"Happy Birthday" ... ผู้ชายที่เกิดมาบูชารัก กับของขวัญวันปวดใจ
ตามประสาของคนขี้สงสัย ..ผมเคยนึกตั้งคำถาม และอยากจะได้คำตอบว่า "เพราะเหตุใดกันหนอ ความรักถึงเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ?" ซึ่งแม้ในโลกใบนี้ จะยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่ชวนให้น่าสงสัย ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ใครเป็นผู้กำหนดเรื่องราวของมัน ..แต่เรื่องของความรัก เป็นหัวข้อแทบจะหนึ่งเดียว ที่สามารถนำมาโต้แย้ง หาข้อกล่าวอ้างได้ต่างๆนานา ...ช่างน่าฉงน ที่คำถาม 1 คำถาม ที่ว่าด้วยความรัก จะสามารถมีคำตอบในตัวของมัน ได้เป็นแสนเป็นล้านเรื่อง และแต่ละเรื่องก็ยังมีจุดขัดแย้งในตัวของมันเองได้อีกต่างหาก ลองมองเช่นในกรณีของ "บิ๊ก D2B" ..หนึ่งในสมาชิกวงบอยแบนด์ ที่โด่งดังเป็นพลุแตก เพียงแค่ออกอัลบั้มแรก เป็นตัวอย่าง จากคนหนึ่งคนที่ใครๆก็มองว่าเป็นคนหนุ่มอนาคตไกล ผู้ที่ชีวิตยังคงเจอะเจอกับความสำเร็จได้อีกเยอะ ..กลับต้องมามลายจบสิ้น ทั้งความฝันและความจริงในเวลาเดียวกัน เมื่อรถที่เขาโดยสาร เกิดอุบัติเหตุ และตกลงสู่คลองหนองน้ำอันสกปรก ..นั่นคือจุดเริ่มต้นของการจบชีวิตอย่างไม่เป็นทางการ ของนักร้องที่เคยดัง แต่ต้องมาดับเพราะเชื้อแบคทีเรียที่ขึ้นสมอง จนกลับกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ..ผู้ที่ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย เหลือก็แต่ความมืดมนที่บังตาเขาเอาไว้เพียงเท่านั้น คุณหมอเจ้าของอาการ เคยได้บอกเอาไว้แต่แรกว่า เปอร์เซ็นต์ในการรอดชีวิตของ บิ๊ก มีอยู่ต่ำจนเกินจะลุ้นได้ ..ในเมื่อสมองที่เป็นส่วนกำหนดของทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นชีวิต ได้ถูกสิ่งแปลกปลอมกัดกินอย่างรวดเร็ว และรุนแรง จนกลายเป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกินในการจะสกัดกั้นให้มันอ่อนแรงลง ...และถึงแม้จะมียาดี ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างเห็นผลก็จริงอยู่ แต่ถ้าหักลบกลบหนี้กันจริงๆ ก็ไม่อาจจะฆ่าได้หมดอยู่ดี ตลอดระยะเวลานับ 3-4 ปี แห่งการเป็นเจ้าชายนิทราของ บิ๊ก ..เราอาจจะเคยได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า ปาฎิหาริย์ เกิดขึ้นมากับผู้ชายคนนี้หลายครั้งหลายครา ...ไม่ว่ามันจะเกิดมาจากแรงใจของประชาชนทั่วไป หรือกับคนในกลุ่มแฟนคลับที่ต่างภาวนา วิงวอน หรือกระทั่งยอมบนบานให้นักร้องหนุ่มคนนี้ ได้ลืมตาตื่นมาเจอพวกเขาอีกครั้ง ...แต่ถึงอย่างไรจะพยายามถึงที่สุดแล้ว คนเรามันก็ยังมีกรรม และกรรมๆนี้ ก็คือ การได้เห็นพ่อแม่ของบิ๊ก ยอมจะเลิกยื้อชีวิตลูกชาย ถอดสายอ๊อกซิเจนออก พร้อมสั่งลาของขวัญที่พวกเขาภูมิใจ และต้องยอมเสียไปทั้งน้ำตา คำถามที่ผมนึกสงสัยในเรื่องนี้ มันอาจจะเป็นคำถามที่แฟนคลับของบิ๊กไม่เคยคิด และคงไม่อยากคิดเพื่อบั่นทอนกำลังใจของตัวเอง ..เพราะมันเป็นคำถามของคนหนึ่งคนที่เห็น บิ๊ก เป็นนักร้องชายที่โด่งดังคนหนึ่งเท่านั้น ..และคำถามนั้นก็คือ ความอยากรู้ของคนขี้สงสัย ที่ว่า "ทำไมหนอ? พ่อแม่ของบิ๊ก จึงยอมให้เวลา 3-4 ปีที่แสนจะร้าวรานใจ ..ใช้มันหมดไปกับการดูแลชีวิตลูกชายของพวกเขา ที่รู้ทั้งรู้ว่า คงไม่อาจตื่นขึ้นมารับรู้อะไรบนโลกนี้ได้อีกต่อไป.." แม้ผมจะเข้าใจอยู่อย่างว่า มันเป็นเพราะความรัก ..แต่ที่ไม่เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ คือ การเลือกจะแบกชีวิตคนหนึ่งคน เอาไว้บนบ่าของคนสองคน.. ทั้งๆที่ถ้าเขาคนแรกยังคงลืมตาอยู่ ก็ควรจะได้เป็นเขาที่เป็นฝ่ายต้องอุ้มชูสองคนหลัง ไม่ใช่เหรอ? หรือแท้จริงแล้วที่ผมคงไม่อาจจะเข้าใจ ..มันก็เป็นไปเพราะ ผมยังไม่เคยเจอเรื่องราวอย่างนี้กับตัวเอง ใช่ไหม? แล้วถ้าสมมติว่าผมต้องเจอ ..ผมจะตัดสินใจ ยอมแลกชีวิตที่เหลืออยู่ เพื่อบูชาสิ่งที่เรียกว่า ปาฎิหาริย์ อันไม่อาจรู้ได้ว่า มันจะมี หรือไม่มี ..หรือเปล่า? แม้จะนึกสงสัยในคำถามๆนี้ ก็เป็นจริงอยู่ ...แต่ถึงจะอย่างไร หากเลือกได้ ผมก็ต้องไม่อยากทำใจ จะตอบคำถามนี้ของตัวเอง ให้คนอื่นๆได้รับรู้ อย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้ว การมาของหนังไทยแนวรักๆเลิฟๆเรื่องใหม่ ในชื่อภาษาอังกฤษที่คุ้นเคยสำหรับทุกคน ว่า "Happy Birthday" ...การมาพร้อมกับพลอตเรื่องที่ว่าด้วยเรื่องของความรักที่ต้องยอมแลกด้วยชีวิต จึงนับเป็นประเด็นแรกๆที่ผมสนใจ และอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่หนังจะบอกกล่าว ..เพราะเชื่อว่า มันคงจะตอบคำถามที่ผมเคยสงสัยได้ ไม่มากก็น้อย ผลงานหนังรักเรื่องที่ 2 ในแบบ "พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง" เรื่องนี้ ..เล่าเรื่องของหนุ่มสาววัยทำงาน ที่คนหนึ่งเป็นช่างภาพนิตยสารท่องเที่ยว และอีกคนทำงานเป็นไกด์นำทัวร์ ..สองคนที่มีความเหมือนในการทำงานด้านการท่องเที่ยว ได้มาพบเจอและรู้จักกันจาก ความซุกซนของสาวเจ้าที่บ่อนทำลายหนังสือท่องเที่ยวเล่มหนึ่ง ซึ่งฝ่ายหนุ่มติสต์กำลังคิดจะซื้อ ..หากเขาต้องพบเจอว่ามันมีรอยขีดเขียน ตัวหนังสือ ภาพวาด จากฝีมือของคนนิรนาม และก็ด้วยความอยากรู้ว่าใครหนอถึงได้ทำตัวร้ายกาจอย่างนี้ ..เขาจึงวางแผนจะดักเจอตัวเพื่อต่อว่าในความไม่มีมารยาท แต่เมื่อ "เต็น" ได้พบหน้า "เภา" สาวนิรนามคนนั้นเข้าอย่างจังกันจริงๆ ..มันกลับทำให้เขาตกหลุมรัก ในความสดใส มองโลกในแง่ดี ของเธอเข้าอย่างจังเช่นกัน และด้วยความกล้าที่มีเปี่ยมล้น เต็น ก็เลยใช้เวลาไม่นานเสนอหน้า ขอตัวเป็นแฟนเธอ ...หากแต่ เภา ก็ยังต้องการการพิสูจน์จาก เต็น ว่าเขาจะเป็นแฟนที่ดีพอสำหรับเธอได้จริงๆ แต่เมื่อ เภา ได้เจอหน้า และทำความผูกพันกับ เต็น ไปเรื่อยๆ ..ความแน่ใจของเธอ ก็เริ่มเพิ่มพูนขึ้นไป และทำให้เธอพร้อมจะเต็มใจเป็นแฟน กับเต็น ได้เสียที หากเวลานั้น เมื่อมันจะมาถึงจริงๆ ..ก็กาลกลับให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมต่อหน้าต่อตาของ เต็น ...และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ชีวิตที่เหลือของเต็น มันก็ได้ตกเป็นของของ เภา แต่เพียงผู้เดียว โดยสมยอม ด้วยเพราะ เต็น ยังเชื่อว่า ปาฏิหาริย์ มีอยู่จริง ..และมันจะเกิดขึ้นกับเขา เพราะความรักที่เขามีต่อเภา มันมากมาย เสียจนเข้าใจว่า มันสามารถจะปลุกชีวิต ฟิ้นพลัง ให้เภาตื่นขึ้นมารับรู้ถึงความรักที่เขามีต่อเธอได้ในที่สุด คงอาจไม่ใช่แค่ เต็น เท่านั้นที่คิดอย่างนี้ ..บนโลกนี้คงยังจะมีอีกหลายคนที่คิดในแบบเดียวกับเขา และเชื่อว่า ความรักที่มีให้กับใครคนนั้น มันจะสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งปลุกชีวิตของคนที่ทางการแพทย์ชี้นำว่าตายไปแล้ว ฟื้นขึ้นมาเหมือนเป็นปกติได้อีกครั้งหนึ่ง ผมไม่กล้าตัดสินใจได้หรอกว่า สิ่งที่ คนในแบบเดียวกับ เต็น คิด มันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ ..ในบางมุมมอง เราอาจจะคิดว่าเหมือนเป็นการหลอกตัวเอง เพื่อดื้อดึงจะยื้ออะไรก็ได้ ให้มันดีขึ้นกว่าเดิม แม้กระทั่งว่าความเป็นไปได้ของมันจะมีน้อยกว่าครึ่งก็ตามที ...แต่ในบางมุมมอง มันก็คือการให้กำลังใจตัวเอง ที่ไม่สำคัญว่าใครจะรู้สึกอย่างไร ขอแค่ให้ตัวเราอยู่กับมันได้ และสักวันสิ่งดีๆที่เพียรทำมาให้ มันคงจะบังเกิดผลดีกลับมา แต่อย่างไรแล้ว ผมก็เชื่อว่า สิ่งที่ คนในแบบเดียวกับ เต็น คิด และได้ลงมือทำ ..มันคือ เรื่องของความเสียสละ หรือที่เราเรียกมันง่ายๆว่า 'การให้' ..อันเป็นสิ่งที่ทางพุทธ ยึดว่า ยิ่งใหญ่กว่าวิธีใดๆในการทำบุญ แล้วก็ด้วยความเชื่อในสิ่งนี้ ที่ผมรู้จัก และถูกเล่าออกมาให้เห็นภาพ ผ่านภาษาของหนัง ...มันเลยสะท้อนกลับมาเป็นคำตอบให้กับคำถามที่ผมนึกสงสัยว่า ทำไมความรัก ถึงเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ? กรณีของการเสียสละ มันก็คือตัวเดียวกันกับการให้ความรัก นี่แหละ ...เพราะถ้าเราได้ลองรักใครสักคนขึ้นมา สิ่งแรก สิ่งที่สอง และสิ่งต่อๆมาที่เราจะทำให้ความรักนั้นมีรูปธรรม เพื่อให้คนที่เรารักได้เห็นภาพ และจับต้อง ..มันก็ล้วนแต่ต้อง มีการเสียสละ ให้แลกได้มาซึ่งความสุขใจในปลายทางทั้งนั้น เพียงหากกับกรณีของ เต็น อาจจะแตกต่าง ..ที่การแลกมาซึ่งความสุขใจในปลายทางที่เขาคาดหวัง มันกลับระทมตรอมตรมไปด้วยทุกข์ตลอดทาง เพราะขณะที่คนอื่น สามารถจะบอกรักให้คนที่เขารัก ได้ยินได้ฟังทุกวัน ซึ่งอาจยังมีปฏิกิริยาตอบกลับจากใครคนนั้นเป็นคำว่ารัก อีกเช่นกัน... หากกับ เต็น ผู้ที่ได้แต่ออกแรงกระทำแทนคำพูด ใช้หัวใจ เป็นเครื่องต่อชีวิตให้เภาไปวันๆ หากกระนั้นเธอก็ไม่สามารถจะยินดียินร้าย และตอบกลับจากปาก มาได้เพียงความเงียบงัน กับเสียงหัวใจเต้นที่ทำได้แค่บอกสถานะว่าเธอยังหายใจอยู่ ฉะนั้นแล้ว การเสียสละทางการลงมือทำของเต็น จึงเหนื่อยและหนัก ไปกว่าการเสียสละคำพูดแค่ไม่กี่คำ เพี่อแสดงความรักอย่างมั่นคงของคนทั่วไป แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้เรา รู้สึกว่าเราโชคดีได้อย่างไร ..ในเมื่อโลกใบนี้ ยังมีคนบางคน ที่พบเจอเรื่องเลวร้าย อันแลกมาด้วยความรัก และถ้าลองว่าเป็นเรา ต้องเจออย่างเขาแล้ว ..เราจะสามารถอดทนอยู่กับมันได้หรือ? แล้วถ้าทำใจจะต้องอยู่ด้วย ..เรายังจะสามารถอยู่กับมันได้นานแค่ไหนกันเชียว? เมื่อเราได้ลองย้อนกลับมามองในเรื่องของความรัก ที่ไม่ได้มีความหมายว่าเป็น แฟน อีกด้วยล่ะ ...เราก็แทบจะกลายเป็นชนกลุ่มน้อยไปเลย เมื่อเอาความยิ่งใหญ่ของรักแบบหนุ่มสาว ไปเทียบเคียงกับคนบางคน ที่ต้องทรหดอดทน รักใครสักคน ตลอดเวลา โดยที่การเสียสละนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะได้รับการตอบกลับด้วยความดี ทุกครั้งไป Happy Birthday คงตั้งใจจะให้เราไม่มองเรื่องราวของมันในมุมเดียวแบบที่หนังรักทั่วไปเขาพีงเป็นกัน ..หากแต่มันยังจะครอบคลุมไปถึงการเสียสละในรูปแบบอื่นๆ ที่มีศักดิ์เป็นได้ทั้ง พ่อแม่-ลูก ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือกระทั่งคนอื่นๆทั่วไปที่เราอาจไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่จังหวะจะรู้จักมันก็มาไม่ทันตั้งตัว (สมมติตัวอย่างเช่น.. เราอาจจะบังเอิญไปขับรถชนคนจนบาดเจ็บขั้นโคม่า มันก็ต้องกลายเป็นเราที่จะเพียรดูแลให้เขารอดตาย เพื่อไม่ให้มีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต) เพราะเรื่องของความรัก ไม่ได้ตายตัว เพียงแค่ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งรักกัน และพร้อมจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตที่เหลือเพื่ออยู่ใกล้ชิดไปจนวันตาย ...หากมันมีแนวทางอื่นๆที่แตกต่างอีกมากมาย อันต่างล้วนก็ต้องใช้กลวิธี การให้ เพื่อพิสูจน์ใจให้ใครคนอื่นได้รับรู้ และให้กลับเพื่อตอบแทน ถึงแม้ว่าความรักนั้น มันต้องเสียสละเพื่อได้มาซึ่งความทุกข์ ...แต่ถ้าความตั้งใจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ลงท้ายที่ปลายทาง เราจะพบว่ามันมีความสุขรอคอยอยู่ ถึงความสุขนั้นอาจจะไม่ได้หมายความว่า คนที่เรารักจะได้สุขไปพร้อมๆกัน ..อย่างไรก็ตาม ผมก็เชื่อว่า การที่เราให้เขาไปถึงที่สุดในจุดที่คุ้มค่า ...มันก็ยังจะให้ความทรงจำดีๆคืนกลับมา เพื่อย้ำเตือนเราว่า ครั้งหนึ่งเราเคยรักใครสักคน และเคยได้ทำหน้าที่ของคนรักที่ดีที่สุด โดยไม่จำเป็นว่าเขาจะรู้หรือไม่รู้ ..เพราะถึงอย่างไร ในวันที่เราต้องจากกัน มันคงจะลบเลือนความเลวร้าย ด้วยสิ่งต่างๆที่เราเคยทำมาด้วยความตั้งใจ และแม้จะไม่ทันได้เอ่ยคำลา แต่การกระทำที่แล้วมา ผมเชื่อว่ามันคือ คำขอบคุณที่ดีและมีคุณค่าที่สุด สำหรับเราและเขาที่จะมีให้แก่กันในวันสุดท้ายของความรัก(หรือชีวิต) และวันสุดท้าย วันนั้นก็จะไม่มีการให้ของขวัญชิ้นสุดท้ายอื่นใดที่สูงค่าไปกว่า 'ความปวดใจ' ที่ทำให้เราได้รู้ว่า ความรักที่เราบูชา มันคุ้มค่าแค่ไหน กับการเสียสละมอบให้ใครคนอื่น เพียงเพื่อให้เราได้รักเป็นในวันนี้ "Happy Birthday" ..แค่ชื่อ คงจะนึกได้ว่ามันเป็นหนังที่เกี่ยวข้องกับวันเกิด แล้วบังเอิญมีอะไรเกิดขึ้นในวันนั้นกับความรักของพระนางพอดิบพอดี ...และในกรณีของหนังเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องของโศกนาฏกรรม อย่างที่ว่า (อีกทั้งตัวอย่างหนัง ..ก็ฉายบอกทนโท่กันเต็มๆ) อันน่าจะทำให้ใครที่คาดหวังจะดูหนังรักเรียกน้ำตา สะดุดใจในทันที แต่จากเครดิตที่ผ่านมาของน้าอ๊อฟ กับหนังเรื่องแรกที่แค่เปิดตัวก็น่าประทับใจในทันทีอย่าง "Me..Myself ขอให้รักจงเจริญ" ..ก็ทำให้ผมมองไม่ออกเหมือนกันว่ามันจะสะดุดได้สักแค่ไหน เพราะจะว่าไป หนังเรื่องก่อนก็ค่อนข้างจะจบแบบแฮปปี้มีสุขกันอย่างงั้น (รวมไปถึงละครทางช่องน้อยสี ..ที่ก็ต้องเป็นไปตามกลไกละครบ้านเราแหงซะ) แต่ถ้าเปลี่ยนไปมองที่ตัวคนเขียนบทกับเครดิตที่ผ่านมา .."คงเดช จาตุรันต์รัศมี" ที่เคยโด่งดังเอากับ "The Letter จดหมายรัก" ก็คล้ายเป็นตัวประกันได้ว่า การเรียกน้ำตา คงจะต้องมี เพียงแต่ถ้าถามผมว่ารู้สึกอย่างไรกับ The Letter บ้าง... โดยส่วนตัวก็มองว่ามันเป็นหนังรักที่ดี มีเรื่องราวที่เป็นธรรมชาติ เรียบง่าย ได้การแสดงชั้นเยี่ยม กำกับลึกซึ้ง ..หากแต่ความฟูมฟายกลับหนักข้อ ล้นไปด้วยความพยายามจะให้เราบีบน้ำตา กลายกลับเป็นฝืนธรรมชาติกันไป ซึ่งผมโทษว่ามันคงจะเป็นเพราะ บท อันเป็นหนังรักเรื่องแรกๆที่พี่คงเดชเขียน ..เลยยังไม่ค่อยพอดี ไม่มีปราณีปราศรัย และเป็นไปเพราะอยากให้เรื่องราวเข้าถึงคนดู หากแต่เหมือนจะลืมไปว่า คนเราก็มีขีดจำกัดในความซาบซึ้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้นาน บวกประสบการณ์ที่มากขึ้นจนถึงจุดที่ลงตัว ...การเขียนหนังรักของพี่คงเดชในวันนี้ ก็กลายเป็นเรื่องที่คอนเฟิร์มได้ว่า นอกจากจะซึ้ง ก็ยังได้มีสาระไปพร้อมเพรียงกัน ..อย่างเมื่อต้นปีกับ งานเขียน(พ่วงกำกับ)ล่าสุด อย่าง "กอด" ก็ประทับใจเอาอย่างมาก จนได้กลายเป็นหนังไทยแห่งปีสำหรับผมไปเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นแล้วผมเลยค่อนข้างมั่นใจว่าบทหนัง คงไม่น่าผิดหวัง และมันก็เป็นไปตามที่คิดไว้ ..หากแต่หนังเรื่องนี้ก็ยังให้กับผมได้ ทั้งที่มีน้อยกว่า และมากกว่า ไปพร้อมๆกัน ที่ว่าน้อยกว่าคาด ก็คือ ส่วนที่เป็นการกำกับของน้าอ๊อฟ และความลงตัวของหนังที่ไม่เข้าที่ ทั้งมันยังอาจจะทำให้คนมึนๆได้ไม่มากก็น้อย แต่ที่มากกว่าจนเกิน ก็ย้อนกลับมามองที่บท ..และพบว่า มันมีกลิ่นของคงเดชที่ฉุนเอาอย่างมาก จากเรื่องก่อนที่น้าอ๊อฟ พิสูจน์ว่าเขากำกับหนังเป็น และก็เก่งไปแล้ว.. มาถึง Happy Birthday เรื่องใหม่ กลับดูเกร็งๆ ที่จะนำเสนอความรักในแบบของเขา ที่แตกต่างจาก Me..Myself ออกไป ความเกร็งในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า ฝีมือน้าท่านจะไม่ดี ..แต่ที่หนังเดินเรื่องแบบยังไม่ค่อย smooth มีจังหวะโดดอยู่พอสมควร ทำเอาต่อเนื่องไม่ติด ก็แอบส่งผลหน่อยๆ ให้เราไม่ลื่นเรียบไปกับหนังโดยตลอด ...มันอาจจะน่าโทษที่การตัดต่ออยู่หรอก แต่กับตัวผู้กำกับก็มีส่วนอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าลองว่าหนัง เน้นขายภาพสวย ผสมโรงกับอารมณ์คอมเมดี้บางๆ น่ารักๆ อย่างในครึ่งแรก ..หรือกระทั่งเทตัวไปสู่ความเป็นดรามาเรียกน้ำตา อย่างในครึ่งหลังกันเต็มที่ ...หากหนังทำการต่อเชื่อมระหว่างฉาก ได้ไม่ค่อยเนียน ในหลายครั้งหลายหน ก็จะส่งอารมณ์ไปไม่เนื่องเรื่อยๆ ให้คนดูรู้ลึกและเข้าใจในมุมมองความรักของตัวผู้กำกับได้ไม่ถึงเต็มอิ่ม และก็กลายเป็นมองว่าผู้กำกับเองก็คงเกร็งที่จะขายหนังของเขา อาจเพราะความไม่แน่ใจว่า รายละเอียดตรงไหนที่ควรจะมีอยู่ หรืออะไรที่ตัดออกไปก็ไม่เชิงว่าจะบั่นทอนความเข้าใจในตัวหนัง ..ซึ่งจังหวะแบบนี้ ผมสัมผัสได้ในหนังรักเรื่องที่สอง เรื่องนี้ มากไปกว่าเรื่องแรกพอสมควร แม้จะยอมรับว่าด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น จะทำให้หนังเรื่องนี้ มีพัฒนาการทางด้านการใช้ศิลปะภาษาหนังเล่าเรื่องราวได้ดีกว่าเรื่องก่อนหน้า ..แต่ถ้าวัดกันในส่วนของความลงตัว ดูบางสิ่งบางอย่างก็ไม่เข้าร่องเข้ารอยเสียดิบดี อย่างที่ควรจะเป็นอยู่นั่นเอง ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นผลที่สะท้อนมาจากบทหนังของพี่คงเดช ที่เป็นตัวของตัวเองมากกว่าเขียนบทหนังให้คนอื่นครั้งไหนๆ ..และมันก็ดูว่ามากเกินไป ที่ผมหวังไว้สำหรับฝีมือของคนทำหนังคนนี้ เพราะส่วนตัวก็แค่คิดว่าจะได้ดูหนังรักดรามาแสนเศร้าเคล้าน้ำตา ..แต่ดันมาเจอความล้นไปนิดที่บทพาให้เราสับสนว่าอะไรเป็นความจริง? อะไรเป็นความฝัน? ...และรวมไปถึงการมีฉากจบที่ทำให้คิดถึงหนังเรื่องหนึ่งของพี่คงเดชขึ้นมาตะหงิดๆ (ใครดูแล้ว คงจะพอนึกออกว่าผมหมายถึงเรื่องไหน) แต่ที่ว่ามากเกินไปนี้ ก็ไม่ถึงกับร้ายแรงอะไรนักหรอก (อย่างน้อยมันก็อยู่ในกรอบของเวลาที่กำลังจะเป็นไปตามนั้น) ...เพียงแต่คิดว่า ถ้าจัดการให้มันกลมกล่อม และให้ความรู้สึกที่ต่อเนื่องกว่านี้ก็ยังได้ ถึงกระนั้น แม้น้าอ๊อฟจะออกอาการเป๋ไปนิดกับงานที่แสดงพัฒนาการการทำหนังขั้นต่อมาชิ้นนี้ ...หากที่ยังน่าไว้ใจได้ ก็คือ ความเป็นมืออาชีพในการกำกับการแสดง ที่เอาอยู่มาตั้งแต่สมัยทำละคร ..และเมื่อมาทำหนังเรื่องที่สอง แต่เลือกใช้บริการนักแสดงหน้าเดิมมาสวมหน้าใหม่เป็นพระนางให้ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอะไรอีกต่อไป ในเมื่อสองคนนั้น เขาก็เคยทำได้ดีมาแล้ว จากคนหนึ่งที่เคยเป็นกระเทยความจำเสื่อม และอีกคน ก็คือผู้หญิงที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตกระเทยให้อยากกลับมาเป็นผู้ชายอีกครั้ง ..การกลับมาเจอกันของ "อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม" และ "ฉายนันท์ มโนมัยสันติภาพ" ในรอบที่ 2 กับผู้กำกับคนเก่า ก็ยังคงเป็นอะไรที่เข้าที มีเคมีที่อยู่กันได้ และการเข้าคู่เข้ารอยของพวกเขาตลอดครึ่งแรกของหนังที่เน้นขายความน่ารัก ก็ทำให้เราเกิดความผูกพันกับ "เต็น" และ "เภา" ได้อย่างมากมาย เพราะเราเชื่อว่าสองคนนี้อยู่ด้วยกันได้จริงๆ แต่เมื่อหนังได้เดินเข้าสู่ครึ่งหลังที่ออกจะขับเน้นความซีเรียสเข้าอย่างว่า ขณะที่ แอม ทำได้แค่นอนนิ่งอยู่กับที่.. ก็กลายเป็นหน้าที่ของ อนันดา เพียงคนเดียวที่จะต้องแบกรับเรื่องราวทุกอย่าง มารุมมาสุมใส่ตัวเขา ..พร้อมทั้งต้องพาช่วงเวลาหนังที่เหลืออยู่ ให้ตกเป็นอภิสิทธิ์ ที่จะต้องทำให้เราเชื่อว่า ความรักของเขามันยิ่งใหญ่แค่ไหนเมื่อวัดเรื่องฝึมือ กับหนังของอนันดา เอเวอรี่แวร์ ทุกเรื่องที่ได้ผ่านตาผมไปในรอบปีที่ผ่านมาแล้ว (ได้ข่าวว่าผมตามเก็บหนังของเขาครบทุกเรื่อง ..ประหนึ่งคล้ายจะเป็นแฟนคลับยังได้ก็ไม่ปาน) ผมขอยืนยัน คอนเฟิร์ม ไปเลยว่า... คาแรกเตอร์ เต็น ใน Happy Birthday เป็นที่สุดของบทบาทการแสดงจากดาราคิวทองผู้นี้ และเป็นที่สุดในระดับที่สามารถเดินเข้างานประกาศรางวัลหนังไทยในปีหน้า ได้อย่างน่ารักน่าลุ้นในทุกๆงาน เพราะถ้าลองตัดครึ่งแรกที่ค่อนข้างจะสบายๆ ทำตัวชิลๆ ในอารมณ์พระเอกหนังรอมคอม ที่ผมเคยเห็นมาจาก "สบายดี หลวงพะบาง" ออกไป ..การพิจารณาดูแค่สักฉากสองฉากในครึ่งหลัง ก็แทบทำให้ อนันดา สามารถจะติดโผการแสดงยอดเยี่ยมแห่งปีได้แล้ว โดยไม่ต้องรอชมไปจนจบเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่ อารมณ์ภายใน ไปสู่การแสดงออกผ่านสีหน้า ท่าทาง หรือกระทั่งฉากระเบิดตูมที่เข้าลงกับความผิดหวังในชีวิตรักได้อย่างเต็มที่สุดจะกลั้น (ที่เห็นในตัวอย่าง ก็คือ ฉากเขย่าเตียง) ...รับประกันได้เลยว่า 1 ใน 5 น่าจะมีชื่อของเขาอยู่พ่วงในทุกๆงาน เรียกได้ว่า ใครเป็นแฟนอนันดา และอยากจะดูหนังที่เปิดโอกาสให้เขาได้สำแดงพลังถึงที่สุด เหมือนเช่นที่เคยได้เห็นจาก Me..Myself แล้ว... นี่คือ หนังที่ไม่น่าพลาดเลยทีเดียว"Happy Birthday" ... ไม่ว่าจะด้วยเครดิตที่ดีของผู้กำกับ คนเขียนบท หรือว่านักแสดงนำทั้งสอง(แต่หลายคนคงโฟกัสไปที่ชายหนุ่มมากกว่า) ..หรือว่าคุณจะคาดหวังว่ามันคงเป็นหนังรักที่ทำให้เราอิ่มน้ำตาได้ ก็ตามแต่ ..สำหรับผมแล้ว นี่คือหนังรักที่ดีเรื่องหนึ่ง ที่น่าจะได้ลองพิสูจน์ ..เพราะไม่ว่า เรื่องราวของมันจะอยู่ใกล้ หรือไกลตัวเรา และ มันอาจจะเกิด หรือไม่ได้เกิด ก็สุดแล้วแต่ ..หากที่สำคัญกว่าความเข้าถึง ก็คือ ความเข้าใจในเรื่องราวของความรักอีกรูปแบบหนึ่ง ที่จะมาช่วยตอบคำถามให้เรารู้ว่า "เพราะเหตุใดกันหนอ ความรักถึงเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ?" เกรด B+ ... { } "สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนังได้ที่ //vreview.yarisme.com " ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date : 19 ธันวาคม 2551
Last Update : 19 ธันวาคม 2551 0:03:40 น.
12 comments
Counter : 3317 Pageviews.
โดย: อุ้มสี วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:0:39:56 น.
โดย: มังกรนอนใต้เมฆ (cruduslife ) วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:0:42:10 น.
โดย: hiyono IP: 125.25.18.233 วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:1:31:19 น.
โดย: แม่มดตัวน้อย (Lulabelle ) วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:3:48:54 น.
โดย: ไกลนั้น IP: 58.136.25.236 วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:11:11:47 น.
โดย: กอล์ฟ IP: 58.9.216.128 วันที่: 13 มกราคม 2552 เวลา:19:11:04 น.
โดย: โอปอ IP: 113.53.14.17 วันที่: 1 กันยายน 2552 เวลา:11:26:05 น.
โดย: โอปอ IP: 113.53.14.17 วันที่: 1 กันยายน 2552 เวลา:11:29:19 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30 31