+-+ OncE UPoN'-'a MaN +-+ รักนะ.. คนอ่าน เข้ามาดู.. โดนใจ ออกไป.. อย่าลืมกัน
Summary for Best of the Year 2012 ..Please CLICK!!
“The Reader” ... ชีวิตที่ขีดเขียนไม่ได้ ของสาวนาซี



ชีวิตของคนเราทุกคน ที่เกิดมา คงจะเคยได้รับอิทธิพลทางความเชื่อบางอย่าง ว่า เราสามารถที่จะขีดเขียนชีวิตของตัวเองให้ออกมาในรูปแบบที่ตัวและใจจะปรารถนาได้ทุกอย่าง

เขาบอกว่า เราทุกคนล้วนแต่มีปากกาอยู่ในมือ และพร้อมที่จะทำการบรรเลงตัวอักษรพรมลงไปในหน้ากระดาษ ที่มีจุดมุ่งหมาย จะเขียนอะไรก็ได้ตามต้องการ แล้วจึงเหลือแต่รอให้การกระทำ และโชคชะตากำหนดสิ่งที่เขียนลงไปให้เป็นได้จริง ในที่สุด

แต่ความที่ทำให้เชื่ออย่างนั้น มันก็ยังสามารถจะเกิดการให้ตั้งคำถามขึ้นมา เพื่อตามหาเหตุผลของสิ่งที่ทำให้มันมีอิทธิพล ..และที่สุดของการตามหา ก็เพื่อจะได้เจอสิ่งที่เป็นความขัดแย้งในตัวของมัน ...ความจริงอันแตกต่างบางอย่างที่ถูกซ่อนเอาไว้ ภายใต้ทฤษฎีที่ทุกคนล้วนยอมรับ หากไม่เคยใส่ใจในรายละเอียดของมัน



ดังที่จะได้เห็นจาก ชีวิตของหญิงสาวชาวเยอรมันนางหนึ่ง “ฮานนา ชมิทช์” คือ ตัวอย่างที่ดี ตัวอย่างหนึ่ง ในหลายๆเรื่องที่เราไม่เคยให้ความใส่ใจ ...แม้อาจว่าดูภายนอกแล้วอย่างไง เธอก็คงเป็นเหมือนกับคนทั่วไปๆใครเขา แต่สิ่งที่ขัดแย้งกับคนอีกหลายหลากคน และเป็นเรื่องที่หลายหลากคนที่ว่าไม่ใส่ใจ ก็คือ ความจริงที่ ฮานนา ไม่สามารถขีดเขียนชีวิตให้กับตัวเองได้เลย

ถ้าลองได้เกิดมาเป็นคนที่มีมือจะจับปากกาได้ทั้ง 2 ข้าง แล้วดันเป็นไปว่า ใครคนนั้นมีชีวิตที่ขีดเขียนไม่ได้เลย ..ย่อมถือว่าเป็นอะไรที่น่าเศร้า และชวนให้เจ็บปวดแสนสาหัส

เรื่องราวชีวิตของ ฮานนา ชมิทช์ อันผิดแผกจากชาวบ้านเขา ..มีจุดเริ่มต้นมาจากวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่บังเอิญมีเหตุการณ์ที่ไม่พิเศษพิโศเกิดขึ้นมากับเธอ ...เมื่อเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ได้พลัดหลงลงจากรถราง มามีสภาพคล้ายว่าเมารถจนอาเจียน อยู่ที่หน้าบ้านของเธอ แล้วด้วยความบังเอิญที่เธออยู่ตรงนั้นพอดี ..ก็เลยเป็นหน้าที่ที่เธอต้องดูแลเขาไปอย่างเลี่ยงไม่ได้



และหลังจากวันนั้น เมื่อเด็กหนุ่ม “ไมเคิล เบิร์ก” หายดีจากอาการโรคไข้(ที่เป็นต้นตอของเหตุการณ์จริงๆ)จนปลิดทิ้งแล้ว ..เขาก็ได้หาโอกาสมาขอบคุณในความช่วยเหลือที่ ฮานนา มีให้กับเขาในวันนั้น ...และ ณ จุดนั้นเป็นต้นมา ความรู้สึกดีๆที่มีให้กัน ก็ก่อกำเนิดความสัมพันธ์ฉันรักเธอ ระหว่าง เด็กหนุ่มวัยมัธยมต้น กับกระดังงาสาววัยเลขสามอัพ ..เป็นเรื่องของความลับที่มีแค่คนสองคนเท่านั้นที่รู้ความจริงของมันเป็นอย่างดี

แต่ใช่ว่า ความลับจะมีแต่เฉพาะ ความจริงในหัวใจของหนุ่มน้อยและสาวใหญ่คู่นี้ได้รับรู้เท่านั้น ..หากนอกเหนือไปกว่านั้น ฮานนา ยังจะต้องเก็บความลับที่สำคัญยิ่งสำหรับชีวิตเธอ และไม่ให้ใครก็ตามที่แม้กระทั่งจะไว้ใจได้ ได้ล่วงรู้ความจริงข้อนี้เป็นอันขาด ...เพราะถ้ารับรู้เมื่อไหร่ ก็เท่ากับ ชีวิตของเธออาจถึงกาลสิ้นสลาย สูญค่าไปเลยในทันที



ตั้งแต่ บรรทัดนี้จะมีการ SPOILER จุดหักเหสำคัญของหนัง ..ฉะนั้นใครยังไม่ได้ดู ไม่ควรอ่าน ..ให้ข้ามไปยังถึงข้อความจบการสปอยล์






ความรักของคนสองคน ทั่วๆไป อาจก่อตัว มาจาก ความรู้สึกดีๆที่มีให้กัน ..ความชอบอะไรที่คล้ายๆกัน ..หรือกระทั่ง มีเสน่ห์ การดึงดูดบางอย่าง ทำให้คนสองคนเกิดความหลงใหลไปกับสิ่งที่เรียกว่า กามารมณ์

ความรักของ ฮานนา และ ไมเคิล มีจุดเริ่มต้นมาจาก อารมณ์ชั่วขณะที่กำลังจะแตกพานเนื้อหนุ่มของฝ่ายชาย ..เพิ่งได้จะลองลิ้มชิมรส หลงใหลไปกับความรู้สึกที่ได้อยู่ใกล้ ผู้หญิงคนแปลกหน้าสักคนหนึ่ง ...แม้ จะทั้งๆที่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาจะมีอายุรุ่นราวคราวน้า แต่เรื่องของความชอบ และใช่ ก็ไม่อาจเป็นอุปสรรคขัดขวางช่องว่างทางวัย ..ที่เด็กวัย 15 คนหนึ่ง ยังไม่อาจแยกแยะออกว่า สิ่งไหนที่เรียกเป็น ความพอใจ และสิ่งไหน มันคือ ความเข้าใจ ที่ผู้ใหญ่เขารู้กัน เมื่อว่าด้วยเรื่องของความรัก



ความที่ยังเยาว์วัยของไมเคิล อาจจะมิใช่ปัญหา สมการรักอันยุ่งเหยิงนี้อีกต่อไป หากฝ่ายสาว ยังพอใจที่จะหยุดความสัมพันธ์เพียงแค่คนที่เคยให้ความช่วยเหลือ เท่านั้น.. แต่เมื่อตรงหน้าของ ฮานนา คือ ภาพของเด็กหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลา และไม่เคยผ่านการเสียความบริสุทธิ์จากที่ไหนมาก่อน ...สาวโสด วัย 30 ที่ไม่เคยคิดว่า ชีวิตของตัวเองจะมีผู้ชายสักคน ต้อนรับรักเธอด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ เช่นนี้ มีหรือ จะยอมปล่อยวางโอกาสที่ไม่น่ามีหลงเหลือให้อีกแล้ว ไป ..เพียงเพราะถ้ายอมเข้าใจในความถูกต้องเหมาะสมกันจริงๆ อาจจะมีความหมายเท่ากับ ชีวิตที่เหลือจนวันตาย ไม่อาจมีใครให้เคยได้รักเลยสักคน

เมื่อลูกไฟดวงอ่อนๆ ถูกหล่อหลอมเข้ากับ ถ่านไม้ อายุชีวิตยาวนาน ที่มิเคยมีใครสนใจจะติดไฟให้มาก่อน.. ความสัมพันธ์ในแบบคบรู้ สู่เพลิงแห่งรัก ก็ได้แผดเผา กามารมณ์ที่ฝังในของคนสองคน ให้ระอุร้อน พร้อมสุก(สุข) เพียงไม่ช้านาน ...หากแม้มันยังจะมีห้วงเวลาแห่งการดับ แต่เมื่อใด ที่ใจสองใจสอดประสานจะยอมตายเพื่อมัน เพลิงแห่งรัก ก็พร้อมจะลุกโชนได้ทุกเมื่อ

แม้ ฮานนา จะดูเหมือนเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ในวัย 30 ..ที่ย่อมอยากจะมีสัมพันธ์แห่งรักกับผู้ชายดีๆสักคนที่พร้อมจะยอม และรับเธอเป็นผู้หญิงของเขา อย่างมิปริปากบ่น ...แต่เมื่อเราได้ลองสำรวจจิตใจของหญิงสาวผู้นี้กันอย่างลึกๆแล้ว ความต้องการในความรักของเธอ ก็มีเงื่อนไขอันแปลกประหลาดมากพอๆ กับ สิ่งที่เธอขอให้ไมเคิล ทำให้เธอทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ คือ การอ่านหนังสือ บทกวี ที่ไมเคิลจะพาติดตัวตามมา หลังจากการเลิกเรียนของเขาเสมอๆ



มันอาจไม่แปลกสักเท่าไหร่หรอก ที่สาวเจ้าดูจะพออกพอใจ ในกิจกรรมที่ เธอยินดีจะเป็นผู้รับ ...เพราะผู้หญิงทั่วๆไป ก็ชอบพอที่จะขอเป็นฝ่ายรับ จากผู้ชาย เสียมากอยู่แล้ว

แต่ถ้ามันไม่มีความบังเอิญว่า การชอบเป็นผู้รับ ของ ฮานนา ได้มีความเกี่ยวข้องกับความลับบางอย่าง ที่เธอพอใจจะปกปิดมันไว้กับใครต่อใครเรื่อยมา ไม่ว่าจะทำไปด้วยความอาย หรือว่าความอดสูในตัวเองก็ตามแต่

เมื่อความลับที่ว่า ..มันคือ ความจริงที่ ฮานนา ไม่สามารถอ่านออกเขียนหนังสือได้ เหมือนกับผู้คนทั่วๆไปส่วนมากที่มีการศึกษา

นี่คือ ความแปลกประหลาด ในชีวิตของผู้หญิงที่ชื่อ ฮานนา ชมิตช์ ผู้นี้ ...ที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยบอกกล่าวกับใครให้แปลกใจได้เลย หากถ้ามันจะส่งผลให้ชีวิตของเธอ เหมือนกับตกนรกตายทั้งเป็น เพียงได้เสนอความเป็นจริง

แม้เรื่องราวใน The Reader ช่วงแรก จะพยายามปกปิดความจริงข้อนี้ ..ไม่ยอมให้สายตา และสมองของคนดูได้รับรู้ถีงความทุกข์เกินอัดอั้น ของผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ในสังคมอันน่าขมขื่นของเยอรมัน

แต่การบอกใบ้ในฉาก 2 ฉาก กับช่วงเวลาที่เธอได้เข้าใกล้กับสิ่งที่เรียกว่า หนังสือ มากที่สุด ..คือ การแสดงออกที่ไม่ยากต่อการคาดเดาสำหรับผม เอาเสียเลย ...หากถึงกระนั้น ก็ยังทำให้เกิดความน่าสนใจขึ้นมา แต่บัดนั้น ว่าหนังจะสามารถโยง ฉาก 2 ฉากที่ว่า ไปมีผลต่อเรื่องราวที่เป็นจุดหักเหในทิศทางไหน



ถ้าหมายถึง ทิศทางที่เลวร้าย ...ก็ย่อมบอกบ่ง ว่านั่นจะทอดยาว ไปเป็นจุดจบชีวิตของ ฮานนา อย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่หากหมายถึง ทิศทางที่สวยงาม เมื่อไหร่ ...นั่นก็จะแสดงออกถึง ความโรแมนติก ที่พระเอก จะต้องมีต่อนางเอก เฉกเช่นหนังน้ำเน่าเรื่องหนึ่งพีงกระทำกันอย่างจำยอม

ซึ่งมันก็ถือว่าโชคดี ที่หนัง(อาจจะรวมถึงนิยายต้นฉบับด้วย) ไม่เลือกทางหลังอย่างเต็มรูปแบบ ..หากจะใช้กลเม็ดความโรแมนติกอย่างไม่ชวนเลี่ยนของพระเอก ไปพร้อมๆกับการสร้างความทรมานต่อตัวนางเอก ที่เป็นเหยื่อแห่งการจำยอม ผู้พร้อมรับและยินดีที่จะใช้ชีวิตน้อยๆ ที่เหลือให้หมดไป กับการโดนจองจำเพราะสิ่งที่เธอเป็น จนวันตาย

เมื่อเรามองย้อนกลับไป ยังตอนที่ ฮานนา เผชิญหน้ากับทางเลือกแห่งความก้าวหน้า(หน้าที่การงาน)อันสวยงาม ซึ่งหมายว่าจะต้องจำยอมทอดทิ้ง ความสุขที่เรียกว่า ความรัก ไว้ในเบื้องหลัง ...นับแต่จุดนั้น มันก็ได้ให้เราพิสูจน์ และประจักษ์กับความจริง ว่า ชีวิตที่มีความลับของเธอ ไม่เคยมีทางเลือกที่ 2

ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เธอเป็นฝ่ายต้อนรับมันไว้กับตัวเองเสมอมา เรื่มตั้งแต่เมื่อครั้งเยาว์วัย คือ ทางเลือกเดียว ที่เธอต้องจำยอมให้มันเกิดขึ้น และปล่อยให้มันเป็นไปตามลิขิตกำหนด

เพราะ ถ้าเมื่อใดแล้ว ที่เธอเลือกจะเปลี่ยนข้าง พร้อมจะต่อต้าน ...นั่นก็ย่อมหมายถึง ลมหายใจกับชีวิตของเธอ คงต้องยอมให้มันจบสิ้นลงในจุดนั้นเลยทันที



ขณะเดียวกันในห้วงเวลาเดียวกันนั้น(ที่พระเอกเติบโตเป็นหนุ่มนักศึกษามหาลัยอันโด่งดัง) คนดูหลายคนคงอาจจะมีความเห็นใจในชะตากรรมของไมเคิล ...ผู้ต้องประสบกับความรักครั้งแรกที่น่าผิดหวัง เพียงเพราะผู้หญิงทอดทิ้งเขาไป แบบไม่ทันตั้งตัวยอมรับ

แต่สำหรับ ความรู้สึกของผมแล้ว ความทุกข์ของผู้ชาย มันแทบจะกลายเป็นแค่ขี้เล็บไปในบัดดล ...เมื่อหนังได้ดำเนินเรื่องมาสู่สถานการณ์อันเป็นจุดหักเหของ ฮานนา ..ที่เป็นครั้งแรก และครั้งเดียวของชีวิตผู้หญิงคนนี้ ที่มีคนเสนอทางเลือกให้กับเธอ

มันคงอาจจะดูเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น สำหรับ ฮานนา ..ผู้ไม่เคยได้รู้จักต้อนรับข้อเสนอใดๆ ให้กับชีวิตของตัวเองมาก่อน ...โดยถ้าเรามองในมุมว่า ฮานนา ก็คือ คนๆหนึ่ง ที่มีสิทธิจะเลือกทางเดินชีวิตให้ตัวเอง ด้วยความเสรี

แต่ถ้าจะให้เป็นเช่นนั้นได้ดังใจ ทั้งตัวฮานนา และคนดู มันก็ยังจะต้องหมายเหตุไว้อย่างด้วยว่า ...ประเทศที่ฮานนาอาศัยอยู่ต้อง ไม่ใช่ ‘เยอรมัน’!!! (หรือกระทั่งประเทศคอมมิวนิสต์ใดๆ)

เพราะ สิ่งที่เรียกว่า ความเสรี ของประเทศนาซีแห่งนี้ ...มันจะมีความหมายเท่ากับ ความอยู่รอดของผู้บังคับบัญชา เหนือสิ่งอื่นใด

แม้ตัวหนังอาจจะไม่ได้พาดพิงไปถึงตัวใหญ่ในส่วนภาคปกครองประเทศ (ไม่มีการเอ่ยชื่อ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” เสียด้วยซ้ำ) ...แต่ลึกๆแล้ว The Reader (ตั้งแต่ที่เป็นหนังสือ) คงอยากจะสื่ออย่างมีความนัยถึง การโดนริดรอนสิทธิของประชาชน ที่ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้อย่างใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับตัวเล็กตัวน้อยในสังคม ..ที่แทบจะมีชะตาลิขิต ถูกขีดเขียนตามคำสั่งของคนตัวใหญ่ อย่างสมบูรณ์แบบ

ในตอนที่เรื่องราวของหนังดำเนินอยู่ใน ศาล ..ผมจับสังเกตแบบไม่ตั้งใจในส่วนที่เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ (เพิ่งมานึกได้ เอาตอนที่เขียนรีวิวนี้) แล้วเกิดได้เห็นว่า มันมีอยู่ มุขหนึ่งที่ไม่แน่ใจว่าคนเขียนต้องการจะให้เป็นตลกร้ายหรือไม่ เช่นไร ..แต่ที่ผมแน่ใจว่าคงจะให้ดูแปลกแยก ก็คือ การแต่งเนื้อแต่งตัวของผู้คุมสาวที่อยู่ในกลุ่มจำเลย

ขณะที่หญิงสาวคนอื่นๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่มีความเป็นทางการ ดูสวยสง่ามีค่าราคา .. ผู้หญิงปอนๆ อย่าง ฮานนา กลับดูพิถีพิถันในการแต่งกายน้อยที่สุด เสียจนแปลกแยกกับผู้คุมสาวในกลุ่มนั้นด้วยกัน

ณ จุดนี้ ถ้าเรามองแบบไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไร ..ก็คงจะเห็นแค่การสร้างความแตกต่างในเหล่าผู้หญิงด้วยกัน ที่สอดคล้องไปกับการสร้างภาพลักษณ์ให้ ฮานนา เป็นจำเลยที่ดูแย่ที่สุดกว่าทุกๆคน

แต่ถ้ามองแบบเจาะลงไปในใจความที่สอดคล้องกับสังคมเยอรมันในตอนนั้นแล้ว... มันน่าจะหมายความว่า ฮานนา คือเหยื่อแห่งความรู้น้อย คือประชาชนที่ไม่อาจขัดขืนอะไรได้อีก นอกเหนือจากยอมรับชะตากรรมที่ทางรัฐยื่นมาให้ด้วยความจำยอม

เมื่อเรื่องราวส่วนนี้ มันช่างได้มาประจวบเหมาะกันกับ ความจริงที่ฮานนา อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งแล้ว ...มันก็ได้ก่อเกิด ฉากในศาล ที่กดดันและเจ็บปวดที่สุด ไม่ว่าจะทั้งตัวคนดูเอง หรือ ฮานนา ...สาวนาซี ผู้มีชีวิตที่ขีดเขียนไม่ได้ และต้องตายทั้งเป็นอย่างทรมาน แบบที่ไม่จำเป็นจะต้องส่งลงนรก(อย่างที่ใจผู้เป็นโจทก์ต้องการ)อีกต่อไป ก็คงจะดี








จบการ SPOILER




“The Reader” ...ณ วันนี้ คือ อีกหนึ่งผลงาน ที่กลายมาเป็นความสำเร็จขั้นสูงสุดได้ อีกครั้งหนึ่ง ในชีวิตของ การเป็น นักแสดงสาววัย 30 ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดในห้วงเวลานี้ ...มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ที่ “เคต วินสเลต” จะใช้เวลาเพียงสิบปีกว่าๆ เติบโตมาจากการเป็นตัวเล็กตัวน้อย (ตัวประกอบ) แล้วยังยืนหยัดกลายมาเป็นดาราใหญ่อีกคน ที่สามารถเข้าชิงออสการ์ได้ถึง 6 ครั้ง ในระยะเวลาเพียงเท่านี้

ยิ่งเมื่อมาประกอบกับการที่ครั้งหนึ่ง เคยมีหนังทำเงินระดับพันล้านทั่วโลก อยู่ในเครดิตของตัวเองด้วยแล้ว ...จะไม่ให้เรียก ซูเปอร์สตาร์ ก็คงต้องสรรหาคำที่หรูกว่านั้นแล้วล่ะ

ฉะนั้นแล้ว ถ้าจะให้ผมสรรหาถึงนิยามความสุดยอดของเธอที่ควรค่าแก่การได้รับสิ่งตอบแทนแล้ว ..ผมจะเห็น ออสการ์ เป็นแค่ตุ๊กตาประดับบ้านของเธอเท่านั้น ...เพราะถ้าให้เชื่อแบบที่การแสดงของเธอทำให้เชื่อมานักต่อนัก ผมก็แทบมองเห็นโอกาสการได้ออสการ์ มากกว่า 2 ตัวขึ้นไป นับแต่ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ



เพียงแต่ถ้าให้ถามความเห็นของผมที่มีต่อรางวัล นำหญิงยอดเยี่ยม ในปีนี้ ที่ตกเป็นของ สาวเคต แล้วละก็ ..เห็นต้องบอกอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “ยังไม่ถึงกับเป็น’ที่สุด’ของความดีใจ”

แม้ว่าผมจะยินดีที่ได้เห็นว่า ปีนี้ เป็นเวลาอันสมควร สำหรับคนนี้ที่คู่ควรกับออสการ์มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่เข้าชิงจาก “Eternal Sunshine of the Spotless Mind” ..แต่ถ้าบังเอิญว่า ปีนี้ ไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า(สำหรับการแสดงระดับเทพของเธอ)อย่าง “Revoltionary Road” มาบังคับความพอใจของผมแล้ว ...ผมก็คงจะตัดสินใจยกให้เธอสมควรไปเต็มๆ จากเรื่องนี้ อย่างไม่มีทางเลี่ยง

เพราะ ผมเสียดายที่ กรรมการเลือกจะให้คะแนนให้กับ บทบาทที่ดีมาก แต่ไม่ถึงขั้นดีที่สุด ..เมื่อเปรียบกับอีกหนึ่งบทบาทที่ดูแล้วพร้อมจะจัดให้อยู่ในมาตรฐานนางเอกออสการ์ได้ทุกประการ (สาธยายไว้แล้วในรีวิวนี้..คลิกไปอ่านที่นี่เลยครับ)

แล้วมันก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความเสียดายเข้าไปให้อีกขั้น ที่ความรู้สึกถึงตัวหนัง The Reader ในความคิดเห็นของผม ..ยังไม่ประทับใจถึงขีดที่วาดเอาไว้ ...มันอาจไม่ใช่ความผิดหวังซะทีเดียว แต่ก็อยากให้อิ่มมากกว่านี้

ซึ่งนั่นก็รวมไปถึง การเข้ามาถึง ได้ร่วมชิงชัยใน กลุ่มภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ..มันมาไกลเกินไปสำหรับผม

ไม่ว่าจะด้วยข้อหาที่ “สตีเวน ดัลทรี่” เป็นลูกรักของออสการ์ ..มีกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ก็ได้รับความใส่ใจตลอด หรือจะเป็นเพราะหนังอยู่ในกลุ่มที่ว่าด้วยเรื่องสงครามล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ..ที่กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ก็มักถูกใจออสการ์มาตลอดเช่นกัน ...ล้วนแต่เป็นองค์ประกอบที่คงช่วยส่งให้หนังได้รับการมองเห็นเป็นมากมาย

หากถ้าว่ากันถึงรายละเอียดของความเป็นหนังสักเรื่อง ...The Reader ย่อมคือ หนังดี ศรีออสการ์ ได้จริงๆ ที่ผมมิอาจโต้เถียง ..แต่เอาเข้าจริง มันก็ยังไม่ได้ยอดเยี่ยม จนสมควรจะได้เป็น 1 ใน 5 เรื่องสุดท้ายได้เช่นนี้

ซึ่งถ้าจะให้เทียบกับหนังที่ได้อยู่ในกลุ่มหนังยอดเยี่ยมปีก่อนหน้า ..ผมมองว่า The Reader อยู่ในระดับความดีที่ไล่เลี่ยกับ “Juno” และ “Micheal Clayton” ...ที่ยังต้องจอดแต่เนิ่นๆ โดยไม่อาจดับเครื่องชนกับอีก 3 เรื่องที่เหลือได้เลยจริงๆ



เพียงแต่ที่ผมก็ยังรู้สึกนึกชอบ The Reader ได้มากกว่ากับอีกสองเรื่องที่ว่านั้น ...คือ ความที่หนังมีประเด็นดีๆ เสียดและสีให้อยากนึกจำได้หนักกว่า

ประเด็นของการอ่านออกเขียนได้ ในตัวหนัง มันจี๊ดใจผมได้รุนแรงมาก ..ซึ่งด้วยความที่ผมยังอาจไม่เคยได้เห็นหนังเรื่องใด เล่นกับประเด็นวิพากษ์สังคมเช่นนี้มาก่อนหน้า ก็เลยเกิดความตื่นเต้นที่จะใคร่ติดตาม ในความเป็นไปที่หนังจะนำพาไปได้ถึง ...จนแล้วกระทั่งเมื่อหนังลากเขี้ยวที่เข้มข้นของมัน มาประจวบกันกับฉากที่พีค เสียชวนให้สะเทือนใจได้ถึงที่สุด ..ก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นจะเรียกน้ำตาแบบสั่งได้จากผม

เพียงแต่ พอหนังสิ้นจากฉากที่น่าจดจำที่สุด ..และพ้นเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการไถ่โทษของพระนาง ...เมื่อนั้น อัตราความเข้มข้นของหนัง ก็ได้ลดระดับลงเรื่อยๆตามนาทีที่ก้าวหน้า และค่อยๆ เหลือเพียงแต่เป็นการไล่เรียงความเรียบเฉยของเหตุการณ์ต่างๆในช่วงเวลานี้ อันพาเรื่องเดินไปสู่ ฉากจบที่ไม่ได้เห็นว่าจะพยายามสร้างจุดพีคให้กับตัวเอง อีกครั้งอย่างที่น่าจะทำได้

ช่างน่าเสียดาย ..ที่เรื่องแต่แรกก็อุตส่าห์ปูเสียดิบดี ...ว่าที่แห่งนี้(สถานที่ในฉากจบ) คือที่แห่งความผูกพันของคู่พระนาง ...แต่เมื่อหนังพาตัวละครของตัวเองกลับมาที่แห่งนี้อีกครั้ง ความรู้สึกที่ผมมีต่อหนังในฉากนี้ แทบจะเทียบกันไม่ได้กับการมาเมื่อครั้งแรกของพวกเขา ..มันเฉยเมยเสียจน ไม่จำเป็นต้องพาให้เรื่องมาจบถึงจุดนี้ก็ยังได้

เพราะถ้าจะให้หนังตราตรึงในใจคนดูได้อยู่ ...ฉากจบก็คือ ส่วนสำคัญที่หนังเรื่องนั้นควรจะให้ความใส่ใจ

แต่สิ่งที่ผมได้พบใน The Reader เรื่องนี้ ...มันแทบหามีพลังใดๆ ให้เห็นกับตา กระทั่งว่าสัมผัสด้วยความรู้สึก ก็น้อยกว่าคำว่า ดี จนเกินไป ...เมื่อเหลือแต่เพียงจอดำ ที่พร้อมจะส่งผมออกจากโรง ก็หลงเหลือแต่ความค้างคาที่ มีให้ถามตัวเองว่า "เนี่ยจบแล้วหรอ??"

ความดีที่เคยทำมาแต่ต้น จนถึงจุดพีค ของหนัง มันยังอาจไม่สูญสิ้น ..เพราะหากว่าไปตามส่วนรายละเอียดปลีกย่อยแล้ว ส่วนกำกับก็ยังถือว่าดี บทหนัง ประเด็นต่างๆ ก็เรียกว่าดีได้เต็มปาก อีกทั้งการแสดงของ “เดวิด ครอส” และ “ราล์ฟ ไฟน์ส” (เป็น ไมเคิล ..ในสองช่วงวัย ตามลำดับ) ก็คือ บทสมทบชั้นดีทั้งคู่ ...รวมไปถึง ความยอดเยี่ยมเหนือสิ่งอื่นใด(ต้องยอมรับในเรื่องนี้) ของ สาวเคต

แต่ยังไงแล้ว เมื่อหนังเลือกจะจบแบบที่มันเป็นอยู่ ให้รู้สึกเหมือนว่าไม่ให้อะไรกับผม เช่นนี้ ...คงจะเลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะบอกว่า ไม่ค่อยปลาบปลื้ม!



“The Reader” ...แม้จะยืนยันได้ว่านี่คือ หนังดี ศรีออสการ์ ที่เด็ดดวงด้วยการแสดงคู่ควรออสการ์ของ สาวเคต (แต่ไม่ใช่ที่สุดสำหรับผม) กับปมประเด็นน่าให้คิด ให้ย้อนมองเพื่อวิพากษ์ความเป็นไป ..แต่ถ้าเอาความต้องการประทับใจไปกับหนังเข้าว่า ...มันคงน่าจะดีกว่านี้ เพียงคนทำใส่ใจให้กับมันมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ ..ที่ผมยังไม่อิ่ม เพราะทำได้แค่เกือบ..!!!

เกรด B+ ... {}


"สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนังได้ที่ //vreview.yarisme.com"




ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ



Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2552 8:34:42 น. 10 comments
Counter : 13366 Pageviews.

 
หนังดี น่าดูจริง ๆ นะคะเนี่ย


โดย: ถั่วงอกน้อยค่ะ วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:10:52 น.  

 
เราก้อดูมาแล้ว แต่ตอนเข้าโรงสาย เริ่มดูก้อถึงตอนที่ ไมเคิลเข้าไปหา ฮันนา ที่กำลังรีดผ้าอยู่
ก้อเลยไม่รู้ว่า ฉากเปิดเรื่องคืออะไร ได้มาอ่าน รีวิวของคุณวั๊นซ์ ก้อเลย เก็ทว่า หนังมันรัน เล่าเรื่องวน จากจบไปหาต้นเรื่อง เหมือนงูกินหาง อะไรประมาณนั้นใช่ไหม


เมื่อวานเปิดกระทู้The Reader มีคนนึงเค้าถามว่า ฮันนา ไปคุมนักโทษ
ก่อนหรือหลัง ที่หนีหายไปจากไมเคิล เราอ่านแล้วเราก้อ...เออ..ใช่ ตกลงแล้ว มันก่อนหรือหลังกันแน่

แต่ในเรื่องไม่เห็นมีภาวะสงคราม( เช่น ทหารเดินขวักไขว่ หรือ เครื่องบินรบ หรือเสียงหวอ ไซเรน ) อะไรเลยนะ
มันก้อเลยงงงง


ปล. ถ้ามีคำตอบ กรุณาหลังไมค์บอกเราด้วย จุ๊ฟฟ์ๆๆๆ


โดย: i love johnny depp IP: 125.27.46.221 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:34:56 น.  

 
ยังไม่ได้ดูหนังเลยค่ะ แต่เคยอ่าน น้ำตาท่วมเลย


โดย: Febie วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:46:51 น.  

 
"ประเด็นของการอ่านออกเขียนได้ ในตัวหนัง มันจี๊ดใจผมได้รุนแรงมาก"

จี๊ดเหมือนกันค่ะ เล่นเอาจุกและร้องไห้ไปหลายยก

อาจจะใช่ที่ว่าเคตเข้าชิงออสการ์หลายครั้ง

จนบางทีกรรมการตัดสินอาจให้ออสการ์ครั้งนี้กับเธอ

ด้วยเหตุผลว่าผลงานเข้าชิงหลายครั้งก็เป็นได้

แต่ฝีมือก็มีส่วนจริงไหม

เราว่าเรื่องนี้เคตเล่นได้ดีมากนะ(เป็นความคิดเห็นส่วนตัวน่ะค่ะ)

ส่วนคนที่มารับบทไมเคิลตอนโตนี่นะ ออกแนวขัดใจนิดหน่อย

เพราะเราดูยังไงแล้วภาพไอ้โรคจิต ในเรดดรากอน

มันคอยหลอกหลอนอยู่เรื่อย อิอิอิอิ

เอ่อ...เม้นท์ซะยาวเลย ไม่ว่ากันนะคะ


โดย: HastaLaVista วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:49:41 น.  

 
เห็นด้วยค่ะ

ชีวิตที่ติดคุก เขียนหนังสือไม่ได้ อ่านหนังสือไม่ออก ทำให้เธอไม่สามารถลืมตาอ้าปากใด ๆ แม้แต่การสั่งอาหารยังกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว...

แต่การอยู่ในคุก ไม่ว่าจะด้วยแรงบันดาลใจ หรือด้วยความรัก หรือด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม กลับเป็นโอกาสที่ทำให้เธอกล้าที่จะลุกขึ้นมาหัดอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เพื่อสื่อสารกับคนรัก (ในยามแก่) ...

แม้ว่าเราจะอ่านหนังสือได้ เขียนหนังสือเป็น แต่หลายครั้งเราก็ต้องตกอยู่ในภาวะเช่นเดียวกับฮันน่า

นับถือความกล้าหาญและหัวใจที่กล้าแกร่งของผู้หญิงที่ชื่อ "ฮันน่า" จริง ๆ ค่ะ


โดย: Stand by bowky วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:4:56:36 น.  

 


เขียนได้ดีมากเลยค่ะ


โดย: iSIs_OsiRis วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:15:36:14 น.  

 
บังอาจให้ B+ เรอะ ทหาร ล้อเล่นครับ ห้ามโกรธนะ
ดีที่สุดแล้ว แต่คุณไปติดกับ Revoltionary Road
มากเกินไป
แล้วก็ฉากจบ ให้อารมณ์ที่ชาวเยอรมันเท่านั้นที่รู้


โดย: The Learner วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:19:19:49 น.  

 
+ สิ่งที่ทำให้พี่สะดุดนิดๆ คือความต่อเนื่องกันของช่วงเวลาอ่ะครับ จากเดวิด ครอส แล้วมากลายเป็น เรฟ ไฟนส์ เลยดูยังไงก็ไม่เนียน (ยิ่งช่วงตอน เรฟ แอ๊บเด็ก ดูแล้วตลกมากๆ) แล้วตอนเคท แต่งแก่ ก็ไม่เนียนอีกแหละ ยิ่งถ้าเอาไปเทียบกับ Benjamin Botton นี่ต่างกันเห็นๆ เลย

+ ถ้าจากการสังเกต พี่ว่าส่วนใหญ่ผู้หญิงจะปลื้มหนัง + หนังสือเรื่องนี้ มากกว่าผู้ชายอ่ะครับ น่าจะเป็นเพราะในเรื่องราว มันมีประเด็นของความเจ็บปวดในความรักอันสมหวังแทรกอยู่ด้วย ก็เลยเข้าถึงจิตใจอันละเอียดอ่อนของผู้หญิงได้มากกว่าผู้ชายอ่า

+ จริงๆ ถือว่าหนังเรื่องนี้ซับซ้อนเอาการอยู่ เพราะมันเกี่ยวพันกับประเด็นทางจิตวิทยาด้วย แต่ สตีเฟน ดัลดรีก็สามารถสร้างมันออกมาใช้ได้ทีเดียวเลยนะครับเนี่ย


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 3 มีนาคม 2552 เวลา:0:29:04 น.  

 
^
^
คีย์ตกไป "ความรักอันไม่สมหวัง" ตะหาก แหะๆ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 3 มีนาคม 2552 เวลา:0:32:33 น.  

 
ไม่ชอบตอนเป็นหนังสือ
ตอนเป็นหนังแล้วก็ยังไม่ค่อยโดน แต่ฝีมือนางเอกแสดงได้ดีจริงๆ ช่วงนี้เป็นช่วงทองของเธอ ลบภาพสาวหน้ากลม เจ้าเนื้อ ที่เคยติดตามจากรักเรือล่มไปได้หมด ตอนนี้อยากดู Revolutionary Road มากเลย


โดย: คนขับช้า วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:55:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

OncE UPoN'-'a MaN
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์

คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี
พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ
พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา
พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!)

ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว

ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ

once_upon.a.man@hotmail.com


My @ http://twitter.com/once_upon_a_man

ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่าน

ผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย

ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ

OncE UPoN'-'a MaN on Facebook
Blog ใหม่ล่าสด..สด
"VieTrio & Friends" ... เพื่อนร้อง พี่น้องเล่น เป็นเพลงเพราะเสนาะหู
"Lady Antebellum : Need You Now" ... ลูกทุ่งแบบมะกัน แต่สีสันระดับโลก
"The Social Network" ... วันนี้ คุณรู้จัก Facebook ดีพอแล้วหรือยัง?
"Harry Potter and the Deathly Hallows : Part I" ... ฉันต้องเปิด เพื่อจะปิด!
"Scrubb : Kid" ... คำตอบของเพลงอินดี้ที่ฟังง่าย อยู่ในอัลบั้มนี้แล้ว
"Due Date" ... รวมกันเราต้องอยู่ (กรุณา)อย่าทิ้งตูเป็นอันขาด!!?
"B.o.B. Presents: The Adventures of Bobby Ray" ... อาจเป็นฮิปฮอปหน้าใหม่ แต่ไม่ขอยึดติดความฮิป
"RED" ... โตอย่างสมวัย แก่อย่างมีคุณภาพ และจงระห่ำอย่างไม่เหลืออะไรจะเสีย!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... (หนังสั้น)แบบตัวเต็ม ที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็ยังมีความจริงใจ!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... กับตัวอย่างน้ำจิ้ม ของหนังสั้นที่คงจะมีอะไรๆอยู่ในนั้น
"อินทรีแดง" ... สมศักดิ์ศรีที่ได้กลับมา ..วีรบุรุษที่หนังไทยต้องการ!
"ชั่วฟ้าดินสลาย" ... เมื่อคำ “รัก” มีค่าเท่าคำว่า “ร้าย” คงทำลายคนทั้งหลายให้วายวอด
"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
"Lula : Twist" ... เพลงฟังชวนเพลิน จากคนเพลินๆ ที่ชื่อ 'ลุลา'
"Piranha 3D" ... กัดกระจุย เลือดกระจาย สามมิติกระเจิง!!!
"CHARICE" ... เพชรน้ำงามเม็ดเล็กแห่ง ‘เอเชีย’ ที่คู่ควรกับการเจียระไนโดย ‘อเมริกา’
"กวน มึน โฮ" ... ความรัก อาจแพ้บ้างอะไรบ้าง แต่ ความ ‘เห็นแก่ตัว’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง!
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
27 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add OncE UPoN'-'a MaN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.