 14 มิถุนายน 2552 เวลา:1:36:34 น.
โดย: negima_xx วันที่: 14 มิถุนายน 2552 เวลา:2:43:04 น.
โดย: CrackyDong วันที่: 14 มิถุนายน 2552 เวลา:5:37:08 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 17 มิถุนายน 2552 เวลา:11:57:35 น.
โดย: เบน IP: 203.156.35.253 วันที่: 19 มิถุนายน 2552 เวลา:12:37:40 น.
โดย: jeda IP: 203.157.48.252 วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:46:11 น.
โดย: PRIVATE IP: 223.206.183.52 วันที่: 26 มีนาคม 2554 เวลา:16:19:17 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30
แต่ทำใจไปดูไม่ได้ง่ะ
วันนี้ก็เลยดูเรื่อง UP ปู่ซ่าฯ แทน อิ อิ อิ น่ารักมากๆ ค่ะ
ไปดูมาหรือยังคะ