ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ {The Best of 2008} : "10 ฉากในหนัง" ...ที่สุดแห่งความประทับใจของผม คือ... ?
ขอสวัสดีปีใหม่ 2552
และยินดีต้อนรับ ทุกๆท่านเข้าสู่การสรุปทุกความรู้สึกของผม OncE UPoN'-'a MaN ที่มีต่อเรื่องราวของภาพยนตร์ ใน 365 รอบวันที่ผ่านมา ในปี 2551 ที่เพิ่งพ้นไป ...กับ "ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์" {The Best of 2008} นะครับ... คราวที่แล้ว ผมได้เริ่มต้นไปด้วยการนำเสนอ 16(+1) การแสดงยอดเยี่ยมในหนังสุดประทับใจ ของผมไปเป็นอันเรียบร้อย (ย้อนกลับไปดูได้..โดยคลิกที่แบนเนอร์ข้างล่างครับผม) ก็ขอว่ากันด้วยรายละเอียดต่อไป กับหนังที่ผมประทับใจ ..ในส่วนของฉาก ที่ประกอบเป็นเรื่องเป็นราว อันคือ เหตุการณ์ที่ทำให้ผมจดจำหนังเรื่องนั้นๆได้เป็นอย่างดี
The Best of Scene ฉาก ที่เป็นที่สุดแห่งความประทับใจ และต่อไปนี้ ก็คือ 10 อันดับของฉากในหนังที่สุดแห่งความประทับใจ ประจำปี 2008 ของผม อันมีดังต่อไปนี้...อันดับที่ 10 ฉากนี้ ..อาจจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากมาย หากมองว่าเป็นมุขตลกมุขหนึ่งที่คนเขียนบทคิดค้นขึ้นมาได้ เพื่อหวังจะสร้างความสุขกับคนดู แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นฉากที่สร้างสรรค์พันลึก ครึกครื้นด้วยความมันส์ พร้อมทั้งพรั่งพรูเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ..จนต้องรู้สึกนับถือในคนคิดมุขอย่างรุนแรง ที่สามารถประยุกต์เอาวิทยายุทธ์ อุปกรณ์เครื่องใช้ และอาหารของชาวโลกตะวันออก มาใส่ความน่ารักน่าเอ็นดู ปนความช่างล้อแบบฉบับดรีมเวิร์คสอนิเมชั่นได้อย่างลงตัวสุดกึ๋น จนขณะหิวกำลังได้ที่ เมื่อดูหนังจบ ..ผมก็ต้องรีบไปหาจกซาลาเปาเซเว่นฯมาหม่ำอย่างทันท่วงที ก่อนที่อาจจะมีใครแกล้งผมเอาตะเกียบมาคีบมันไป (อย่างนี้เรียกว่า ตลกบริโภค ได้เลย 555+) ฉากๆนั้น ก็คือ... ฉากที่ 'โพ' ต้องแสดงกังฟู แย่งซาลาเปาจาก'อาจารย์ชิฟู' ..ใน Kung Fu Panda Review.. "Kung Fu Panda" ... เคล็ดหลักวิชาในตำรา(Dreamworks) คือ รวบรวมลมปราณ แล้วปล่อยฮาให้มันสุด อันดับที่ 9 นี่คือ หนึ่งในฉากแอ๊คชั่นทุนสูง ที่มีอยู่มากมายของหนังผจญภัยฟอร์มใหญ่ยักษ์ที่หลายๆคนรอคอย ..แล้วมักจะพานพบว่ามันน่าผิดหวัง แต่สำหรับผม ..แค่รู้สึก และยังสามารถจับต้องถึงกลิ่นอายเก่าๆได้อยู่ มันก็ดีมากพอจะยังรู้สึกสนุก ...แม้มันจะไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่แล้วก็ตามทีเถอะ ซึ่งกับฉากที่ผมประทับใจนี้ ..มันอาจไม่ได้ขายหรือโชว์ความหวือหวาอะไรมากมายตามสไตล์หนังแอ๊คชั่นของปัจจุบันวันนี้ หากที่แท้แล้ว มันคือการริลองของเก่าเอามาเล่นใหม่ล้วนๆ ..แต่ก็ด้วยความสามารถล้วนๆ เช่นกันของพ่อมดฮอลลีวู้ด สตีเว่น สปีลเบิร์ก ที่คงอยู่ตัวกับฉากสเกลใหญ่แบบให้ความบันเทิงได้สุดๆมาตลอดนี่เอง จึงให้ผลลัพธ์เป็นความสนุกขนาดมหึมา และชวนให้น่ารักน่าลุ้นในการสู้สังขารอันโรยราของสิงห์เฒ่า ในฉากไล่ล่าที่แทบทุกภาคจะต้องมีเล่นกันอย่างนี้เป็นภาคบังคับไปแล้ว ..แต่มันก็สนุกกันได้ทุกทีสิน่า ฉากๆนั้น ก็คือ... ฉากขับรถไล่ล่า และต่อสู้ในป่าดิบ ..ใน Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull Review.. "Indiana Jones and The Kingdom of the Crystal Skull" ... วันวานเคยเป็นยังไง วันนี้ก็ยัง..เก๋าอยู่ อันดับที่ 8 มันคือฉากที่ผมเคยเกริ่นเอาไว้ในคราวก่อนที่ว่าถึงนักแสดงหญิงแห่งปีคนหนึ่ง คือ เจสส์ วีซเลอร์ ..กับหนังที่แหวกแหกพลอตตลาดๆ จนเป็นที่น่าปรารถนาจะได้ดูของชายหนุ่มตัวหื่น จากที่ผมบอกไว้ว่า นางเอกของเรื่อง ทำตลกหน้าตาย ได้สุดยอด มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!! ..หลายคนคงจะไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร ถ้ายังไม่ได้ดู ฉะนั้นผมจะขอไม่สปอย และเชิญชวนให้ท่านคอหนังไปสดับรับฮากันด้วยตัวเองจะดีกว่า (ถ้าสุดท้าย คุณไม่ฮาอย่างผม ..ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยเน้อ) ฉากๆนั้น ก็คือ... ฉากจบ ของ Teeth อันดับที่ 7 นี่คือ หนึ่งในฉากที่ตั้งใจขอให้ฮา ของหนังสงครามทำตลกวายป่วง ที่นำพาให้เหล่าดาราซูเปอร์สตาร์ต้องพบความลำบาก จนแทบจะขอฝากชีวิตไว้ให้มัจจุราชช่วยดูแล จะไม่ให้ท่านมัจจุราชต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวได้อย่างไรล่ะ ..ในเมื่อชีวิตของนักแสดงเหล่านี้ ต้องถูกห้อมล้อมไปด้วยกับระเบิดที่ผู้กำกับท่านต้องการจะทำให้เหล่าดาราตัวแพงเกิดอินเนอร์ขึ้นมาได้ด้วยความพยายามไม่ต้องมาก แต่ไปๆมาๆ อยู่ดีๆ(ไม่ว่าดี) ผู้กำกับ (บทของ "จอน เฮเดอร์" )ที่ต้องการอยากจะให้หนังสุดยอดแห่งความสมจริง กลับเจอดีซะเอง ซึ่งเป็นการเจอดีที่น่าตกใจปุบปับที่สุด แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ฮาทันท่วงที และหนักหน่วงความปวดกรามที่สุดเท่าที่หนังเรื่องนี้ให้ผมได้เลยทีเดียว ที่ว่าเจอดีในที่นี้ คืออะไร ..ใครดูหนังแล้วคงรู้ดี แต่ใครยังไม่ได้เห็นกับตา ขอบอกว่าต้องดูและฮาด้วยตัวเองอีกแล้ว ..หากก็ต้องเตือนกันก่อนสักนิดว่า ห้ามกระพริบตา หรือหันหน้าไปมองอะไรอื่นๆ เป็นอันขาดอีกด้วยเน้อ (มิงั้นก็ต้องกลอหนังกันเอาเอง อิอิ) ฉากๆนั้นก็คือ... ฉากผู้กำกับหนังเจอดี ..ใน Tropic Thunder Review.. "Tropic Thunder" ... สงครามบ้า ฮอลลีวู้ดอ่วม คนดูมันส์ (หนัง)ตลกในฝัน อันดับที่ 6 จากเรื่องราวของหนังที่ว่ากันด้วยความบ้าคลั่งของคนชั่วสุดขีด สองคน ที่คนหนึ่งใช้น้ำมันเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งอย่าง และอีกคน เอาศาสนามาบังหน้า เพื่อความมีอันจะกินของตัวเอง ..เหตุการณ์ของมันที่ไม่น่าอภิรมย์ ได้ดำเนินมาสู่จุดสุดท้ายที่คู่อริสองคน ได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง และเป็นครั้งสุดท้ายที่สองคนนี้จะเปิดอกเปิดใจตามประสาคนชั่ว มามั่วกันแต่เรื่องความเลวของตัวเองล้วนๆ แม้นี่จะเป็นเพียงแค่หนึ่งในฉากทรงพลังที่มีอีกหลายฉากมากมายของหนังเรื่องเดียวกันนี้ ให้ได้พบเห็นและรู้สึก ...แต่ที่ทำให้ผมจดจำ และชอบใจไปกับฉากนี้ฉากเดียวเหนือกว่าทุกฉาก คือ ความที่มันสามารถสรุปรวบความเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านพ้นเกือบ 3 ชั่วโมงที่ยาวนาน ไว้ได้เป็นใจความสำคัญ เพียงแค่ 10 นาทีสุดท้าย และแสดงความบัดซบถึงที่สุดของคนชั่ว สองคน ที่ต่างก็ต้องพบจุดจบแสนสาหัส และสุดท้ายก็ทำให้พวกเขาเป็นเพียงสัตว์ที่ไร้มโนสำนึก โง่งมอยู่กับความศรัทธาผิดๆจนตัวตาย ไม่ใช่แค่จะเป็นฉากที่ทรงพลังถึงแก่นที่สุดเท่านั้น ..ได้ยังให้ประโยคเด็ดๆ มาหนึ่งประโยค ที่ทำให้คนดู จะว่าขำก็ใช่ จะว่าอึดอัดก็ถูกอีก
I Drink Your Milkshake!!! ฉากๆนั้นก็คือ... ฉากจบ ของ There Will Be Blood Review.. "There Will Be Blood" ... ศรัทธาใต้เท้า/ความเชื่อเหนือหัว กับ ตัวตนของคนบาป อันดับที่ 5 ถ้าการกินนมปั่น ทำให้ชีวิตของเราบัดซบ ขมขื่นไปด้วยความทุกข์ทน ที่หนังเรื่องก่อนหน้าให้เรามาอย่างไม่น่าอภิรมย์ ..ผมก็ขอให้คุณอย่าถือมันเอามาเป็นคำคมสร้างประโยชน์ต่อชีวิตใดๆละกัน พร้อมทั้งขอเสนอสิ่งที่น่าอภิรมย์มากกว่าจากหนังอีกเรื่อง ..ที่มีวาทะประโยคเด็ดแห่งปีที่น่าจำอีกเช่นกัน แล้วยังมีสาระสำคัญให้เราควรจะนึกเอามาใช้กับชีวิตประจำวันได้อีกต่างหาก จากเรื่องราวเกริ่นนำ ที่ว่ากันถึงชีวิตของพนักงานเงินเดือนต๊อกต๋อย คนหนึ่ง ที่ได้ประสบพบความสำคัญในตัวเอง เมื่อได้พบว่า เขาคือทายาทของนักฆ่ามือหนึ่งแห่งองค์กรเพชฌฆาตลับ ผู้ที่มีความสามารถในการยิงปืนได้แม่นยำ ประมาณว่าหลับตาก็ยังเจาะหัวศัตรูได้อย่างง่ายดาย จากผู้ชายที่เลือกจะทำแต่สิ่งเดิมๆ มีอะไรให้คิดถึงแต่เรื่องเดิมๆ เพียงเพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตจากหนึ่งวันต่อไปยังอีกวันอย่างเรื่อยเปื่อย ...สุดท้ายนี้ เขาก็ได้พบว่า ชีวิตของเขา ยังมีค่ามากกว่าความเดิมๆเหล่านั้น เมื่อเขาได้ลองที่จะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่ และทำให้นับแต่นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างล้วนแต่ดูไฉไลกันไปจนหมด และที่นอกเหนือไปจากนั้น ...มันก็ยังทำให้เขากล้าจะพูดกับทุกคนที่กำลังจับตามองเขาอยู่บนจอหนัง ด้วยความเชื่ออันแรงกล้า ว่าเราๆคงไม่เจ็บปวดที่จะรับฟังหรอก
แล้วคุณทำห๊าอะไรบ้างหรือยัง??? ก็ไม่เจ็บปวดอะไรเลยล่ะ ...แค่เหมือนว่าตัวเองโดนกระสุนสั่งลา (Good Bye) เจาะกะโหลกนัดเดียวจอด! ก็เท่านั้น ฉากๆนั้นก็คือ... ฉากจบ ของ Wanted Review.. "Wanted" ... บ้าเต็มเหวี่ยง เพี้ยนเต็มขั้น ..มันส์จนสติหลุด!!! อันดับที่ 4 แม้ผมจะเคยเห็นฉากในรูปแบบเดียวกันกับฉากที่จะว่านี้มาก็มาก ..แต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่หายอยู่ดี ที่ในแง่รายละเอียดของแต่ละฉากที่ผ่านตาไป มาถึงฉากใหม่ที่โดนใจนี้ มันมีอะไรให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจได้ตลอด อย่างปีที่แล้วก่อนหน้า ผมก็โคตะระชอบกับความเทพในการเคลื่อนไหวของมุมกล้อง ที่สอดคล้องรับกับฉากแอ๊คชั่นขนาดยาวอันตูมตามโครมคราม ใน Children of Men และมาปีนี้ ก็มีมาอีกฉากหนึ่ง ที่รายละเอียดโดยรวมของมัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องของหนังอะไรหรอก ..มันก็แค่การโชว์ออฟของผู้กำกับ และทีมงานหลังกล้อง ที่ต้องสอดประสานกันไป พร้อมๆกับตัวละครนับพันคนที่อยู่ตรงหน้า เพื่อบอกเล่าความสาหัสสากรรจ์ของสงคราม ..ที่ได้ทั้งความทรงพลัง และน่าประทับใจในผลงานที่ออกสู่สายตาแล้วกลายเป็นภาพต้องจำอีกสิ่งของหนังเรื่องนี้ ฉากๆนั้นก็คือ... ฉากลองเทค ของ Atonement Review.. "Atonement" ... ยอกย้อน -> เด็ก/ผู้ใหญ่ <- ความแตกต่าง -> ความจริง/ความลวง <- สับสน อันดับที่ 3 แม้จะเคยเห็นฉากหักมุมในตอนจบมาก็มาก ..มีให้รู้สึกก็แล้วแต่ว่าจะ อึ้ง ทึ่ง ช็อค อย่างไรก็ตามใจคนดูจะคิด (หรือบางครั้งก็มีที่บอกกับใจตัวเองว่า ใช้อะไรคิดเนี่ย ทำไปได้เนาะ???) แต่ผมก็เพิ่งจะมารู้สึกเอาอย่างจริงอย่างจังว่าฉากหักมุมในตอนจบ มีอิทธิพลกับห้วงความคิดของผมได้มากมายขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ว่า อึ้ง ทึ่ง หรือ ช็อค อย่างใดอย่างหนึ่ง ...แต่เป็นทั้งสามอย่างรวมร่างกันในฉากๆนี้ ที่ลงเอยด้วย ความใจร้ายใจดำเป็นความสุดยอดของคนเขียนบท(อันคือคนเดียวกันกับผู้กำกับ) ที่กล้าหักหาญน้ำใจคนดูที่อุตส่าห์เอาใจช่วยมาตลอดทั้งเรื่องได้ถึงเพียงนี้ ..เรียกว่า เหนื่อยแทบตาย ไม่เท่าไหร่ แต่พอเจอฉากนี้ไปแล้ว ขอให้ตัวเองถูกตัวอะไรก็ได้เหยียบตายตรงนี้เลยซะดีกว่า แต่จะว่าไป ถ้าไม่จบแบบนี้ไป แล้วมันจะได้กลายมาเป็นฉากติดตรึงในความทรงจำของผมได้อย่างไรกันล่ะ ..ฉะนั้นมันก็สมควรแล้วที่ต้องเป็นอย่างนั้น ฉากๆนั้นก็คือ... ฉากจบ ของ The Mist Review.. "The Mist" ... ความกลัวที่จองจำ กับการกระทำที่จองเวร อันดับที่ 2 ผมกล้าพูดได้เลยว่า ฉากแทบทุกฉากที่อยู่ในหนังเรื่องที่จะว่านี้ ล้วนแต่เป็นฉากที่มีพลังอยู่ในตัวของมันเองแทบจะทั้งนั้น แต่ถ้าให้ถามว่าฉากใดของหนัง ที่มันทรงพลังเป็นที่สุด แล้วทำให้ผมรู้สึกทึ่งกับความเป็นไปของมันได้มากมาย ..ก็จะมีฉากนี้เป็นฉากที่สามารถตั้งคำถามกับคนทุกคนได้ว่า ถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไร? ในสถานการณ์หน้าสิวหน้าขวาน.. ที่มนุษย์ต้องเลือกความเป็นอยู่ของชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายบางๆ ...ถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนั้น ..เราจะขอเลือกเป็นฝ่ายตัดสินประหารชีวิตของผู้คนชั่วร้ายที่อยู่ในฝั่งตรงกันข้าม หรือยอมให้เขาเป็นฝ่ายทำลายชีวิตของเรา เพราะสัญชาตญาณความเป็นคนเลวของพวกเขาทำงานดีล่ะ ผมล่ะโคตะระชอบจริงๆ กับหนังที่สามารถตั้งคำถามกับคนดูได้เมื่อจบสิ้นเรื่องราว ..เพราะไม่ใช่แค่ให้เราได้ต่อยอดความคิด นำไปถกเถียงกับชาวบ้านได้อย่างมันส์ปาก ...หากมันยังคล้ายกับการวัดศีลธรรมในตัวของเรา ว่าถ้าเป็นเราจะเลือกให้ด้านดีเอาชนะใจมนุษย์ที่อ่อนไหว หรือยอมด้านร้ายทำลายให้ชีวิตเหลวแหลกในที่สุด ฉากๆนั้นก็คือ... ฉากเรือเฟอร์รี่ ของ The Dark Knight Review.. "The Dark Knight" ... ขอเพียงพื้นที่เล็กๆ ..ให้คนดี มีที่ยืน (จะได้ไหม?) และ...อันดับที่ 1 ฉากที่ยอดเยี่ยมที่สุดของผมในปีนี้ ...เป็นฉากที่ไม่สามารถบรรยายความต้องการของตัวผู้ทำหนังได้อย่างถูกต้องในทันที ที่ดูจบ เพราะมันอาจจะใช่ที่ทำให้ผมเกิดความค้างคาใจอย่างรุนแรงได้.. แต่เมื่อมานึกตีความก็รู้สึกว่ามันไม่ต้องการจะให้เราคนดูคิดอะไรเลยก็ได้เหมือนกัน เพราะฉากที่ว่านั้น มันจบได้ใยดีกับใครซะที่ไหน ..ทำเหมือนกับว่าคนดูก็แค่เป็นผู้สังเกตการณ์ ที่ไม่ได้มีความหมายใดๆต่อเหล่าตัวละครหลัก ...ที่ชีวิตหลังจากนี้ จะทำอะไรมันก็เรื่องของเขาแล้ว ซึ่งความช่างกล้าทำไปได้ของมันก็เขากันดิบดีเหลือเกิน กับการเดี่ยวเปียโนแค่ครั้งเดียวในหนังของลูกชายคนเล็ก ..ที่ก่อนหน้าเรารู้แค่ว่ามีคนบอกว่า เขามีพรสวรรค์ แต่เราก็ยังไม่เคยเห็นความกล้าของเขากับตาของเราสักที ซึ่งพอได้เห็นกันจริงๆ ...ผมยอมรับเลยว่า อึ้ง ทึ่ง และตะลึงงัน กับความพริ้วไหวของเสียงเพลงที่จับจิตจับใจคนฟังทุกคนได้มหัศจรรย์ดีแท้ (แน่นอนที่ต้องชื่นชมความตั้งใจของเด็กที่เล่นเป็นตัวละครนี้ ..แม้จะเป็นเปียโนมาก่อนหน้าหรือไม่ยังไงก็ตาม) และพอความมหัศจรรย์ที่ว่า มาบรรจบกันกับการจบเรื่องจบราวที่พอดีกับคำว่า ไร้สาระ ที่จะสื่อสารอะไรกับคนดูอีกต่อไป มันก็เสร็จสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างลงพลันด้วยการ.. จบเป็นจบกัน ออกจากโรงได้แล้วครับท่าน.. แค่นั้นเองจริงๆ ที่เราอยากให้คุณดู ถึงจะต้องค้างเติ่งชะงักงันกับความกล้าจบของมัน ที่เหมือนไม่เห็นหัวคนดูใดๆกันอย่างนี้ ..แต่ผมก็ยอมรับว่า มันเป็นตอนจบที่สุดยอดดดดดดดดดดด!!! เกินจะทนรับได้ว่ามันไร้สาระเป็นที่สุดด้วยก็ตามที เหตุผลของผมก็มีแค่นี้แหละ ..ห้วนๆแบบที่ฉากนี้เป็นอยู่เลย ฉากๆนั้นก็คือ... ฉากจบ ของ Tokyo Sonata แล้วทั้งหมดทั้งมวล เหล่านี้ ...ก็คือ บทสรุปความยอดเยี่ยมแห่งปี ของสาขา ฉากในหนังที่สุดแห่งความประทับใจ ของผมแล้วของคุณล่ะครับ ฉากไหนที่ติดตา ตรึงใจ เสียงของคำพูดยังก้องอยู่ในหูของคุณ ตลอดปี 2008 ที่ผ่านมา มาจนถึงวันนี้ ...อยากจะรู้ว่าคุณและผม คิดเหมือนกันหรือเปล่า ? แล้วพบกันอีกทีในวันพรุ่งนี้ กับ {The Best of 2008} ในสาขาหนึ่งเดียวที่ไม่มีเอี่ยวกับคำว่า Best .."5 หนังไม่สนุกให้อยากลืม เป็นที่สุด" ครับผม
Create Date : 13 มกราคม 2552
Last Update : 13 มกราคม 2552 22:31:38 น.
2 comments
Counter : 3251 Pageviews.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 16 มกราคม 2552 เวลา:14:43:12 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
ผมชอบตอนจบ Atonement นั่งร้องไห้อยู่นานในโรง คิดถึงชะตากรรมที่ทั้งสองต้องประสบเพราะเรื่องอวดฉลาดแบบโง่ ๆ ของเด็กคนหนึ่ง ภาพที่ทั้งสองใช้ชีิวิตอยู่ด้วยกันในบ้านที่ปรากฎในรูปถ่ายช่างปวดร้าวเหลือเกิน
อีกฉากจากหนังอีกเรื่องที่ผมชอบและร้องไห้คือจากหนังเรื่อง The Fall ตอนสุดท้ายที่เป็นรวมฉากสตันท์เสี่ยงตาย แล้วเด็กซึ่งเป็นตัวเอกในเรื่องกล่าวขอบคุณตัวพระเอกซึ่งเป็นสตันท์แมน ทำเอาผมร้องไห้ไม่หยุด นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ทั้งสองต่างร่วงหล่นและในที่สุดก็เติมเต็มให้ซึ่งกันและกัน