บุปผาราตรี 3 (.1+.2) ... แบ่งให้ยาว สาวให้เยอะ สุดท้ายมันก็เลย..ไปกันใหญ่!!!
อาจกลายเป็น หนึ่งในตำนานของหนังผีชาติไทยไปแล้ว ก็คงจะว่าได้.. สำหรับ บุปผาราตรี หนังสยองขวัญจากฝีมือผู้กำกับขวัญใจเด็กแนว ยุทธเลิศ สิปปภาค ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการ์ตูนเรื่องสั้นผีๆ ราคาไม่กี่บาท ..แล้วจับมันมาแต่งสรรเติมสี ให้กลายเป็น หนังยาวๆ ที่ทำดี ก็ได้ดี และนั่นก็ส่งผลให้เกิดการยืดให้ยาว สาวออกมาเป็นภาคๆ จนล่าสุดก็ได้มาบรรจบครบรอบไตรภาค เป็นอันเรียบร้อย เพียงแต่ เมื่อบังเอิญว่าชื่อมันขายได้ และให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นตัวเงินที่น่าพอใจ มาโดยตลอดทั้งจากสองภาคที่แล้วมาเคยทำไว้ ..มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร ถ้าหากผู้สร้างเกิดอารมณ์พอใจ จะสร้างภาคสามขึ้นมา เพื่อมีไว้แบ่งเป็นตอนออกเป็น 2 ภาคย่อย ...ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของความจำเป็นที่หนังมีเรื่องให้เล่าเยอะ หรือ(ให้เอาเข้าจริง) มันก็ต้องขึ้นอยู่กับความหวังฟันกำไรเป็นหลัก ..ยังไงๆแล้ว คนที่รับผลกรรมก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นคนดูเราๆนี่เอง ที่ต้องจำใจตามเก็บภาคสาม ให้ครบทั้ง 2 ตอน เพื่อความต่อเนื่องในการรู้เรื่องจากต้นจนจบ แต่ คนดู ในที่นี้ ก็ไม่ได้เหมารวม คนทุกคนที่เป็นแฟนคลับของ ผีอาภัพรักนามบุปผา ไปซะหมด ..เพราะถ้าว่ากันตามความเป็นจริง บางคนก็คงจะหมดศรัทธากับ บุปผาราตรี ไปตั้งแต่ภาคสองแล้ว แล้วถ้าลองได้มาดูภาค 3.1 เข้าให้อีกล่ะ ..มันก็ยิ่งมีแต่จะไปกันใหญ่เพียงเท่านั้น จากที่เคยคิดว่า ภาคสาม กลับมาทั้งที ก็คงจะพอหวังให้กลับมาสนุกได้แบบภาคแรกละกัน ...สุดท้ายแล้ว มันก็ยังคงกลายเป็นชัยชนะของประโยคอมตะที่ว่า หนังภาคแรก คือ ภาคที่ดีที่สุด เสียอยู่ดี ซึ่งแม้ว่า โดยภาพรวม(เมื่อดูหนัง)แล้ว บุปผาราตรี ภาคสาม อาจพอจะทำออกมาได้น่า(ให้อยากตาม)ดู ได้มากกว่าภาคสองกันเห็นๆ ..แต่ถึงอย่างไรก็ตาม บุปผาราตรี 3 (ไม่ว่าจะเป็น .1 หรือ .2) ก็ยังกร่อนๆในสิ่งที่เรียกว่า ความสนุก และมีพร้อมไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า ข้อบกพร่อง ให้เราได้เห็นอยู่หลายครั้งหลายหน แม้ตัวผมเองจะค่อนข้างประทับใจกับ อีติ๋มตายแน่ อันเป็นผลงานชิ้นก่อนหน้าของพี่ต้อม ยุทธเลิศ ..และนั่นก็คือการ จุดประกายความหวังน้อยๆให้ผมคิดเออออว่าพี่ต้อมที่ผมรัก ได้กลับคืนสู่อ้อมกอดอ้อมใจเรียบร้อยแล้ว แต่พอให้พี่ต้อม แกกลับมาพร้อมกับหนังสยองแสนรักชิ้นเอกแล้ว ..ไปๆมาๆ กลายกลับว่า ความเป็นตัวของตัวเอง ยังถูกเรียกใช้งานใช้การได้เพียงเล็กน้อยในภาคที่สามไปเสียนี่ คือ ถ้ามองในแง่ของตัวพลอตเรื่องที่ภาคสามมีแล้ว ..ผมคิดว่า บุปผาราตรี ภาคใหม่นี้ ค่อนข้างจะมีแนวคิดที่แตกต่างจากหนังผีไทยๆอีกหลายเรื่อง ...โดยเฉพาะกับการสร้างเงื่อนไขของการคงอยู่ของ ผีสาวตัวเอก หลังจากที่ภาคสอง (ใครได้ดูก็คงรู้กัน) บุปผาได้ถูกส่งไปเกิดใหม่เป็นอันเรียบร้อย และเป็นอันรู้กันกลายๆว่า พี่ต้อม แกอาจหมดมุขจะสานต่อแล้ว (ซิ่งพอได้ดูตัวหนัง ก็ถือว่าคงสมใจแกอยู่.. เพราะภาคนั้น มันแทบจะไม่สนุกอะไรเลยจริงๆ) ...แต่เมื่อต้องให้บุปผาราตรีกลับมาอีกสักหน พลอตของภาคสาม ก็ฉลาดพอจะหาทางออกให้ ตัวบุปผา ถูกแบ่งวิญญาณออกเป็นสองส่วน ..และนั่นก็เป็นเหตุเป็นผลให้เกิดการเดินเรื่องสองรูปแบบ ไปพร้อมๆกันกับการผสมสไตล์การทำหนังผีไทยๆที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพี่ต้อม ..ที่น่าจะทำให้ การกลับมาของบุปผาราตรีภาคนี้ น่าสนุกได้ไม่ยาก หากพี่ต้อม สามารถผนวกความน่ากลัว บวกอารมณ์ขัน เข้าไปได้อย่างลงตัว แต่เมื่อมันไม่ลงตัวขึ้นมา ..ก็ไม่แปลกอะไรที่จะทำให้หลายคนผิดหวังกับ บุปผาราตรี 3 ...ซึ่งไม่ว่าจะเป็นจุดต่อท้ายที่เท่าไหร่ ก็ไม่ได้มีเรื่องไหนที่ให้ความประทับใจได้เช่นเดียวกับภาคแรกเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าภาคสาม จะมาพร้อมอารมณ์ดรามาที่มีมากขึ้น พร้อมกับการแสดงเป็นผีสาวบุปผาของ พลอย-เฌอมาลย์ ที่มีคนเป็นได้ อยู่เพียงหนึ่งเดียว ..และเธอก็ทำในภาคนี้ ออกมาได้ดี โดยไม่ยากต่อการเข้าใจ ...แต่เมื่อบทของเธอดันมีปัญหาตรงที่ต้องยอมแบ่งความเด่นให้กับผีเด็กบุปผา ที่ น้อง พู่กัน-นัดตะวัน แสดงเก่งอย่างตัวขโมยซีนได้ไม่เกรงใจรุ่นพี่ กอปรกับการมีพระเอกผู้มาใหม่เป็น มาริโอ เมาเร่อ ..ผู้ยังคงรักษาความเป็นท่อนไม้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทำให้เกิดรำคาญใจในหน้าเดียวอันเรียบนิ่งทุกๆอารมณ์ของเขา (มันเกิดได้เฉพาะกับการเป็น โต้ง ใน รักแห่งสยาม เรื่องเดียวเลยจริงๆ) ..มันก็เลยไปบั่นทอนให้การสร้างอารมณ์ร่วมของหนัง ที่ทำให้คนดูมีต่อตัวบุปผาโดยตรง ค่อนข้างสะดุด ไม่ราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็น แต่ปัญหาความไม่อิน ยังไม่ใช่สิ่งที่ผมพีงประสงค์จะคิดมากมาแต่ต้นกันเลยเสียหรอก ..หากเอาเข้าจริง ผมอยากดู บุปผาราตรี 3 ก็ตรงที่ หวังจะสนุกกับเสน่ห์เดิมๆที่เคยคุ้น ...และอันสิ่งที่ผมประสงค์ มันไม่โดนถึงที่สุดนี่สิ ที่เป็นปัญหาโดยตรงของผม กับหนังเรื่องนี้ ซึ่งถ้ามามองหาสาเหตุอย่างตรงไปตรงมา ที่จะพบว่า ภาคสาม มันแป้ก ..ก็คงไม่ใช่เรื่องอื่นใดได้อีกแล้ว หากไม่ใช่เป็นเพราะ การแบ่งภาคแบ่งตอนของมันคือต้นเหตุอันแท้จริง แม้ถ้าว่ากันที่เนื้อผ้า ก็ยังต้องยอมรับว่ามีส่วนที่เกิดจากบทยังไม่ค่อยลื่นไหล คนเล่นบางคนก็ไม่เนียนพอจะทำให้เราขำแตกแหกกระเจิง(ทั้งๆที่เป็นดาราตลกคาเฟ่ ด้วยนะนั่น)... แต่นั่นยังเป็นเพียงส่วนเล็กๆน้อยๆ ที่พอจะมองข้ามชอตไปได้เลยทันที หากรู้สึกว่า ภาค 3.1 คือ(ควรจะเรียกว่า) ภาคเสริมเติมแต่ง ที่แทบหาไม่มีสาระใจความใดๆเลย หรืออีกความหมายว่า หนังภาคนี้ มันก็แทบจะไม่ขยับเขยื้อน ให้มีพัฒนาการใดๆ อะไรเลย ..แล้วหากจะว่ากันด้วยการเป็นหนังตลก มันก็คือ หนังมุขต่อมุขอีกเรื่อง ที่มาพร้อมกับความซ้ำและช้ำ ของการเล่นมุข ที่ไม่ได้มีความใหม่ใดๆให้แปลกใจเกิดขึ้นได้เลย และแล้วปัญหาความแป้กที่เกิดขึ้นกับ 3.1 มันก็ยังตามติดมารังควานสานต่อใน ตอนต่อมา อย่างเลี่ยงไม่ได้... เพราะจากความที่ภาคก่อนหน้า มัวแต่อารัมภบทไปพร้อมๆกับมุขที่ไม่ได้ฮาอะไรเลย แต่ก็ใส่เข้ามาเพื่อเสริมความยาวกันเล่นๆไปงั้นๆ ..ภาค 3.2 ที่ทำฮากันเพียงเล็กน้อย และเสริมเน้นความเข้มข้นด้วยเรื่องราวที่เป็นใจความ(อย่างจริงจัง)ของหนัง ก็กลายกลับมาเป็นภาคที่แป้กตามๆกันไปจนได้ ที่ว่าแป้ก มันไม่เกี่ยวกันกับตัวบทหนัง ที่เล่าออกมาได้ไม่ถึงระดับมาตรฐานของยุทธเลิศซะทีเดียว (แต่นั่นก็ไม่ทำให้หนังเสียหายซะเท่าไหร่.. หากไม่คิดเยอะ) ...แต่โดยใจความหลักๆ มันกลับเป็นไปเพราะ ตัวสาระเรื่องที่ 3.2 มีอยู่เยอะนั้น ได้มาช้าจนเกินไป ..อันด้วยความรู้สึกที่จะได้อินกับ บุปผาราตรี 3 มันได้แทบหมดไปพร้อมๆกับการเสียเวลาอีกนับชั่วโมงครึ่ง เพื่อมาดูฉาก Delete Scenes นับสิบ ที่ไม่ได้มีผลต่อเนื้อเรื่องอะไรเลยของภาคย่อยก่อนหน้า ซึ่งสร้างบาดแผล(กับหนัง พร้อมๆด้วยคนดู)อันน่าให้ชีช้ำไม่ใช่น้อยๆ หากพี่ต้อม เลือกจะไม่เดินแบ่งภาคออกมาเป็นสอง เพียงกะให้เก๋ให้เท่ห์คล้ายๆคลึงๆกับ Kill Bill (หนังที่พี่ต้อม แกคงแค้นใจอะไรมาก ..เลยเป็นแรงบันดาลใจให้เกิด อีติ๋มตายแน่ และยังพาลมาถึงผีบุปผา ด้วยเสียอย่างงั้น) ผมว่า สาระที่ภาคสามมีอยู่ สามารถจะทำให้เกิดหนังดีแบบยุทธเลิศขึ้นมาได้โดยง่าย เพียงเล่าเรื่องแค่รวดเดียวจบเป็นจบกันไปเลย หรือถ้ากะจะยืนยันทำเป็นสองภาคแยกเช่นนี้กันจริงๆแล้ว ..อีกวิธีการหนึ่งที่ทำให้หนังคงดูเข้าท่าเข้าทางกว่าเยอะ ก็คงไม่พ้น การเลือกแบ่งเอาสาระและความเข้มข้นที่ 3.2 มีไปไว้อย่างมีความสมดุลกันใน 3.1 ...ซึ่งนั่นก็น่าจะส่งผลทำให้พลอตของ บุปผาราตรี 3 มีที่ทางจะเล่าต่อยอดไปยังมุมมองอื่นๆได้อีกเยอะเช่นเดียวกัน ..โดยเฉพาะกับการเสริมความเด่นให้กับตัวละคร พ่อเลี้ยง ของ หนุ่ม-สันติสุข ..ที่น่าจะสำคัญกว่านี้ได้ หากหนังให้เวลาออกจอนานขึ้น (อีกอย่างก็น่าเสียดายในศักยภาพของคุณหนุ่มเองด้วย ..ที่อุตส่าห์ยอมมาร่วมเล่น ก็เป็นตัวอะไรที่ไม่น่าจดจำอย่างนี้) ซึ่งถึงที่สุดแล้ว หากมองกันโดยสรุปในภาพรวมของ บุปผาราตรี 3 ..คำๆเดียวที่ผมว่ามันชัดเจนที่สุดที่จะพูดถึงหนังเรื่องนี้ก็คือ ผิดหวัง ...แต่มันก็คือความผิดหวังที่ไม่ร้ายแรงอะไรนักหรอก ถ้าหากตัวหนังทั้ง 2 ภาคย่อย ก็พอเรื่อยๆไปได้กับการแสดงของสองผีบุปผา ความฮาแตกของแก๊งเพื่อนมาริโอ้(ในภาคแรก) การกลับมาของสองคู่หูคู่จ่าที่ขาดไปไม่ได้เลยจริงๆ(ในภาคสอง) และบทสรุปความรักของพี่บุปผา และน้องหรั่ง ที่จบได้อย่างเข้าท่าเข้าที(ในภาคสอง) เพียงแต่ถ้าคิดจะมีภาคหน้าต่อไป ..ขออย่างเดียว อย่าได้ริสาวความยาว ต่อความเยอะกันอีกเลย บทจะเล่าก็เล่าให้จบในภาคเดียว พร้อมกับมีความเต็มที่ ลงตัวไปเลยดีกว่านะ ...อย่าให้ศรัทธาที่ใครต่อใครมีกับ บุปผาราตรี เสียหายไปกันใหญ่กว่านี้เลยเถิด!!! บุปผาราตรี 3.1 -> เกรด B- ... { }บุปผาราตรี 3.2 -> เกรด B ... { } ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date : 08 กันยายน 2552
Last Update : 8 กันยายน 2552 1:52:47 น.
3 comments
Counter : 5644 Pageviews.
โดย: poo (myroom_pu ) วันที่: 8 กันยายน 2552 เวลา:10:11:28 น.
โดย: wahamanz IP: 118.172.137.203 วันที่: 8 กันยายน 2552 เวลา:10:21:05 น.
โดย: นายแจม วันที่: 8 กันยายน 2552 เวลา:12:48:16 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30