A Christmas Carol ... ว่าด้วยเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของ โรเบิร์ต เซเมคคิส
ประกาศ...ประกาศ!! ผมมี Twitter เป็นของตัวเองแล้วนะครับ.. ใครสนใจจะ follow ผม ก็ขอชวน follow เข้ามากันที่.. //twitter.com/once_upon_a_man มีอะไรไวว่อง อยากจะบอก อยากจะพูด จะรีบมาอัพเดทที่ทวีตทันทีทันใดเลยนะครับ ..ขอขอบคุณที่รับผมเป็นเพื่อนครับ อดีต : นอกเหนือไปจากการเป็นที่รู้จักในนามของผู้กำกับหนังไตรภาคผจญภัยสุดอมตะอีกเรื่องหนึ่งในโลกภาพยนตร์อย่าง Back to the Future และได้ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต กับการที่ช่วยส่งให้เรื่องราวของยอดชายนายอัจฉริยะปัญญานิ่ม อย่าง Forrest Gump เข้าไปอยู่ในใจของคอหนังหลายๆคนแล้ว ..อีกอย่างที่ทำให้เราๆรู้จัก โรเบิร์ต เซเมคคิส ได้เป็นอย่างดี ก็คือ การที่เขาคือผู้กำกับที่บุกเบิกให้กำเนิดหนังแอนิเมชั่นแนวทางใหม่ขึ้นมา ..ที่ๆเราเรียกมันว่า Motion Capture Motion Capture (ที่ผมจะเรียกสั้นๆว่า Mo-Cap) คือ เทคนิคที่จับเอาคนเป็นๆ มีเลือดมีเนื้อมาสวมบทบาทเป็นตัวละครในอนิเมชั่น แบบที่ไม่ใช่การใช้แค่เสียงพากษ์เหมือนเคยๆ ..แต่ยังจะต้องเป็นคนออกแบบท่าทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือใบหน้าได้ด้วยตัวเองเลย โดยที่จะมีเซ็นเซอร์ติดตามตัว แล้วแสดงการประเมินผลออกมาทางคอมพิวเตอร์ จากการเริ่มต้นใน The Polar Express ..ที่ว่าด้วย การผจญภัยของเด็กชายคนหนึ่งที่มีความฝันอยากเจอซานต้าสักครั้งหนึ่งในชีวิต และนำพาให้เขาได้ขึ้นรถด่วนสายพิเศษ มุ่งสู่ขั้วโลกเหนือ ในคืนวันคริสต์มาส ...กับสิ่งที่ เซเมคคิส ได้ทำในครั้งแรกครั้งนี้ มันอาจจะดูน่าตื่นเต้น น่าสนใจ กันจริงๆอยู่หรอก แต่ถ้าถามว่าผมรู้สึกอย่างไรกับหนังเรื่องนี้ ...ผมกลับไม่ค่อยสนุกไปกับมันสักเท่าไหร่ เพราะถึงจะมีภาพที่สวยสด น่าหลงใหลอย่างใดก็ตาม ..แต่เนื้อเรื่องที่ดูไม่ใหม่ กับมุขเดิมๆแบบเด็กๆที่หนังมีมา ล้วนแต่ทำให้ผมรู้สึกเฉยชา ค่อนไปทางเบื่อซะมากกว่า ถ้าคิดว่าเป็นก้าวแรก ..The Polar Express ก็เป็นเหมือน การหัดเดิน ที่ทุลักทุเลเอาการ จนเมื่อก้าวต่อมา ได้ผลออกมาเป็น Beowulf ..ที่ว่าด้วย การผจญภัยของยอดนักรบคนหนึ่งที่เก่งกาจในทุกทาง และสามารถโค่นล้มเจ้าตัวมฤตยูที่น่ากลัวที่สุด ที่ผู้คนหวาดเกรงได้ลง ..คราวนี้ เขาทำมันออกมาได้อย่างไม่น่าผิดหวังในฝีมือ ยิ่งโดยเฉพาะกับการได้ดูมันบนจอ IMAX ใหญ่ยักษ์ และรวมที่ตัวหนังก็มาพร้อมกับการขายเทคนิค 3D ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเล่นกับคนดูอย่างสนุก อีกเรื่องหนึ่งแล้ว ...ผมก็เกิดความรู้สึกดีกับการทำหนัง โม-แคปของเขาขึ้นมาในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ฉะนั้น ก้าวที่สอง กับ Beowulf จึงต้องถือเป็นการเดินที่คล่องแคล่ว ว่องไว และทรงตัวได้ดี ..ทำให้ดูสมศักดิ์ศรีกับการเป็นผู้กำกับที่เคยได้ชื่อว่าเป็น จอมครีเอทเทคนิค อีกคนหนึ่ง ขึ้นมาหน่อย ปัจจุบัน : โรเบิร์ต เซเมคคิส ได้กลับมาอีกครั้ง กับหนังโม-แคป เรื่องใหม่ ที่คุณเขาแสนภูมิใจจะนำเสนอ ..โดยครั้งนี้ เขากลับมาเล่นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ วันคริสต์มาส อีกสักครา แต่ในครานี้ จะไม่มีซานต้า ไร้กวางเรนเดียร์ และหาไม่ที่จะจัดทริปไปเที่ยวขั้วโลกเหนือ ...หากว่ากันด้วย การผจญภัยของชายชราผู้หนึ่ง ที่มีนิสัยหยาบกร้าน ร้ายกาจ และเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด จนไม่น่ามีโอกาสให้ใครอยากคบหาสมาคมด้วยเลย ซึ่งการผจญภัยในครั้งนี้ มันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ..หากไม่มีความดำมืดดิ่งลงเหว คอยควบคุมจิตใจของเขาอยู่ และการผจญภัยครั้งนี้ ก็ยังว่าด้วยเรื่องของ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ..ที่มีเอาไว้สอนใจคน ให้รู้จักถึงความสำคัญของวันคริสต์มาส ในมุมดีๆ ที่ไม่ใช่แค่วันหยุดอีกวันหนึ่งในรอบปี(ของชาวคริสต์)เพียงเท่านั้นA Christmas Carol คือ หนึ่งในหนังสือสุดคลาสสิคของยอดนักเขียนวรรณกรรมเยาวชนอย่าง ชาร์ลส์ ดิคเค่น (ผู้ที่เคยมีผลงานอย่าง Oliver Twist ถูกนำมาสร้างเป็นหนังไปแล้ว) ...ซึ่งก็ด้วยความที่มันอมตะ อีกยังมีพร้อมไปด้วยเรื่องราวการสอนใจคนได้เป็นอย่างดีนี่แหละ ถึงได้ถูกใจ เซเมคคิส อย่างจัง ให้นำมาดัดแปลงเป็นหนัง ..ซึ่งถ้าให้ทำเป็นหนังคนจริงธรรมดาๆทั่วไป ก็คงจะดูไก่กากระมัง ..เขาถึงได้ลงเอยด้วยการใช้สิ่งที่เขาคิดว่าถนัดที่สุดอย่าง การทำโม-แคป มาทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างได้สมใจ ซึ่งก็ไม่ทราบว่า ด้วยความถนัดหรือว่า จะรู้สึกเบื่อหน่ายในหนังคนจริงแล้วหรือไร อย่างใดก็ตาม ..แต่ผมก็ไม่ยักกะยินดีเท่าไหร่นัก ที่ เซเมคคิส จะใช้วิธีนี้ ออกมาหากินอย่างซ้ำๆ แบบต่อติด ติดต่อกันไปเรื่อย เพราะถึงจะอาจยอมรับว่า เขาก็ทำหนังโม-แคป ออกมาได้มีคุณภาพอยู่ก็จริงหรอก ...แต่เมื่อมาคิดๆหวนรำลึกไปถึงเมื่อครั้งที่เขายังไม่รู้จักหนังแบบนี้แล้ว ผมก็ยังคงคิดถึง เซเมคคิส คนเดิมที่หลากหลาย เมื่อหลายๆปีก่อนมากกว่า คนปัจจุบันที่ดูจะฟุ้งเฟ้อกับการทำหนังแนวเดิมๆ เหมือนเรือที่วนเวียน เวียนวน อยู่ในอ่างกลมๆ ซึ่งไม่อาจไปไหนได้ไกลกว่าขอบอ่าง และก็ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมกำลังเบื่อๆอยู่นั้น มันได้ส่งผลกระทบกับหนังเรื่องใหม่ เรื่องนี้ ของเขาเอาอย่างมากซะด้วยสิ ซึ่งมันก็ไม่ใช่แค่เฉพาะความน่าเบื่อโดยจริตส่วนตัวเพียงเท่านั้น ..หาก A Christmas Carol ยังออกจะดูน่าเบื่อด้วยตัวของหนังมันเองเสียด้วย แม้ถ้าว่ากันที่ เรื่องภาพแล้ว ก็คงไม่เถียงเกี่ยงงอนใดๆเลย ว่ายังคงทำออกมาได้ลึก ดูสวย และบางสิ่งบางอย่างก็น่าเชื่อจนอยากเอื้อมมือเข้าไปจับมัน (ในที่นี้ หมายถึง บรรดาเม็ดหิมะ ที่ร่วงหล่นมา ..ดูสมจริง ประหนึ่งว่ามันมีการพ่นลงมาจากเพดานของโรงหนังเอง) ...แต่นั้นมันก็แค่สิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่ดึงให้ผมยังคงอยู่กับหนังได้ตามสมควร หากนอกเหนือจากนั้น ผมรู้สึกผิดหวังในผลงานชิ้นนี้ของ เซเมคคิส ซึ่งก็ไม่รู้ว่า ด้วยเจตนาอาจจะตั้งใจแสดงออกถึงความมืดหม่นทึบทึม ตามจิตใจของตัวละครเอก อย่าง สครูจ ด้วยหรือเปล่า กันยังไง ...แต่ผมไม่สบอารมณ์เลยที่ หนังแทบทั้งเรื่อง ดูมืด จนแทบจะมองอะไรๆต่อมิอะไรได้อย่างยากลำบากยิ่งๆ แล้วยิ่งเฉพาะถ้าหนังเน้นจะขายความเป็น 3D ในตัวของมันแล้ว หากแต่ภาพในหนัง ยังต้องใช้ตาเพ่งและเล็งอย่างหนักหน่วงไปด้วย ..ผมก็คงทำได้แต่จะรู้สึกเวียนหัว ชวนสมองตื๊อ ออกจากโรงอย่างตื้บๆ มากไปกว่าจะได้สนุกกับการทะลุทะลวงจอของสิ่งต่างๆในหนัง (แต่ยังมีบางห้วงก็แอบคิดในแง่ดีกับตัวหนังเองนิดๆ ..พาลโทษว่าเป็นที่โรงหนัง มันใส่ความสว่างให้เราไม่พอ หรือเปล่า ..ถ้าเป็นอย่างหลัง ก็อาจพออภัยได้หน่อย) แล้วยิ่งถ้าจะมาคิดหาเอาความประทับใจใดๆ ในตัวเรื่องราวเอง กลับบ้านไปด้วยแล้ว ..ก็ขอบอกได้ว่า อาจแบกความผิดหวังกลับบ้านไปเต็มๆเช่นกัน เพราะบทหนังของ A Christmas Carol ดูจะเต็มไปด้วยความเรียบเรื่อยเอื่อยๆในครึ่งแรก และฟุ่มเฟือยกันสุดๆในครึ่งหลัง ..อีกให้หาความลงตัวของอารมณ์ชวนให้อิน ไม่เจอเลยจริงๆ ซึ่งถ้าถามว่า หนังเรื่องนี้ จะดูเอาคติสอนใจ แล้วเอาอะไรให้เรากลับมานึกคิดถึงตัวเองได้บ้างมั้ย? ..ก็ไม่อาจเถียงได้ว่า มันมี ...หากแต่กระนั้นก็ต้องขอบคุณยิ่งๆไปยังผู้ประพันธ์เรื่องราวนี้ เมื่อครั้งยังเป็นหนังสือ กันซะมากกว่า เพราะเมื่อมามองตามหนังเดินเรื่อง กับการสร้างอารมณ์ร่วมแล้ว ..A Christmas Carol ยังดูออกจะแห้งแล้งในความอิ่มเอม แถมเปี่ยมล้นไปด้วยน้ำที่ไม่จำเป็น ...ซึ่งมิหนำซ้ำ หากลองเอามาเทียบกับหนังคริสต์มาสของผู้กำกับเจ้าเดียวกันแล้ว The Polar Express ก็ยังดูจะมีเนื้อมีหนังมากกว่ากันเสียอีก (แต่ต่างก็สรุปว่า เซเมคคิส ไม่เกิดกับหนังคริสต์มาสเลยจริงๆ) ฉะนั้นแล้ว คงไม่ต้องถามมาว่า จิม แคร์รี่ ทำหน้าที่(เป็นตัวขาย)ของเขาได้ดีหรือเปล่า? ..ถึงต่อให้เจ้าตัวจะแสดงออกอย่างบ้าบอได้ตามความถนัด ก็ว่ากันไป แต่ความรู้สึกเข้าใจในหัวอกของตัวละคร ตาเฒ่าตัวร้าย สครูจ มันไม่มีอยู่ในหัว หรือใจของผมเลยแม้แต่น้อย (เป็นอีกครั้งที่ จิม แปลงร่างแล้วแป้ก! ..หลังจาก The Grinch และ อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย )สรุปแล้ว A Christmas Carol จึงเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่น่าผิดหวัง มากกว่าจะน่าสนุก หรือน่าซาบซึ้งตรึงจิตอย่างที่ตัวพลอต มันน่าจะทำให้เป็นไปได้ ..แล้วถ้าหมายรวมกับ โม-แคป ของ เซเมคคิส ด้วยกันแล้ว ...เรื่องนี้ ขอจัดว่ามีคุณภาพ(น้อย) อยู่ท้ายสุด เกรด B- ... { }อนาคต : ดูเหมือนว่า โรเบิร์ต เซเมคคิส จะยังไม่จบไม่สิ้นกับความถนัดของเขา ..เพราะผลงานชิ้นใหม่ต่อไปที่จะมีตามมา ก็คือ หนังโม-แคป ที่เอาหนังการ์ตูน สองมิติ มารีเมค และเรื่องที่โดนแจ๊คพอตนั้น ก็คือ Yellow Submarine ...ผลงานแสนสุดภูมิใจเสนอของ สี่เต่าทอง นักร้อง(วง)ที่เคยดังบันลือโลกอย่างสุดกู่ นาม The Beetles ลองคิดดูสิ ถ้าเราจะได้เห็น จอห์น เลนนอน ขึ้นมามีชีวิตบนจอได้อีกครั้งหนึ่ง มันจะน่าตื่นเต้นสักแค่ไหนเชียว แต่สำหรับผม บอกได้เลยว่า ไม่! ..และถ้าอ้อนวอนอะไรได้สักข้อกับตัวของเซเมคคิสเอง ผมก็จะขอแค่ให้เขากลับมาเป็น เซเมคคิส คนเก่า ผู้ที่ทำให้ผมได้พบรักกับ Forrest Gump ..ที่ยังเป็นหนังอันดับหนึ่งในดวงใจของผมเรื่อยมา และคงไม่สามารถมีใครมาแทนได้ตลอดไป ไม่ได้ขอให้เลิกทำ โม-แคป ...แต่ขอให้กลับมาทำหนังคนเป็นๆ แบบคุณภาพสุดๆ อีกสักครั้ง จะได้ไหม?ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date : 13 ธันวาคม 2552
Last Update : 13 ธันวาคม 2552 4:05:32 น.
2 comments
Counter : 4303 Pageviews.
โดย: POGGHI วันที่: 13 ธันวาคม 2552 เวลา:23:15:47 น.
โดย: Butterzz IP: 49.229.118.26 วันที่: 9 กรกฎาคม 2561 เวลา:17:18:14 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
เรื่องนี้ พี่ชอบงานภาพนะ เพราะได้ดู IMAX ด้วยมั้ง
แต่เห็นด้วยเรื่องภาพรวม
ดูจบแล้วจบเลยจริงๆ ไม่อินไปกับอะไรมากมาย
แต่เห็นเด็กๆในรอบที่ไปดูชอบกันจัง
เอ๊ะ ... หรือเราจะแก่ไปแล้ว - -"
..