+-+ OncE UPoN'-'a MaN +-+ รักนะ.. คนอ่าน เข้ามาดู.. โดนใจ ออกไป.. อย่าลืมกัน
Summary for Best of the Year 2012 ..Please CLICK!!
"บอดี้ ศพ #19" ... ชวนเข้ามาเปิดตู้ ดูความจริง ที่เห็นแล้วต้อง 'อึ้ง' ยิ่งรู้ก็ยิ่ง 'ทึ่ง'



เปิดตู้เบอร์ 19 ...(รีวิวถ้วนๆ)

นอกเหนือไปจากความรู้สึกได้แต่ 'อึ้ง' กับ 'ทึ่ง' ในภาพและเสียงที่เพิ่งผ่านตามาสดๆก่อนหน้า ราวๆสองชั่วโมง ...ยังมีอีกสิ่งที่ผมคิดออกในทันทีทันใดและจะต้องขอยกเอามาพูดในรีวิวนี้ ก็คือ ความน่าชื่นชมในความกล้าของ 'GTH'

ที่ผมพูดไปนั้น นี่ไม่ใช่การประชดประชันแต่อย่างใด ...หากเจตนาโดยแท้จริงแล้ว มันอยากจะชมให้กับความกล้าของทีมผู้สร้างที่ได้ปล่อยอนุมัติให้มีหนังชื่อ "บอดี้ ศพ #19" เรื่องนี้เกิดขึ้นมา ทั้งๆที่อาจจะรู้อยู่แก่ใจว่า มันดูไม่ใช่หนังที่เหมาะจะกับตลาดของคนไทย(โดยส่วนใหญ่)เอาเสียเลย ...มิหนำซ้ำกรรมซัด ก็ยังกล้าเอามาปล่อยฉายแบบใหญ่โต มีการโหมโปรโมต เหมือนกับหนังจีทีเฮชเรื่องอื่นๆ ที่ยังมีความเป็น mass อยู่ในตัวสูงกว่าเสียอีก



ก็แน่นอนที่ บอดี้ จำเป็นต้องทำตัวเองให้ mass ด้วยการสร้างหน้าหนัง ให้ดูเป็นหนังผี อีกเรื่องหนึ่ง ...ซึ่งหากคนบางคนตัดสินตัวหนังจากการได้เห็นแค่ตัวอย่าง และจะดูด้วยความรู้สึกที่ต้องการความสยอง ได้ตกอกตกใจตะลุ้งตุ้งแช่มากกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว ก็ให้นึกไปถึงผลลัพธ์อันตายตัว ที่จะได้รู้สึกเป็นแน่เมื่อออกจากโรง อันคือ ความผิดหวัง (อย่างในรอบที่ผมดูนั้น ผมก็ได้เห็นอยู่กะจะตาว่า มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งได้ลุกออกจากที่นั่ง และเดินจ้ำๆไปสู่ประตูทางออก ซึ่งหลังจากตอนนั้นแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีคนเดินเข้ามาอีกเลย)

แล้วยิ่งถ้าจะเอา บอดี้ มาเทียบเปรียบกับหนังแนวผีๆอีกสองเรื่องจากใต้ชายคาจีทีเฮช ด้วยกัน อย่าง "ชัตเตอร์" กับ "แฝด" ด้วยละก็ มันจะเป็นอะไรที่แตกต่างกันมากอย่างกับกระดูกคนละเบอร์ เสื้อคนละไซท์ ...อาจแม้ได้ว่า ในหนังทั้งสามเรื่องจะมีองค์ประกอบการเล่าเรื่องแบบหักมุม ยอกย้อน ซ่อนเงื่อน อยู่เหมือนๆกันก็ตาม หากแต่แนวทางของ บอดี้ กับไม่น่าจะถูกเรียกว่าเป็นหนังผีซะด้วยซ้ำ



จากตามปากคำของตัวผู้กำกับเอง เขาเรียกแนวหนังของเขาว่าเป็น 'Psycho-Thriller' ที่ว่ากันด้วยเรื่องของการฆาตกรรมที่นำมาซึ่งความระทึกขวัญ ...ใน "บอดี้ ศพ #19" มีองค์ประกอบเป็นเรื่องราวของตัวละครตัวหนึ่ง (ชลสิทธิ์) ที่ได้พบภาพความฝัน เป็นการฆ่าชำแหละศพของบุรุษนิรนามและเหยื่อสาวที่นอนแน่นิ่ง (ดาราราย) ...ฝันนี้ได้กลายมาเป็นลางบอกเหตุอันสำคัญที่ทำให้ตัวละครเอก ต้องออกตามหาทั้งเหตุและผลของมันที่ต้องมาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา

ก่อนหน้าที่จะได้มาทำหนังโรงเป็นเรื่องแรกในชีวิต "ปวีณ ภูริจิตปัญญา" เคยเชี่ยวชาญอยู่ในสายงานกำกับมิวสิควิดีโอให้กับบรรดานักร้องดังๆทางค่ายฝั่งลาดพร้าว (คงมิต้องบอกว่าค่ายใดที่ตรงกันข้ามกับเจ้าของหนัง)... จึงมีอะไรให้รู้สึกได้ที่ภาพบางภาพ ที่ได้เห็นมันจะมีเทคนิค ความคับคล้ายคับคลากับ การดูภาพประกอบเพลง ยังไงยังงั้น ...แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรต่อความน่าติดตาม กลายเป็นเพลินๆซะอีกที่ผู้กำกับมีความเข้าใจเอามาประยุกต์ใช้กับการทำหนังได้ดี



ซึ่งกับเทคนิคการสร้างภาพของคุณปวีณ นอกจากจะดูมีความอาร์ตที่สวยในแต่ละมุมมองแล้ว การจัดวางกล้องก็ยังช่วยเสริมสร้างบรรยากาศ บิวด์อารมณ์ชวนสะพรึง หวาดหวั่นได้เป็นอย่างดี ...ขณะที่งานซับซ้อนทางรายละเอียด อย่างการทำเทคนิค CG ก็นับว่าน่าตื่นตา ให้ผลลัพธ์ที่พอใจใช้ได้ กับหนังไทยสักเรื่อง ที่อุตส่าห์พยายามกันมามากก็ไม่มีเรื่องไหนที่ทำได้น่ายอมรับเท่านี้มาก่อน ...แม้ทว่าโดยรวมจะยังคงห่างไกลกับความเนี้ยบทุกรายละเอียดของต่างชาติกันอยู่เป็นโยชน์ แต่อย่างน้อยๆแล้วกับเงินทุนเพียงไม่กี่ล้าน ผสมความประณีตตั้งใจเท่าที่ทำให้เห็น ก็นับว่าสอบผ่านล่ะ

ซึ่งในส่วนหนึ่งของการสอบที่ทำคะแนนประเดิมสูงลิ่ว ต้องยกความดีความชอบให้กับ Opening Title ที่พาเข้าสู่การเปิดเรื่องได้อย่างน่าตื่นตะลึง

(แต่ก็ยังแอบขัดใจอยู่นิดนึง ที่หนังดูจะเล่นกับ CG อย่างไม่ประนีประนอม เกินไปหน่อย ...อย่างเช่น แมวดำ ที่มันก็น่ากลัวอยู่ในตัวของมันเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีรอยเลือดเกรอะกรัง ให้ต้องสยองจนเกินเลย)



นอกเหนือไปจากการควบคุมส่วนเทคนิคที่หนังทำได้ดี ส่วนของหน้าที่การกำกับอารมณ์นักแสดงไม่ให้หลุดจากบทบาท (รวมถึงสายตาคนดูไม่ให้วอกแวกไปจากจอ) ของ คุณปวีณ ก็ถือว่าสอบผ่านเช่นกัน ...แม้โดยส่วนตัวอาจจะรู้สึกว่าหนังมันหนืด เนือย เกินไปหน่อย (โดยทั่วไป หนังอย่างนี้จะเน้นสร้างความลุ้น ชวนตื่นเต้น ตื่นตัวให้คนดูตลอดเวลา) แต่หนังที่เน้นบิวต์อารมณ์ทีละนิดๆไปตามเรื่องราวอันเข้มข้น โดยพาคนดูอยากติดตามไปอย่างไม่น่าเบื่อ ก็ถือว่าเป็นเหตุเป็นผลจะตัดข้อติตรงส่วนนี้ไปได้



ส่วนของการแสดง ก็ไม่มีใครที่เหมาะควรกับคำว่า จุดอ่อน สักคน ...อย่างพระเอก "เป้ วง Slur" เล่นเรื่องแรกอาจจะดูแข็งๆ แต่บทและพฤติกรรมอันแข็งกระด้างของ "ชลสิทธิ์" ก็พาไปให้เขาต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว , "แป้ง-อรจิรา" ก็ยังพรั่งพร้อมไปด้วยเสน่ห์เช่นเคย แม้บทจะไม่ใช่สาวแก่นๆแบบที่เห็นบ่อยๆในละครทั่วไป หรือกระทั่งหนังเรื่องก่อนอย่าง สายล่อฟ้า (การแสดงเป็นพี่น้อง ก็นับว่าเนียนมากๆ ยิ่งหน้าตาคล้ายกันด้วย ก็ยิ่งดูอินเข้าไปใหญ่) , "เข็ม-กฤตธีรา(ตีสิบ)" เล่นได้อินเกินคาด ดูน่าเชื่อถือกับภาพลักษณ์จิตแพทย์ ฉากแสดงอารมณ์ก็เอาได้อยู่ เงียบๆแต่เฉือนใจไปไม่น้อย , "เมย์-ภัทรวรินทร์" ออกน้อย แต่ให้มากกับบทบาท "ดาราราย" ที่จะว่าน่าสงสารก็ใช่ แต่พอถึงทีจะอำมหิตก็ดูน่ากลัวโคตรๆ , "ปลาย ปรเมศวร์" (จำได้ไหม...ว่าเขาคือ พ่อของเด็กสาวเบนโล ในโฆษณาไทยประกันชีวิต) เป็นที่สุดของความเยี่ยมในหมู่นักแสดง กับคาแรกเตอร์คุณหมอที่เหมือนจะมีอะไรกับ ดาราราย มากกว่าในฐานะเพื่อนร่วมงาน หรือเปล่า

แต่สุดท้ายแล้ว ที่เหนือและถือว่าดีที่สุด ยิ่งไปกว่างานทุกๆส่วนที่ประกอบกันเป็นหนัง บอดี้ ศพ #19 ...ก็ย่อมต้องยกย่องความเยี่ยมให้ บทภาพยนตร์ อันเกิดจากความฉลาดคมคิดของสองมือเขียนฝีมือชั้นยอด ที่ในปีก่อนเพิ่งสร้างความเกรียวกราวเอาไว้เป็นอย่างมากกับ "13 เกมสยอง"

"มะเดี่ยว-ชูเกียรติ" และ "เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์" สามารถจัดการเรื่องราวทุกอย่างที่มันซับซ้อน ยุ่งยาก ให้กลายเป็นความลงตัวได้ในท้ายที่สุด ...กับจุดหักมุมที่เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า เพราะถึงต่อให้เราจะท้ายก๊อกแรกได้ออก สุดท้ายก็ยังคงต้องพ่ายให้กับอีกหนึ่งชั้นของก๊อกสอง ที่ถูกวางซ้อนเอาไว้อย่างแอบๆ พร้อมกันนั้นยังใจดีมีแนบคำใบ้เรี่ยไรมาตามทางที่จะช่วยให้รู้อะไรต่อมิอะไรได้ดีขึ้น เพียงแต่มันก็มานึกออกเมื่อหนังเลยมาถึงช่วงของการเฉลย ซึ่งนั่นมันก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว สำหรับที่เราจะได้ทันรู้ตัวว่าโดนหักหลังแบบเนียนๆ

แกะห่อศพ (ความจริงในตู้เบอร์ 19)...

ตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไปจะมี SPOILER อย่างรุนแรง ...สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดู อย่าเพิ่งอ่าน แล้วข้ามไปที่ "ปิดตู้" เลยครับ






นอกเหนือไปจากความรู้สึกได้แต่ 'อึ้ง' กับ 'ทึ่ง' ในภาพและเสียงที่เพิ่งผ่านตามาสดๆก่อนหน้า ราวๆสองชั่วโมง ..."บอดี้ ศพ #19" ก็ยังทำให้ผมต้องหวนนึกระลึกความหลังไปถึงหนังอื่นๆอีก 2 เรื่อง ที่ผมเคยได้ดูมา

เรื่องแรก "พลอย" ...ไม่ได้ล้อเล่นนะครับ ผมนึกถึงเรื่องนี้จริงๆ ถึงมันจะฟังดูไม่ขึ้น แต่มันก็มีสาเหตุของมัน อันคือ ความรู้สึกที่ไม่เคลียร์กับตัวหนังโดยทั้งหมด ทั้งๆที่เรื่องราวของมันได้จบลงในตัวเองอย่างสมบูรณ์ดีแล้ว

แต่ในขณะที่ พลอย ทำให้ผมค้างคาและไม่เคลียร์ถึงความนัยที่หนังต้องการสื่อสาร (ซึ่งจะว่ากันตามน้ำ ก็เป็นเรื่องที่แล้วแต่ความเข้าใจของแต่ละผู้คนที่คิดต่างกันออกไป ไม่ตายตัว) ส่วน บอดี้ กลับทำให้ผมมีอาการหนักอึ้งยิ่งไปกว่านั้น ทั้งยังพยายามคิดหัวแทบแตกกับสิ่งที่ไม่เคลียร์อันเนื่องจากจุดเล็กจุดน้อยที่หนังทิ้งไว้ตลอดระยะทางมาถึงจุดเฉลย

ผมยอมรับว่า การเฉลยของหนังนั้น ทำออกมาได้รุนแรง และหักหลังคนดูได้อย่างเจ็บแสบ ...หากแต่เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงจุดก่อนๆที่หนังพยายามจะเอามาเกี่ยวโยงกันก็ยิ่งรู้สึกมึนถึงความเป็นไปที่ได้มาถึงจุดสุดท้ายนี้ ซึ่งพอเริ่มทำความเข้าใจด้วยตัวเอง (ตลอดทางกลับรถขับมาบ้าน ที่มีหลายต่อหลายหนคิดเพลิน จนเกือบเสียสติคุมพวงมาลัยไม่อยู่มือเลยทีเดียว...หรือจะเป็นเพราะว่า ผมโดนหนังทำสะกดจิตละเนี่ย +_+') แล้วก็มาอ่านความคิดเห็นกับคนที่ได้ดูมาตามกระทู้ต่างๆ ก็ทำให้ผมเห็นภาพที่จะดูเลือนๆ ชัดขึ้นมาได้มากเลยทีเดียว

หากแต่ ผมก็ยังติดใจในบางจุดที่ถ้ามองผ่านๆก็อาจจะเคลียร์ได้ ...แต่ถ้าหนังเก็บรายละเอียดในส่วนเหล่านี้ได้อีกสักหน่อย ก็จะยิ่งทำให้ผมรู้สึกเชื่อกับตัวหนังได้สนิทใจมากกว่านี้



1. หนังไม่ได้เล่าถึงความเป็นมาของการผิดใจของ คุณหมอสุธีกับอุษา ว่าเกิดจากเหตุผลกลใด และไม่อธิบายถึงความมีใจให้กันและกันที่นำพามาซึ่งการคบชู้กับดาราราย ...ซึ่งถ้าหนังสามารถเอาเวลาอีกเล็กน้อยมาต่อยอดย้อนความกันถึงความรักสามเส้านี้ด้วยอีกสักหน่อย มันคงจะทำให้เหตุผลที่คุณหมออยากเหินห่างกับดาราราย ดูหนักแน่นมากกว่านี้



2. ผมเข้าใจแล้วว่า 'เอ๋' เป็นใครกัน และรู้ว่า เพื่อนในจินตนาการคนนี้ คือ ภาพที่จิตนึกฟุ้งถึงเพื่อเป็นการช่วยเหลือตัวเองไถ่บาปของคุณหมอในร่างชลสิทธิ์ หากแต่ผมก็ยังติดใจว่า ทำไมคุณหมอถึงนึกเอาภาพของ แป้ง มาแทนที่ ดาราราย ซึ่งหนังก็ไม่ได้บอกว่าดารารายในความฝันคนนี้ มีที่มาจากไหน ...เธอจะเป็นนักศึกษาแพทย์คนหนึ่ง ที่เรียนอยู่กับหมอ แล้วหมอแอบมีใจให้ (จะถึงขั้นเธอยอมเป็นบ้านเล็กหรือเปล่า นั่นก็อีกเรื่อง) หรือว่า เป็นเพียงผู้หญิงในจินตนาการที่หมอนึกขึ้นมาแบบผู้ชายคนหนึ่งที่มีสเปค ...ถ้าผมพยายามจะคลายความสงสัยจุดนี้ทิ้งไป มันก็ได้อยู่แล้ว หากแต่ในความเป็นจริง มันควรจะมีภาพตัวตนอะไรสักอย่างที่บ่งบอกว่า นักศึกษาแพทย์คนนี้ มีตัวตนอยู่จริง และคุณหมอจะนึกภาพขึ้นมาได้นั้น เพียงไม่ใช่แค่การเอาตา หู จมูก ปาก มาสวมเข้าไปเอง อย่างกับทำ Photoshop ในจิตไร้สำนึก

3. ติดใจอีกเล็กๆน้อยๆ ในรายละเอียดบางจุดที่ดูจะตกหล่นบกพร่องไปสำหรับการเฉลยเรื่องราว อย่างใน ตอนที่เป็นภาพแฟลชแบ็คของคุณหมอสุธี (ที่กำลังอยู่ในร่างชลสิทธิ์) ล้วนแต่เป็นฉากสำคัญๆก็จริงอยู่ หากแต่ถ้าหนังจะใส่ฉากเล็กๆน้อยๆระหว่างที่อยู่ในบ้าน กำลังขับรถ หรือคุยกับความว่างเปล่า (ที่แทนตัวด้วยภาพสาวเอ๋) ก็จะดีไม่น้อย ...นี่เป็นความรู้สึกติดใจที่เคยเกิดขึ้นเหมือนกับตอนดู "แฝด" ไปเมื่อต้นปี แต่ถึงอย่างไร บทหนังของบอดี้ ก็ยังร่ายอะไรได้ครบถ้วนกว่าอีกเรื่องอยู่เยอะ


ส่วนหนังอีกเรื่องที่ทำให้ผมนึกถึงก็จะเป็น "Identity" ...สำหรับใครที่ได้ดูแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมหมายถึง แรงบันดาลใจ(ที่อาจถือว่าเอามาเพียงผิวๆก็ยังได้) ที่ทำให้เกิดจุดหักมุมสุดพลิกผันอย่างนี้ ...ซึ่งใครที่ยังไม่ได้ดู ผมก็ขอแนะนำให้หามาดูกัน เพราะเรื่องนั้นจะมีส่วนทำให้คุณเข้าใจในเรื่องราวสภาวะจิตอันซับซ้อนได้ดีขึ้น



ถ้าถาม(ตัวเอง)ว่า ผมมีความชอบประทับใจในฉากไหนมากที่สุดแล้ว ก็คง ต้องยกให้ "ฉากในห้องเรียน" ที่เป็นอีกหนึ่งคำใบ้เล็กๆน้อยๆที่หนังแอบเข้ามา ทั้งมันยังสามารถสานต่อไปถึงการกระทำเพื่อล้างแค้นของดารารายที่เป็นเหตุเป็นผล และดูมีมิติมากไปกว่า ความโกรธมหาโหดตามแบบฉบับของผีที่เห็นในหนังเรื่องอื่นมาซ้ำซาก ...เพลง "ภาพลวงตา" มีความเหมาะเหม็ง ลงตัว กับสิ่งที่ฉากนั้นต้องการสื่อ การแสดงของคุณเมย์ ก็นับว่าเยี่ยมมากกับสายตาอาฆาต(ที่ไม่)แค้นคู่นั้น และนักแสดงที่เป็นนักศึกษา ก็ยังแอบขโมยความเด่นจากคุณเมย์ไปได้ทุกทีที่กล้องจับจ้องเธอ

ในส่วนขององค์ประกอบบทหนังที่ผมประทับใจมากที่สุด ก็คงย่อมจะหนีไม่พ้นกับการเอาเพลง "คิดถึงเธอทุกที(ที่อยู่คนเดียว)" (ที่โดยส่วนตัวก็ชอบมากๆ ในเวอร์ชั่นต้นฉบับ ของพี่เจนนิเฟอร์ คิ้มอยู่แล้ว) มาเล่นเป็นเงื่อนไขกับเรื่องราวของหนัง ...ไม่ว่าจะตั้งแต่ฉากเริ่มที่คุณแพท-สุธาสินี ร้องชวนหลอนเอาไว้ได้อย่างทรงพลัง มาจนถึงการยอกย้อนไปสู่จุดที่ทำให้ตัว ชลสิทธิ์ เกิดขึ้นมา... การสะกดจิตโดยใช้บทเพลงที่ฟังแล้วเหงา หว้าเหว่ ละเหี่ยใจ ทำให้นึกถึงใครคนอื่น ช่วยส่งผลให้อารมณ์ของหนังถูกสะกดตรึงเอาไว้กับการสื่อสารของตัวเพลง ...แล้วในฉากที่ดารารายร่ายมนต์สะกดด้วยเพลงนี้ในเวลาที่เธอรู้ตัวว่าต้องตาย ก็ยิ่งส่งพลังให้ตัวเพลงทำเอาผมขนลุกที่ได้รู้ความจริงที่นำมาซึ่งจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่าง ที่กลายเป็นหนังความยาวสองชั่วโมงอันสนุกเข้มข้นเรื่องนี้



โดยส่วนตัวแล้ว ใจจริงก็อยากจะให้เกรด A ช้วนๆ กับ บอดี้ ศพ #19 ไปเลย หากแต่ถ้ามันจะไม่ติดเพียงตรงที่ผมรู้สึกถึง...จุดขัดใจเล็กๆน้อยๆ(ที่ถ้ามี ก็ยิ่งจะทำให้ผมรู้สึกเคลียร์และเข้าถึงหนังได้มากขึ้น) เท่านั้นเองจริงๆ

แต่นั่นยังวัดแค่รอบแรกเท่านั้น ...เพราะก็ยังไม่แน่เหมือนกัน ที่ถ้าผมได้ดูรอบสองแล้วจะได้นึกย้อนเพื่อเห็นอะไรที่มากขึ้น ในมุมมองที่กว้างขึ้น และมันก็อาจจะเป็นเหตุเป็นผลให้ผมอยากเลื่อนขั้นไปเป็นหนังเกรด A ก็ยังได้

เออ แต่จะว่าไปแล้ว... มันก็ยังมีอีกจุดที่เล็กมากๆ ที่ผมไม่เคลิ้มตาม นั่นก็เป็นตอนที่ หนังจบเครดิตชื่อผู้กำกับ แล้วต่อด้วยภาพที่ยังไม่ตายสนิทของคุณหมอ ...ในส่วนแรกอาจจะยังพอหยวนๆแถมๆกันได้ แต่พอเพลงกำลังฮิตอย่าง "ยาพิษ" ดังขึ้นมา มันก็สะดุดกึ๊ก และจบลงด้วยความคิดที่ว่า "เป็นการโฆษณาแฝงในหนังที่รับไม่ได้มากที่สุดในรอบปี" (ส่วนตัวตอนนี้ อย่าให้ได้ยินเพลงนี้เลยเชียว ...เพราะเดี๋ยวมันจะหลอนจนเป็นอันหมดอารมณ์อยากจะดิ้นตาม)

เอะอะก็ว่ารัก เอะอะก็คิดถึง แต่เธอทำให้นึกถึงบอดี้ขึ้นมา ...ไม่เคยจะได้รู้ ไม่เคยจะได้เห็น ไม่ห่วงเลยว่าใครคือดาราราย -_-'







ปิดตู้...

"บอดี้ ศพ #19" ... ถ้าคุณคาดหวังว่านี่จะเป็นหนังผีที่เล่นสยอง หลอน หลอกกับคุณได้อย่างเมามันส์ เฉกเช่น ชัตเตอร์ หรือ แฝด ขอบอกว่าคุณได้มองผิดเรื่องแล้ว ...เพราะความเป็นจริง นี่คือหนังระทึกขวัญ ที่มี ผี เป็นเพียงแขกรับเชิญ และใช้ จิตใจของคน เป็นตัวดำเนินเรื่องราวที่สนุก เข้มข้น และชาญฉลาด เกินกว่าที่กึ๋นจะคิดออกได้หมดจด เพียงแค่การดูรอบเดียว ...ถ้าคุณคาดหวังจะดูหนังที่มีบทเจ๋ง และเยี่ยมยอด อย่ารีรอที่จะตีตั๋ว อย่าชักช้าจะรู้ความจริง เพราะศพในตู้เบอร์ 19 มีอะไรให้คุณได้ อึ้ง และ ทึ่ง แน่นอน

ขอแนะนำ...ครับ

เกรด A- ... {}

ปล. รอบสองในโรง ของผม มีค่อนข้างแน่ ...คาดว่า อาทิตย์หน้า จะไปดูกับเพื่อนสาวคนสนิท ครับ

ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ



Create Date : 06 ตุลาคม 2550
Last Update : 1 มีนาคม 2551 15:18:42 น. 31 comments
Counter : 12409 Pageviews.

 
ไปดุมาแล้ว รุ้สึกกลัว เครียด อึดอัด หายใจไม่สะดวก ดูไป 20 นาที ได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า แมร่งเอ้ย เมื่อไหร่ จะจบซักที วะ จะตายอยู่แล้ว ระทึกทุกวินาที ลุ้นแบบสุดๆ อ่ะ ไปดูกันเองเหอะ จะได้แบ่งอารมณ์ความรู้สึก ระทึกร่วมกัน


โดย: น้ำ IP: 202.57.176.236 วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:0:36:17 น.  

 
น่ากลัวดีจังเลย เหมือนเน้นแนวภาพออกมาให้สวยงาม เพลงก็เพราะดี พอหลังจากดูหนังเรื่องนี้แล้ว บอกได้คำเดียว ว่าพอได้ยินเพลงนี้แล้ว จินตนาการในหัวคุณจะพุดขึ้นมาจนไม่... บรื้อ บอกไม่ถูก


โดย: parry (parry_Ke ) วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:0:58:59 น.  

 


โดย: null IP: 62.202.78.56 วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:1:20:30 น.  

 
ว่าจะไปดู


โดย: HAG วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:2:33:41 น.  

 
เหอๆๆ เขียนในกระทู้เหล่านั้น "ยาวๆๆๆๆ" ไปแล้วล่ะครับ ก๊อปมาแปะละกันนะ



สปอยล์ ชัวร์ คร้าบ







ผมมองว่า หมอสุธีโดนครอบงำทางจิตใจสองชั้นนะครับ

ขั้นแรก คือภาวะ Multi-personality Disorder ที่ทำให้หมอคิดว่าตัวเองเป็นชลสิทธิ์
อาจเกิดจากความรู้สึกผิดที่ช่วยเหลือชลสิทธิ์ให้รอดชีวิตเพื่อดารารายไม่ได้ (ตอนแรกผมคิดว่าหมอสุธีตั้งใจปล่อยให้ตาย ซึ่งมาคิดอีกทีผมว่ามันจะดูเวอร์เกินไป และไม่มีความจำเป็น)
ตรงนี้ผมเริ่มสะกิดใจกับประโยคที่ชลสิทธิ์พูดกับเอ๋ในรถที่ว่า "ไม่รู้จะทำยังไง ถึงจะสนองความต้องการของผู้หญิงที่ชื่อดารารายคนนั้นได้"
อาจเป็นทั้งที่เกี่ยวกับความรักที่ทั้งคู่มีให้กันแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมีเมียมีลูกไปแล้ว และอาจรวมถึงการที่ชลสิทธิ์ตายไป
เป็นไปได้ไหม ที่ทำให้เขาอุปโลกน์การมีอยู่ของชลสิทธิ์ขึ้นมา เหมือนกับว่าทำให้เขากลับมามีตัวตนอีกครั้ง เพื่อสนองความต้องการของดาราราย

ขั้นต่อมาคือ ถูกดารารายสะกดจิต ที่ตอนแรกผมว่าในกระทู้อื่นว่า การสะกดจิตครั้งนี้ดูไม่มีเหตุผลเลย ทำไมต้องเป็นเพลง
แต่ผมคุยกับเพื่อนผมคนนึง เขาเสนอประเด็นที่น่าสนใจมาก (แม้จะออกแนวเกมไปหน่อย) คือ ดารารายเป็นคนที่ชำนาญในการสะกดจิตคนอื่นผ่านสื่อที่เป็นเสียง
เพราะผมมานึกถึงฉากในคลาส นักศึกษาคนนั้นก็คิดถึงภาพในวัยเด็ก เพราะมีเสียงริงโทนเพลง "ภาพลวงตา" ดังอยู่ตลอดเวลา แถมดารารายยังกำชับว่า "ห้ามรับ ห้ามปิดเสียง ปล่อยให้มันดังไปเรื่อยๆ"
เพราะฉะนั้น ฉากสะกดจิตในร้านอาหารหลังจากโดนใส่ยานอนหลับหรืออะไรซักอย่าง เมื่อเพลง "คิดถึงเธอทุกทีฯ" ดังขึ้นมา เธอก็เลยฉวยโอกาสสะกดจิตหมอสุธีด้วยเพลงนี้เสียเลย

ชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นนะครับ แต่ก็ยังทำใจไม่ได้กับฉากสตึๆ ที่มาปลดล็อกการสะกดจิต และการยัดเพลง "ยาพิษ" เข้ามาขายของแบบหน้าด้านๆ และไม่เข้ากับเรื่องอย่างสิ้นเชิง

ส่วนเพลง คิดถึงเธอทุกทีฯ นี่ผมว่าใช้เวอร์ชั่นเจนนิเฟอร์ คิ้มก็หลอนจิตอยู่แล้วนะ... ไม่เห็นต้องคัฟเวอร์เลย


ผมชอบนะ เพลงยาพิษเนี่ย
เนื้อหาก็ได้
แต่แหม... อารมณ์มันไม่ไปเลย - -*
มันก็เหมือนเพลงจบนเรศวรภาคแรกอะครับ
ความหมายมันได้ แต่มันไม่ไปกับหนัง


โดย: nanoguy วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:2:43:24 น.  

 
ดูแล้ว...ชอบคร้าบบ
ส่วนตัวชอบจังหวะการหลอกให้คนดูตกกะใจ
แล้วก็..การดึงคนดูไปร่วมลุ้นกับตัวละครทำได้ดีทีเดียว
เรื่อง CG ผมว่าโอเคแล้วไม่สมจริงเกินไป
เพราะแค่นี้ก็หลอนแล้ว
ขืนเหมือนจริงกว่านี้คงกลับมาฝันร้าย แง๋มๆ

ที่ไม่ชอบ ยังนึกไม่ออกแหะ

ถ้าจะมีก็คือ
แอบเคืองดารารายว่า
ทะมายตอนที่รู้ว่าโดนวางยาน่ะ
ไม่บอกคุงหมอว่า ชั้นท้องนะยะ
เผื่อคุณหมอเปลี่ยนใจช่วยไว้ทัน
ดันไปสะกดจิตหมอซะงั้น
เป็นไงล่ะ .. โดนหั่นเรยยย


ปล.แต่ผมชอบนะคับ เพลงยาพิษตอนจบเนี่ย
ผมว่า มันเหมือนเวลาดูหนัง Hollywood
ประเภทซอมบี้หรือที่มันภาพรุนแรงเยอะๆ
มันจะจบด้วยเพลงแนว metal หน่อยๆ
ให้ความรู้สึกว่าจบจริงๆ
(แต่มันก็ความรู้สึกส่วนตัวผมเองคนเดียวนะคับ)

ในขณะที่ไม่ชอบ "คิคถึงเธอฯ"
เพราะเป็นเพลงที่ผมชอบมานานแระ
เอามาทำใหม่อย่างนี้...เซ็งว่ะ ...หลอนเกิ้น


โดย: เก่งกว่าผมตายไปหมดแล้ว วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:8:16:19 น.  

 
ว่าจะไปดูอยู่เชียวค่ะ


โดย: Cheerfully วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:9:02:53 น.  

 
เดินออกมาจากโรง มือสั่นเลยค่ะ..


โดย: =^kurochan^= วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:22:09:58 น.  

 
ขอมาแชร์ประเด็นความรู้สึกด้วยคนได้ไหมครับท่านเจ้าของบล๊อค

เป็นหนังไทยเรื่องที่สองที่ผมไปดูมาสองรอบ รอบแรกไปดูคนเดียว รู้สึกสนุกมาก เพราะอึดอัด ไม่สามารถไปเล่าให้ใครฟังได้ อยากถกเถียงแต่กลัวไปสปอยล์คนที่ยังไม่ได้ดู

รอบที่สองเลยพาคุณพ่อคุณแม่ไปดู รู้สึกชอบมากกับมุมกล้อง ที่เป็นมุมมองของ"ผี" เช่นตอนที่ชลสิทธิ์กลับจากคอนเสริตจะเข้าบ้าน ก็ถ่ายหัวทิ่มมาจากด้านบน และช่วงอื่นๆในบ้านที่ถ่ายมาจากด้านบนเช่นเดียวกัน


ผมขอแชร์ความเห็นของผมด้วยได้ไหมครับ

ไปดูรอบสองเห็นอะไร?

1. ฉากเปิดเรื่องที่ชลสิทธิ์นั่งดูโอเปร่า (พี่แพทหน้าแอบสูงวัยมาก) มุมกล้องบวกกับแสงทำให้เราไม่ไปโฟคัสคนที่นั่งข้างๆ นั่นคือลูกสาวและภรรยา แต่ถ้าตั้งใจดูก็จะเห็นตั้งแต่แรก

2. ชลสิทธิ์เก็บขยะเหม็นไปทิ้ง ผมสันนิษฐานเอาเองว่าอาจจะเป็นเศษชิ้นส่วนของลูกที่อยู่ในท้องดาราราย ซึ่งใส่ถุงไว้แล้วเหม็นเน่า จนลืมเพราะช่วงนั้นก็หลงๆลืมๆอยู่แล้ว

3. ผีที่ชลสิทธิ์เห็น ครั้งแรกก็สงสัยว่าทำไมออกมารูปร่างหน้าตาแบบนี้ ไม่น่ากลัวเลย ทำไมกลายเป็นผี Biohazard แต่มาคิดๆไป ชลสิทธิ์เป็นหมอ ผีที่เห็นก็คงเป็นภาพสะท้อนของศพที่เคยผ่า (รวมศพดาราราย) ผีจึงมีลักษณะแบบแยกส่วนตาม anatomy คนจริงๆ

4. แมว ผมเชื่อว่าแมวในเรื่องเป็นภาพสะท้อน Manifestation ของดารารายในความคิดของชลสิทธิ์ ซึ่งมองว่าดารารายคือคนที่จะเข้ามาทำลายชีวิต เป็นสิ่งน่ากลัว น่ารังเกียจ รวมถึงแมวก็เป็นสัญลักษณ์ของแม่มด หรือที่ผู้ช่วยอาจารย์พูดว่าแม่หมอ (ดูแล้วนึกถึงทีเอของผม ไม่เห็นเดินไปเตือนนักศึกษาตอนคุยมือถือหนวกหูแบบนี้เลย เหอๆ)

5. รอยจับที่ปรากฏที่แขนชลสิทธิ์ เกิดขึ้นจากความทรงจำในส่วนจิตใต้สำนึก เหมือนรอยเข็มขัดที่ปรากฏบนแขนขานักศึกษา มันไม่มีอยู่จริง แต่มันเคยมีและฝังในความทรงจำ ผมขอเปรียบเทียบกับเครื่องบินไอพ่นแล้วกัน แม้ว่าจะบินผ่านไปนานแล้ว แต่ก็ยังทิ้งควันเป็นทางยาวบนท้องฟ้า

6. หมออุษานั่งคุยกับชลสิทธิ์แล้วเอื้อมมือไปจับที่ข้อมือ เนื่องจากเธอเป็นห่วงในฐานะภรรยา แต่ชลสิทธิ์เองก็คงงงว่าทำไมหมอมาถูกเนื้อต้องตัว

7. ข้อนี้เป็นข้อสันนิษฐานของผมเอง (อีกแล้ว) เอ๋พี่สาวชลสิทธิ์ เป็นนักศึกษาแพทย์ ซึ่งก็คือดารารายนั่นเอง ส่วนบ้านที่อยู่นี่ ก็คือบ้านที่หมอสุธีซื้อให้ดารารายอยู่ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ จนชลสิทธิ์ (ตัวจริง) มาย้ายมาอยู่ตอนมาเรียนที่กรุงเทพ ทำให้หมอสุธีรู้จักคุ้นเคยบ้านหลังนี้เป็นอย่างดี บวกกับเอ๋ ก็บอกเป็นนัยๆ พูดตะกุกตะกักเกี่ยวกับเจ้าของบ้าน ผมคิดว่าดารารายเป็นภรรยาของหมอสุธีแบบลับๆตั้งแต่สมัยเรียนหมอแล้ว (อันนี้ตามความเข้าใจของผมนะ) และที่สำคัญ หมออุษาก็อายุยังน้อย เทียบรุ่นก็เท่ากับหมอจิ๊บ เรียกได้ว่าอายุห่างไกลกับหมอสุธีมากพอดู ถ้าดูตามเนื้อเรื่องทำให้คิดต่อได้ว่า หมอสุธี รู้จักกับดารารายมาก่อนหน้าอีก แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ตัดสินใจแต่งงานกับอุษา ดารารายจึงเป็นเพียงแค่ภรรยานอกสมรส อีกฉากที่ทำให้ดูว่าหมอสุธีรู้จักดารารายมานาน ก็คือตอนที่หมอสุธีรอรับดารารายที่สนามบิน คงรอการกลับมาของภรรยาน้อยคนนี้มานาน และดูสนิทสนมกันมากจริงๆ

8. ตอนแรกเลยที่อุษากลับมาบ้านแล้วนั่งทานข้าวไปดุลูกสาวไป ดูไร้เหตุผล เพราะตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดารารายคือภรรยาน้อยของสุธี รู้เพียงว่าสุธีฝากเข้ามาสอน แต่ผมเข้าใจว่าที่หงุดหงิดก็คงหงุดหงิดเรื่องหมอสุธี ที่วางอาการนิ่งเฉย ทานข้าวไปเรื่อยๆไม่พูดไม่จา ทั้งๆที่เดี๋ยวเป็นสุธี เดี๋ยวเป็นชลสิทธิ์ ... หมออุษาคงคิดในใจ (สามีชั้นมันบ้านี่หว่า)

9. ผู้ช่วยอาจารย์ตอนที่ก่อนถูกฆาตกรรม เดินออกมากำลังจะปิดตึก แล้วเห็นแมววิ่งผ่านเข้าไป ถึงกับบ่นว่า “จะกลับอยู่แล้ว จะเข้าไปทำไมอีกล่ะเนี่ย” ผมแอบคิดว่าที่เห็นคงไม่ใช่แมว แต่คงเห็นหมอสุธีเดินแวบๆเข้าไปในพิพิธภัณท์ ไม่รู้ว่าเป็นใครเลยตามเข้าไป เพราะถ้าเป็นแมวจริง คงไม่ตามเข้าไปหรอก แค่แมวตัวเดียว พรุ่งนี้มาไล่ยังได้เลย

10. มีอยู่ตอนหนึ่งที่ชลสิทธิ์มาขอดูศพ แล้วเจ้าหน้าที่นึกว่ามาชันสูตรและยอมให้เข้ามาโดยดี แรกๆก็คิดว่ายอมกันง่ายๆแบบนี้หรือ แต่พอดูจนจบก็เข้าใจว่า ก็เพราะเป็นหมอสุธี อาจารย์หมอขนาดนี้ เดินไปไหนมาไหนด้วยชุดกาวคงไม่มีใครว่า

11.หมอจิ๊บ เปิดศพของชลสิทธิ์ให้หมออุษาดู ในถุงศพมีป้ายแขวนว่า “ศุวมงคล” เพื่อให้คนดูคิดว่าเป็นดาราราย แต่ความเป็นจริงโดนหั่นเป็นชิ้นๆแล้วไม่น่าจะมาเก็บในห้องนี้ได้อีก เพราะฉะนั้นต้องเป็นศุวมงคลอีกคนแน่ๆ ซึ่งมาเฉลยตอนหลังว่าเป็นชลสิทธิ์น้องชาย

12. ถ้าไม่นับที่พระเอกแปลงร่างเป็นชลสิทธิ์ ผมว่าพระเอกมีอาการของ Schizophrenic disorder ที่พัฒนามาจาก mania นะครับ หรือท่านอื่นๆว่าอย่างไร (พระเอกดูเป็นหลายอย่างมาก) สมแล้วที่หมออุษาบอกว่า “ฉันรักษาคุณไม่ไหวแล้ววววว”

13.ฉากจบที่ผีดารารายออกมาบอกว่า “ฉันจะให้อิสระคุณ” ถ้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีผี ผมก็เชื่อว่าคงไม่ใช้ผีมาดีดนิ้วให้ตื่นจริงๆหรอกครับ แต่คิดว่า เนื่องจากความทรงจำมันถูกย้อนกลับมาจนครบ เหมือนไฟล์ต่างๆที่หายไป รวมกลับมาเป็นโฟลเดอร์สุธี อีกรอบ เลยตื่นมาแบบสุธี ไม่ใช่แบบชลสิทธิ์

14.ผมไปดูรอบสอง มีเด็กอายุสี่ห้าขวบสองคนที่แม่คนหนึ่งพามาด้วย นึกเศร้าใจ ว่าหนังแบบนี้ไม่มีการจำกัดอายุคนดูหรือ และคุณแม่ท่านนั้นคิดอย่างไรที่พาลูกมาดูอะไรแบบนี้ ผมว่าไม่เหมาะกับเด็กวัยนี้อย่างสิ้นเชิง อาจทำให้ปลูกฝังนิสัยที่ก้าวร้าวในการจัดการปัญหาต่างๆรอบตัวได้ ...แต่ที่น่าแปลกที่สุดคือ ระหว่างที่ชลสิทธิ์กำลังดูทีวีขาวดำ เด็กคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า “เด็กหอ” ซึ่งในทีวีที่ชลสิทธิ์ดูก็เป็นเรื่องเด็กหอจริงๆด้วย เหอๆ แสดงว่าบ้านนี้ให้ลูกดูแต่หนังประเภทนี้ (ไม่ไหวนะครับ หรือท่านอื่นว่าอย่างไร) แต่ก็ดีทำให้ผมสังเกตว่ามันเป็นเรื่องเด็กหอจริงๆนั่นแหละ

15.หมอจิ๊บเล่นได้ดี แสดงออกทางสีหน้าชัดเจน แต่ถ้าสังเกตดีๆจะมีพัฒนาการบางอย่างเกิดขึ้น โดยครั้งแรกที่ปรากฏตัวในออฟฟิสหมอสุธี ดูเป็นแพทย์ฝึกหัดแบบเรียบร้อย แล้วหลังจากนั้นเวลาคุยกับอุษาก็เริ่มเป็น “ชั้น... เธอ...” แล้วพัฒนาการก็ดำเนินไป จนสุดท้ายเป็นหมอที่สวยกว่าหมออุษาอีก เหอๆ ผมไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของผู้กำกับหรือเปล่า เพราะดูแสดงออกมีพัฒนาการอย่างจงใจ แต่ปรบมือให้ แสดงได้ดีมาก (ชอบหน้าเวลาตกใจที่เห็นหมอสุธีแต่ละครั้ง)

16. ผมว่าหมอดารารายโดนผ่าทั้งเป็นนะครับ ยาที่ฉีดเข้าไปไม่ได้ทำให้หัวใจหยุดเต้น แต่ทำให้ paralyzed ขยับเขยื้อนไม่ได้ ตอนจบที่หมอสุธีโดนผ่าทั้งเป็น นั่นก็แสดงให้เห็นผลคำว่า กรรดใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง

17.ดูครั้งที่สองถึงจะสังเกตว่าตอนชลสิทธิ์บุกเข้าไปในบ้านของหมออุษา ลูกสาวที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า กำลังจะตะโกนคำว่า “คุณพ่อ” แล้วพี่เลี้ยงที่ได้รับการเตือนจากโทรศัพท์อุษาได้ใช้มือปิดปากน้องเมย์ไว้ได้ทัน

เท่าที่ผมพอจะนึกออกก็มีเท่านี้ครับที่อยากจะแชร์กับเพื่อนๆ ส่วนที่ผมไม่ชอบที่สุดในเรื่องก็คือ ช่วงของการพิพากษา ซึ่งตัวละคนที่ออกมาพูด ทั้งทนาย และผู้เชี่ยวชาญ ดูไม่น่าเชื่อถือ จนกระทั่งเกือบจะเป็นหนังตลก

ใครที่ชอบหนังเรื่องนี้ เอ็มมาคุยกันก็ดีนะครับ แบ่งปันความรู้กัน อยากมีเพื่อนที่ชอบหนังแบบเดียวกัน หรือท่านใดที่ทำงานหรือมีความสนใจด้านแพทย์และจิตวิทยาก็มาคุยกันน่าสนุกดี เอ็มผมก็ possiblezen@hotmail.com ครับ ผมZenครับ รอคุยกับเพื่อนๆทุกคนนะครับ



โดย: ZEN IP: 124.120.22.207 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:1:24:05 น.  

 
เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมมากๆ
บทและการกำกับเป็นระดับเทพ โดยเฉพาะการกำกับภาพ
เป็นหนังที่มีครบทั้ง Thriller Horror Suspense Sci-fi Drama และ CG สุดยอดมากๆ


โดย: phaley13 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:3:28:21 น.  

 
คุณ ZEN ดูออกด้วยว่าหมอ จิ๊บ เป็น เกย์ ออกสาวนิดๆ สุดยอด ครับ เขาเล่นได้เนียนจริงๆๆ แสดงว่า คนที่เป็นเหมือนกัน มันดูออก คล้ายๆ ผีเห็นผี ใช่มั๊ย ครับ
ผมชอบเรื่องนี้นะมันเก็บไปคิดได้หลายวันเลย ผมดูรอบเดียว...แล้วมาอ่านกระทู้ทั้งหมดก็หมดปัญหาคาใจแล้วละคับ บอกคุณ เจ้าของ บอล็ค ที่นำเสนอ นะครับ รู้กระจ่างเลยทีนี้..


โดย: Yokoaun IP: 203.155.147.170 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:5:18:04 น.  

 
ชอบมากมายกับหนังเรื่องนี้

ดูแล้วเหมือนเอาหนังหลายเรื่องมายำ แต่ยำได้สวยงาม และสร้างสรรค์มาก

เสียดายที่ไม่ได้ไปดูกับคนที่รัก เพราะเขาไม่ชอบดูหนังผี เฮ้อ

ผมว่าเริ่มแรกเลย เหมือนเรื่องไอ้แมงมุม เลยอ่ะ ที่เป็น CG จากบนฟ้าลงไปตามท่อ

ต่อมา ก็ฉากแหวนหล่น โอ้โห ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง แบบสุด ๆ

แล้วก็ฉากผีโผล่จากทีวี นี่มัน เดอะ ริง นี่หว่า

ฉากนอนในอ่างน้ำ เรื่องไรแล้วไม่รู้ ที่ผู้หญิงท้องนอนในอ่างน้ำอ่ะ

ฉากหมอสุธีโดนเหล็กข้ออ้อยพุ่งใส่ เหมือน ไฟนอล เดสทิเนชั่น รวมกับจอมโจรบ้านมีดบิน

มีอีกมาก ขอไปดูอีกรอบจะมาบอกเพิ่ม


โดย: ษมิวัสต์ IP: 124.120.239.44 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:10:13:51 น.  

 
ปล. หมอจิ๊บ เป็นเกย์รับ ที่น่ารักมากครับ

แต่ไม่ได้น่ารักไปกว่าคนที่ผมรักหรอกครับ



โดย: ษมิวัสต์ IP: 124.120.239.44 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:10:17:13 น.  

 
ผมวิจารณ์ถึงบทในการแสดงของหมอจิ๊บคับนะครับ ไม่ได้พูดถึงชีวิตจริงของนักแสดงครับ ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าเล่นได้ดีเหมาะสมกับบทที่ได้รับครับ

และก็ไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตผมแต่อย่างใดครับคุณ Yokoaun. (รีบมาแก้ตัวสุดๆ เหอๆ)


โดย: ZEN IP: 124.120.20.222 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:13:44:24 น.  

 
มีข้อสัณนิษฐานมาเพิ่มครับ

ศพหมายเลขสิบเก้าคือศพของชลสิทธิ์ตัวเอกของเรื่อง

แต่ที่น่าสงสัยกว่าคือศพของดารารายไปไหน ถึงแม้จะหั่นและใช้น้ำกรดสลายเนื้อหนัง แต่กระดูกก็ยังคงอยู่มากมาย สุธีต้องไปทิ้งไว้ที่ใดซักที่

ซึ่งผมมีประเด็น ตอนที่ชลสิทธิ์ไปกรวดน้ำใต้ต้นไม้ที่กำลังจะเหี่ยวตาย เอ๋ถามว่า "ต้นไม้มีเยอะแยะ ทำไมต้องเป็นต้นนี้ที่กำลังจะเหี่ยวตาย เธอคิดหรือว่าทำแบบนี้มันจะช่วยได้" ผมรู้สึกว่าในใจลึกๆของหมอสุธีกำลังมาขอคมาต่อดาราราย ดังนั้นไม่แน่ว่าใต้ต้นไม้นี้อาจจะมีโครงกระดูกของดารารายที่แอบเอามาฝัง เช่นเดียวกับวีดีโอของเด็กน้อยที่หมออุษาเปิดให้ดูตอนต้น บอกเป็นนัยๆว่าฆ่าแล้วแอบเอาไปฝังเช่นเดียวกัน


โดย: ZEN IP: 124.120.20.222 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:14:17:18 น.  

 
หนังดีเลยทีเดียว ดูจบแล้ว แต่คนดูอย่างเรายังไม่จบ เพราะยังกลับมาคิดต่ออีก จนปวดหัว...เหอๆๆ

แอบโกรธ ผู้กำกับที่ต้มคนดูอย่างเราซะเปื่อยเลยอ่ะ ตอนแรกคิดว่าสรุปแล้ว ชลสิทธิ์ เป็นบ้า ฆ่าทุกคนซะอีก ถ้าหมออุษาไม่พูดออกมาว่า " คุณไม่ใช่ชลสิทธิ์ ชลสิทธ์ตายไปแล้ว " ถึงจะเข้าใจ

ผี CG ในหนังไม่ค่อยสมจริงเท่าไรนะ ออกแนวน่าสยดสยองแบบสะอิดสะเอียนมากกว่าน่ากลัวแบบขนหัวลุก...แต่ยังแอบปิดตาตลอดอ่ะ

ชอบฉากเปิดอ่ะ ที่เริ่มถ่ายภาพที่สูงเห็นดวงจันทร์ แล้วค่อยดิ่งลงมาเรื่อยสู่พื้นดิน พร้อมกับมีเพลงคิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว เปิดคลอไปด้วย ชวนให้เคลิ้มดีอ่ะ...ภาพสวยด้วย

แต่ที่แอบเซ็งนิดนึงตอนหนังจบอ่ะ ที่เปิดเพลงยาพิษน่ะ
เหอๆๆ เพื่ออะไรเนี่ย ถึงส่วนตัวแล้วจะชอบบอดี้แสลมมาก แต่คิดว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวกับเนื้อเรื่องตรงไหนเลย กระชากอารมณ์มากมาย กำลังอินกับหนังอยู่ดีดี พอได้ยินเสียงเพลงแล้วอารมณ์กระเจิงเลยครับท่านผู้ชม...น่าจะเปิดเพลงคิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว เป็นการส่งท้ายท่านผู้ชมมากกว่านะ...

ปล.ขอบคุณเจ้าของกระทู้ และอีกหลายความเห็นที่ช่วยไขข้อข้องใจได้อย่างชัดเจนมากมาย


โดย: dakandum IP: 58.10.192.183 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:16:07:08 น.  

 
น่าจะใช้แมวดำธรรมดา เพราะมันให้อารมณ์ลึกลับ ผสมน่ารังเกียจไปในตัวอยู่แล้ว
แมวดำตาเหลืองๆดุๆ


โดย: เจเจ IP: 124.120.147.190 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:17:47:11 น.  

 
แป้งนั่งอยู่ในศาลด้วยใช่ปะคะ เป็นนักศึกษาแพทย์ธรรมดาคนนึง


โดย: ชอบเรื่องนี้อะ IP: 58.8.92.5 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:22:01:14 น.  

 
ตอบคุณ "ชอบเรื่องนี้อ่ะ"

แป้ง หรือ เอ๋ ก็คือดาราราย พี่สาวของชลสิทธิ์ครับ แต่เป็นมุมมองที่ดีของชลสิทธิ์ที่มีต่อพี่สาว (สมัยเรียนชลสิทธิ์ย้ายมาอยู่กับพี่สาวดารารายที่กำลังเรียนแพทย์ ก่อนที่ชลสิทธิ์จะเสียชีวิตด้วยการเสียเลือดมาก จนแม้แต่หมอสุธีก็ช่วยเอาไว้ไม่ได้)

ที่นั่งอยู่ในศาลก็เป็นแค่จินตนาการของหมอสุธีครับ


โดย: ZEN IP: 124.120.5.107 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:22:18:09 น.  

 
+ พี่ขอยังไม่อ่านนะครับ (ท่าทางจะสปอยล์แหลกราญ ทั้งข้างบนและเม้นต์ด้วย เหมือนที่บล็อกคุณหมอพีฯ) เพราะยังไม่ได้ดู กะว่าจะไปดูไม่วันพรุ่งนี้ก็วันพุธ ... เด๋วดูแล้ว จะมาอ่านและเขียนเม้นต์นะครับผม


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 8 ตุลาคม 2550 เวลา:11:46:16 น.  

 
+ เนื่องจากพี่พิมพ์ไว้ที่บล็อกคุณหมอพีฯ แล้วตะกี๋นี้เอง เลยก๊อปมาแปะไว้ตรงบล็อกนัตอีกที (ขี้เกียจพิมพ์ใหม่ เพราะมันหายไปรอบนึงแว้ว หุๆ) โดยดัดแปลงเล็กน้อย คงไม่ว่ากระไรพี่นะครับ

+ หนังเรื่องนี้นับว่าบทภาพยนตร์ "แข็งแรง" ทีเดียว ด้วยฝีมือการ 'ปั้นเรื่อง' ของคุณมะเดี่ยว กับคุณเอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ จาก 12 เกมสยาม ซึ่งก็กะอยู่แล้วว่ามันต้องโหดเลือดสาดแหงมๆ แต่ก็เป็นหนัง Psycho/Horror จิตแตกที่จัดว่า 'มีประเด็น' ที่ดีทีเดียว (เพราะได้ข่าวว่าบทเวอร์ชันแรกๆ ของคุณ ผกก. กอล์ฟโย่งเอง ออกแนวผีไซไฟยิ่งกว่านี้อีกนี่นา)
+ สำหรับผี CG ในหนังดูบ้าพลังและโชว์พาวไปหน่อย พี่เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ บางฉากที่โผล่ออกมาดูตลกๆ มากกว่าจะน่ากลัวด้วยซ้ำ ... แต่เนื้อเรื่องนี่สิ ที่ทำได้ทั้ง หม่นเศร้า และหลอนจัด รวมทั้งการเลือกเพลง คิดถึงเธอทุกที (ที่อยู่คนเดียว) เวอร์ชันหลอนมาใช้เป็นเพลงเอกของหนัง ซึ่งตอนที่ดู MV จากทีวี หรือดูตอนฉากเปิดเรื่องก็ยังไม่เท่าไหร่นะครับ ... แต่ตอนฉากจบ รวมทั้งภาพต่างๆ ที่ค่อยๆ ปะติดปะต่อในหัวเข้ามารวมกันเนี่ยสิ ... จนป่านนี้ ดูมาจนนอนข้ามวันมาแล้ว เพลงนี้ยังวนเวียนหลอนค้างอยู่ในหัวพี่อยู่เลยอ่ะครับ เหอๆๆ


### Spoiler alert ###
+ ประเด็นภาวะทางจิตที่หนังใช้เป็นลูกเล่นคือโรค Multiple personality disorder เนี่ย ... นอกจากเรื่อง Identity แล้ว ในเรื่อง A beautiful mind บทของ ดร.จอห์น แนช (รัสเซล โครว์) เค้าใช่เป็นโรคเดียวกันรึเปล่าอ่ะครับ?
... และนับว่าบทหนังฉลาดทีเดียว ที่ใช้ประเด็นเพียงแค่ "อาจารย์หมอฆ่าหั่นศพชู้รัก" (สงสัยจะได้แรงบันดาลใจมาจากข่าวใน นสพ. หุๆ) มาขยายความ แล้วใส่ลูกเล่นของภาวะทางจิตเข้าไปแบบนี้ รวมทั้งสอดแทรกประเด็น 'กฏแห่งกรรม' และ 'นรกในใจ' เข้าไปได้อย่างเหมาะสม
+ การแคสติ้งเป็นอีกจุดที่เด่น ไม่ว่าจะเป็นหน้าเก่าๆ ทั้งหลาย หรือมือใหม่ทั้ง คุณเป้ สเลอ, อาจารย์หมอสุธี, หมอจิ๊บ ... ส่วนคุณ เม ออกมาน้อยไม่กี่ฉาก แต่ "ทรงพลัง" ตามมาตรฐาน (และบุคลิก) ของเธอ ฉากสะกดจิตนักศึกษาสาวคนนั้นในห้องเรียน ทำเอาขนลุกชันเลยทีเดียว (นศ. คนนั้นก็เล่นดีด้วยแหละ)
+ หนังบอกใบ้อะไรตามรายทางไว้เยอะมั่กๆ เหมือนกัน แต่พี่สังเกตไม่เห็นเองแหละ ... พอได้มาอ่านที่ทั้งน้อง จขบ. และเพื่อนๆ ข้างบนช่วยกันเขียนมา ก็เห็นภาพอะไรต่อมิอะไรเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยอ่ะครับ และถ้าได้ดูอีกซักรอบ น่าจะเก็บรายละเอียดอะไรต่อมิอะไรได้เยอะขึ้นอ่า


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 10 ตุลาคม 2550 เวลา:15:21:21 น.  

 
ไปดูมาแล้วค่ะ รู้สึกเหมือนกันเกือบทุกอันเลย โดยเฉพาะ เพลง "ภาพลวงตา" กับ "ยาพิษ" ค่ะ แต่ที่ไม่ค่อยรู้สึกโอเคก็ ความสมจริงของฉากในห้องเรียนที่ดารารายสะกดจิต นักศึกษา ค่ะ เพราะว่า ในความเป็นจริง มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแน่นอนอ่ะค่ะ


แค่นี้แหล่ะค่ะ ขอบคุณที่เปิด ตู้ที่สิบเก้า ให้ดูกันอีกครั้งนะคะ


โดย: องค์หญิงการะบุหนิง IP: 202.28.27.3 วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:15:13:06 น.  

 
แป้งไม่มีตัวตนหรอกครับในหนัง เป็นแค่คนในจินตนาการของหมอสุธีเฉยๆ พี่สาวของเป้ก็คือดารายน่ะครับ เพราะหมอเค้าเป็นโรคที่เค้าคิดว่าตัวเองเป็นน้องชายของดาราราย ซึ่งเค้าถูกสะกดจิตมาตั้งแต่แรกแล้ว หลอกกันจริงๆๆๆ


โดย: mon IP: 203.146.63.189 วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:19:59:46 น.  

 
ตามความเห็นของผมนะ

ผมว่า เอ๋ กับ ดาราราย นี้คนละคนกันนะครับ

เอ๋ หรือแป้ง เป็นจินตนาการล้วน ๆ ที่หมอสร้างขึ้นมาครับ ไม่ได้มีตัวตนจริงแต่อย่างใด หรือหากจะมี "คนที่หน้าตาเหมือนเอ๋" ในความเป็นจริง คนคนนั้นก็ไม่ได้สัมพันธ์ใด ๆ เลยกับเอ๋คนนี้ครับ เค้าอาจจะเป็นคนนที่หมอเคยเจอ และเผอิญภาพของเธอติดอยู่ในสมองของหมอก็ได้ครับ โดยเท่าที่เข้าใจแป้งก็คือเพื่อนในจินตนาการของหมอครับ โดยมีลักษณะความเป็นแม่ และเอื่ออาธรสูง หรือหากมองอีกแง่แป้งคือภาพสะท้อนของ "ความรักของแม่" ในมุมมองหมอมากกว่า ซึ่งตรงนี้สอดคล้องกับสาเหตุที่ทำไมหมอต้องมีเมียน้อย นั้นเพราะเค้าขาดความอบอุ่นจากแม่ในวัยเด็กนั้นเอง

จากข้อมูลในหนังทำให้พอเข้าใจได้ว่า หมอน่าจะมาจากครอบครัวที่ไม่ได้รับความอบอุนจากผู้เป็นแม่มากนัก จึงทำให้ในวัยเด็กขอดทั้งเพื่อนเล่น และคนที่ให้คำปรึกษา ตรงนี้น่าจะทำให้เค้าสร้างเพื่อนในจินตนาการขึ้นมาเอง โดยอาการตรงนี้หายไปตอนที่หมอโตขึ้น (แต่ยังมีอาการฝั่งอยู่แต่ไม่ได้รับการปลดปล่อยอย่างถูกวิธีนัก) แต่อาการขาดความรักยังมีอยู่ ดังนั้นหมอเลยต้องการความรักของผู้เป็นแม่ หรือเพศหญิงนั้นเองครับ

ชลสิทธิ์ ที่เป็นภาพที่หมอคิด กับชลสิทธิ์ จริง ๆ ก็น่าจะเป็นคนละคนกันนะครับ หากอธิบายด้วยเหตุผลเดียวกัน ชลสิทธิ์ในความคิดของหมอ อาศัยเพียงภาพลักษณ์ชลสิทธิ์ภายนอกเท่านั้น ส่วนเรื่องรายละเอียดนิสัย ฯลฯ จะไม่ได้อิงจากความเป็นจริงเลย โดยส่วนมากแล้วบุคคลิกที่ทับซ้อนกันแบบนี้ค่อนข้างแตกต่างอย่างสุดขั้วกับตัวตนที่เป็นจริงครับ กล่าวคือหมอตัวจริงเจ้าระเบียบมาก ๆ แต่ในตัวตนของชลสิทธิ์ที่ถูกสร้างขึ้นจะออกเซอ ๆ หน่อย ดังนั้นผลรวมจึงเป็นชลสิทธิที่เห็นนี่แหละครับ

ผิดขออภัยด้วยครับ


โดย: Scarecrow IP: 202.21.149.126 วันที่: 16 ตุลาคม 2550 เวลา:15:23:44 น.  

 
ดูหนังเรื่องนี้แล้วงง ! มั๊ก ๆ เลยค่ะ


โดย: คนที่เคยดูบอดี้ศพ#19 IP: 124.121.148.218 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:22:23 น.  

 
ขอคานคุณ Scarecrow หน่อยนะค่ะ เรื่องที่บอกว่า เอ๋กับดาราราย เป็นคนละคนกันนะค่ะ เพราะฉากที่หมอสุธีไปรับดารารายที่สนามบินนะ ถ้าสังเกตุให้ดีหมอสุธีเรียกชื่อเล่นของดารารายว่าเอ๋นะค่ะ เพราะดูมา 3 รอบแล้วค่ะรอบแรกดูแล้วงง รอบ2เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น รอบ 3 ค่อย ๆ คลายปมที่สงสัย กระจ่างแจ่งแล้วค่ะ ขอบคุณเจ้าของบล็อคด้วยนะค่ะที่ให้แสดงความคิดเห็นของหนังค่ะ


โดย: ดู3รอบ(DVD) IP: 58.64.125.252 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:34:30 น.  

 



โดย: ม้าดำ IP: 202.129.37.106 วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:14:07:46 น.  

 
เซ็กซี่ดีคับคุณเเป้งซี้ด....


โดย: บอสซ่า IP: 202.129.37.106 วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:14:15:25 น.  

 
เรื่องนี้เล่นเอานอนไม่หลับไปสองคืนติดๆ กัน หลอนมาก ใครจะว่าไงก็เหอะ น่ากลัวมาก มากค่ะ
จัดว่าเป็นหนังดีนะคะ


โดย: คนกลัวก็มีค่ะ IP: 221.216.59.3 วันที่: 11 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:13:28 น.  

 
เซ็งอย่างเดียวค่ะ พระเอกไม่หล่อเรย...ดูไม่เหมาะกับหญิงสวย & sexy อย่างดารารายกับหมออุษา
สะใจตอนจบค่ะ ชอบๆ เสียดายดูแบบไม่ติดต่อกัน เพราะส่วนตัวกลัวหนังผี พอตอนตื่นเต้นผีจะมาก็เปลี่ยนไปดูช่องอื่น...ซะงั้น
ต้องไปเปิดหนังสือดูว่ามี rerun อีกทีวันไหนคราวนี้จะดูตั้งแต่ต้นจนจบเรยยย


โดย: ก็คนเค้ากลัวนี่ IP: 155.140.255.113 วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:8:03:54 น.  

 
ขอชมว่าบลอคนี้สีสดใสอ่านง่ายๆตาดีค่ะ ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้มาร่วม
กันขยายความตามที่เห็น รวมทั้งความรู้และศัพท์ทางการแพทย์จิตเวชด้วยนะคะpoiler alert ###
+ ประเด็นภาวะทางจิตที่หนังใช้เป็นลูกเล่นคือโรค Multiple personality disorder เนี่ย ... นอกจากเรื่อง Identity แล้ว ในเรื่อง A beautiful mind บทของ ดร.จอห์น แนช (รัสเซล โครว์) เค้าใช่เป็นโรค บุญที่ฉันได้ทำในวันนี้ขอจงไปถึงแด่ทุกๆท่านที่ได้กล่าวมานี้ด้วยเถิดรวมทั้งผู้เขียนบลอคนี้ด้วย วันนี้วันพระค่ะวันไหว้พระจันทร์ฝนไม่ตกค่ะอากาศดีไม่ร้อนมาก เป็นภาพยนตร์ที่ดีและให้สาระตีแผ่ความเป็นแพทย์ออกมาน่าจะเอานิอร อิสรามาเล่นเป็นอุษา รึไม่ก็รัชนีกร พันมณีมาแสดงค่ะฉีกแนวกว่ากันเยอะเลย ตุ้ก ยานีก็ได้ค่ะ เบือ่หน้าแป้งอรจิราแล้วค่ะ คนที่แสดงเป็นหมอสุทีเขาเป็นใครคะ ทำงานอะไรคะเลือกได้เหมาะสมมาก


โดย: กอกล้วยสีฟ้า IP: 223.205.213.232 วันที่: 23 กันยายน 2555 เวลา:17:36:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

OncE UPoN'-'a MaN
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์

คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี
พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ
พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา
พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!)

ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว

ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ

once_upon.a.man@hotmail.com


My @ http://twitter.com/once_upon_a_man

ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่าน

ผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย

ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ

OncE UPoN'-'a MaN on Facebook
Blog ใหม่ล่าสด..สด
"VieTrio & Friends" ... เพื่อนร้อง พี่น้องเล่น เป็นเพลงเพราะเสนาะหู
"Lady Antebellum : Need You Now" ... ลูกทุ่งแบบมะกัน แต่สีสันระดับโลก
"The Social Network" ... วันนี้ คุณรู้จัก Facebook ดีพอแล้วหรือยัง?
"Harry Potter and the Deathly Hallows : Part I" ... ฉันต้องเปิด เพื่อจะปิด!
"Scrubb : Kid" ... คำตอบของเพลงอินดี้ที่ฟังง่าย อยู่ในอัลบั้มนี้แล้ว
"Due Date" ... รวมกันเราต้องอยู่ (กรุณา)อย่าทิ้งตูเป็นอันขาด!!?
"B.o.B. Presents: The Adventures of Bobby Ray" ... อาจเป็นฮิปฮอปหน้าใหม่ แต่ไม่ขอยึดติดความฮิป
"RED" ... โตอย่างสมวัย แก่อย่างมีคุณภาพ และจงระห่ำอย่างไม่เหลืออะไรจะเสีย!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... (หนังสั้น)แบบตัวเต็ม ที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็ยังมีความจริงใจ!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... กับตัวอย่างน้ำจิ้ม ของหนังสั้นที่คงจะมีอะไรๆอยู่ในนั้น
"อินทรีแดง" ... สมศักดิ์ศรีที่ได้กลับมา ..วีรบุรุษที่หนังไทยต้องการ!
"ชั่วฟ้าดินสลาย" ... เมื่อคำ “รัก” มีค่าเท่าคำว่า “ร้าย” คงทำลายคนทั้งหลายให้วายวอด
"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
"Lula : Twist" ... เพลงฟังชวนเพลิน จากคนเพลินๆ ที่ชื่อ 'ลุลา'
"Piranha 3D" ... กัดกระจุย เลือดกระจาย สามมิติกระเจิง!!!
"CHARICE" ... เพชรน้ำงามเม็ดเล็กแห่ง ‘เอเชีย’ ที่คู่ควรกับการเจียระไนโดย ‘อเมริกา’
"กวน มึน โฮ" ... ความรัก อาจแพ้บ้างอะไรบ้าง แต่ ความ ‘เห็นแก่ตัว’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง!
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
6 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add OncE UPoN'-'a MaN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.