ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ {The Best of 2009} : "10 ฉากในหนัง" ...ที่สุดแห่งความประทับใจของผม คือ... ?
ขอสวัสดีปีใหม่ 2553
และยินดีต้อนรับ ทุกๆท่านเข้าสู่การสรุปทุกความรู้สึกของผม OncE UPoN'-'a MaN ที่มีต่อเรื่องราวของภาพยนตร์ ใน 365 รอบวันที่ผ่านมา ในปี 2552 ที่เพิ่งพ้นไป ...กับ "ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์" {The Best of 2009} นะครับ... {The Best of 2009} ที่ผ่านพ้นมาแล้ว.. ขอชวนย้อนกลับไปอ่านกันได้ โดยคลิกที่แบนเนอร์ข้างล่างนี้เลยครับผม ได้เวลากลับมาลุยกันต่อกับ อีกหนึ่งสาขาที่ผมถือว่า แม้มันจะไม่ใช่หนังทั้งเรื่อง แต่มันก็จัดว่าสำคัญได้ ก็คือ ช่วงเวลาหนึ่งๆที่เกิดขึ้นในหนัง หรือที่เราเรียกตามความเข้าใจแบบชาวบ้านๆว่า ฉาก นั่นเองThe Best of Scene ฉาก ที่เป็นที่สุดแห่งความประทับใจ และ 10 ฉากที่ได้รับการคัดเลือกมาในปีนี้ว่า มีความสำคัญ อีกทั้งยัง น่าจดจำที่สุด ก็ประกอบไปด้วย...++++++++++++++++++ อันดับที่ 10 ++++++++++++++++++ นี่คือ ฉากขอแต่งงานที่น่าจดจำที่สุดของปีนี้ ในบรรดาภาพยนตร์ที่ผมได้ดูในปีนี้ (แต่กระนั้น ถ้าถามถึงละคร ก็ขอส่วนตัวสักนิด ด้วยการสรรเสริญให้กับ การขอแกมบังคับให้มาแต่งงานของ คุณอลิน แห่ง สูตรเสน่หา ที่ทำให้ผมต้องหัวเราะทั้งน้ำตา ) ...ถึงมันจะเป็นฉากที่อาจไม่ได้แปลกใหม่อะไรหรอก ในแง่ของรูปแบบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อมันมาประกอบร่วมกันกับ ต้นไม้ สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ยืนยงที่สุดของหนังเรื่องนี้ด้วยแล้ว ..ทุกอย่างมันก็เลยลงตัวอย่างเป๊ะๆ และส่งอารมณ์ความซาบซึ้งไปถึงจุดพีค ของคนที่อยากจะมีความรักแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง ผมเคยคิดว่า ถ้าจะขอแต่งงานกับใครสักคน ..สถานที่ๆผมจะขอเธอแต่งงานนั้น มันต้องเป็นที่ๆเดียวกันกับ ความทรงจำของคนสองคน ต่างก็ต้องเห็นมันด้วยความงดงามที่สุดเหมือนๆกัน ...ซึ่งก็คือ แนวความคิดเดียวกันกับที่เกิดในหนัง ขณะที่คนหนึ่งอาจจะมองมันว่าคือ ที่ๆทำให้เขาเกิดผูกพันกับการร่วมชะตาชีวิตต่อสู้อันหวานอมขมกลืนกันมาหลายปี ..อีกคนก็มองว่ามันคือ ที่ๆทำให้เธอได้รู้ถึงรสชาติว่า ชีวิตของเธอนับแต่นาทีนั้น จะขาดหวานไม่ได้อีกต่อไป ปกติกับตัวเอง กินชมพู่ ก็ว่าหวาน แต่ไม่ชื่นใจอะไรนักหรอก... แต่แปล้ก แปลกที่งานนี้ เห็นคนอื่นกิน แล้วบอกว่าหวาน แต่มันเต็มตื้นไปด้วยความปิติ จนทำให้ใจตูมตาม โครมคราม พาลอยากจะทะลุจอเข้าไปชิมด้วยคน ฉากที่ว่านี้ ปรากฏใน ความจำสั้น แต่รักฉันยาว ฉาก... ขอแต่งงานของลุงจำรัส และป้าสมพิศ ++++++++++++++++++ อันดับที่ 9 ++++++++++++++++++ นอกเหนือจากฉากข้างบน ที่จัดอยู่ใน Category ของหนังรักอย่างถูกต้องแล้ว ..อีกหนึ่งฉากโรแมนติกที่หลุดเข้ามาช่วงชิงอันดับในดวงใจของปีนี้จากผม ก็ยังต้องรวมถึงฉากเล็กๆ มาแบบนิดๆหน่อยๆ ในหนังที่ไม่เชิงว่าจะโรแมนติกนัก ..แต่ยักกะแอบมีมุมดูดดื่ม(จ๊วบ จ๊วบ)กับเขาด้วย ซึ่งแม้ว่า ฉากนี้ เหมือนจะไม่มีผลอะไรต่อการเดินของเนื้อเรื่องมากนัก ..แต่ผมก็รู้สึกประทับใจกับมันเป็นพิเศษ ตรงที่ ได้รู้ว่า นี่คือผลงานการกำกับครั้งแรกของผู้กำกับหน้าใหม่ แต่เคยเป็นนักแสดงหน้าเก่าที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ผมว่าเธอกำกับฉากเลิฟซีน ฉากนี้ ได้ด้วยความลงตัวกำลังดีไปเสียทุกอย่าง ..ไม่ว่าจะแง่ของมุมกล้อง การเคลื่อนไหวของภาพ เพลงประกอบ รวมไปถึงการแสดงของสองนักแสดงที่เหมือนจะตกหลุมรักกันจริงๆ จึงทำให้ฉากธรรมดาๆฉากนี้ ดูสวยงามในความรู้สึกมากมาย ...วัดในฐานะครั้งแรกของผู้กำกับ ดูแค่ฉากนี้ฉากเดียว ก็จัดให้ สอบผ่าน ด้วยคะแนนสูงลิ่วทีเดียวเชียว และอีกอย่าง ผมไม่เคยเห็นเลิฟซีน ที่เกิดขึ้นใต้น้ำ ฉากไหน (ไม่ว่าจะหนังหรือละคร) ..ทำให้ผมรู้สึกเคลิ้มอยากจะพุ่งตัวลงน้ำ ไปทำแบบนี้กับเขาบ้าง อย่างที่หนังเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกได้ ฉากที่ว่านี้ ปรากฏใน Whip It ฉาก... จูบใต้น้ำ ++++++++++++++++++ อันดับที่ 8 ++++++++++++++++++ นี่ ก็อีกหนึ่งฉากที่มีความหมายเป็นองค์ประกอบเล็กๆในหนัง ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องโดยรวม ..ซึ่งถ้าตัดมันออกไปก็ไม่มีผลต่อหนังมากนัก ...แต่เมื่อมันได้ถูกใส่เข้ามาแล้ว มันกลับดูมีประโยชน์ต่อหนังขึ้นมาด้วย ผมชอบฉากนี้มากๆ ในแง่ของการเป็นกิมมิคสำคัญของหนัง ที่ได้ถูกเน้นย้ำในหลายครั้งหลายหน ไม่ว่าจะในฉากสำคัญ หรือฉากประกอบ ..แต่การทำให้เห็นภาพอย่างชัดเจน มีทุกอย่างที่สอดคล้อง แล้วทำให้เราเกิดอินไปตามมันได้อย่างไหลลื่น ผมมองว่า มีฉากนี้ฉากเดียวที่มีประสิทธิภาพ จะพูดถึงเรื่องของ เวลา แล้วดูเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจ อย่างที่หนังต้องการ ความสัมพันธ์ของสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง เหตุปัจจัยทำให้เกิดอันหนึ่ง ต่อเนื่องไปเกิดเรื่องอื่นๆที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยว แต่เมื่อทุกอย่างมันได้สอดคล้องกันลงล็อคในส่วนของเวลาแบบเป๊ะๆ ..สิ่งที่ไม่น่าเกิด มันก็ได้เกิดในจุดจบ ...แล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึก ทึ่ง กับเรื่องของเวลา ได้ในจุดๆนี้ มันทำให้ผมได้ลองมานึกถึงชีวิตของตัวเอง กับหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ที่มันเกิดขึ้นได้เพราะความสอดคล้องอย่างต่อเนื่องของเหตุการณ์ ...ก็ไม่แน่หรอกที่โลกนี้ มันอาจไม่มีความโชคดี หรือบังเอิญซวย หากทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้ เพราะ เวลา มันคงบังคับ ให้ต้องมี ฉากที่ว่านี้ ปรากฏใน The Curious Case of Benjamin Button ฉาก... เวลา กับความบังเอิญ ++++++++++++++++++ อันดับที่ 7 ++++++++++++++++++ ขอพื้นที่ให้หนังรักอีกสักอันดับหนึ่งเหอะ ..ซึ่งก็ชวนให้รู้สึกแปลกใจกับตัวเองเหมือนกัน ที่ทำไมปีนี้สัดส่วนอะไรที่เกี่ยวกับความรัก มีเข้ามาครองหัวใจของผมได้อย่างเพียบเลย (หรือว่า ผมในเวลานี้ จะอยู่ในโลกสีชมพู มากเกินไป ) แต่กระนั้นอันดับที่จะว่าต่อไปนี้ ..นี่ก็คือ ฉากจากหนังรักที่จี๊ดใจผมมากที่สุดแห่งปี 2009 ...และมันก็ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะทำอย่างนี้ กับคนที่ผมรักให้ได้ด้วย ถ้าหากว่า การถือป้าย บอกรักหน้าประตูบ้าน (จาก Love Actually ) จะคือหนึ่งในความฝัน ที่ผมเคยอยากทำในชีวิตจริง ..เพียงแต่สุดท้าย ก็ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะผมได้บอกรักด้วยวีธีการเทเลโฟนไปเสียแทน (อีกอย่าง ในตอนนั้น ..ไม่รู้จักบ้านสาวเจ้าเขาสักหน่อย 55+) ตอนนี้ ก็คงจะเหลือแต่วิธีนี้กระมัง ที่ผมจะทำอะไรให้กับคนที่ผมรักได้ ...คือ การทำให้เขารำลึกถึงความหลังของเรา ด้วยข้าวของที่เคยเป็นสิ่งผูกสัมพันธ์ของคนสองคน ให้ได้มารู้จัก เกิดความสนิทสนม และจบลงด้วยการตกหลุมรักซึ่งกันและกัน ถึงต่อให้เอาเข้าจริงสาวเจ้าเข้าจะรู้แกว (เพราะดูหนังเรื่องนี้เข้าให้แล้ว) แต่ผมก็เชื่อว่า ถ้าผมได้ทำจริงๆ มันคงจะเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์ สำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่เพียรพยายามจะโรแมนติกให้ได้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ไหวจะหวานหยาดเยิ้มได้สักที (ใครที่อ่านถึงจุดนี้ แล้วอยากวิ่งเข้าส้วม ขอสำรอก ก็เชิญตามสบาย ..แต่ผมในเวลานี้ คงกำลังอยู่ในโลกสีชมพู อย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้วจริงๆ ) ฉากที่ว่านี้ ปรากฏใน รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ฉาก... เหมยลี่ เปิดกล่อง ++++++++++++++++++ อันดับที่ 6 ++++++++++++++++++ นี่คือ ฉากบู๊เพียงฉากเดียวจริงๆ ที่หลุดมาอยู่ในความทรงจำของผม ประจำปีนี้ได้ด้วย ..เพราะมันคือฉากที่ทำให้ผมรู้สึกได้กลับมา อึ้ง ทึ่ง และลุ้น ไปกับมัน เฉกเช่นอารมณ์เดียวกันกับตอนที่ผมเคยตื่นเต้นไปกับการต่อสู้ในอวกาศ สุดโลดโผน ของ Star Wars ในเวลานี้ ถ้าไม่ใช่สองหน่อ ฮอลลีวู้ดคารวะอย่าง จอร์จ ลูคัส หรือว่า สตีเว่น สปีลเบิร์ก ..ผมก็นึกถึงใครที่จะกำกับฉากยิ่งใหญ่ อลังการ สุดลูกหูลูกตา แต่เต็มล้นในความสนุก เอาได้มันส์ถึงพระเดชพระคุณไม่ออกอีกแล้ว นอกไปเสียจากอีกหนึ่งนายที่ได้ชื่อ(เรียกตัวเอง)ว่า King of the World อย่าง เจมส์ คาเมรอน การจะทำให้ฉากแอ๊คชั่น ที่ดูเหมือนจะไม่เหลือมุขใหม่อะไรให้ได้เล่นเปลี่ยนไปในท่าแปลก อีกต่อไป (หลังจาก ไตรภาค The Matrix เล่นไปไม่เหลือหลอ!) ..ให้กลายเป็น หนึ่งในฉากที่น่าจดจำไปตลอดกาล ในเวลานี้ ย่อมคือสิ่งที่ยากเย็นในขั้นสูงสุด ...แต่กระนั้น ก็ไม่มีอะไรยากเกินไป สำหรับ บุรุษผู้เป็นตำนานคนหนึ่ง ที่เคยหายตัวไปนานนับ 12 ปี ..แต่เมื่อได้กลับมาทั้งที เขาก็ฝากผลงานขั้นเทพประดับบารมีได้อีกหนึ่งหน แม้เอาเข้าจริง ในหนังเรื่องเดียวกันนี้ จะมีอีกมากมายหลากหลายฉากที่น่าให้พูดถึง และปลาบปลื้ม (เช่น เวลาตกกลางคืน ที่เราจะพบเห็น ความสวยงาม อันวิจิตร ตะลึงงัน ประหนึ่งเราถูกดูดไปอยู่ตรงนั้นด้วย) ..แต่ในแง่ส่วนตัว ผมรัก ฉากแอ๊คชั่น ในหนังเรื่องนี้มากกว่า เพราะมันได้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับไปตอนเป็น เด็ก ที่ดูอะไรอย่างนี้ โดยไร้ซึ่งตรรกะ และเหตุผลจะนำพาให้เชื่อ ได้อีกครั้ง ..ซึ่งถ้าคิดในแง่ปัจจุบัน กับการดูหนังแอ๊คชั่นที่ผ่านๆมา มันยากมากที่จะทำให้ผมอยากแอ๊บ เหมือนตอนที่ดูหนังจำพวกการ์ตูนได้! ฉากที่ว่านี้ ปรากฏใน Avatar ฉาก... สู้รบ นาวีและคน ++++++++++++++++++ อันดับที่ 5 ++++++++++++++++++ โดยปกติแล้ว ฉากจบที่ดีเยี่ยม ..มันมักจะต้องมีองค์ประกอบของความสุดยอด ในหลายสิ่งหลายอย่าง หลอมรวมเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อจะส่งคนดูให้ออกจากโรงด้วยความรู้สึกที่ปิติ ยินดี เศร้าสลด หัวเราะ เป็นบ้าเป็นบอ ฯลฯ ดังเป็นอย่างที่หนังเรื่องนั้นต้องการเสนอขายให้คนดูเข้าใจไปกับสิ่งที่ต้องการสื่อ ...แต่กระนั้น ถ้าเป็นหนังที่สร้างขึ้นมาเพื่อต้องการจะสะท้อนอะไรบางอย่างในสังคม ที่เกิดขึ้นจริงๆบ้างล่ะ ..หนังเรื่องนั้น ควรจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้คนดูรู้สึก จุก แน่น อ่วม และที่สำคัญ คือการ สะกิดต่อมบางอย่างที่ซ่อนเร้นเอาไว้ได้ เพื่อให้เราลองทำความเข้าใจในสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้น ตัวอย่างหนึ่ง ของหนังจำพวกเช่นนี้ ที่ผมกำลังจะยกขึ้นมากล่าวอ้างในที่นี้ มันคือ หนังที่ได้ถูกทำขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่คล้ายคลึงกับ เรียลลิตี้ สารคดี ตามติดชีวิต อาจารย์ และเด็กนักเรียนในโรงเรียนของผู้คนชนชั้นกลางแห่งหนึ่งใน ฝรั่งเศส ..แต่เอาเข้าจริง นี่ก็คือ หนังที่มีการเขียนบท กำหนดสคริปต์ และเพียรพยายามจะสร้างสถานการณ์ทุกอย่าง เพื่อยั่วล้อกับความเป็นจริงของ การศึกษา ในประเทศที่ได้ชื่อว่า คือหนึ่งในผู้นำอันดับต้นๆของโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือกำลังพัฒนา ที่ไหนๆบนโลกก็ตาม ...ทุกๆที่ ล้วนแต่มีปัญหาเกี่ยวกับ การศึกษา ซ่อนเร้นอยู่ในทุกระบบระเบียบที่ล้อมรวมเป็น โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือจะที่อื่นใด ...แต่ปัญหาที่แท้จริง คือว่า มีใครคิดจะแก้ไขให้มันลงตัวบ้างหรือเปล่า? ..นี่คือ คำถามที่หลายคนกำลังสงสัย และใคร่หาคำตอบที่ถูกต้อง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องตรากตรำทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้เรียน หรือเอากระทั่งเด็กๆ ที่อาจไม่รู้ประสีประสาอะไรมาก แต่ก็คงรู้สึกฉงนอยู่ไม่น้อย ว่า การศึกษา คืออะไรกันแน่? นี่คือ คำถามที่มีเด็กผู้หญิงท่าทางเงียบๆคนหนึ่ง ซึ่งแทบจะไม่มีโอกาสพูดจาอะไรกับใครเลย เป็นคนตั้งประเด็นขึ้นมา ..ย่อมไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า คนที่เราแทบจะมองไม่เห็น หรือมองข้ามมาตลอดหนังทั้งเรื่องนี้ กลับเป็นคนที่กล้าคิด และกล้าจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ในขณะที่คนอื่นมีโอกาสอยู่มากมาย (แถมยังกล้า บ้า ระห่ำเกินควร) แต่ไม่เคยคิดฉวย จะตอกหน้าใครๆเอาเสียเลย ...และนี่แหละ คือ วิธีการจบที่อาจหาญ และสามารถสะท้อนอะไรในบางอย่างได้อย่างที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะทำ เพื่อให้เราได้คิด ...เพราะจากที่ผู้ใหญ่บางคน เคยคิดแต่ว่า เด็กมันจะไปกล้าอาราย เอาแค่นั่งอ่านหนังสือ เข้าเรียนงกๆ ไปวันๆ มันก็จบแล้ว ..หลังจากดูหนังเรื่องนี้แล้ว ขอให้กลับไปคิดดูใหม่ และจงเชื่อว่า เด็กสมัยนี้ เขาแร๊งงงงงง กว่ารุ่นคุณๆหลายเท่าตัว ผมขอคอนเฟิร์ม! ฉากที่ว่านี้ ปรากฏใน The Class ฉาก... ฉากจบ ++++++++++++++++++ อันดับที่ 4 ++++++++++++++++++ ถ้าถามหา ฉากที่ช่างสร้างสรรค์ กล้าคิด กล้าทำ กล้าแหวก อย่างถึงที่สุดในปี 2009 นี้แล้ว ..ฉากเดียวที่ผมจะขอยกย่อง ให้ได้รับเกียรตินี้ไป ก็คือ ฉากที่จะจัดอยู่ในอันดับที่ 4 ซึ่งแม้ว่า หนังเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ มันจะยังมีฉากเด็ดๆ พยายามครีเอทอย่างล้ำลึก ถูกนำออกฉายให้เราเห็นอยู่มากมาย หลายอารมณ์ ผสมในความยั่วล้อกับสังคมที่เสื่อมทรามได้อย่างลงตัว ...แต่เมื่อต้องคิดหาตัวตายตัวแทนแล้ว ก็เหลือเพียงฉากนี้ ฉากเดียวจริงๆ ที่สมควรจะถูกจัดเข้ามานั่งในดวงใจของผมแบบไม่ต้องพยายาม ที่เป็นเช่นนั้น มันก็คงจะเป็นเพราะ ..ผมยังรู้สึกไม่เคยจะได้เห็นหนังเรื่องไหน ที่สามารถเล่าเรื่องความเป็นมาระหว่างคาบเวลาอันนานหลายปีดีดัก อย่างสั้นๆ ด้วยขนาดกะทัดรัด และสมควรแก่การจะรู้ ภายในช่วงเวลาที่แสดงเครดิตทีมงานของหนัง ไม่เกิน 7-8 นาที ...แล้วมันยังเด็ดสุดๆ ก็ตรงที่ หนังแทบจะไม่มีเสียงพากย์ของใครๆมาเบียดบัง แต่เลือกจะใช้เพลง The Times They Are A-Changin' ของ บ๊อบ ดีแลน พูดแทนทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างเหมาะเจาะ แต่ที่สุดของที่สุดของความเด็ดได้อีก ผมต้องขอคารวะให้กับความกล้า จะดัดแปลง(เรียกว่า บิดเบือน เลยก็ยังได้)เหตุการณ์ความเป็นจริงหลายๆอย่าง ที่มันถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ ..ให้กลายเป็นประวัติศาสตร์บทใหม่ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อสอดรับกับสิ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะเป็น คือ การตีแสกหน้า(ให้เลือดอาบ) อเมริกา ..ประเทศที่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็น วีรบุรุษที่โลกต้องคารวะ ..ถึงจุดนี้ บอกได้แค่ว่า แหวะ! และ เหวอะ! ฉากที่ว่านี้ ปรากฏใน Watchmen ฉาก... เครดิตต้นเรื่อง ++++++++++++++++++ อันดับที่ 3 ++++++++++++++++++ อีกหนึ่งฉากจากหนังไทยที่ปีนี้หลุดเข้ามาช่วงชิงที่นั่งได้ถึงตั้ง 3 เรื่อง ...เรื่องสุดท้ายที่เราจะพูดถึง คือ หนังดรามา ที่มาพร้อมบรรยากาศลึกลับอย่างสุดกู่ โดยเรื่องราวแล้ว หนังได้พูดถึง ความสัมพันธ์ของคนสามคน ที่ต่างก็มีราคะ มีตัณหา มีความต้องการในความรักตามใจที่หวังไว้ ..แต่กระนั้น พวกเขาต่างก็ต้องเข้ามาข้องเกี่ยวกับสิ่งลึกลับ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในป่าลึก ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ว่า มันมีอยู่จริง หรือเป็นเพียงแค่จิตใจที่ฟุ้งซ่านไปเอง ถึงกระนั้น ฉากที่ผมหยิบมาพูดถึงนี้ มันไม่ได้มีความข้องเกี่ยวกับบุคคลที่เป็นตัวเอก(และเป็นคน)ของหนังเรื่องนี้หรอก... แต่เหมือนมันต้องการจะพูดถึง ความลึกลับของสิ่งที่จะทำให้เราต้องคิดค้นหาความจริงไปพร้อมกับหนังทั้งเรื่อง สาเหตุที่ฉากนี้ เป็นที่น่าจดจำสำหรับผม.. ก็คงเป็นเพราะผม เป็นโรคแพ้เทคนิค Long Take ..แล้วยิ่งนี่ดันเป็นลองเทคในหนังไทย ที่ไม่ค่อยจะมีให้เห็นด้วยแล้ว (หลังจากล่าสุด ก็มีใน ต้มยำกุ้ง) ...แต่ถึงอย่างไร ผมก็ไม่ได้ตาค้างเพียงเพราะความชอบที่มีต่อเทคนิคนี้เท่านั้นหรอก หากวัดที่ความรู้สึกจริงๆ ผมมองว่า นี่คือ ผลงานโชว์ออฟที่สอดประสานกันได้อย่างสวยงามระหว่าง ผู้กำกับหนัง กับ ช่างกล้อง ...แม้กล้องจะเลื่อนไปเอื่อยๆ เนิบๆ แต่ทุกภาพที่จับลงไปในกล้องนั้น มันช่างแสนดูเลิศเลอ หากแฝงเร้นความไม่น่าไว้วางใจอยู่ในที ..ซึ่งนี่ก็คือ การปูบรรยากาศของหนัง ณ จุดเริ่มต้น ที่บอกได้คำเดียวว่า เทพ ฉากที่ว่านี้ ปรากฏใน นางไม้ ฉาก... ลองเทคเปิดเรื่อง ++++++++++++++++++ อันดับที่ 2 ++++++++++++++++++ ความจริงแล้ว ผมก็ได้ปลาบปลื้มกับหลายๆฉากนับเป็นสิบๆ ในหนังเรื่องนี้ จนตอนแรกๆก็ยังรู้สึกตัดสินใจไม่ถูกหรอก ว่าจะยกฉากไหนเข้ามาเป็นตัวตายตัวแทนให้กัน ...แต่เมื่อได้ลองมาคิดใคร่ครวญถึงตัวหนังทั้งเรื่องแล้ว ก็จะพบว่า ฉากที่จะพูดถึงนี่แหละ ที่เห็นแก่ความสมควรจะได้รับหน้าที่อันทรงเกียรตินั้นไป ฉากนี้ คือ ฉากแรกของหนังเรื่องนี้ ..ที่ถือเป็นการเปิดตัว ของตัวละครสมทบตัวหนึ่ง ซึ่งจะมีบทบาทความสำคัญไม่แพ้กับคนที่ถูกเรียกว่า ดารานำ (มิหนำซ้ำ หากจะเรียกว่า ชนะ ..ก็อาจใช่ด้วยล่ะนั่น) เพราะอะไรนะหรือ? ..ก็คิดดูละกัน ถ้าหนังทั้งเรื่อง ย้ำ! ทั้งเรื่อง จะต้องอบอวลไปด้วยบรรยากาศความกดดัน ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำมือของตัวละครที่ถูกเรียกว่า สมทบ แล้ว ...ต่อให้ฉากไหน จะไม่มีตัวตนของเขาอยู่ในจอ เราก็จะยังรู้สึกคิดถึงอีตานี่อยู่ตลอดเวลา ...คิดดูละกัน ว่าเขาสำคัญขนาดไหน ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองดูสิว่า ...ฉากแรก ฉากนี้ ที่เขาปรากฏตัว เขาจะทำให้คุณอกสั่นขวัญกระเจิงได้หรือเปล่า ...แล้วถ้าเขาทำให้คุณรู้สึกอย่างนั้นได้ ก็เตรียมตัวเตรียมใจ โดนเขาหลอกหลอนมันไปทั้งเรื่องเลยเถอะ ...แถมมันจะทำให้คุณไม่แปลกใจ ว่าเพราะอะไร ทำไมอีตานี่ ถึงได้มาแร๊งงง บนเวทีประกาศรางวัลปีนี้ เป็นนัก ฉากที่ว่านี้ ปรากฏใน Inglourious Basterds ฉาก... เปิดตัว ผู้การลันดา และแล้วก็นับถอยหลัง มาจนถึง....++++++++++++++++++ อันดับที่ 1 ++++++++++++++++++ อันดับที่สูงที่สุดของปีนี้ ...ผู้ได้รับโอกาสนั้น คือ หนังการ์ตูนอนิเมชั่น ครับ พูดแค่นั้น หลายคนคงเดาได้เลยว่าผมกำลังจะพูดถึงหนังเรื่องไหน เพราะจะมีสักกี่เรื่องเชียว ที่ได้รับคำสรรเสริญที่ประเสริฐเลิศเลอ ได้เท่ากับที่หนังเรื่องนี้ ได้รับอย่างท่วมท้นในปีที่ผ่านมาเสียอีกล่ะ ซึ่งฉากที่ผมยกให้ติดตรึงตราใจมากที่สุดของปีนี้ ..คือ ฉากที่ใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึง 10 นาที ในการเล่าเรื่อง โดยไม่มีการใช้เสียงพูดของตัวละครใดมาอ้างอิง ...นี่คือ ฉากที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ของตัวละครสองตัว ที่เกิดขึ้นแต่ครั้งยังเยาว์วัย กับความฝันที่ต่างมีความต้องการเหมือนๆกัน เมื่อทั้งสองได้เติบใหญ่ขึ้นมาเป็นคู่รุ่นหนุ่มสาว ที่ปักใจหลงรักกันและกัน จนตั้งตนเป็นสามีภรรยา ...พวกเขาก็ยังพยายามที่จะสานฝันที่มีร่วมกันอย่างไม่ย่อท้อ เพราะเชื่อว่า สักวันมันจะต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน ..แต่เอาเข้าจริง แล้วอะไรๆมันก็ไม่แน่นอน ใครได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว หลายๆคนคงคิดเหมือนผม ..ทั้งในแง่คิดที่หนังต้องการพูดถึงเรื่องราวของชีวิตคนเรา หรือจะเป็นในแง่ของตัวหนัง ที่สามารถใช้เวลาเพียงชั่วไม่นาน สามารถสร้างความผูกพันให้กับเราได้อย่างรวดเร็ว ..ไม่ว่าจะเป็นคนที่ยังอยู่ หรือคนที่จากไป พวกเขาใช้ช่วงเวลา แค่สั้นๆ ทำให้พวกเราตกหลุมรักพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ..จนสุดท้าย ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่า นี่คือ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ ทั้งสำหรับคนที่อยู่ในจอ และคนที่อยู่นอกจอ (ซึ่งนั่งหลั่งน้ำตาไหลปริบๆ ไปอีกเพียบ) แต่ส่วนตัวผม มันย่อมไม่ได้เป็นเฉพาะในหนังเรื่องที่ว่านี้เท่านั้น ..แต่มันยังจะเป็นฉากที่ดีที่สุด ที่ควรค่าแก่การจดจำมากที่สุด ในบรรดาหนังโรงทั้งหมด ที่ผมได้ดูมาในปีนี้ เลยทีเดียว ฉากที่ว่านี้ ปรากฏใน Up ฉาก... ความรักของ คาร์ล และ เอลลี่ แล้วทั้งหมดทั้งมวล เหล่านี้ ...ก็คือ บทสรุปความยอดเยี่ยมแห่งปี ของสาขา ฉากในหนังที่สุดแห่งความประทับใจ ของผมแล้วของคุณล่ะครับ ฉากไหนที่ติดตา ตรึงใจ เสียงของคำพูดยังก้องอยู่ในหูของคุณ ตลอดปี 2008 ที่ผ่านมา มาจนถึงวันนี้ ...อยากจะรู้ว่าคุณและผม คิดเหมือนกันหรือเปล่า ? แล้วพบกันอีกที อีกไม่กี่อึดใจ กับ {The Best of 2009} ในสาขาที่ใหญ่ที่สุด ที่ผมรอคอยจะบอกใจจะขาด กับ .."10 หนังโรง ที่สุดแห่งความประทับใจ" ครับผม ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 2:45:06 น.
5 comments
Counter : 3188 Pageviews.
โดย: ละอองลม (wind_drizzle ) วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:9:02:39 น.
โดย: คุณเชย IP: 58.147.122.149 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:9:38:59 น.
โดย: บิ๊ก IP: 114.128.199.47 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:47:34 น.
โดย: ไอซ์คุง (ปีศาจความฝัน ) วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:59:22 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28
จขบ.ขยันรีวิวมากๆเลย