"Always 2 : Sunset on Third Street" ... ความสุขยังไม่สิ้นสุด กับภาคต่อของหนังญี่ปุ่นที่ผมรักที่สุด
ติดตามอ่านรีวิวของภาคแรก คลิกที่นี่... "Always : Sunset on Third Street" ... ความสุขทางใจ หาได้จากหนังเรื่องนี้ ยังจำได้ไหม... เมื่อ 2 ปีก่อน เคยมีหนังญี่ปุ่นอยู่เรื่องหนึ่ง เข้ามาแอบฮิตอยู่เงียบๆ ในบ้านเรา และเคยกลายเป็นที่พูดถึงของผู้คนในแวดวงหนังเล็ก ซึ่งแม้จะถูกฉายจำกัดโรง แต่เสียงวิจารณ์อันดีที่ดังลั่นก็มีเข้ามาอย่างท่วมท้น ถ้าคุณยังจำได้ว่า หนังเรื่องนั้นคือ "Always : Sunset on Third Street" ...ในปีนี้ ชาวบ้านบนถนนสายที่ 3 แห่งกรุงโตเกียวจะกลับคืนจออีกครั้ง กับเรื่องราวในภาคสอง ...ที่สานต่อความหวังอันสวยงามจากภาคแรก มาสู่การดำเนินชีวิตที่ยังไม่อาจสิ้นสุดลงได้ ของพวกเขาเหล่าตัวละครที่เรายังรักและผูกพัน แม้ส่วนตัวจะยังรู้สึกว่า ตัวหนังในภาคแรกนั้น สามารถหาจุดจบเรื่องราวทุกอย่างได้ลงตัว สร้างความน่าประทับใจจนเปี่ยมล้น อิ่มเอมในอารมณ์ไปแล้ว ...แต่การถือกำเนิดเดินตามออกมาของภาคสอง ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องที่น่าปฏิเสธกันซะทีเดียว เพราะถ้ามองในส่วนเรื่องราวของภาคแรกที่จบลงไปโดยมีปลายเปิดอยู่หน่อยๆนั้น ก็ถือเป็นจุดเล็กจุดน้อย ที่ก่อความค้างคาในใจอยู่นิดๆ โดยเฉพาะกับเรื่องราวความรักของหนุ่มนักเขียน และสาวร้านเหล้า ที่ยังไม่เชิงสมหวัง เหมือนกะจะให้เราสรุปกันเองในจินตนาการ ...ถึงผมก็ชอบที่หนังจะให้คิดอย่างนั้น แต่การมีเรื่องราวต่อจากนั้น ก็เป็นสิทธิ์ที่จะทำให้แน่ใจในตอนจบของคนคู่นี้ โดยแท้จริง ถึงจะยังมีข้อแม้ที่แน่ใจได้อยู่อย่างว่า อยากตามรอยความสำเร็จอย่างเดิมๆ ...แต่ในความรู้สึกของคนรักหนังเรื่องนี้ไปแล้ว ก็ย่อมไม่อาจมีคำโต้แย้งใดๆ จะเอามาตัดพ้อทีมผู้สร้างในความพยายามอีกหนึ่งหนนี้Always 2 ...เล่าความหลังจากภาคแรก ในเวลาอีก 4 เดือนให้หลัง กับช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นกำลังพยายามพลิกฟื้นตัวหลังจากพ่ายสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ฝ่ายสัมพันธมิตร (ซึ่งมีมหาอำนาจอเมริกันเป็นผู้นำ) ...แม้ตัวประเทศเองจะยังบอบช้ำอย่างหนักหนา ยากต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงทางใจ แต่สำหรับผู้คนประชาชนกลุ่มที่เล็กลงมา ทางเบื้องบนก็ไม่อาจจะห้ามไม่ให้พวกเขามีความสุขกันเองได้ โดยเฉพาะกับ ชาวบ้านบนถนนสายที่ 3 แห่งกรุงโตเกียว ที่ไม่เคยอยากเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องราวอันเจ็บสาหัสของสังคมโดยรวม ...พวกเขากลับเลือกจะมีชีวิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข จากสิ่งที่มีเพียงพอ อย่างพอดี และใส่ใจในเรื่องของสังคมเพื่อนบ้าน ที่ยังคงผูกมิตรสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น ปรองดอง อยู่ร่วมด้วยรักและสามัคคี ไม่เสื่อมคลาย แม้กระทั่งในช่วงวันเวลาที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังอยู่ในภาวะเสื่อมถอยก็ตามที"ครอบครัวซูซุกิ" ...ยังคงตั้งหน้าตั้งตา เปิดร้านซ่อมรถต่อไป อย่างไม่คิดทะเยอทะยาน ..แม้ตัวผู้นำครอบครัวจะยังคงใฝ่ฝัน ว่าอยากเห็นร้านของเขาก้าวหน้าเป็นบริษัทอันใหญ่โตบิ๊กเบื้ม (และมีน้ำโหอย่างบ้าคลั่งทุกๆที ที่มีคนดูถูกบริษัทซ่อมรถของเขา) แต่สิ่งที่เขามีอยู่กับมูลค่าที่ไม่มากมายในวันนี้ ก็พอดีแล้ว สำหรับครอบครัวเล็กๆ ที่ต้องการเพียงให้ พ่อ แม่ ลูก อยู่พร้อมหน้ากันตลอดไป"โรขุจัง" ...ยังคงอยู่อาศัยกับครอบครัวซูซุกิ และพึงพอใจในหน้าที่เลขาของท่านประธาน ที่ต้องยอมเหนื่อยทำทุกอย่าง แม้กระทั่งลงมือซ่อมรถ ที่ไม่ใช่งานผู้หญิงก็ตามที"ฮิโรมิ" ...หลังจากจำใจต้องจากลาผู้ชายที่เธอรัก พร้อมกับแหวนที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าไป ..ชีวิตในหน้าที่การงานของอดีตสาวเจ้าของร้านเหล้า ก็รุ่งเรืองในทางแสงสีวงการคาบาเรต์ กลายเป็นสาวเต้น ที่ถึงจะมีคนหมายปองมากมาย แต่ใจดวงเดิมก็ยังคงภักดีต่อหนุ่มนักเขียนที่ไม่เอาไหนคนนั้นไม่เปลี่ยนแปลง "ริวโนะสุเกะ-จุนโนะสุเกะ" ...จากที่เคยไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ในเวลานี้ความสัมพันธ์ของน้า-หลานโดยจำเป็น ก็เปลี่ยนเป็นความรักอันถาวร ที่ชายนักเขียนพร้อมจะทุ่มเทดูแลเด็กน้อยต่างสายเลือด เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้พ่อตัวจริงได้เห็นว่า คนจนๆอย่างเขาก็มีเรี่ยวแรงกำลังจะใส่ใจลูกคนรวยได้เหมือนกัน ในความสัมพันธ์ของพวกเขาเหล่านี้ ยังคงเป็นเหมือนเช่นวันวานเมื่อถึงฉากจบจากภาคแรก ที่แต่ละคนต่างก็ลงเอยด้วยดีโดยมีความเข้าใจมอบให้แก่กันและกัน ...เรื่องของปัญหาในการอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามายึดมั่นถือมั่นอีกแล้วในวันนี้ สังคมของพวกเขาที่โยงใย กลายมาเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวเหนียวแน่น ที่อาจยากจะมีอะไรมาทลายให้แตกหัก แต่ในเมื่อน้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน... ความเข้มข้นของหนังภาคสอง จึงได้เปลี่ยนหัวข้อมาว่าถึงเรื่อง การโดนสิ่งเร้าภายนอก มากระตุ้นให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง...ต่อให้ฉับพลัน หรือจะเชื่องช้า ผลลัพธ์ของมันก็ต้องการเพื่อให้ระดับความสัมพันธ์ของผู้คนลดน้อยถอยร่นลงไปเรื่อย ด้วยข้ออ้างจากสงครามที่เพิ่งสงบ แต่เศรษฐกิจกำลังดุเดือดในทางลบ ...พ่อของจุนโนะสุเกะ ได้นำเรื่องปัจจัยทางการเงินมากล่าวข่มเพื่อหวังให้ ริวโนะสุเกะ มีสติและคืนลูกตัวเองกลับมาให้เขาได้ดูแลเอง ...เพราะเขาคิดเชื่อไปเองว่า นักเขียนไส้แห้งอย่าง ริวโนะสุเกะ คงไม่มีปัญญาส่งเสียให้ จุนโนะสุเกะ ได้เรียนดีๆ อย่างลูกคนมีตังค์คนอื่นเขาแน่ เมื่อภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายกำลังเข้าสู่จุดเจ๊งถึงที่สุด พร้อมกับมีบริษัทห้างร้านต่างๆมากมายพากันพังล่ม ...ญาติของซูซุกิซึ่งหวังจะหาที่พึ่งอันมั่นคง จากคนที่ยังยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง จึงจำเป็นจะต้องฝากฝังปล่อยให้ครอบครัวซูซุกิช่วยดูแลลูกสาวคนเดียวของเขาแทน ในช่วงเวลาสักพักหนึ่ง ...และด้วยความที่เป็นคนหัวดื้อ หัวสูง ด้วยฐานะที่เคยมีอันจะกินแต่ก่อนเก่า ก็ทำให้หลานสาว(จำเป็น)ของนายและนางซูซุกิ ตั้งต้นเป็นศัตรูกับลูกคนจนอย่าง "อิปเป" แต่แรกพบ จากปัญหาอันมีผู้คนจำนวนมากกำลังตกงาน เนื่องด้วยพิษเศรษฐกิจที่ล้มเหลวเป็นทอดๆนั้น ...เพื่อนชายคนบ้านเดียวกันของโรขุจัง ที่ใสซื่อ มีฝันจะเป็นกุ๊ก(พ่อครัว)ใหญ่ ก็โดนสิ่งชั่วร้ายยั่วยุ ให้เขาต้องมาทำงานด้านมืด และเป็นหนึ่งในเบื้องหลังที่หลอกลวงให้เหล่าชาวบ้านที่มีความหวังดี อยากกระทำการบางอย่างเพื่อเป็นกำลังใจให้ ริวโนะสุเกะ ต้องพานพบความผิดหวังในท้ายที่สุด เพียงเพราะน้ำคำของหญิงสาวเพื่อนร่วมงาน ซึ่งมีมุมมองความรักในแง่ลบต่อผู้ชายที่มีศักดิ์เป็นนักเขียนอันเป็นอาชีพพึงมีฐานะ(ในยุคสมัยนั้น) ...ส่งผลให้ใจของ ฮิโรมิ ต้องเรรวนต่อ ริวโนะสุเกะ ที่ถึงจะมีข้อแม้แตกต่างที่ยังเป็นคนจนในวันนี้ แต่หากเมื่อเขาร่ำรวยเมื่อไหร่ ก็อาจจะทิ้งเธอผู้ต่ำต้อยไปเพื่อเจอคนที่ดีกว่าเธอก็ย่อมได้ เมื่อเรื่องราวของ Always 2 มาพร้อมกับปัญหามากมายที่จำต้องคาราคาซังเพราะปัจจัยของสังคมภายนอกนำพา ...แล้ว สังคมภายในของชาวบ้านบนถนนสายที่ 3 แห่งนี้ จะกระทำกันด้วยวิธีเช่นไร เพียงเพื่อจะให้พวกเขาทั้งหมดเดินหน้าไปสู่จุดจบที่เปี่ยมล้นด้วยความสุขอันสวยงามอีกครั้งหนึ่ง ...นี่คือ เรื่องของความเข้มข้นที่คอหนังภาคแรก ต้องมาดูและสัมผัสด้วยตัวเอง ...ถึงอาจจะเดาได้ไม่ยาก แต่มันคือ ความน่าติดตาม ที่ยั่วยวนให้พวกเราทุกคนจำเป็นต้องกลับมายิ้มทั้งน้ำตาอีกหนหนึ่งโดยพร้อมเพรียง จากเอกลักษณ์ดั้งเดิม ของความเป็นหนังดรามาปนคอมเมดี้อิ่มอุ่น ที่เคยทำให้ใครหลายต่อหลายคนยังจำภาคแรกได้แม่น ...กับการโฟกัสถึงความสัมพันธ์ของผู้คนในละแวกบ้านเดียวกัน แล้วจับจดลงลึกไปยังรายละเอียดของตัวละครแต่ละตัวที่ต่างก็มีเรื่องมีราวที่ต้องเผชิญหน้ากับตัวเอง ...มาในภาคที่สองนี้ แนวทางอันเป็นเอกลักษณ์ก็ยังกลับมาคงเดิม พร้อมกันกับตัวละครจากภาคก่อน ที่ถูกตามมาร่วมบทบาทอย่างครบครัน ไม่ขาดหาย หรือเปลี่ยนแปลงหน้าตา ...อีกทั้งก็มีคนใหม่เข้ามา เพิ่มกลุ่มกำลังของทีมที่แข็งปั๋ง ให้แน่นเนื้อในมนต์เสน่ห์ได้อีกถ้าภาคแรกว่า เคยประทับใจกับ บรรดาการแสดงของทีมนักแสดง Always ชุดนี้ อย่างเต็มรัก ...ในภาคนี้ ก็ไม่มีใครที่ทำให้ผิดหวัง และพวกเขาก็ยังพร้อมที่จะทำให้เรารักในคาแรกเตอร์เหล่านี้ได้อยู่เหมือนเคย แต่ถ้ามาถามว่าภาคสองนี้ ทำดีกว่าหรือเทียบเท่าภาคที่แล้วได้หรือไม่นั้น ก็สามารถที่จะบอกกันตามตรงไปเลยว่า 'ไม่'ถึงแม้ว่าเรื่องราวในภาคสองยังคงจะมีรสชาติเดิมๆอย่างครบถ้วน เท่าที่ภาคแรกเคยมีไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป (จะเปลี่ยนสักหน่อยก็ตรงสัดส่วนของความเป็นดรามา ที่เข้มข้นกว่าคอมเมดี้อย่างชัดเจน) ...แต่ด้วยความที่ภาคแรกเอง ก็เคยปรุงรสส่วนประกอบเหล่านั้นได้อย่างเข้มข้น ลงตัว และเต็มที่เต็มตัวไปแล้ว จึงยากมากที่ความประทับใจในระดับเพดานซึ่งตั้งไว้สูงมาก จะมาถูกทำลายลงได้เพียงเพราะหนังเดินด้วยกรรมวิธีเดิมถ้วนๆเช่นนี้ ...มันดูเป็นมุขที่เก่าซึ่งยังใช้ได้ผลก็จริงอยู่ แต่เรื่องของความเก๋าคงมิอาจเข้มข้นได้เท่า และในเมื่อภาคแรกก็ได้ชื่อว่าเป็น หนังคลาสสิค ไปแล้ว ...ต่อให้พยายามเข็นภาคต่อ แล้วเล่าเรื่องแบบนี้ ใช้มุขแบบนี้ พ่วงนักแสดงคนเก่า มาพร้อมผู้กำกับคนเดิม ก็มิอาจจะทำให้รู้สึกเต็มอิ่มได้สุดๆ เท่าต้นฉบับที่ขึ้นหิ้ง ที่ผมพูดนั้นไม่ได้หมายความรวมๆว่า หนังภาคต่อ ไม่มีทางจะทำเยี่ยมกว่าหรือดีเทียบเท่าตัวหนังภาคก่อนๆได้ เรื่องนี้มันยังเป็นไปได้ (ตัวอย่างที่แตกต่างอย่างเด่นชัดในใจผม อาทิ The Bourne Ultimatum , The Lord of the Rings 3) ...แต่สำหรับกรณีของ Always ผมต้องพูดอย่างใจร้าย ไม่ถึอว่าอยู่ในแนวนั้น แต่ถ้ามาถามว่า คนที่ดูภาคแรกมาก่อน แล้วยังคงประทับใจเปี่ยมล้นกับความหลังครั้งนั้นอยู่ จะมีโอกาสชอบภาคนี้ไปด้วยหรือไม่ ก็พูดได้เลยแม่นๆว่า 'แน่นอน' เพราะถ้าไม่เกี่ยงว่า นี่คือหนังภาคต่ออีกเรื่องหนึ่งแล้ว ...ความรู้สึกอันหวานอมขมกลืน ละเมียดใจ ที่หนังเมโลดรามาคละเคล้าความตลก เรื่องหนึ่งพึงมี ใน Always 2 ก็ให้คนดูได้อย่างเต็มอิ่ม ไม่ว่าจะในช่วงเวลาที่ชื่นมื่นขำขันพ่วงไปกับรอยยิ้ม หรือเสียงหัวเราะบางๆ จนกระทั่งในฉากเศร้าๆที่บทจะพยายามคั้นอารมณ์กันสุดฤทธิ์ ก็ไม่ฝืนใจที่จะปล่อยน้ำในตาให้เกิดอาการปริ่มๆ ไปจนถึงทะล้นทะลัก เมื่อหนังจี้จุดอ่อนในใจได้ถูกจุด ...โดยถ้าไม่ลองเอาไปเปรียบเชิงกับความคลาสสิคของภาคก่อนแล้ว หนังเรื่องนี้ก็ละเลียดอารมณ์เราได้ดีเยี่ยม ทั้งในส่วนที่เป็นงานกำกับ งานแสดง หรือว่างานโปรดักชั่น ...ส่วนตัวบทหนังที่ยังคงใช้สไตล์ง่ายๆเรียบๆ เดินเรื่องไปตรงๆ พร้อมจบลงด้วยสูตรสำเร็จนั้น ก็ยังคงใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ ถึงอาจจะยังมีอะไรในบางจุดที่เขียนอธิบายออกมาไม่ได้ดีเลิศเลอ แต่ในความเรียบที่ตั้งใจนั้น มันก็เกิดเสน่ห์ที่ยึดคนดูเอาไว้กับสิ่งที่เกิดขึ้นบนจอได้เหนียวแน่น ซึ่งคงต้องขอบคุณให้กับ งานกำกับ งานแสดง กระทั่งงานโปรดักชั่น อีกเช่นกันที่ช่วยรองรับ เสริมส่งตัวพลอตเรื่องราว ไว้ได้เต็มกำลัง ความเต็มกำลังในที่นี้ มันอาจจะไม่ได้มาพร้อมกับฉากไฮไลท์ใดที่ทำประทับจิต ซาบซึ้งตรึงใจเท่า 'แหวนที่มองไม่เห็น' ในภาคแรก ...แต่ถึงกระนั้นแล้ว ตลอดเวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ ที่ผ่านพ้น ก็ยังให้ความรู้สึกที่คุ้มค่า ว่าเราได้ย้อนกลับมาพบเจอ และได้มาเห็นความเป็นไปในชีวิตของเพื่อนสนิทมิตรเก่าที่ต่อให้เขาหรือเธอจะเจอดีหรือเจอร้าย เรื่องเหล่านั้นก็ทำให้เราเกิดอารมณ์ร่วม ทั้งเฮและซึ้งไปพร้อมๆกับพวกเขา ...ยิ่งเมื่อหนังเดินทางมาสู่บทสรุปในตอนท้ายแล้ว ความหวังที่เคยสวยงามแต่หนก่อน(ภาคแรก) ก็ให้ผลลัพธ์ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความสุขทั้งน้ำตา และภาพดีๆเหล่านั้น ก็ช่วยเติมความประทับใจให้ผมรู้สึกแนบแน่นผูกพันกับหนังชุดนี้มากเข้าไปอีก ...ถึงมันจะเป็นความประทับใจเล็กๆ บวกกับมูลค่าอันเล็กน้อยในความรู้สึกชอบก็ตาม แต่มันก็สำคัญที่ทำให้ Always 2 เป็นหนังญี่ปุ่นอีกเรื่องที่ถึงในเรื่องคุณภาพ และสามารถจะทำให้เงินของเรามีค่าและคุ้ม ที่ได้สูญเสียมันไปกับการดูหนังคราวนี้ เรื่องราวแอบแฝงใน Always : Sunset on Third Street ภาคสองนี้ ...ถึงจะมีนัยต้องการบอกเล่าให้เราได้เห็นภาพถึง การยังมีอะไรบางอย่างที่สำคัญและมีคุณค่ามากไปกว่าเงินตราอันสิ้นเปลืองก็จริง ...แต่กับการเสียเงินสัก 100 บาท แล้วจะทำให้เราได้มาเห็นสิ่งสำคัญที่หนังเรื่องนี้มีและต้องการจะให้อะไรแก่เราเหล่าคนดู ก็คงจะถือเป็นกรณีพิเศษที่ต้องยอมอย่างเต็มใจ สิ้นเปลืองมันหมดไปให้สักเรื่องหนึ่ง"Always 2 : Sunset on Third Street" ... สำหรับใครที่เคยได้ดูภาคแรกมาก่อน คงอาจจะต้องทำใจกันสักนิดที่มันจะไม่ยอดเยี่ยมอะไรนักในความทรงจำ แต่กับคนที่เป็นแฟนของหนังแล้วยังรักกันจริง ก็ขอบอกชัดๆว่า ห้ามพลาดเป็นยิ่งๆ ...ส่วนกับคนที่อาจจะยังไม่เคยดู ก็ยังถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกหนังดี ที่ชวนให้พิจารณา (แต่ถ้าได้ลองไปดูกันจริงๆ ก็คงไม่พ้นที่จะมึนๆในเรื่องความรู้จักและความสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครกันเป็นแน่) สุดท้ายถ้าเกิดติดใจ ก็ควรค่อยกลับมาตามเก็บภาคแรกดูอีกที ...แล้วคุณจะรู้ว่า ทำไม Always ภาคแรก ถึงเป็นหนังญี่ปุ่นอันดับ 1 ในดวงใจของใครๆหลายคน รวมทั้งผมอีกคนหนึ่ง ขอแนะนำ ...ฉายที่ "Apex สยามสแควร์" และ "House R.C.A." ครับเกรด A- ... { }"สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนังได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน" ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 07 เมษายน 2551
Last Update : 7 เมษายน 2551 1:19:08 น.
7 comments
Counter : 5730 Pageviews.
โดย: Yasmin วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:0:42:38 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.231.11 วันที่: 10 เมษายน 2551 เวลา:3:34:18 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:17:52:00 น.
โดย: NoTime2Fill IP: 124.121.50.168 วันที่: 7 ตุลาคม 2551 เวลา:19:37:42 น.
โดย: Guzz IP: 125.24.69.79 วันที่: 22 สิงหาคม 2553 เวลา:14:07:32 น.
โดย: มิวสิต IP: 171.97.77.63 วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:19:43:40 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30
อาทิตย์ที่แล้ว เพื่อนคนหนึ่งจะชวนไปดูเรื่องนี้ให้ได้เลย แต่ตัวเองยังไม่ได้ดูภาค 1 กลัวจะต่อไม่ติด..
แล้วมาวันนี้ คุยกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง เค้าบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในใจเค้าเลยเชียวล่ะค่ะ เค้าบอกว่า "มีวันพรุ่งนี้ให้เราหวังเสมอ"...ไม่เข้าใจอ่ะค่ะ