"บอดี้ ศพ #19" ... ชวนเข้ามาเปิดตู้ ดูความจริง ที่เห็นแล้วต้อง 'อึ้ง' ยิ่งรู้ก็ยิ่ง 'ทึ่ง'
เปิดตู้เบอร์ 19 ...(รีวิวถ้วนๆ) นอกเหนือไปจากความรู้สึกได้แต่ 'อึ้ง' กับ 'ทึ่ง' ในภาพและเสียงที่เพิ่งผ่านตามาสดๆก่อนหน้า ราวๆสองชั่วโมง ...ยังมีอีกสิ่งที่ผมคิดออกในทันทีทันใดและจะต้องขอยกเอามาพูดในรีวิวนี้ ก็คือ ความน่าชื่นชมในความกล้าของ 'GTH' ที่ผมพูดไปนั้น นี่ไม่ใช่การประชดประชันแต่อย่างใด ...หากเจตนาโดยแท้จริงแล้ว มันอยากจะชมให้กับความกล้าของทีมผู้สร้างที่ได้ปล่อยอนุมัติให้มีหนังชื่อ "บอดี้ ศพ #19" เรื่องนี้เกิดขึ้นมา ทั้งๆที่อาจจะรู้อยู่แก่ใจว่า มันดูไม่ใช่หนังที่เหมาะจะกับตลาดของคนไทย(โดยส่วนใหญ่)เอาเสียเลย ...มิหนำซ้ำกรรมซัด ก็ยังกล้าเอามาปล่อยฉายแบบใหญ่โต มีการโหมโปรโมต เหมือนกับหนังจีทีเฮชเรื่องอื่นๆ ที่ยังมีความเป็น mass อยู่ในตัวสูงกว่าเสียอีก ก็แน่นอนที่ บอดี้ จำเป็นต้องทำตัวเองให้ mass ด้วยการสร้างหน้าหนัง ให้ดูเป็นหนังผี อีกเรื่องหนึ่ง ...ซึ่งหากคนบางคนตัดสินตัวหนังจากการได้เห็นแค่ตัวอย่าง และจะดูด้วยความรู้สึกที่ต้องการความสยอง ได้ตกอกตกใจตะลุ้งตุ้งแช่มากกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว ก็ให้นึกไปถึงผลลัพธ์อันตายตัว ที่จะได้รู้สึกเป็นแน่เมื่อออกจากโรง อันคือ ความผิดหวัง (อย่างในรอบที่ผมดูนั้น ผมก็ได้เห็นอยู่กะจะตาว่า มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งได้ลุกออกจากที่นั่ง และเดินจ้ำๆไปสู่ประตูทางออก ซึ่งหลังจากตอนนั้นแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีคนเดินเข้ามาอีกเลย) แล้วยิ่งถ้าจะเอา บอดี้ มาเทียบเปรียบกับหนังแนวผีๆอีกสองเรื่องจากใต้ชายคาจีทีเฮช ด้วยกัน อย่าง "ชัตเตอร์" กับ "แฝด" ด้วยละก็ มันจะเป็นอะไรที่แตกต่างกันมากอย่างกับกระดูกคนละเบอร์ เสื้อคนละไซท์ ...อาจแม้ได้ว่า ในหนังทั้งสามเรื่องจะมีองค์ประกอบการเล่าเรื่องแบบหักมุม ยอกย้อน ซ่อนเงื่อน อยู่เหมือนๆกันก็ตาม หากแต่แนวทางของ บอดี้ กับไม่น่าจะถูกเรียกว่าเป็นหนังผีซะด้วยซ้ำ จากตามปากคำของตัวผู้กำกับเอง เขาเรียกแนวหนังของเขาว่าเป็น 'Psycho-Thriller' ที่ว่ากันด้วยเรื่องของการฆาตกรรมที่นำมาซึ่งความระทึกขวัญ ...ใน "บอดี้ ศพ #19" มีองค์ประกอบเป็นเรื่องราวของตัวละครตัวหนึ่ง (ชลสิทธิ์) ที่ได้พบภาพความฝัน เป็นการฆ่าชำแหละศพของบุรุษนิรนามและเหยื่อสาวที่นอนแน่นิ่ง (ดาราราย) ...ฝันนี้ได้กลายมาเป็นลางบอกเหตุอันสำคัญที่ทำให้ตัวละครเอก ต้องออกตามหาทั้งเหตุและผลของมันที่ต้องมาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา ก่อนหน้าที่จะได้มาทำหนังโรงเป็นเรื่องแรกในชีวิต "ปวีณ ภูริจิตปัญญา" เคยเชี่ยวชาญอยู่ในสายงานกำกับมิวสิควิดีโอให้กับบรรดานักร้องดังๆทางค่ายฝั่งลาดพร้าว (คงมิต้องบอกว่าค่ายใดที่ตรงกันข้ามกับเจ้าของหนัง)... จึงมีอะไรให้รู้สึกได้ที่ภาพบางภาพ ที่ได้เห็นมันจะมีเทคนิค ความคับคล้ายคับคลากับ การดูภาพประกอบเพลง ยังไงยังงั้น ...แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรต่อความน่าติดตาม กลายเป็นเพลินๆซะอีกที่ผู้กำกับมีความเข้าใจเอามาประยุกต์ใช้กับการทำหนังได้ดี ซึ่งกับเทคนิคการสร้างภาพของคุณปวีณ นอกจากจะดูมีความอาร์ตที่สวยในแต่ละมุมมองแล้ว การจัดวางกล้องก็ยังช่วยเสริมสร้างบรรยากาศ บิวด์อารมณ์ชวนสะพรึง หวาดหวั่นได้เป็นอย่างดี ...ขณะที่งานซับซ้อนทางรายละเอียด อย่างการทำเทคนิค CG ก็นับว่าน่าตื่นตา ให้ผลลัพธ์ที่พอใจใช้ได้ กับหนังไทยสักเรื่อง ที่อุตส่าห์พยายามกันมามากก็ไม่มีเรื่องไหนที่ทำได้น่ายอมรับเท่านี้มาก่อน ...แม้ทว่าโดยรวมจะยังคงห่างไกลกับความเนี้ยบทุกรายละเอียดของต่างชาติกันอยู่เป็นโยชน์ แต่อย่างน้อยๆแล้วกับเงินทุนเพียงไม่กี่ล้าน ผสมความประณีตตั้งใจเท่าที่ทำให้เห็น ก็นับว่าสอบผ่านล่ะ ซึ่งในส่วนหนึ่งของการสอบที่ทำคะแนนประเดิมสูงลิ่ว ต้องยกความดีความชอบให้กับ Opening Title ที่พาเข้าสู่การเปิดเรื่องได้อย่างน่าตื่นตะลึง (แต่ก็ยังแอบขัดใจอยู่นิดนึง ที่หนังดูจะเล่นกับ CG อย่างไม่ประนีประนอม เกินไปหน่อย ...อย่างเช่น แมวดำ ที่มันก็น่ากลัวอยู่ในตัวของมันเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีรอยเลือดเกรอะกรัง ให้ต้องสยองจนเกินเลย) นอกเหนือไปจากการควบคุมส่วนเทคนิคที่หนังทำได้ดี ส่วนของหน้าที่การกำกับอารมณ์นักแสดงไม่ให้หลุดจากบทบาท (รวมถึงสายตาคนดูไม่ให้วอกแวกไปจากจอ) ของ คุณปวีณ ก็ถือว่าสอบผ่านเช่นกัน ...แม้โดยส่วนตัวอาจจะรู้สึกว่าหนังมันหนืด เนือย เกินไปหน่อย (โดยทั่วไป หนังอย่างนี้จะเน้นสร้างความลุ้น ชวนตื่นเต้น ตื่นตัวให้คนดูตลอดเวลา) แต่หนังที่เน้นบิวต์อารมณ์ทีละนิดๆไปตามเรื่องราวอันเข้มข้น โดยพาคนดูอยากติดตามไปอย่างไม่น่าเบื่อ ก็ถือว่าเป็นเหตุเป็นผลจะตัดข้อติตรงส่วนนี้ไปได้ ส่วนของการแสดง ก็ไม่มีใครที่เหมาะควรกับคำว่า จุดอ่อน สักคน ...อย่างพระเอก "เป้ วง Slur" เล่นเรื่องแรกอาจจะดูแข็งๆ แต่บทและพฤติกรรมอันแข็งกระด้างของ "ชลสิทธิ์" ก็พาไปให้เขาต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว , "แป้ง-อรจิรา" ก็ยังพรั่งพร้อมไปด้วยเสน่ห์เช่นเคย แม้บทจะไม่ใช่สาวแก่นๆแบบที่เห็นบ่อยๆในละครทั่วไป หรือกระทั่งหนังเรื่องก่อนอย่าง สายล่อฟ้า (การแสดงเป็นพี่น้อง ก็นับว่าเนียนมากๆ ยิ่งหน้าตาคล้ายกันด้วย ก็ยิ่งดูอินเข้าไปใหญ่) , "เข็ม-กฤตธีรา(ตีสิบ)" เล่นได้อินเกินคาด ดูน่าเชื่อถือกับภาพลักษณ์จิตแพทย์ ฉากแสดงอารมณ์ก็เอาได้อยู่ เงียบๆแต่เฉือนใจไปไม่น้อย , "เมย์-ภัทรวรินทร์" ออกน้อย แต่ให้มากกับบทบาท "ดาราราย" ที่จะว่าน่าสงสารก็ใช่ แต่พอถึงทีจะอำมหิตก็ดูน่ากลัวโคตรๆ , "ปลาย ปรเมศวร์" (จำได้ไหม...ว่าเขาคือ พ่อของเด็กสาวเบนโล ในโฆษณาไทยประกันชีวิต) เป็นที่สุดของความเยี่ยมในหมู่นักแสดง กับคาแรกเตอร์คุณหมอที่เหมือนจะมีอะไรกับ ดาราราย มากกว่าในฐานะเพื่อนร่วมงาน หรือเปล่า แต่สุดท้ายแล้ว ที่เหนือและถือว่าดีที่สุด ยิ่งไปกว่างานทุกๆส่วนที่ประกอบกันเป็นหนัง บอดี้ ศพ #19 ...ก็ย่อมต้องยกย่องความเยี่ยมให้ บทภาพยนตร์ อันเกิดจากความฉลาดคมคิดของสองมือเขียนฝีมือชั้นยอด ที่ในปีก่อนเพิ่งสร้างความเกรียวกราวเอาไว้เป็นอย่างมากกับ "13 เกมสยอง" "มะเดี่ยว-ชูเกียรติ" และ "เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์" สามารถจัดการเรื่องราวทุกอย่างที่มันซับซ้อน ยุ่งยาก ให้กลายเป็นความลงตัวได้ในท้ายที่สุด ...กับจุดหักมุมที่เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า เพราะถึงต่อให้เราจะท้ายก๊อกแรกได้ออก สุดท้ายก็ยังคงต้องพ่ายให้กับอีกหนึ่งชั้นของก๊อกสอง ที่ถูกวางซ้อนเอาไว้อย่างแอบๆ พร้อมกันนั้นยังใจดีมีแนบคำใบ้เรี่ยไรมาตามทางที่จะช่วยให้รู้อะไรต่อมิอะไรได้ดีขึ้น เพียงแต่มันก็มานึกออกเมื่อหนังเลยมาถึงช่วงของการเฉลย ซึ่งนั่นมันก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว สำหรับที่เราจะได้ทันรู้ตัวว่าโดนหักหลังแบบเนียนๆ แกะห่อศพ (ความจริงในตู้เบอร์ 19)... ตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไปจะมี SPOILER อย่างรุนแรง ...สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดู อย่าเพิ่งอ่าน แล้วข้ามไปที่ "ปิดตู้" เลยครับ นอกเหนือไปจากความรู้สึกได้แต่ 'อึ้ง' กับ 'ทึ่ง' ในภาพและเสียงที่เพิ่งผ่านตามาสดๆก่อนหน้า ราวๆสองชั่วโมง ..."บอดี้ ศพ #19" ก็ยังทำให้ผมต้องหวนนึกระลึกความหลังไปถึงหนังอื่นๆอีก 2 เรื่อง ที่ผมเคยได้ดูมา เรื่องแรก "พลอย" ...ไม่ได้ล้อเล่นนะครับ ผมนึกถึงเรื่องนี้จริงๆ ถึงมันจะฟังดูไม่ขึ้น แต่มันก็มีสาเหตุของมัน อันคือ ความรู้สึกที่ไม่เคลียร์กับตัวหนังโดยทั้งหมด ทั้งๆที่เรื่องราวของมันได้จบลงในตัวเองอย่างสมบูรณ์ดีแล้ว แต่ในขณะที่ พลอย ทำให้ผมค้างคาและไม่เคลียร์ถึงความนัยที่หนังต้องการสื่อสาร (ซึ่งจะว่ากันตามน้ำ ก็เป็นเรื่องที่แล้วแต่ความเข้าใจของแต่ละผู้คนที่คิดต่างกันออกไป ไม่ตายตัว) ส่วน บอดี้ กลับทำให้ผมมีอาการหนักอึ้งยิ่งไปกว่านั้น ทั้งยังพยายามคิดหัวแทบแตกกับสิ่งที่ไม่เคลียร์อันเนื่องจากจุดเล็กจุดน้อยที่หนังทิ้งไว้ตลอดระยะทางมาถึงจุดเฉลย ผมยอมรับว่า การเฉลยของหนังนั้น ทำออกมาได้รุนแรง และหักหลังคนดูได้อย่างเจ็บแสบ ...หากแต่เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงจุดก่อนๆที่หนังพยายามจะเอามาเกี่ยวโยงกันก็ยิ่งรู้สึกมึนถึงความเป็นไปที่ได้มาถึงจุดสุดท้ายนี้ ซึ่งพอเริ่มทำความเข้าใจด้วยตัวเอง (ตลอดทางกลับรถขับมาบ้าน ที่มีหลายต่อหลายหนคิดเพลิน จนเกือบเสียสติคุมพวงมาลัยไม่อยู่มือเลยทีเดียว...หรือจะเป็นเพราะว่า ผมโดนหนังทำสะกดจิตละเนี่ย +_+') แล้วก็มาอ่านความคิดเห็นกับคนที่ได้ดูมาตามกระทู้ต่างๆ ก็ทำให้ผมเห็นภาพที่จะดูเลือนๆ ชัดขึ้นมาได้มากเลยทีเดียว หากแต่ ผมก็ยังติดใจในบางจุดที่ถ้ามองผ่านๆก็อาจจะเคลียร์ได้ ...แต่ถ้าหนังเก็บรายละเอียดในส่วนเหล่านี้ได้อีกสักหน่อย ก็จะยิ่งทำให้ผมรู้สึกเชื่อกับตัวหนังได้สนิทใจมากกว่านี้ 1. หนังไม่ได้เล่าถึงความเป็นมาของการผิดใจของ คุณหมอสุธีกับอุษา ว่าเกิดจากเหตุผลกลใด และไม่อธิบายถึงความมีใจให้กันและกันที่นำพามาซึ่งการคบชู้กับดาราราย ...ซึ่งถ้าหนังสามารถเอาเวลาอีกเล็กน้อยมาต่อยอดย้อนความกันถึงความรักสามเส้านี้ด้วยอีกสักหน่อย มันคงจะทำให้เหตุผลที่คุณหมออยากเหินห่างกับดาราราย ดูหนักแน่นมากกว่านี้ 2. ผมเข้าใจแล้วว่า 'เอ๋' เป็นใครกัน และรู้ว่า เพื่อนในจินตนาการคนนี้ คือ ภาพที่จิตนึกฟุ้งถึงเพื่อเป็นการช่วยเหลือตัวเองไถ่บาปของคุณหมอในร่างชลสิทธิ์ หากแต่ผมก็ยังติดใจว่า ทำไมคุณหมอถึงนึกเอาภาพของ แป้ง มาแทนที่ ดาราราย ซึ่งหนังก็ไม่ได้บอกว่าดารารายในความฝันคนนี้ มีที่มาจากไหน ...เธอจะเป็นนักศึกษาแพทย์คนหนึ่ง ที่เรียนอยู่กับหมอ แล้วหมอแอบมีใจให้ (จะถึงขั้นเธอยอมเป็นบ้านเล็กหรือเปล่า นั่นก็อีกเรื่อง) หรือว่า เป็นเพียงผู้หญิงในจินตนาการที่หมอนึกขึ้นมาแบบผู้ชายคนหนึ่งที่มีสเปค ...ถ้าผมพยายามจะคลายความสงสัยจุดนี้ทิ้งไป มันก็ได้อยู่แล้ว หากแต่ในความเป็นจริง มันควรจะมีภาพตัวตนอะไรสักอย่างที่บ่งบอกว่า นักศึกษาแพทย์คนนี้ มีตัวตนอยู่จริง และคุณหมอจะนึกภาพขึ้นมาได้นั้น เพียงไม่ใช่แค่การเอาตา หู จมูก ปาก มาสวมเข้าไปเอง อย่างกับทำ Photoshop ในจิตไร้สำนึก 3. ติดใจอีกเล็กๆน้อยๆ ในรายละเอียดบางจุดที่ดูจะตกหล่นบกพร่องไปสำหรับการเฉลยเรื่องราว อย่างใน ตอนที่เป็นภาพแฟลชแบ็คของคุณหมอสุธี (ที่กำลังอยู่ในร่างชลสิทธิ์) ล้วนแต่เป็นฉากสำคัญๆก็จริงอยู่ หากแต่ถ้าหนังจะใส่ฉากเล็กๆน้อยๆระหว่างที่อยู่ในบ้าน กำลังขับรถ หรือคุยกับความว่างเปล่า (ที่แทนตัวด้วยภาพสาวเอ๋) ก็จะดีไม่น้อย ...นี่เป็นความรู้สึกติดใจที่เคยเกิดขึ้นเหมือนกับตอนดู "แฝด" ไปเมื่อต้นปี แต่ถึงอย่างไร บทหนังของบอดี้ ก็ยังร่ายอะไรได้ครบถ้วนกว่าอีกเรื่องอยู่เยอะ ส่วนหนังอีกเรื่องที่ทำให้ผมนึกถึงก็จะเป็น "Identity" ...สำหรับใครที่ได้ดูแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมหมายถึง แรงบันดาลใจ(ที่อาจถือว่าเอามาเพียงผิวๆก็ยังได้) ที่ทำให้เกิดจุดหักมุมสุดพลิกผันอย่างนี้ ...ซึ่งใครที่ยังไม่ได้ดู ผมก็ขอแนะนำให้หามาดูกัน เพราะเรื่องนั้นจะมีส่วนทำให้คุณเข้าใจในเรื่องราวสภาวะจิตอันซับซ้อนได้ดีขึ้น ถ้าถาม(ตัวเอง)ว่า ผมมีความชอบประทับใจในฉากไหนมากที่สุดแล้ว ก็คง ต้องยกให้ "ฉากในห้องเรียน" ที่เป็นอีกหนึ่งคำใบ้เล็กๆน้อยๆที่หนังแอบเข้ามา ทั้งมันยังสามารถสานต่อไปถึงการกระทำเพื่อล้างแค้นของดารารายที่เป็นเหตุเป็นผล และดูมีมิติมากไปกว่า ความโกรธมหาโหดตามแบบฉบับของผีที่เห็นในหนังเรื่องอื่นมาซ้ำซาก ...เพลง "ภาพลวงตา" มีความเหมาะเหม็ง ลงตัว กับสิ่งที่ฉากนั้นต้องการสื่อ การแสดงของคุณเมย์ ก็นับว่าเยี่ยมมากกับสายตาอาฆาต(ที่ไม่)แค้นคู่นั้น และนักแสดงที่เป็นนักศึกษา ก็ยังแอบขโมยความเด่นจากคุณเมย์ไปได้ทุกทีที่กล้องจับจ้องเธอ ในส่วนขององค์ประกอบบทหนังที่ผมประทับใจมากที่สุด ก็คงย่อมจะหนีไม่พ้นกับการเอาเพลง "คิดถึงเธอทุกที(ที่อยู่คนเดียว)" (ที่โดยส่วนตัวก็ชอบมากๆ ในเวอร์ชั่นต้นฉบับ ของพี่เจนนิเฟอร์ คิ้มอยู่แล้ว) มาเล่นเป็นเงื่อนไขกับเรื่องราวของหนัง ...ไม่ว่าจะตั้งแต่ฉากเริ่มที่คุณแพท-สุธาสินี ร้องชวนหลอนเอาไว้ได้อย่างทรงพลัง มาจนถึงการยอกย้อนไปสู่จุดที่ทำให้ตัว ชลสิทธิ์ เกิดขึ้นมา... การสะกดจิตโดยใช้บทเพลงที่ฟังแล้วเหงา หว้าเหว่ ละเหี่ยใจ ทำให้นึกถึงใครคนอื่น ช่วยส่งผลให้อารมณ์ของหนังถูกสะกดตรึงเอาไว้กับการสื่อสารของตัวเพลง ...แล้วในฉากที่ดารารายร่ายมนต์สะกดด้วยเพลงนี้ในเวลาที่เธอรู้ตัวว่าต้องตาย ก็ยิ่งส่งพลังให้ตัวเพลงทำเอาผมขนลุกที่ได้รู้ความจริงที่นำมาซึ่งจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่าง ที่กลายเป็นหนังความยาวสองชั่วโมงอันสนุกเข้มข้นเรื่องนี้ โดยส่วนตัวแล้ว ใจจริงก็อยากจะให้เกรด A ช้วนๆ กับ บอดี้ ศพ #19 ไปเลย หากแต่ถ้ามันจะไม่ติดเพียงตรงที่ผมรู้สึกถึง...จุดขัดใจเล็กๆน้อยๆ(ที่ถ้ามี ก็ยิ่งจะทำให้ผมรู้สึกเคลียร์และเข้าถึงหนังได้มากขึ้น) เท่านั้นเองจริงๆ แต่นั่นยังวัดแค่รอบแรกเท่านั้น ...เพราะก็ยังไม่แน่เหมือนกัน ที่ถ้าผมได้ดูรอบสองแล้วจะได้นึกย้อนเพื่อเห็นอะไรที่มากขึ้น ในมุมมองที่กว้างขึ้น และมันก็อาจจะเป็นเหตุเป็นผลให้ผมอยากเลื่อนขั้นไปเป็นหนังเกรด A ก็ยังได้ เออ แต่จะว่าไปแล้ว... มันก็ยังมีอีกจุดที่เล็กมากๆ ที่ผมไม่เคลิ้มตาม นั่นก็เป็นตอนที่ หนังจบเครดิตชื่อผู้กำกับ แล้วต่อด้วยภาพที่ยังไม่ตายสนิทของคุณหมอ ...ในส่วนแรกอาจจะยังพอหยวนๆแถมๆกันได้ แต่พอเพลงกำลังฮิตอย่าง "ยาพิษ" ดังขึ้นมา มันก็สะดุดกึ๊ก และจบลงด้วยความคิดที่ว่า "เป็นการโฆษณาแฝงในหนังที่รับไม่ได้มากที่สุดในรอบปี" (ส่วนตัวตอนนี้ อย่าให้ได้ยินเพลงนี้เลยเชียว ...เพราะเดี๋ยวมันจะหลอนจนเป็นอันหมดอารมณ์อยากจะดิ้นตาม) เอะอะก็ว่ารัก เอะอะก็คิดถึง แต่เธอทำให้นึกถึงบอดี้ขึ้นมา ...ไม่เคยจะได้รู้ ไม่เคยจะได้เห็น ไม่ห่วงเลยว่าใครคือดาราราย -_-'ปิดตู้... "บอดี้ ศพ #19" ... ถ้าคุณคาดหวังว่านี่จะเป็นหนังผีที่เล่นสยอง หลอน หลอกกับคุณได้อย่างเมามันส์ เฉกเช่น ชัตเตอร์ หรือ แฝด ขอบอกว่าคุณได้มองผิดเรื่องแล้ว ...เพราะความเป็นจริง นี่คือหนังระทึกขวัญ ที่มี ผี เป็นเพียงแขกรับเชิญ และใช้ จิตใจของคน เป็นตัวดำเนินเรื่องราวที่สนุก เข้มข้น และชาญฉลาด เกินกว่าที่กึ๋นจะคิดออกได้หมดจด เพียงแค่การดูรอบเดียว ...ถ้าคุณคาดหวังจะดูหนังที่มีบทเจ๋ง และเยี่ยมยอด อย่ารีรอที่จะตีตั๋ว อย่าชักช้าจะรู้ความจริง เพราะศพในตู้เบอร์ 19 มีอะไรให้คุณได้ อึ้ง และ ทึ่ง แน่นอน ขอแนะนำ ...ครับเกรด A- ... { } ปล. รอบสองในโรง ของผม มีค่อนข้างแน่ ...คาดว่า อาทิตย์หน้า จะไปดูกับเพื่อนสาวคนสนิท ครับ ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 06 ตุลาคม 2550
Last Update : 1 มีนาคม 2551 15:18:42 น.
31 comments
Counter : 13301 Pageviews.
โดย: น้ำ IP: 202.57.176.236 วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:0:36:17 น.
โดย: parry (parry_Ke ) วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:0:58:59 น.
โดย: null IP: 62.202.78.56 วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:1:20:30 น.
โดย: HAG วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:2:33:41 น.
โดย: nanoguy วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:2:43:24 น.
โดย: Cheerfully วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:9:02:53 น.
โดย: ZEN IP: 124.120.22.207 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:1:24:05 น.
โดย: phaley13 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:3:28:21 น.
โดย: Yokoaun IP: 203.155.147.170 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:5:18:04 น.
โดย: ษมิวัสต์ IP: 124.120.239.44 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:10:13:51 น.
โดย: ษมิวัสต์ IP: 124.120.239.44 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:10:17:13 น.
โดย: ZEN IP: 124.120.20.222 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:13:44:24 น.
โดย: ZEN IP: 124.120.20.222 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:14:17:18 น.
โดย: dakandum IP: 58.10.192.183 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:16:07:08 น.
โดย: เจเจ IP: 124.120.147.190 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:17:47:11 น.
โดย: ชอบเรื่องนี้อะ IP: 58.8.92.5 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:22:01:14 น.
โดย: ZEN IP: 124.120.5.107 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:22:18:09 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 8 ตุลาคม 2550 เวลา:11:46:16 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 10 ตุลาคม 2550 เวลา:15:21:21 น.
โดย: องค์หญิงการะบุหนิง IP: 202.28.27.3 วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:15:13:06 น.
โดย: mon IP: 203.146.63.189 วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:19:59:46 น.
โดย: Scarecrow IP: 202.21.149.126 วันที่: 16 ตุลาคม 2550 เวลา:15:23:44 น.
โดย: คนที่เคยดูบอดี้ศพ#19 IP: 124.121.148.218 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:22:23 น.
โดย: ดู3รอบ(DVD) IP: 58.64.125.252 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:34:30 น.
โดย: ม้าดำ IP: 202.129.37.106 วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:14:07:46 น.
โดย: บอสซ่า IP: 202.129.37.106 วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:14:15:25 น.
โดย: คนกลัวก็มีค่ะ IP: 221.216.59.3 วันที่: 11 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:13:28 น.
โดย: ก็คนเค้ากลัวนี่ IP: 155.140.255.113 วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:8:03:54 น.
โดย: กอกล้วยสีฟ้า IP: 223.205.213.232 วันที่: 23 กันยายน 2555 เวลา:17:36:13 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30 31