"28 Weeks Later" ... 28 วันแรก ยังยิ้มได้ , 28 อาทิตย์ถัดมา ฆ่าฉันๆให้ตายดีกว่า!!!
เท่าที่ผมเคยดูหนังสยองเรื่องของซอมบี้มา ไม่ยักเคยมีเรื่องไหนทำให้รู้สึกติดใจได้เท่า "28 Days Later" เลย ...เพราะถึงต่อให้หนังเรื่องอื่นๆนั้นจะดูสนุก มีอะไรให้ลุ้นมันส์กว่ากันเยอะสักแค่ไหน ก็สู้กับความดิบที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครของ หนัง "แดนนี่ บอยล์" เรื่องนั้นได้เลย
ดิบในที่นี้ ไม่ได้มีแค่ ความซาดิสม์ โรคจิต รุนแรง (แบบที่หนังสยองปัจจุบันเขาชอบพอกัน) แต่มันยังดิบในส่วนของเรื่องราวที่เหมือนจะเขียนแต่งขึ้นมา เพื่อวิพากษ์สังคมของคนในยุคปัจจุบัน ที่ฟอนเฟะ เละเทะ เปรอะเน่า เอาซะจนความเป็นคนแทบจะหมดไปจากจิตใต้สำนึกใครต่อใครหลายคนแล้ว
"28 Days Later" ... สร้างตัวละครเอกขี้นมาหนึ่งตัว โดยกำหนดให้เขาคือผู้โชคดีที่ตื่นขึ้นมา(จากการหลับใหลและอาการป่วย)พบว่า ในเมืองลอนดอนอันคึกคักคราคร่ำไปด้วยสีสันนั้น กลับกลายสภาพไปเป็นเมืองร้าง ที่ร้างผู้คน แทบไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'คน' เดินสับสนอลหม่านกันอยู่เลย ...ตัวละครเอกผู้นี้ เขาไม่รู้เลยว่า ที่เขาเหลือตัวอยู่คนเดียวนั้น เป็นเพราะความโชคดีที่เขาไม่ได้รับการเลือกจากเชื้อโรคอันตรายที่แพร่กระจายติดต่อไปยังคนสู่คน ซึ่งความเลวร้ายของมันนั้นได้เปลี่ยนคนหนึ่งคน ให้กลายเป็น 'ซอมบี้' ศพเดินดินอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ในเรื่องราวของภาคแรก หนังกำหนดสถานการณ์ให้พระเอกเที่ยวตะลอนตามหาความเป็นไปของความว่างเปล่าที่อยู่รอบกายเขา ...ระหว่างทางเขาได้ประสบพบเจอกับตัวละครประกอบ ผู้ซึ่งเป็นคนแท้ๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้คนที่ยังต้องอาศัยปากกัดตีนถีบ พยายามดิ้นรนเพื่อหลีกหนีความอันตรายของเชื้อโรค ...ในหมู่คนที่พระเอกเจอ มันก็มีทั้งคนดีๆที่ให้ความช่วยเหลืออย่างไม่ผลตอบแทน และคนชั่วๆที่จ้องจะเห็นแก่ตัวเหนือยิ่งสิ่งอื่นใด
เมื่อคนดูได้พบและรู้จักกับตัวละครกลุ่มหลังแล้ว ก็พาลให้เกิดรู้ไปด้วยเลยว่า จุดจบของ 28 Days นั้นจะเป็นเช่นไร ...ไม่ผิดจากที่คาดว่า คนชั่ว จะต้องนำพาความวิบัติมาสู่ชีวิตของพระเอก ในท้ายที่สุด
สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด คือ ความฟอนเฟะ เละเทะ เปรอะเน่า ที่หนังภาคแรกต้องการนำเสนอ ต้องการสะท้อนบอกกับคนดูว่า "จิตใจคนนั้นยากแท้หยึ่งลึกถึงความบริสุทธิ์ได้" ...ตัวละครผู้ร้ายของเรื่อง คือ คนที่มองเปลือกนอกแล้วจะเห็นว่าเขาทำแต่สิ่งดีๆชวนให้น่าไว้วางใจ แต่ความเป็นจริงข้างในกลับเคลือบแฝงไปด้วยความอำมหิตผิดมนุษย์มนา ที่ยอมชั่วเพื่อจะให้ตัวเองได้อยู่รอดเท่านั้นเอง
แม้ทว่าบทสรุปของ 28 Days ดูจะจบลงอย่างบริบูรณ์ครบความกันไปล่วงแล้ว แต่เรื่องราวที่ว่าด้วยการเอาตัวรอด มันยังไม่หมดง่ายๆเพียงแค่นั้นอย่างแน่แท้ ขณะตราบใดที่ เชื้อโรคร้าย ยังไม่ตายหายไปจากโลก(กันง่ายๆ)
"28 Weeks Later" ... ภาคที่สองของหนังซอมบี้ที่ได้รับการขนานนามขึ้นหิ้งคลาสสิคไปอีกเรื่องแล้ว ว่าด้วยเรื่องราวที่ต่อเติมเสริมแต่งจากความเดิมตอนที่แล้ว ซึ่งกลุ่มทหารอเมริกัน ได้(ทำงานหน้าที่ ผู้ปกป้องโลก ที่พี่ท่านถนัดนัก)เข้ามาช่วยต่อต้านทำลายล้างเหล่าผู้คนที่ติดเชื้อ และหาทางป้องกันไม่ให้ตัวเชื้อได้ย่างกรายไปติดใครได้อีก ...ในเวลาอีก 28 สัปดาห์ต่อมา ที่ดูเหมือนว่าอะไรต่อมิอะไรจะคืนสภาพกลับมาปกติอีกครั้ง ได้สร้างความมั่นใจให้ผู้คนที่จากบ้านไปเพื่อหนีภัย ต่างก็อยากคืนกลับสู่มาตุภูมิกันเสียที
ในหนังภาคใหม่นี้ ไม่ได้มี "แดนนี่ บอยล์" กลับมาช่วยสานต่อความดิบที่เราคุ้นเคย (เขาแค่ช่วยเป็นโปรดิวเซอร์แค่นั้นเอง) เขาเลือกที่จะส่งไม้ต่อให้ผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรงสูง "ฮวน คาร์ลอส เฟรสนาดิลโล่" เข้ามาปฏิบัติหน้าที่การงานแทน ...ซึ่งก่อนหน้าที่ เฟรสนาดิลโล่ จะได้มารับไม้ของแดนนี่นั้น เขาก็เคยได้ทำหนังทริลเลอร์ที่มีชื่อเสียงใช่ย่อย อย่าง "Intacto" เป็นใบเบิกทางมาก่อนแล้ว
เฟรสนาดิลโล่ ได้ทำ 28 Weeks ให้มีโทนเรื่องออกมาไม่แตกต่างไปจากคราวก่อนเลย (เรื่องก่อนว่าด้วยเรื่องของ การเอาตัวรอดอย่างไร มาในภาคนี้ก็ยังเล่นมุขเดิมอยู่อย่างงั้น) เพียงแต่ทว่าในภาคสองนี้ เขากลับเลือกวิธีการนำเสนอที่แตกต่างออกไปจากครั้งก่อนอย่างลิบลับ ...จุดประสงค์ที่ เฟรสนาดิลโล่ มีต่อหนังภาคนี้ ก็คือ การทำมันออกมาให้ดูสนุก ลุ้น ตื่นเต้น มากไปกว่า การเน้นเรื่องของอารมณ์ และความกดดันอันมาจากเรื่องราวและบรรยากาศ เป็นอย่างที่ภาคแรกได้ทำเอาไว้ ...แม้ว่าการยกเครื่องใหม่ของ 28 Weeks เหมือนจะดูจงใจให้กลายเป็นหนังเอาใจตลาดโต้งๆกันแต่แรก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใดๆ ที่จะทำให้คนดู(หนังแนวๆ) พาลต้องฉุนในอารมณ์ไปกับการแปลงพันธุกรรมที่พลิกล็อคเช่นนี้
เฟรสนาดิลโล่ ยังคงสภาพความดิบในแบบฉบับหนัง 28 ได้อย่างครบถ้วนกระบวนความ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ...ความแตกต่างที่มีขึ้นมาในภาคนี้ ไม่ได้มีผลทำให้ความหนักแน่นแบบฉบับหนังภาคก่อนถูกลดทอนออกไป แถมรังแต่จะทำให้เรื่องราวของหนังมีความน่าสนใจ อยากติดตามมากขึ้นไปอีกซะด้วยซ้ำ ...ขณะส่วนที่เป็นอารมณ์ดรามา ก็ยังคงใส่เข้ามาได้อย่างเต็มที่ ในช่องว่างระหว่างฉากลุ้นระทึกที่ยัดทะนานเข้ามาเอาไว้แล้วเต็มเปี่ยม และเรื่องของสาระก็ไม่ได้ขาดหายตกหล่นไปอย่างใด มันกลืนเข้าไปในฉากต่างๆอย่างแนบเนียน เพียงถ้าเราไม่คิดอะไร เราก็จะพลาดมองข้ามการวิพากษ์อย่างเจ็บแสบที่แอบซ่อนเอาไว้ให้คนดูโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ฉากแอ๊คชั่นที่ประเคนใส่เข้ามาแบบนันสต๊อป พร้อมด้วยสถานการณ์ระทึกที่เหล่าตัวละครสำคัญต่างต้องได้รับความกดดันที่ถาโถม คือ ไฮไลท์ที่ถูกวางเอาไว้เป็นจุดๆ อย่างถี่ๆ ให้มันเป็นชนวนของการเดินเรื่องใน 28 ภาคนี้ ...เฟรสนาดิลโล่ เลือกที่จะจุดชนวนระเบิดความมันส์ซะทุกตัวโดยไม่เกรงใจจะให้คนดูได้พักผ่อนหย่อนอารมณ์ลุ้นกันบ้างเลย ...ความโหดเหี้ยม ที่เปี่ยมไปด้วยความรุนแรง อันมีมากขึ้นในคราวนี้ น่าจะตอบโจทย์ความต้องการสนุกจากความคาดหวังที่มีอยู่ของคนที่ปลาบปลื้มความสยองชวนหลอนกันอย่างอยู่หมัด ...นี่ยังไม่รวมไปถึง งานทางด้านภาพอันเหวี่ยงไหว ฉับไว พ่วงไปกับการสร้างบรรยากาศ ความเงียบงันของลอนดอน ที่ยังทำได้เยี่ยม อยู่ใน quality ซึ่ง 28 ภาคที่แล้วเคยเป็นมา บวกอีกกับ งานเพลงที่ใช้เครื่องดนตรีหนักๆ มาบรรเลงเป็นเพลงร็อคที่ให้ความรู้สึกหดหู่ และอ้างว้างได้ดีมาก พาให้คนดูได้อารมณ์ซึมและซับความหลอนที่หนังยินดียัดไว้ให้อย่างสุดจะกลืน
การแสดงของทีมดารา ก็นับว่า ดีเยี่ยมพอกันหมดทุกคน ทั้งเหล่าคนหน้าเคยคุ้นอย่าง โรเบิร์ต คาร์ไลล์ (แค่ฉากเปิดตัวของหนังเพียงฉากเดียวก็ยากจะลืมเลือนความเป็นอังกฤษยอดฝีมือของเขาได้ลง) , โรส เบิร์น (รัศมีความสวยเด่นชัดแผ่ประกายทุกคราวที่แม่ทหารหญิงผู้นี้อยู่บนจอ ผมไม่อาจละสายตาไปมองอย่างอื่นที่ไม่ใช่หน้าเธอได้เลย) และสองนักแสดงหน้าใหม่ ผู้สวมบทเป็นสองพี่น้อง (เธอและเขาแสดงออกมาด้วยความผูกพัน จนคนดูเชื่อในความรักที่พี่และน้องมีให้กันและกัน)
ช่วงเวลาดีๆ ที่ 28 Weeks Later มี นั้นนับได้อยู่หลายช่วง แต่ถ้าเลือกเอาเฉพาะช่วงที่ดีที่สุดแล้ว ผมต้องยกให้ 15 นาทีแรก กับ ความสุดยอดของการเป็นฉากหนีตายที่เมคขึ้นมาได้น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างหนังซอมบี้กันเลยทีเดียว ...และผมก็ได้ยกฉากที่ว่านี้ เป็นหนึ่งในสุดยอดฉากแห่งปีของผมไปแล้ว
อันนี้ จะโม้หรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ ยังไง ผมให้คำพูดชัดๆไม่ได้ นอกเหนือไปจากนิยามที่จะบ่งบอกความสุดยอดของฉากนั้นได้ดีที่สุด ..."ซึ่งมันเหมือนว่าคุณโดนมัดตราสังข์อย่างแน่นหนา อยากจะขยับเขยื้อนเนื้อตัวก็ทำไม่ได้ ต้องดิ้นรนทนหลอนกับมันด้วยความทรมาน"
"28 Weeks Later" ... นี่คือ หนังภาคต่อที่ดียิ่งไปกว่าภาคแรกเสียอีก ถ้าวัดในแง่ของความสนุก แต่มันก็ต้องแลกกับความเครียดชวนซีเรียสที่ถาโถมเข้ามาหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม ...สำหรับมิตรรักหนังซอมบี้พันธุ์แท้ทั้งหลาย ถ้าพลาดหนังเรื่องนี้ในโรงไปแล้ว ขอรับรองว่าคุณจะต้องเสียดายเป็นแน่แท้
ขอแนะนำ...ครับ
เกรด A-...{}
หมายเหตุ :
บทสรุป หนังตระกูล 28
28 Days Later : เยี่ยมในการสอดแทรกสาระเอาไว้ในเรื่องราวอย่างเฉียบแหลม หากแต่ใครจะไม่ชอบภาคนี้นักที่หนังเนิบนาบ ยืดยาด และเอื่อยเฉื่อย ชวนง่วงหลับ 28 Weeks Later : เยี่ยมในการเป็นหนังตลาด ที่ผนวกเอาสาระและบันเทิงไว้ลงตัว หากแต่คุณน่าจะได้ตรวจวัดสุขภาพก่อนตีตั๋ว เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คุณต้องเป็นอันตรายหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ
นิยามโดยสรุปที่มีต่อหนังตระกูล 28 ของผม : 28 วันแรก ยังยิ้มได้ (ดูแบบชิลๆ เรื่อยๆ เฉยๆ ไม่ช็อคส์) , 28 อาทิตย์ถัดมา ฆ่าฉันๆให้ตายดีกว่า!!! (ไม่ชิล ไม่เรื่อย ไม่เฉย มีแต่ช็อคส์ ช็อคส์ และช็อคส์)
ปล. ชักอยากดู 28 Months Later แล้ว ...รีบๆสร้างออกมาทีเหอะ
ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 23 พฤษภาคม 2550 |
Last Update : 23 พฤษภาคม 2550 4:47:17 น. |
|
11 comments
|
Counter : 11633 Pageviews. |
|
|
|