+-+ OncE UPoN'-'a MaN +-+ รักนะ.. คนอ่าน เข้ามาดู.. โดนใจ ออกไป.. อย่าลืมกัน
Summary for Best of the Year 2012 ..Please CLICK!!
"There Will Be Blood" ... ศรัทธาใต้เท้า/ความเชื่อเหนือหัว กับ ตัวตนของคนบาป



ออสการ์ 2008 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ...กับการได้ผู้ชนะในสาขาสูงสุดเป็นหนังอเมริกันจ๋ากลิ่นอายคาวบอยตะวันตก ที่พูดถึงประเด็นอันเป็นสากล การเผชิญหน้ากันระหว่างคนดี คนกลาง และคนชั่ว

แม้ "No Country for Old Men" อาจจะถือว่าเป็นผู้ชนะที่มีคุณค่าและเหมาะสมกับตำแหน่งหนังยอดเยี่ยมแห่งปี ...ไม่มีอะไรให้ขัดอกขัดใจจนอาจต้องถกเถียงหนักหน่วงเหมือนเช่นสองปีก่อน ...แต่ถ้าถามว่าหนังเรื่องนั้นเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสายตาของคนดูคนหนึ่งหรือยัง ผมกลับคิดว่า ยังมีผู้ที่เหมาะสมมากกว่านั้นอยู่อีก สองเรื่อง ...และทั้งสองเรื่องนี้ มีความน่าสนใจเหมือนๆกัน ในประเด็นเรื่องที่พูดถึง 'ความบาป' และคู่นี้ก็ทำได้อย่างหนักหน่วงและหนักแน่นยิ่งกว่าหนังที่ได้รางวัลมาเสียอีก

เรื่องแรก คือ "Atonement" ...หนังที่ผมอยากให้ได้ออสการ์ยิ่งๆเป็นอันดับแรก (ติดแต่ว่ามันมีเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้น้อย) และสอง คือ หนังที่เป็นคู่แข่งอันสมน้ำสมเนื้อกับเจ้าของออสการ์มากกว่าใครเพื่อน ...หากสมมติว่าพี่น้องโคเอนพลาดท่า สุดท้ายก็เชื่อขนมกินว่ากรรมการต้องตบรางวัลให้กับหนังของผู้กำกับ "พอล โธมัส แอนเดอร์สัน" โดยแน่นอน



"There Will Be Blood" ... เล่าเรื่องราวจากจุดเริ่มต้นของนักขุดแร่กระจอกๆที่ริก้าวหน้าเติบใหญ่เดินไปบนเส้นทางสายมั่งคั่งในฐานะเศรษฐีบ่อน้ำมัน ...ชายผู้สู้ชีวิตคนนี้ มีนามกรว่า "แดเนียล เพลนวิว"

แม้ชายที่ชื่อ แดเนียล เพลนวิว คนนี้ จะมีลักษณะเบื้องหน้าเป็นสุภาพบุรุษที่ใครต่อใครได้เห็นก็อยากนับหน้าถือตา ...ทั้งยังมีภาพของความเป็นพ่อ ที่อ่อนโยนและดูอารีย์ ของลูกชายตัวน้อย "เอช ดับเบิลยู" ที่มีความเข้มแข็งสู้ชีวิตไม่ต่างไปจากพ่อ ...แต่นั่นทั้งหมดมันก็เป็นแค่เบื้องหน้า ของชายที่ชื่อ แดเนียล คนนี้เท่านั้น...

เบื้องหลังที่ลึกลงไปในสัญชาตญาณของ แดเนียล เพลนวิว ...เขาคือ ชายผู้สู้ชีวิตที่ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความก้าวหน้า โดยไม่สนว่าสิ่งที่ต้องยอมนี้ อาจจะต้องแลกมาด้วย ตราบาป หรือต่อให้ต้องแลกด้วยเลือดของใครที่ไม่ใช่เขาก็ย่อมไม่เป็นปัญหา



แดเนียล ใช้ความเป็นสุภาพบุรุษและความเป็นพ่อบังหน้า ...เที่ยวบอกใครต่อใครว่า เขาทำงานเป็นครอบครัว ทั้งยังโอนตำแหน่งให้เด็กผู้ชายที่ความจริงไม่ใช่ลูกของเขาเลย เป็นหุ้นส่วนสำคัญ เพียงหวังจะใช้ความสดใสของ เอช ดับเบิลยู เพื่อกว้านซื้อที่ดินทุกอาณาเขตที่มีน้ำมันอยู่ใต้เท้า มาเป็นประโยชน์ทั้งการเงิน และอำนาจบารมีใส่ตัวล้วนๆ

จนกระทั่งได้มีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อ "พอล" ได้มาขอพบเพื่อบอกว่ามีที่ดินผืนกว้างใหญ่ที่ฝังน้ำมันอยู่ในแผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดของเขาว่างอยู่ ...และต้องการให้เขาไปซื้อ หวังจะให้เป็นประโยชน์ต่อครอบครัว "ซันเด" ของพวกเขา โดยหารู้ไม่ว่า ความละโมบของแดเนียล อาจจะทำให้ที่ดินของพวกเขาต้องลุกเป็นไฟ ...แล้วยิ่งเมื่อ แดเนียล จำเป็นต้องมารู้จักกับน้องชายของพอล นาม "อีไล" ด้วยแล้ว นั่นก็ยิ่งทำให้กิจการของแดเนียลต้องประสบการสั่นคลอน ...ทั้งจากการเข้ามายุ่มย่ามของตัว อีไล แล้วยังมีเหตุร้ายๆบังเกิดขึ้น โดยที่ตัวอีไลพยายามตบตาชาวบ้านว่าเป็นบัญชาของพระเจ้าเบื้องบนเหนือหัวของพวกเขากำหนดมาให้ แดเนียล ผู้บาปหนาต้องพบเจอ



แม้ชายที่ขื่อ อีไล ซันเด คนนี้ จะมีลักษณะเบื้องหน้าเป็นสาธุคุณที่ยึดถือบูชาในพระเจ้า เชื่อในพระพรของพระคริสต์ ทั้งยังเป็นคนหนุ่มที่สามารถจะเป็นเสาหลักในการยึดเหนี่ยวรวมใจชาวบ้านเอาไว้ด้วยกัน... แต่นั่นทั้งหมดมันก็เป็นแค่เบื้องหน้า ของชายที่ชื่อ อีไล เท่านั้น...

เบื้องหลังที่ลึกลงไปในสัญชาตญาณของ อีไล ซันเด ...เขาคือ สาธุคุณที่สักแต่ลวงหลอกคนในหมู่บ้าน ว่าเป็นผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ที่สามารถขับไล่ความชั่วร้ายออกไปจากเรือนกายของทุกผู้คนได้...ทั้งยังเอาศาสนามาบังหน้า เพื่อขายวิญญาณให้กับพระเจ้าเงินที่หวังจะให้เอามาอุดหนุนทางผลประโยชน์และบารมีใส่ตัวเองโดยล้วนๆ ...ซึ่งก็มีความทะยานอยาก แทบจะไม่ต่างไปจากศัตรูที่เขานึกเกลียดชังอย่าง แดเนียล ไปเสียเลย

การขับเคี่ยวทางบารมีของคนสองคน ที่หวังมุ่งเน้นผลประโยชน์เป็นสำคัญ ยิ่งเข้มข้นเข้าไปอีก... เมื่อแดเนียลต้องการขยายกิจการ หวังจะต่อท่อน้ำมันเพื่อส่งออกไปทางทะเล หากแต่ก็ประสบปัญหาสำคัญเมื่อ ที่ดินบางส่วนซึ่งต้องทอดท่อผ่าน ยังไม่ได้รับการตกลงจากเจ้าของพื้นที่เลย ...หากพอได้ตกลงกัน เจ้าของที่ ก็มีข้อแม้ขึ้นมาหนึ่งสิ่ง ที่ต้องบังคับให้ แดเนียล ทำให้ได้ นั่นคือ การไปสารภาพบาปต่อหน้าผู้คนในหมู่บ้าน โดยมีอีไล เป็นผู้ดำเนินการในพิธี ...แม้ใจจริง แดเนียลไม่เคยศรัทธาในพระเจ้า และไม่มีวันที่เขาจะทำเป็นอันขาด หากก็ต้องยกเว้นอย่างจำใจเมื่อสิ่งนั้นจะทำให้กิจการของเขาดำเนินต่อไปได้โดยไม่สะดุด



เมื่อแดเนียลจำต้องยอมก้มหัวศิโรราบให้ศาสนาเพื่อความก้าวหน้า ในขณะที่อีไลก็จำต้องพึ่งพาท่อน้ำเลี้ยงเป็นน้ำมันเพื่อจะเป็นสาธุคุณของชาวบ้านที่เลื่อมใสจำนวนเพิ่มขึ้น ...ความจำเป็นที่ต้องรู้จักกันมันเลยเป็นเรื่องของ น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ที่ต่อให้จะเกลียดเดียจฉันท์กันเยี่ยงไร สองคนนี้ก็เลยขาดกันไม่ได้ ...เสมือนลงเรือลำเดียวกัน วิ่งออกทะเลพร้อมๆกัน และยังต้องใช้ถังออกซิเจนหายใจร่วมกัน เพื่อจะได้ดำดิ่งดำลึกไปสู่ศรัทธา และความเชื่อ ที่ต่างคนต่างก็มีความหมายคนละแบบในใจ หากจุดสูงสุดนั้นไซร้ ก็คือจุดเดียวกัน ...จุดหมายของความยิ่งใหญ่

แดเนียล ต้องการยิ่งใหญ่ เพื่อจะได้เป็น พระเจ้าแห่งอุตสาหกรรมน้ำมัน ที่ทุกผู้ในวงการต้องศรัทธา และยอมศิโรราบในความเป็นผู้นำ ...ส่วน อีไล ต้องการยิ่งใหญ่ เพื่อจะได้เป็น ผู้ใกล้ชิดกับพระเจ้า ที่ทุกคนต่างต้องนบน้อมให้ความเชื่อถือ ยอมรับว่าเขาคือที่สุดแห่งบาทหลวงที่จะช่วยเหล่าลูกๆทั้งหลายหลุดพ้นจากบ่วงบาปที่เคยได้ทำไว้

นอกไปจากเรื่องของตราบาป ที่หนังพยายามตีความให้กลายเป็นลักษณะของสองตัวละครหลักที่ต่างขั้ว แต่ชั่วเหมือนกัน ..."There Will Be Blood" ยังทำการวางเส้นแบ่ง ความยิ่งใหญ่และหายนะ ให้คั่นกลางด้วย 'พระเจ้า' อันเป็น สิ่งเคารพที่คนทั้งสองก็มีเหมือนกัน ...จะแตกต่างก็แค่ตัวตนและรูปแบบที่ต่างคนก็ให้ความเคารพด้วยกลวิธีที่ไม่เหมือนกัน



ตัวตนของ พระเจ้า ในความศรัทธาของ แดเนียล คือ "น้ำมัน"
ตัวตนของ พระเจ้า ในความเชื่อของ อีไล คือ "ศาสนา"

กลวิธีที่ แดเนียล ให้ความศรัทธาในพระเจ้าของเขา คือ... การบูชาตัวตนให้ยึดติดแต่กับการขุดหาน้ำมันอย่างบ้าคลั่ง
กลวิธีที่ อีไล ให้ความเชื่อในพระเจ้าของเขา คือ... การบูชาตัวตนให้หลงใหลเพ้อพกกับการได้เป็นผู้เผยแพร่คำสอนขององค์ศาสดา

แม้ทั้งสอง จะได้เป็นคนที่มีชื่อว่ามีศรัทธา และต่างก็เชื่อในพระเจ้าของตนไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ...หากสิ่งหนึ่งที่สองคนกลับมีเหมือนๆกัน ทั้งการกระทำและความคิด คือ การได้เข้าถึงในพระเจ้าอย่างใกล้ชิดเป็นที่สุด ด้วยการทำร้ายคนทุกๆคนที่อยู่รอบข้างเขา โดยไม่สนว่าเป็นใครหน้าไหน ...เขายอมที่จะสละความเป็นคน ตัวตนด้านดีที่พระเจ้าสร้างมา เพื่อแลกกับการได้เข้าพบพระเจ้าในระยะที่สามารถแสดงความรักและความเชื่อได้โดยสะดวก



หากแม้ แดเนียล และอีไล จะต่างก็ประสบความสำเร็จในการกระทำและแสดงความคิด ที่พวกเขาอยากจะสื่อถึงพระเจ้าได้โดยตรงก็ตาม ...แต่ในที่สุดแล้ว ทุกสิ่งที่เคยแลกคืนกับความดีงามของการเป็นมนุษย์ให้หมดไป กลับกลายให้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายต่ำทรามกับชีวิตของคนทั้งสอง

คนสองคน ที่ตอนจบไม่เหลือใครให้ความเคารพ ไม่มีคนจะคบหา (แม้กระทั่งคนที่เป็นญาติก็ยังทิ้งได้ลง) ...คือ คนสองคน ที่ต้องกลับมาพบกันอย่างจำใจ ไม่ใช่เพราะเหงาหรือว่าโดดเดี่ยว แต่ล้วนเกิดจากความค้างคา ในหนี้และแรงแค้นอันหลงเหลือ เพียงสองสิ่งนี้ที่สามารถชักนำให้ตัวละครทั้งสองต้องกลับมาต่อรองกันเป็นครั้งสุดท้าย

"There Will Be Blood" ... อาจจะเหมือนหนังดรามา วิพากษ์ความเป็นคนทั่วไปอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งมักจะหาบทสรุปให้โยงเอาตัวละครสำคัญหลักๆมาเผชิญหน้าท้าความจริงที่ทรงพลังกันในฉากจบ ...แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่หนังเรื่องนี้มีไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ คือ การผูกให้ตัวละครสองฝ่าย ต่างก็เป็นผู้ร้ายตัวชั่ว ชนิดที่แทบหาความดีใดๆไม่ได้เลยในบทบาทของพวกเขา

ก่อนหน้าที่จะถึงฉากสุดท้าย... หนังใช้ช่วงเวลานานนับสองชั่วโมงครึ่งอันเนิบนาบ ให้หมดไปกับการนำเสนอตัวตนจากภาพของบุรุษอันน่าเคารพของ แดเนียล เพลนวิว ที่ถูกแปรผันไปเรื่อย ด้วยความโลภที่ดึงดันชักนำให้เข้าสู่ด้านมืด ซึ่งในขณะเดียวกัน ก็มี อีไล เป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมอันรุนแรงที่นับวันก็ยิ่งหนักข้อ ยิ่งเข้าใกล้สัญชาตญาณความเป็นสัตว์ดุร้ายมากเท่าไหร่ วิญญาณแห่งความเป็นคนก็ลดไปเท่านั้น ...

พอเมื่อมาถึงฉากสุดท้าย... กับการที่หนังสามารถผูกมัดรวมเอาเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลในเวลาอันเนิ่นนานมาสรุปความด้วยฉากๆนี้ เพียงฉากเดียว ...แค่ได้เห็นคนสองคนกลับมาเผชิญหน้ากันอีกหนในช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุด มันก็ก่อความรู้สึกที่ไม่ต้องการคำบรรยายใดๆอีกต่อไป ...ถึงต่อให้หนังจะลากจะขีดเส้นตรงเส้นที่เหลือให้มันไปทับที่จุดจบในทางสุข ทางทุกข์ หรือจะเป็นทางสายกลาง ก็คือเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องสน ...เพราะ There Will Be Blood มันได้ทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ กันตั้งแต่ที่จุดเริ่มต้นของฉากสุดท้ายไปเรียบร้อยแล้ว



ถ้าจะถามผมว่า ผมรู้จักชื่อของผู้กำกับ "พอล โธมัส แอนเดอร์สัน" คนนี้ได้อย่างไรกัน ...คำตอบที่ผมจะคิดออกเป็นประการแรก ก็คือ ความกล้าที่เคยสามารถดึงเอาซูเปอร์สตาร์พระเอกตัวเงินตัวทอง (โปรดเข้าใจว่า ไม่ได้หมายถึง สัตว์ตัวนั้น แต่อย่างใด) ระดับ 'ทอม ครูซ' มารับบทเป็นตัวประกอบได้อย่างไม่น่าเชื่อ (ในหนัง Magnolia) ...ส่วนประการที่สอง ก็คงเป็นเรื่องที่เขามีชื่อละม้ายคล้ายชวนให้สับสนกับผู้กำกับหนังอีกคนอย่าง 'พอล ดับบลิว เอส. แอนเดอร์สัน' (พี่ท่านคนนี้ก็คือ ผู้กำกับ หนังผีตระกูลชีวะ และ สงครามเลี่ยนปะเตอร์ ในภาคแรก นั่นเอง)

แต่มาในวันนี้ ...ประการทั้งสอง ก็ได้กลายเป็นเรื่องที่สุดแสนจะไร้สาระสิ้นไป (ความจริง ก็ไม่ควรเอามาคิดถึงเลยด้วยซ้ำ) ...เพราะผมได้มีโอกาสรู้จักตัวตนจริงๆอย่างจังๆของ พีที แอนเดอร์สัน คนนี้ ผ่านงานหนังความยาว 160 กว่านาที ที่พูดถึงแต่เรื่องอันไม่น่าเจริญหูเจริญตาเอาซะเลย

ในตอนแรกที่ผมได้รู้ว่าหนังว่าที่ออสการ์คำวิจารณ์แหล่มอย่าง There Will Be Blood จะมีความยาวจำนวนนาทีมากมายถึงเท่านี้ ...ก็เคยแอบตะลึงพึงหวั่น ชวนให้นึกตื่นตูมไปเองโดยล่วงหน้า ว่า(ถ้าไปดู)อาจมีหลับซะละมั้ง ...ซึ่งพอได้ไปดูจริงก็เหมือนจะคาดไม่ผิดอีกด้วยซ้ำซะอย่างงั้น



ช่วงเวลา 30 นาทีแรก ของ TWBB ...ได้นำเสนอ สิ่งที่เรียกว่า ความเนิบนาบอันราบเรียบ ของหนังสักเรื่อง ที่เนื้อเรื่องเหมือนจะไม่มีอะไรดำเนินไปเลย ...ถ้าจะถามหาความสำคัญหรือ? ก็เห็นมีแต่ภาพผู้ชายคนหนึ่งขุดแร่ -> ขุดน้ำมัน -> ตะลอนหาซื้อที่ดิน -> แล้วไปจบลง ณ ที่ดินแดนอันกันดารแห่งหนึ่ง ที่มีชายหนึ่งคนบอกให้เขาต้องเดินทางไป ...เอาเพียงแค่ 4 อย่างนี้ ก็มากพอจะชวนเกรงกลัวว่า หนังทั้งเรื่องที่เหลือ จะมีอะไรที่รอให้เราเกิดรู้สึกอยากติดตามรับชมเรื่องราวของผู้ชายคนนี้บ้างหรือเปล่าวะเนี่ย? ...หรือมันคงจะเป็นหนังขวัญใจนักวิจารณ์อีกเรื่องที่ไม่เข้าทางผม หรืออย่างไรกัน?

แต่นั่นก็เป็นคำถามที่ไม่ต้องหาคำตอบนานจนเกินไป ...เมื่อสิ้นภาพและเสียงการระเบิดอันใหญ่โตมโหฬารของบ่อน้ำมัน กับเวลาอีกราวๆ 30 นาทีที่ เนิบนาบราบเรียบ(จนเกินไป)ได้ผ่านพ้น ...TWBB ก็ทำให้ผมตื่นขึ้นจนเต็มตา พร้อมปลุกเซลล์สมอง ประลองปัญญา (แกะดำ ไม่แกะดำ ...เล่นหนัง ไม่เล่นหนัง ...เย้ย! คนละเรื่องกันแว้ว) พลันดึงให้ใจคอกลับมาอยู่กับภาพและเสียงบนจอหนัง และหลังจากนั้นก็ไม่เคยเผลอตัวหลับลงได้อีกเลย



นี่คือ ความอัศจรรย์ อันดับแรก ที่ พีที แอนเดอร์สัน พยายามเล่นกับคนดู และทำได้อย่างสำเร็จ ...เมื่อ(เหมือนจะ)รู้ว่าคนกำลังจะทยอยพล่อยหลับกันไปทีละคน สองคน สามคนแล้ว... หนังก็ดีดตัวเองให้คึกคักสร้างเหตุการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจ(แถมสมจริงชวนขนลุก)ขึ้นมาในบัดดล แล้วยิ่งไปบวกกับเสียงเพลงประกอบที่โหมบรรเลงความระทึกอย่างอึกทึกใส่เครื่องดนตรีดังครึกโครมเข้าไปด้วย ก็ยิ่งบาดหูเสียดใจเสียจนลูกตาจำต้องเบิกโพลง

ความอัศจรรย์ ในอันดับต่อๆมา... หลังจากการสลายความง่วงในหัวคิดได้เป็นปลิดทิ้ง หนังก็เริ่มเข้ารูปเข้าประเด็นที่สำคัญในทันใด... และนับแต่ทันนั้นเป็นต้นมา การเดินหน้าของหนังที่เนิบนาบ ก็มีแรงขับเคลื่อนที่นำพาความน่าติดตาม มาเรียกร้องความสนใจจากคนดูได้อยู่หมัดไปจนถึงตลอดรอดฝั่ง ...แม้จังหวะที่ยังคงช้าจะมีอยู่บ่อยๆ มากันถี่ๆ ก็ยังดูๆเหมือนน่าเบื่อ แต่กระนั้น ก็มิอาจต้านทานความแข็งแรงของบทและเรื่อง ที่เป็นส่วนให้หลงลืมเรื่องเวลาอันยาวนานไปเลย



นอกเหนือไปจากการเล่นล้ออย่างท้าทายกับสายตาของคนดูที่พาลจะเลื่อนออกจากจอตลอดเวลาหนังแล้ว ...อีกสิ่งที่งานกำกับและเขียนบทของ พีที สามารถกำใจความหนังไว้ได้แนบแน่น ก็คือ กลวิธีการเล่า ที่ตรงๆโต้งๆไม่ลีลา แทบจะหาไม่มีจุดลับจุดเร้นใดๆ ซ่อนเอาไว้ บทจะให้ตีความอะไร ก็คิดได้ออกเพียงภาพที่ได้เห็น นั่นจึงเป็นจุดซึ่งทำให้หนังออสการ์เรื่องนี้ดูแล้วเข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อน ...เมื่อลองเอาไปเปรียบชั้นเชิงกับ No Country for Old Men หรือกระทั่ง Atonement ที่มีดีกรีความยากด้วยลีลาการเล่าแล้ว TWBB ก็เลยกลายเป็นของที่ย่อยได้เร็ว แถมยังไม่จำเป็นต้องจริงจังกับมัน ก็พอรู้ใจความที่หนังจะสื่อ

แต่ถึงกระนั้น ความดูง่าย เข้าใจเร็ว ก็มิได้เป็นข้อเสียที่มีเหตุมีผลไปลดความควรค่าจะเป็นหนังออสการ์ยอดเยี่ยมแต่อย่างใด ...หนำซ้ำแล้ว สิ่งนี้ยังไปเสริมส่งพลังหนังให้สามารถเข้าถึงคนดูได้อย่างเต็มที่อีกต่างหาก โดยนั่นก็ยังต้องรวมสนธิกับพลังจาก ฝีมืออันเฉียบคมของ "พีที แอนเดอร์สัน" กับหน้าที่ในงานทั้งสองส่วน ที่ตั้งใจจะเล่า มั่นใจจะสื่อ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ...



และอีกคนหนึ่ง ที่เรียกได้ว่าสำคัญ และจำเป็นยิ่งที่จะต้องเรียกใช้การแสดงของใครสักคนที่สามารถเข้าใจและเข้าถึงในบทบาทของตัวเอกอันโดดเด่นจนโดดเดี่ยว ...การได้มาซึ่งบทบาทสุดอัศจรรย์ในครั้งนี้ ของ นักแสดงสุดเก๋าตัวอ๋องขั้นเทพ นาม "แดเนียล เดย์-ลูอิส" จึงไม่เป็นที่กังขาใดๆ ที่จะได้ชิงออสการ์อีกครั้ง และควรค่าจะจดจำมากกว่า ด้วยการมอบรางวัลนี้ให้ไปอย่างสมศักดิ์ศรีถึงที่สุด

คาแรกเตอร์ "แดเนียล เพลนวิว" นับเป็น อีกครั้งหนึ่งหลังจาก Gangs of New York ที่ส่งตรงให้ ป๋าแดเนียล ได้บทโชว์พาว ดึงเอาสปิริตความเจ๋งอย่างเป้งๆมาใช้ ในมาดบุรุษอันภูมิฐาน ที่เนื้อในร่างอันดูดีกลับมีใจอันฟอนเฟะและอำมหิตผิดภาพในเบื้องนอกโดยสิ้นเชิง ...แม้หนังจะไม่ได้ถ่ายเทเวลาให้ ป๋าแดเนียล ได้แสดงออกแบบ One Man Show สักเท่าไหร่ก็ตามที ...แต่ก็อาจห้ามไม่ได้ ที่รัศมีความเด่น จะทาบเอาคนอื่นๆบนจอ ให้กลืนหายสลายจากหน่วยความจำของคนดูไปเสีย ...หากจะมียกเว้นก็แต่...



"พอล ดาโน่"... เขาคือ คนเดียว ที่สามารถเทียบความเด่น ขับความตั้งใจ ให้คนดูได้เห็นความเก่งคู่เคียงกับ ป๋าแดเนียล ได้อย่างไม่เคอะเขิน ...แม้จะได้ชื่อว่าเป็นดาวรุ่งที่ใบหน้ายังสดใหม่ แต่บท "อีไล ซันเด" ที่เขาได้รับ กับเหมือนมีนักแสดงระดับเซียนมาสวมทับได้อย่างน่าเชื่อถือ ...ยิ่งถ้าใครได้เคยดู Little Miss Sunshine มาด้วยแล้ว ก็คงจะทึ่งยิ่งๆ กับพัฒนาการอันรุดหน้าของอดีตเด็กบ้าใบ้ ที่องอาจจะระเบิดคำพูดเป็นชุดใหญ่ๆใส่หูของคนดูในหนังเรื่องนี้ให้ฟังจนกลายเป็นความน่ารำคาญ ...แต่ก็เป็นความน่ารำคาญที่มันส์ในอารมณ์จนถึงจุดยอด กับสองฉาก (โบสถ์/บ้านแดเนียล) อันถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด พีคที่สุด และยังต้องรวมนิยามของคำว่า "คลาสสิค" แห่งความทรงจำเข้าไปอีกด้วย

นอกไปจากงานสามส่วนหลักๆ (กำกับ/เขียนบท/การแสดง) ที่ได้ชื่อว่ายอดเยี่ยมแล้ว ...อีกสองอย่างที่ลืมไม่ได้ จะต้องพูดถึง ก็คือ งานถ่ายภาพที่เน้นความดิบหยาบ เพื่อตั้งใจอยากจะให้คนดูรู้สึกแห้งแล้งและมืดมนไปพร้อมกับบรรยากาศ แต่กระนั้นที่ผิดแผกไปจากการสร้างภาพ ก็ยังแอบแฝงพลังต่อตัวหนังไว้ได้อย่างงดงามเป็นที่สุด (สมแล้วที่ได้ออสการ์เป็นประกันไปอีกหนึ่งตัว) และสุดท้าย ...ดนตรีประกอบ ก็คืออีกองค์ประกอบจำเป็นที่ขับเน้นความบ้าคลั่งในเรื่องที่หนังต้องการสื่อสารอย่างสุดกู่ ...ถึงจะดูมากไป ล้นไป จัดจ้านไป สำหรับหนังดรามาที่เดินเรื่องอย่างเอื่อยเฉื่อย แต่มันก็เร้าใจบิวต์อารมณ์ ให้เราต้องตื่น ตาลื่นไปกับหนัง และยังจะคงฟื้นคืนความจำได้เสมอ เมื่อเสียงเพลงนั้นยังคงก้องเสียดแทงหู หลอนใจมาจนถึงวันนี้



"There Will Be Blood" ... ถ้าหาก No Country for Old Men ไม่โดดเด่นและอเมริกันจ๋าจนออกนอกหน้ามากไปนิดแล้ว หนังชื่อโชกเลือดเรื่องนี้ ก็ควรแก่ตำแหน่งยอดเยี่ยมแห่งออสการ์อย่างถึงที่สุด ...แต่หากสมมติว่าสุดท้ายจะได้ออสการ์มาก็ตาม ตุ๊กตาทองตัวนั้นก็คงไม่อาจเป็นตัวสรุปความสุดยอดของหนังเรื่องนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง และหมดจด กันอย่างแน่แท้ ...ที่เหลือจากนี้แล้ว จึงเป็นเรื่องของเวลาที่ต้องพิสูจน์กันว่า จะสามารถเอาคำว่า "คลาสสิค" มาเป็นอีกหนึ่งตัวแทนให้กับสุดยอดหนังเยี่ยมเรื่องนี้ได้หรือไม่

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่สามารถใช้คำว่า "คอหนังพันธุ์แท้" เป็นตัวแทนของคุณได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ...ก็จงห้ามพลาดความสุดยอดครั้งนี้ด้วยประการทั้งปวง ...เฉพาะที่ "เอเพ็กซ์ ลิโด" ที่เดียวในประเทศไทยเท่านั้น


ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ครับ

เกรด A ... {}

ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ



Create Date : 03 มีนาคม 2551
Last Update : 3 มีนาคม 2551 11:46:28 น. 10 comments
Counter : 6329 Pageviews.

 
เป็นหนังเรื่องแรกๆเลยมั้ง ที่ดนตรีประกอบโฉ่งฉ่างมากๆ แต่ว่าเข้ากับหนังอย่างเหลือเชื่อ ไม่รู้สึกรำคาญเหมือนเวลาดูหนังผีเอเชีย

Daniel Day-Lewis เอารางวัลไปเถอะ ส่วน Paul Dano ไม่โดนกลบในแต่ละฉากที่ต้องประจัญหน้ากับเดย์ลูอิส แต่ว่าเล่น "เวอร์" ไปหน่อย

บางทีตัวละครฝ่าย "กระหายน้ำมัน" กับฝ่าย "ทำตัวเหมือนเคร่งศาสนา" อาจจะเป็นสัญลักษณ์แทนอะไรบางอย่างในการเมืองโลกก็ได้นะ โฮะๆๆๆ


โดย: nanoguy IP: 125.24.95.185 วันที่: 3 มีนาคม 2551 เวลา:1:57:07 น.  

 
มาอ่าน เผลอเห็นด้วยกับ รี บน :)

ขอ added ไว้ใน Blog นะคะ ชอบบทวิจารณ์ค่ะ
ช่วงนี้สไตล์คาวบอยมาแรงเนอะ


โดย: เอศเธระ วันที่: 3 มีนาคม 2551 เวลา:8:40:05 น.  

 
+ พี่ชอบ พี.ที. แอนเดอร์สันมาตั้งแต่ตอนดู Magnolia อ่ะครับ คือประเด็นในหนังเรื่องนั้นมันค่อนข้างยาก แถมยังเป็นหนัง ensemble ที่มีดาราดังๆ อย่าง ทอม ครูซ, จูลี่แอนน์ มัวร์, ฟิลิปป์ ซีมัวร์ ฮอฟแมนน์, ฯลฯ มาเล่นอีกต่างหาก ... แต่เค้าคุมโทนได้เก่งโคตรๆ และสามารถสื่อ 'สาร' ที่หนังต้องการพูดถึง ให้คนดูสัมผัสได้ในที่สุด ... ซักวันนึง ออสการ์ก็ไม่น่าหลุดมือไปไหนนะ สำหรับเค้าคนนี้ แต่ปีนี้คงมาผิดเวลาไปหน่อย เพราะพี่น้องโคเอ็นนั้น มีสไตล์ค่อนข้างเฉพาะ แล้ว No country ก็เป็นงานในระดับ (close to) perfect ของพวกเค้าแล้ว ก็เลยถึงเวลาต้องยกย่องอ่ะครับ

+ หนังเรื่องนี้มันถือว่าทรงพลังมาจากข้างในนะ คือเวลาที่ดู มันจะนิ่งเนิบ ซึมลึก กัดกร่อนอารมณ์ไปเรื่อยๆ แล้วหลังจากดูจบออกมา อารมณ์นั้นก็ยังคงอยู่ ... และช่วงเวลาที่ 'ระเบิด' (ไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำมัน หรืออารมณ์คน) ก็ถูกจังหวะพอดี มันก็เลยปะทุเดือดอย่างที่เห็นอ่ะครับ
... ถ้าถามพี่ว่า ในบรรดาหนังออสการ์ปีที่ผ่านมา 4 เรื่องที่ได้ดูไป รักเรื่องไหนมากที่สุด ก็น่าจะเป็น Atonement ... แต่ถ้าถามว่าอยากให้เรื่องไหนได้ออสการ์มากที่สุด ก็น่าจะเป็นเรื่องนี้แหละครับ เพราะความทรงพลังของหนัง-บท-การกำกับ-การแสดง รวมทั้งธีมที่หนังพูดถึง ทั้งเรื่องธุรกิจ-ศาสนา, ความโลภ-บาป-กิเลสตัณหา-ความศรัทธา ฯลฯ

+ เดเนียล เดย์ ลูอิส คู่ควรกับออสการ์ตัวที่ 2 ของเค้าแล้ว (ตัวแรกได้จาก My left foot รู้สึกจะปี 1989) จากการปอกเปลือกตัวตนของแดเนียล เพลนวิว ออกมาเหมือนปอกหัวหอม ทีละชั้นๆ จนทำให้คนดูรู้สึกสะอิดสะเอียนกับความชั่วช้าสามานย์ของตัวละครตัวนี้ ... ส่วน พอล ดาโน ก็เจ๋งดี (โอเวอร์แอ๊คติ้งไปนิดจริงๆ แหละ) ถึงแม้จะผ่านหนังมาแค่ไม่กี่เรื่องก็ตาม ... ฉาก (รุนแรงสุดขั้ว) สุดท้ายของหนังนี่ ทำเอาทั้งหดหู่, สมเพช, สะใจ ไปในเวลาเดียวกันเลยทีเดียว


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 4 มีนาคม 2551 เวลา:11:26:26 น.  

 
เฮ้ออยากดูเจงๆ ด้วยที่ยังไม่ได้ดูเรื่องนี้ ตอนประกาศออสการ์เลยแอบเชียร์เฮียวิคโก้อยู่เหมือนกันน่ะ


โดย: BloodyMonday วันที่: 4 มีนาคม 2551 เวลา:17:53:20 น.  

 
เป็นอีกเรื่องที่ยอดเยี่ยมของปีนี้ หนังวิจารณ์ปัญหาสังคมโลกปัจจุบันที่ว่าด้วยศาสนาและน้ำมัน ผมชอบตอนจบที่สุด ที่แสดงความล้มเหลว ณ สุดปลายทาง (ที่เดิมเคยเห็ยว่าคือชัยชนะ) ออกมาในฉากของลู่โบว์ลิ่ง สุดท้ายแต่ละฝ่ายก็พบกับความล่มสลายเหมือนๆ กัน


โดย: beerled IP: 203.154.187.189 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:14:32:17 น.  

 
ก่อนอื่น...ขอเมมบล็อคนี้ไว้เลยนะ

เขียนวิจารณ์ได้ดีจนเห็นภาพเลยนะครับ สำหรับหนังโรงน้อยเรื่องนี้ แต่หนังระดับนี้ผมชอบที่จะดูแผ่นมากกว่าน่ะ เพราะกลัวดูไม่รู้เรื่อง

ก่อนหน้านี้ได้ดู American Gangster แล้วรู้สึกว่า ชอบมากๆ ตอนนี้กำลังรอ There will be Blood และ No Country for old men อยู่ ส่วน Atonement ส่วนตัวกลับไม่ปลื้มซักเท่าไหร่


โดย: YoiChi_KunG วันที่: 27 มีนาคม 2551 เวลา:16:12:18 น.  

 

ไม่ค่อยได้ดูหนังโรงครับ วันๆไม่รู้ว่าทำอะไร ไม่ว่างให้ไปดูเลย สงสัยจะขี้เกียจ

อ่านวิจารณ์แล้ว ชอบหนังเรื่องนี้คับ อุ อุ ว่านอนสอนง่าย

โดยส่วนตัวแล้วชอบ เดย์ ลูอิส แสดงเรื่องไหนๆ ก็เข้มดี

เดี๋ยวจะหาแผ่นมาดูครับ ขอขอบคุณ


โดย: yyswim วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:9:16:52 น.  

 
อ่านบทวิเคราะห์แล้วพาลตะลึงพรึงเพริดเอามากๆ เพราะ เคยดูปกด้านหลังของหนัง บรรยายได้สั้นๆสุดๆ พาลคิดเอาว่า เออ อาเฮีย แดเนียล แกคงเป็น คนจนที่บ้าน้ำมันจนรวยแล้วก็ถูกความโลภครอบงำ ทำลายรองข้างตามสไตล์หนัง ความโลภคือเจ้ามือ กินเรียบทุกงาน

แต่หลังจากได้อ่านบทความของคุณ วันอะพอนอะไทม์
( ด้วยความสัตย์ ผมไม่รู้จักคุณหรอกครับ แต่วางโครงจะหาหนังเรื่องนี้ มาดูตอนปลายเดือนนี้ แล้วมาเจอบล็อคนี้เข้า เลยแวะมา ด้วยความสัตย์ครับ )

อ่านจบ ผมก็ยัง งงๆ อยู่น่ะครับ ว่า เฮ้ย บาทหลวงมายังไง มันเรื่องเดียวกันแน่หรือ มายังไงวะ แต่คิดอีกที ตัวเองก็ยังไม่ได้ดูนี่หว่า จะไปงงเถียงเขาทำไมวะ

ก็ขอขอบคุณและจะไปหามาดูเร็วๆนี้ล่ะครับ

ปล. ด้วยความเห็นผมคิดว่า ที่ Atonement ไม่อาจชนะ No Country For Old man ได้ คงเพราะ ความหนัก มันหนักไม่พอหรือเปล่าครับ อีกอย่าง ผมดู No Country แล้ว มันให้ความรู้สึกแบบ Terminator ผสม Seraphim Fall ยังไงๆอยู่นะ ( หนังปี 2007 ของ ลุงเพียซ บรอสแนน กับลุงเลียม นีสัน )


โดย: ปากกาพเนจร IP: 58.9.175.161 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2551 เวลา:17:27:40 น.  

 
พึ่งดูจบ งงไม่ค่อยเข้าใจว่าหนังต้องการจะสื่ออะไร
ดูสนุกดีครับ ดนตรีก็สุดยอด


โดย: ตอง IP: 112.142.87.117 วันที่: 15 สิงหาคม 2552 เวลา:1:40:16 น.  

 
ดูแล้วเครียด หงุดหงิด สมจผู้กำกับมากค่ะ


โดย: jommassalyn วันที่: 13 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:54:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

OncE UPoN'-'a MaN
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์

คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี
พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ
พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา
พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!)

ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว

ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ

once_upon.a.man@hotmail.com


My @ http://twitter.com/once_upon_a_man

ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่าน

ผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย

ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ

OncE UPoN'-'a MaN on Facebook
Blog ใหม่ล่าสด..สด
"VieTrio & Friends" ... เพื่อนร้อง พี่น้องเล่น เป็นเพลงเพราะเสนาะหู
"Lady Antebellum : Need You Now" ... ลูกทุ่งแบบมะกัน แต่สีสันระดับโลก
"The Social Network" ... วันนี้ คุณรู้จัก Facebook ดีพอแล้วหรือยัง?
"Harry Potter and the Deathly Hallows : Part I" ... ฉันต้องเปิด เพื่อจะปิด!
"Scrubb : Kid" ... คำตอบของเพลงอินดี้ที่ฟังง่าย อยู่ในอัลบั้มนี้แล้ว
"Due Date" ... รวมกันเราต้องอยู่ (กรุณา)อย่าทิ้งตูเป็นอันขาด!!?
"B.o.B. Presents: The Adventures of Bobby Ray" ... อาจเป็นฮิปฮอปหน้าใหม่ แต่ไม่ขอยึดติดความฮิป
"RED" ... โตอย่างสมวัย แก่อย่างมีคุณภาพ และจงระห่ำอย่างไม่เหลืออะไรจะเสีย!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... (หนังสั้น)แบบตัวเต็ม ที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็ยังมีความจริงใจ!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... กับตัวอย่างน้ำจิ้ม ของหนังสั้นที่คงจะมีอะไรๆอยู่ในนั้น
"อินทรีแดง" ... สมศักดิ์ศรีที่ได้กลับมา ..วีรบุรุษที่หนังไทยต้องการ!
"ชั่วฟ้าดินสลาย" ... เมื่อคำ “รัก” มีค่าเท่าคำว่า “ร้าย” คงทำลายคนทั้งหลายให้วายวอด
"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
"Lula : Twist" ... เพลงฟังชวนเพลิน จากคนเพลินๆ ที่ชื่อ 'ลุลา'
"Piranha 3D" ... กัดกระจุย เลือดกระจาย สามมิติกระเจิง!!!
"CHARICE" ... เพชรน้ำงามเม็ดเล็กแห่ง ‘เอเชีย’ ที่คู่ควรกับการเจียระไนโดย ‘อเมริกา’
"กวน มึน โฮ" ... ความรัก อาจแพ้บ้างอะไรบ้าง แต่ ความ ‘เห็นแก่ตัว’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง!
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
3 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add OncE UPoN'-'a MaN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.