"Cloverfield" ... 'อ๊าาาาคคคคสสสส์!!!' นี่คือสุดยอดหนังที่ผมต้องแช่งแม่มให้มันจบเร็วๆซะที
"เฮ้ออออ ฮืด ฮ้าาาาา ฮื้ดดดดดด ฮ้าาาาา โฮฮฮฮฮฮฮ... ผะะะะผม OncE UPoN'-'a MaN นะครับ ถ้าคุณได้อ่านเรื่องที่ผมเขียนต่อไปนี้ ขอให้รู้เอาไว้ว่า คุณอาจจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่รู้อะไรเลย ...เมื่อเวลาประมาณ 3 โมงเย็น ของวันนี้ที่ผ่านมา ผมได้พบกับบางสิ่งบางอย่างที่ผมไม่สามารถอธิบายได้ เพราะผมเกรงว่ามันจะเป็นการสปอยล์อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ผมบอกได้แต่ว่า... 'อ๊าาาาคคคคสสสส์' นี่มันคือสุดยอดประสบการณ์อันน่ากลัวบัดซบนรกแตก ที่ผมต้องพยายามสาปแช่งให้แม่มมันจบเร็วๆไปซะที ไอ้ตัวประหลาดตัวนี้มันเป็นอะไรที่...เ..ห(...เทปขาดไป 10 วินาที) ...ก่อนที่ผมอาจจะได้พูดอะไรเป็นครั้งสุดท้าย ผมขอฝากเรื่องราว 5 เรื่องต่อไปนี้ จดใส่ไว้ในกระทู้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะมันจะช่วยให้คุณตัดสินใจอะไรได้ ก่อนจะต้องเข้าโรงหนังมาหนีตายอย่างทุรนทุรายอย่างผม ...สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะขอ สำหรับคนที่ได้เจอประสบการณ์นี้เช่นเดียวกับผม อย่าได้แพร่งพรายอะไรให้ใครได้รู้ในที่แห่งนี้เป็นอันขาด ขอแค่เนี้ยแหละ ...ถ้าสุดท้ายแล้วผมรอดมาได้ ผมก็อยากจะบอกว่า........ตู้มมมมมมมมมมม!!! (...ภาพและเสียงหายไปในบัดดล)"5 เรื่องที่คุณควรรู้ก่อนจะมาเป็นส่วนหนึ่งใน "Cloverfield" 1. นี่คือ...หนังที่เป็นผลงานการสร้างโดย "เจ.เจ. อับบรามส์" ผู้เป็นเจ้าของเดียวกับ ซี่รี่ส์โคตรของโคตรฮิต อย่าง "Alias" , "Lost" รวมไปถึงล่าสุดกับงานกำกับหนังใหญ่หนแรกให้เฮียทอม ครูซ กลับมากระโดดโลดเต้นบนโซฟา เอ๊ย!!! กระโดดหลบระเบิด ใน "Mission Impossible 3" ...(และปีนี้เขาจะกลับมากับหนังฟอร์มใหญ่ปิดท้ายปีที่มีชื่อว่า Star Trek ...คุ้นๆมั้ย?) จากข้อมูลที่ผมได้รับรู้มานั้น... เจ.เจ. ได้ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นผู้แรกที่ชักใยบงการก่อให้เกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้ขึ้นมา ...หากแม้ว่าเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเพียงคนๆเดียวที่นึกอยากจะสร้างหนัง Godzilla แบบโฮลี่วู้ด ฮอลลีวู้ด ขึ้นมาในสไตล์ของเขา (ซึ่งก็ต้องไม่ใช่สไตล์เดียวกับที่ผู้กำกับ ID4 เคยทำมาก่อนอย่างแน่นอน) ...แต่ก็ด้วยความรักและสนิทสนมกลมเกลียวมาด้วยกัน ก็เลยชักจูงถูกระชากให้ ผู้ที่เคยกำกับงานหนังซี่รี่ส์ร่วมกันมาก่อนอย่าง "แมตต์ รีฟส์" ต้องตกกระไดพลอยโจนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปโดยปริยาย แต่การสมรู้ร่วมคิดในงานนี้ ก็ไม่ได้ขอเรียกใช้บริการกันแบบฟรีๆซะที่ไหน ...สองสิ่งที่ รีฟส์ ต้องแลกไปเพื่อได้ร่วมมีส่วนก่อเหตุ ก็คือ ภาระที่เขาต้องแบกรับหน้าที่ ที่จะต้องทำหนังทุนต่ำ (จากแหล่งข่าวรายงานว่า...30 ล้านเหรียญสหรัฐ) ให้ออกมากลายเป็นหนังมีฟอร์ม ที่มีงานสร้างระดับตูมๆ กับซีจีที่ใส่กันให้ตรึมๆ ...และอีกหนึ่ง ภาระที่เขาต้องทำหนังสัตว์ประหลาดทำลายล้างโลกให้ออกมาเป็นหนังที่มีความเป็น Emotion มากไปกว่าเน้นๆฉาก Action โป้ง ป้าง บูมๆ 2. นี่คือ...หนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของการเอาตัวรอดของคนกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เฮียๆนี้ ด้วยการ 'หนี หนี และหนี' ...หากแต่ในขณะเดียวกันตัวละครกลุ่มนี้ก็ยังต้อง 'สู้ สู้ และสู้' พร้อมๆกัน เพียงเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองให้ได้พ้นเห็นเดือนเห็นตะวันของอีกวันต่อไป กรณีของเรื่องที่เล่าไปนี้ อาจจะไม่ใช่ของอะไรที่แปลกใหม่ ในวันที่เราเห็นหนัง หนี หนี และหนี กันเกลื่อนกลาด (ไม่ว่าจะหนีซอมบี้กินคน หนีผีหน้าขาว หนีสัตว์บ้าเลือด จนกระทั่งหนีเจ้าหนี้บ้าเงินก็ตามทีเถอะ... เง้อ!!?) ...แต่ในกรณีที่ Cloverfield หนีแตกต่างออกไปจากเรื่องอื่นๆ ก็คือ ความพยายามที่หนังเน้นเจาะลึกในส่วนของอารมณ์ ลงไปยังรายละเอียดความเป็นไปของตัวละครแต่ละตัว ที่จะมีผลไปยังความรู้สึกต่อคนดู ที่อาจทำให้เราเห็นใจในชะตากรรม มากไปกว่าความสะใจที่ได้เห็นคนวิ่งหนีกันงกๆแบบไม่คิดอาลัยอาวรณ์ในชีวิต 3. นี่คือ...หนังที่พยายามจงใจจะให้เราคนดูเหมือนได้ตกอยู่ในส่วนหนึ่งเหตุการณ์นี้อย่างสมจริงที่สุด ...ด้วยกลวิธีการถ่ายทำ ที่ใช้กล้องบันทึกภาพมือถือ หมุน ส่าย เหวี่ยง สั่น อย่างเมามันส์คนถือ อย่างถึงที่สุด มันจึงตกเป็นผลกรรมสำหรับคนดูบางคน ที่ออกจะเมาไปมากกว่ามันส์ ...และในกรณีนี้ กับบางคนในกลุ่มบางคนนี้ก็ยังเมาจัดๆ จนถึงขั้น มีของเหลวบางชนิดระเบิดกระเฉาะออกมาจากปากเลยทีเดียว มิฉะนั้นแล้ว ถ้าคุณอยากจะรับรู้ประสบการณ์ความเมามันส์ในครั้งนี้ให้ถึงอรรถรสอย่างเป็นที่สุด ...ก็น่าจะมองหาหนังที่มีกลวิธีการถ่ายทำแบบนี้เช่นกันมาปรับมุมมอง เปลี่ยนระบบทางสายตากันซะก่อน ...ยกตัวอย่างอาทิ "The Blair Witch Project" หนังสารคดีเชิงสยอง ที่เป็นเจ้าของต้นตำรับของการส่ายอันรุนแรงฮาร์ดคอร์ (แรงจนกระทั่งขี้มูกน้ำตานักแสดงสาวเจ้า ต้องไหลเยิ้มหยะแหยงเกี๋ยมอี๋เลยเชียว) หรือถ้าจะให้ลดระดับความวิงเวียนลงมาอีกสักหน่อย ก็ต้องหนังสายลับบอร์น สองภาคหลัง รวมทั้ง "United 93" ที่มีผู้กำกับเป็นเจ้าของเดียวกับเดอะ บอร์น ทั้งสองภาคนั่นแล ถึงแม้ว่าจะพอมีภูมิคุ้มกันอะไรช่วยประคองสายตา มาก่อนหน้าแล้วก็ตามทีเถอะ แต่เมื่อได้ดูหนังจริงๆ ก็ยังต้องมีเวลาให้ทำใจแอสไพริน ปรับตัวกันอีกสักเล็กน้อยอยู่ดี ...ขอเพียงอย่าเพิ่งท้อ และอย่าล้วงคอให้มันออกมาเองก็แล้วกัน 4. นี่คือ...หนังที่คุณควรจะได้รับรู้อะไรต่้อมิอะไรให้น้อยถึงน้อยที่สุด ...เห็นตัวอย่างว่ามีอะไร ก็รู้มันไปแค่นั้น ...มีเนื้อเรื่องย่อที่ไหนให้อ่านเพียงสั้นๆ ก็อย่าไปสานต่อขวนขวายอะไรเพิ่มเติม แม้จนกระทั่งเมื่อคุึณได้ดูหนังแล้ว ก็อย่าไปเรียกร้องหาความต้องการจะรู้อะไรให้มันมากมายไปกว่าที่หนังบอก ...คิดเสียให้ตัวเราเป็นเหมือนตัวละครอีกตัวหนึ่งในเรื่องที่ไม่รู้ความเป็นไปเป็นมาอะไรเลย ...รู้แต่เพียงว่า เรากลัว เราสับสน และเราอยากวิ่งหนีไปพร้อมๆกัน เอาแค่นี้ก็พอเพียงกับการดูหนังเรื่องนี้ให้สนุกลุ้นระทึกจนถึงทีุ่สุดได้แล้วแต่ถ้าสำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบหนังที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราเหมือนคนโง่ โดนปิดหูปิดตาเหมือนกบในกะลาแล้ว ...ก็ขอเตือนอย่าไปดูหนังเรื่องนี้จะดีกว่านะ 5. ถ้าอยากจะดูหนังสักเรื่องแบบไม่ต้องคิดอะไร ปล่อยสมองไปรับรู้เพียงภาพและเสียงที่ได้เห็นจากหนังแล้ว ..."Cloverfield" เป็นหนังที่คุณต้อง'ห้ามพลาด'อย่างเป็นที่สุด (จากข้อ 1) นี่คือ...หนังที่บันเทิงเตลิดเปิดเปิงมันส์ล้ำ สมกับการเป็นหนังในอุดมคติของ "เจ.เจ. อับรามส์" อีกทั้ง ยังสนุกล้ำลึก ได้ด้วยงานกำกับของ "แมตต์ รีฟส์" ที่คุมเรื่องราวหนักๆต่อเนื่องกับอารมณ์เครียดๆ โดยไม่หลุดสายตาไปจากภาพบนจอ (แม้มันจะสั่นสะเทือนเลือนลั่น ช่วยมันส์เมาให้ส่ายหัวอย่างหนักก็รับไหว) ...แล้วที่ยิ่งทึ่งมากกว่าก็คือทุนสร้างอันน้อยนิด สามารถจะให้ผลงานทางภาพที่คุ้มค่ามากๆ ถึงขนาดนี้ ...ใครจะไปอยากเชื่อล่ะว่า 30 ล้าน จะสามารถเอามันมาผลาญเกาะแมนฮัตตันได้น่าตะลึงสุดๆ (จากข้อ 2) นี่คือ...หนังที่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นหนัง 'หนี หนี และหนี' ...นอกเหนือจากการที่เราจะได้เห็นการ 'สู้ สู้ และสู้' เพี่อชีวิต ที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเร้าต่อมอะดรีนาลีน เรายังจะได้เห็น เรื่องราวของการ 'สู้ สู้ และสู้' กับจิตใจของตัวเอง ให้หลุดพ้นจากเรื่องราวความทุกข์ หวั่นไหว สับสน ที่ฝังอยู่ในใจ อันเป็นเบื้องหลังที่มีผลต่อความคิดและการกระทำของตัวละครแต่ละตัวแม้เรื่องราวดรามาของหนังเรื่องนี้ อาจจะยังไม่ดีเยี่ยมเลิศเลอเพอร์เฟกต์จนต้องเข้าชิงออสการ์ ...แต่กับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ใน Cloverfield ก็ดีมากพอจะสามารถ แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ ได้ด้วย บทหนังที่สนในรายละเอียด ใส่อารมณ์เต็มทุกเม็ดทุกหน่วย บนพื้นฐานความรู้สึกของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'มนุษย์' (จากข้อ 3) นี่คือ...หนังที่ใช้ความจงใจ มาเป็นเครื่องมือจูงจมูก ที่ทำให้ผมยินดีจะสนุกไปกับการหมุน ส่าย เหวี่ยง สั่น เพียงถ้ามันให้ความรู้สึกเสมือนจริงได้อย่างน่าเชื่อถือซึ่ง Cloverfield ก็เป็นอีกเรื่องที่หนังเรียกใช้ศักยภาพในส่วนนี้ออกมาได้อย่างทรงพลัง ...ทำให้เราเชื่อและอินว่า เราเป็นหนึ่งตัวละครในนั้นที่ได้ หนี หนี และหนี ตามติดกลุ่มตัวเอก ไปพบกับเรื่องราวและเหตุการณ์เขย่าอารมณ์ขย่มขวัญ ชนิดที่จบฉาก ก็จะได้ยินเสียงหายใจหนักๆของผมพ่นลมตามออกมา (ประมาณว่า... ลุ้นจนหายใจไม่ทัน ว่างั้น) (จากข้อ 4) นี่คือ...หนังที่จะยิ่งโคตรสนุก มหามันส์ น่าตื่นเต้นเป็นที่สุด ถ้าคุณไม่รู้อะไรนอกเหนือไปจากที่ตัวละครรู้ ...การแสดงของทีมนักแสดง(หน้าไม่คุ้น) ทำให้เรารู้สึกเชื่อว่า เขาสุดจะทน สุดจะกลั้น กับความบังเอิญต้องซวย เจอเรื่องเฮงๆเฮียๆกันอย่างนี้ ...เขาทำให้เราเห็นใจในสิ่งที่ต้องเผชิญ และยังทำให้เราเข้าใจในอารมณ์ที่แสดงออก แม้ทว่าตัวบทหนัง จะปูพื้นรายละเอียดตัวละครหลักๆ เพียงแค่ผิวเผินไม่มากไม่มายอะไร ...แต่เรื่องราวของแต่ละคน ก็มีใจความอยู่มากพอ จะน๊อคหมัดเด็ดๆใส่คนดูจนล้มทั้งยืน (จากข้อ 5) นี่คือ..."Cloverfield" ...หนังดูเอาบันเทิงได้เครียดอย่างยิ่งยวด น่าปวดอารมณ์กันสุดๆ ...ปวดมากถึงขนาดที่ใจของผมต้องพร่ำพรรณนาด่าแช่ง ให้หนังเรื่องนี้มันจบลงเร็วๆซะทีเถอะ ถ้าคุณอ่านทั้ง 5 ข้อนี้จบ แล้วตัดสินใจว่าจะไปดูหนังเรื่องนี้... ก็มิอาจรับประกันได้ว่า คุณจะออกจากโรงหนังมาเป็นผู้เป็นคนได้เหมือนเดิม เฉกเช่น ตัวผมที่กำลังรู้สึกคลั่งกับตัวเองอยู่นี้ปล. ถ้าสุดท้ายแล้วผมรอดมาได้ ผมก็อยากจะบอกว่า... "อย่าถึอคนบ้า อย่าว่าคนเมา" เลยนะจ้ะ ปล.2 ก่อนตาย ขอได้เป็น "ปอมซัง" ซะหน่อยละกัน... อ๊าาาาคคคคสสสส์!!! ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ...ครับเกรด A ... { } ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน ข้างบนนั่นคือบทความที่ผมเคยทิ้งเอาไว้ในกระทู้ในห้องเฉลิมไทยมาก่อน... เมื่อรู้ตัวว่าอาจจะไม่รอดจากวันนรกแตกนี้มาได้ แต่แล้วผมก็บังเอิญรอดตายมาจนได้อย่างหวุดหวิด ...ฮะฮ่า แล้วก็รอดมาเพื่อจะสปอยล์สิ่งที่ผมได้รู้มาจากการประทะกับเจ้าสาดประหลาดชนิดขึ้ตาต่อขี้ตา ขี้ฟันต่อขี้ฟัน (ถ้ารวมเสมหะของมันด้วย ก็อร่อยดี อิอิ) เลยล่ะ หุหุ5 เรื่องที่เราได้รู้หลังจากเป็นส่วนหนึ่งของ "Cloverfield" ***SPOILER*** ยังไม่ได้ดูอย่าอ่าน 1. แม้โดยเปลือกหน้าของมัน อาจจะชี้ชัดว่า Cloverfield เป็นหนังสัตว์ประหลาดถล่มเมือง ...หากแต่เมื่อเนื้อในได้ถือกำเนิดมาจากมันสมองของ เจ.เจ. อับรามส์ ก็มิมีทางจะเห็นเป็นหนังอย่างนั้นอย่างเดียวเป็นอันขาด เพราะอะไรหรือถึงทำให้เชื่ออย่างงั้น ...ดูได้จากหนังซีรี่ส์แต่ละเรื่องในมือของเขาเป็นอาทิ Alias ...เปลือกหน้าคือหนังสายลับสาวที่ต้องตามล่าตามล้างอาชญากรทุกเผ่าพันธุ์เพื่อความสงบสุขของชาติมะกัน ...หากแต่โดยเนื้อใน นี่คือ หนังที่ว่ากันถึงเรื่องความสัมพันธ์ของผู้คนในองค์กร ที่ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน และที่สำคัญกว่าอื่นใดก็คือ การร่วมมือร่วมใจ ที่จะทำให้ภารกิจแต่ละชิ้นสำเร็จลุล่วงก้าวหน้าไปด้วยกัน Lost ...เปลือกหน้าว่ากันถึงคนกลุ่มหนึ่งที่ดันโชคร้าย(เครื่องบินตก)มาติดอยู่บนเกาะร้างแห่งหนึ่ง และพวกเขาจะต้องทำทุกวิถีเพื่อจะหาทางออกไปจากเกาะแห่งนี้ให้ได้ ...หากแต่โดยเนื้อใน หนังยังใช้ช่วงเวลาโดยมากหมดไปกับการตีแผ่เบื้องลึกเบื้องหลังของตัวละครแต่ละตัว สำรวจไปยังจิตใจ ความเป็นไป ที่จะทำให้คนดูรู้จักตัวละครตัวนั้นๆ มากยิ่งขึ้น หรือกระทั่งกับหนังโรงเรื่องแรกของเขาอย่าง Mission Impossible 3 ก็ไม่เว้นอีกเช่นกัน... ที่จะมีความเป็น เจ.เจ. อับรามส์ อยู่ในนั้น ถ้าในภาคแรกจะทำให้เรารู้ว่า อีธาน ฮันท์ เป็นคนมุทะลุดึงดันมากแค่ไหน แล้วในภาคสองก็ยังทำให้เราเห็นว่า อีธาน ฮันท์ จะโคตรเก่งเหนือเทพอะไรจะปานนั้น ...ในภาคสาม เจ.เจ. ก็จงใจจะเจาะลึกไปถึงหัวใจโดยแท้จริงของตัวละครเอกตัวนี้ เมื่อถ้ากำหนดให้สถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ชี้เป็นชี้ตายตัวละครอีกตัวหนึ่งที่เขารักจนสุดหัวใจ แม้ทว่า Cloverfield จะไม่ใช่งานที่เขาทำอะไรได้มากไปกว่าการเป็นผู้สร้าง ...หากแต่โดยความคิดหลักของตัวหนัง ก็ยังคงเคารพความเป็น เจ.เจ. เอาไว้อย่างเต็มที่ ความเป็น เจ.เจ. ที่แฝงเอาไว้ใน Cloverfield ...คือ สิ่งที่ต้องการให้หนังเรื่องนี้ เป็นมากกว่า หนังหายนะอันเกิดจากน้ำมือสัตว์ประหลาดอีกเรื่อง ...เป็นมากกว่า การจับเอา Godzilla มารีเมคอีกสักที โดยไปครีเอทสัตว์ตัวใหม่ขึ้นมาแทนที่มันซะงั้น 2. หนังสัตว์ประหลาดในสไตล์ของ เจ.เจ. ...ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อบอกเล่าความน่ากลัวผ่านสายตาของเหล่ามนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ต้องพบกับความหายนะเมื่อมีสิ่งมีชีวิตที่ตัวใหญ่ยักษ์มหึมากว่าเป็นร้อยเท่า ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา ในขณะเดียวกัน Cloverfield ของ จอร์จ รีฟส์ ...ก็ถูกเน้นย้ำด้วยเรื่องราวของมนุษย์ที่ถือกล้องวิดีโออย่างสั่นไหวอยู่ในมือ มากไปกว่า การทำให้เราคนดูได้เห็นสัตว์ประหลาดแบบชัดๆในมุมมองของพระเจ้า และด้วยการที่เราคนดูได้ใช้เพียงสายตาทั้งสองข้างมอง อยู่ในมุมของตัวละครที่ได้พบเจอกับเรื่องราวหายนะอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวนี่เอง ...จึงส่งผลให้เราเข้าใจถึงความน่ากลัวโดยแท้จริงของสัตว์ประหลาด มากไปกว่าการได้เห็นเหล่าประชาชนคนมนุษย์ทั้งหลาย หนี หนี และหนี โดยรู้สึกได้แต่ว่า สิ่งที่พวกเขาทำมันก็เป็นแค่ความสัมพันธ์ของการกระทำอันพึงสำคัญในหนังหายนะอีกเรื่องหนึ่งเพียงเท่านั้น ประเด็นสำคัญของ Cloverfield ได้พูดถึงความสัมพันธ์โดยหลักๆ ของตัวละคร 6 คน ที่เกี่ยวพันกันในเรื่องราว 1 เรื่องราวที่ต่างคนต่างต้องกระทำช่วยกันประคับประคองให้กลุ่มของตัวละครทั้งหมดผ่านพ้นความจริงอันนรกแตกนี้ไปให้ได้... "ร็อบ" ...คือ ชายหนุ่มที่กำลังพบกับปัญหาสำคัญครั้งใหญ่ เมื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานกำลังจะทำให้เขาต้องพบกับจุดจบทางความรักที่หายนะเกินกว่าที่เขาคาดคิด ..."เบ็ธ" ...คือ หญิงสาวที่เป็นความรักเพียงหนึ่งเดียวของ ร็อบ ...เธอ คือ คนที่ร็อบ แอบรักแอบชอบ มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยด้วยกัน หากแต่ด้วยความที่เขาไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจถึง ความสัมพันธ์แบบเพื่อนจะพัฒนาไปได้หรือไม่ เขาก็เลยทำได้แต่แอบเก็บงำความรู้สึกนั้นไว้อยู่ลึกๆ มาตลอด จนกระทั่ง... วันหนึ่ง ร็อบและเบ็ธ ก็ได้ล่วงเกินละเมิดความสัมพันธ์ ล้ำเส้นของคำว่าเพื่อนไปจนได้ ...เมื่อนั้น เบ็ธ จึงได้รู้ว่า ร็อบ คือ คนที่เธอปรารถนาเป็นที่สุด และเขาคือคนเดียวที่เธอแน่ใจว่าจะรัก ถ้าไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นให้เขาและเธอรักกันไม่ได้ และสิ่งนั้นมันก็เกิด ...เมื่อความก้าวหน้าทางการงานของร็อบ ได้เข้ามาขวางทางให้ เขาและเบ็ธ ต้องเหินห่างกัน และจากกันไกลไปถึงคนละฝากของฝั่งโลก อเมริกา กับ ญี่ปุ่น"เจสัน" ...น้องชายของร็อบ ได้บังเกิดไอเดียสุดแจ่ม อยากจะจัดงานปาร์ตี้เลี้ยงส่งให้พี่ชายขึ้นมา โดยยังหวังอ้อมๆให้พี่ชายจะใช้งานนี้เพื่อขอคืนดีกับ เบ๊ธ เป็นสำเร็จ ...แต่แล้วอะไรๆ มันก็ยากขึ้นกว่าเดิมเมื่อ เบ็ธ ดันบังอาจควงชายหน้าใหม่มาหยามถึงถิ่นของ ร็อบ กันได้ซะนี่ ...แล้วมันอะไรกันหรือ? ที่ทำให้คนสองคนไม่ดีต่อกัน หนักจนถึงคนหนึ่งต้องเย้ยหยันเอาอีกคนมาทำให้เข้าใจผิดหนักยิ่งไปกันใหญ่"ลิลลี่" ...แฟนของเจสัน คือ คนๆเดียวที่ดันไปล่วงถึงเรื่องลับๆของ ร็อบ และ เบ็ธ เข้า... เธอรู้มาว่า สองคนนี้ทะเลาะกันอย่างรุนแรง เมื่อ ร็อบเป็นฝ่ายจะขอชิ่งเบ๊ธไป ด้วยเหตุจำเป็น หากแต่ เบ๊ธ ก็ไม่ยอมเข้าใจ ว่าต้องทำอย่างนี้ทำไม ในเมื่อเธอก็เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักหมดหัวใจไปแล้วนี่ "มาเลน่า" ...เธอ เป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญของงานเลี้ยงส่งงานนี้ ที่มีเหตุผลการมาเพียงเพื่อพบปะเพื่อนของเธอที่มาร่วมงานนี้อีกที ...แต่ถึงคนอื่นอาจจะไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกับเธอเลย หากก็คงจะต้องยกเว้นกรณีนี้กับ "ฮัด" ...คนที่ได้รับหน้าที่เป็นคนเก็บบันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในกล้องของร็อบ ที่เกิดขึ้นในงานนี้ แม้ว่า ฮัด จะเคยเห็นหน้าเธอมาก่อนหน้าเพียงแค่ 2-3 ครั้ง ...แต่เพียงมองด้วยตา เขาก็รู้ว่า ผู้หญิงที่เขาเฝ้ารอมานานแสนนาน ก็มีเพียงแต่ มาเลน่า คนเดียวเท่านั้น ที่ตรงกับสเปคหัวใจทุกอย่าง แต่แล้วเหตุการณ์ทุกๆอย่างที่มันเคยมีทั้งความชื่นมื่น ปนด้วยรักอันขมขื่น ก็ต้องถูกเบนความสนใจไปจากกล้องวิดีโอในมือของ ฮัด ในทันทีที่... ภาพระเบิดตูมใหญ่ๆชวนสะพรึง ได้บังเกิดบนผืนแผ่นดินของเกาะแมนฮัตตันอย่างไม่ทันรู้ตัว ...เมืองนิวยอร์ค ที่เคยสงบ ก็ถึงกับจบด้วยหายนะที่ไม่มีใครคนไหนล่วงรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น 3. ถ้าถามว่า ตัวละครตัวไหน ในหนังเรื่องนี้ ที่มีความจำเป็น และสำคัญต่อเรื่องราวความอินของหนังมากที่สุดแล้ว ...ก็คงต้องยกบทบาทนั้นให้กับ "กล้องวิดีโอ" ที่คอยตามติดตัวละครแต่ละตัวไปอย่างไม่ลดละ และไม่เหน็ดเหนื่อยในขณะที่คนรอบข้างของมัน กลับโหยหาความสงบอย่างบ้าคลั่ง จะไม่ให้จำเป็น และสำคัญได้อย่างไร ...ในเมื่อมันคือ ส่วนที่ทำให้เรื่องราวของ Cloverfield น่าสะพรึงระทึกอารมณ์ยิ่งขึ้น เป็นผลพวงที่ทำให้เรามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างเป็นความสมจริงไปซะหมด การที่หนังวางลักษณะพฤติกรรมให้ตัวละคร 'ฮัด' เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรในการใช้กล้องเลย ตั้งแต่เริ่มต้น ...คือ ความฉลาดที่เอื้อให้ตัวหนังนำเอาเทคนิคแฮนด์เฮลด์มาใช้ได้โดยสะดวก และการที่หนังมอบหมายให้ตัวละครแต่ละตัวไม่รู้อะไร นอกเสียจากรู้ว่ากลัว เพียงอย่างเดียว ...ก็ยิ่งเอื้อให้ กล้องวิดีโอ เป็นตัวจับภาพรวมของเรื่องราวทุกอย่างให้อยู่บนพื้นฐานของความคลุมเครือ เป็นสิ่งที่ทำให้คนดูยังมิอาจแน่ใจอะไรกับความเป็นจริงที่เกิดได้มากนัก แม้กระทั่งจะรู้ว่า นั่นทั้งหมดคือผลงานของสิ่งที่เรียกว่า สัตว์ประหลาด โดยแท้ก็ตามที สำหรับคนบางคนที่อาจเคยมีประสบการณ์ในการเล่นเกม ที่มีภาพในมุมมองของบุคคลที่หนึ่ง (First Person) เสมือนตัวเราเป็นคนมองเห็นภาพตรงหน้าทุกอย่าง ...ก็อาจจะไม่รู้สึกขัดอกขัดใจอะไรกับภาพอันน่าฉวัดเฉวียนชวนเวียนหัวอย่างนี้มากมายนี่นัก (จะเป็นก็ช่วงแรกๆ แต่ใช้เวลาไม่มากก็โอเคแล้ว เช่นผม) แต่กับคนที่ไม่เคย แม้กระทั่งจะเล่นเกม หรือดูหนัง(ที่ได้ยกตัวอย่างไปในห้วข้อข้างบน) ทั้งยังไม่ยอมทำใจให้อาจพร้อมปรับสายตาจนคุ้นกับภาพบนจอ มันก็ยากนักที่จะทำให้รู้สึกเชื่อในภาพที่ได้เห็น ...เพราะต่อให้พยายามจะเชื่อสักเท่าไหร่ ความคลื่นไส้อาเจียนมันก็จะโถมซัดเข้ามามากขึ้นเท่านั้นเอง 4. ความฉลาดอีกอย่างหนึ่งที่ Cloverfield พยายามจะทำแบบไม่เร่งไม่ร้อน ก็คือ การค่อยๆเปิดเผยรายละเอียดของสัตว์ประหลาดทีละเล็กทีละน้อย พยายามค่อยๆให้ตัวละครบนจอและเราคนดูซึมซับกับความระทึกที่ยิ่งเผยมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งกลัวจับจิต สะเทือนสะท้านจังหวะการเต้นของหัวใจให้มากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่หนังพยายามค่อยๆอย่างนั้นไป ...สถานการณ์บนจอที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันตรงหน้า กับตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่กลุ่มตัวละครของร็อบทั้ง 5 คน ได้รับรู้บางสิ่งบางอย่างที่บอกว่าเขาไม่ควรสังสรรค์ปาร์ตี้กันอีกต่อไป ...หนังก็เร็วและรีบที่จะเสนอทางให้ 5 ตัวละคร ต้อง หนี หนี และหนี เพื่อพ้นจากความตายที่เราไล่กวดพวกเขาตามมาอย่างบ้าคลั่ง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกให้หนี ก็จบซึ่งสุ้มเสียงลงทันควัน ...เมื่อเสียงโทรศัพท์ของร็อบดังขึ้น พร้อมปรากฎชื่อของ เบ็ธ ...ที่ปลายสายนั้นได้โหยหากรีดร้องอย่างทรมาน ขอความช่วยเหลือ ให้ผู้ชายที่เธอรัก มาพาเธอออกไปจากสถานการณ์อันบ้าคลั่ง ครั้งนี้ ...แล้วมีหรือที่ร็อบ จะไม่ทิ้งความตั้งใจทุกสิ่งทุกอย่างลง พร้อมกับขี่ม้าขาวเพื่อจะไปช่วยเจ้าหญิงที่เขารักเป็นที่สุด โดยไม่สนถึง ชีวิตของเขาอาจจะตายในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าก็ยังเป็นไปได้ Cloverfield ที่เหลืออีกประมาณหนึ่งชั่วโมง หลังจากสายของเบ็ธได้จบลง ...ควบตะบึงขึ้นม้าเร็ว ปล่อยจังหวะหนังให้เดินหน้าอย่างท้าทายกับประสาทสัมผัสของคนดู ชนิดที่ถ้าสายตายังไม่คุ้นจะมองภาพอันสั่นไหว ก็เตรียมตัวสับเท้าวิ่งออกจากโรงหนังได้ทันที ตัวหนังในเวลา 1 ชั่วโมงหลัง ...เน้นย้ำด้วยความระทึกขวัญสั่นประสาท ควบคู่ไปด้วยการสำรวจจิตใจของตัวละครแต่ละตัว ที่ต้องมาเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ...ในบางจังหวะที่หนังจะมี(อยู่บ้าง) หยุดการเคลื่อนกล้องอันน่าเวียนหัวลง เราคนดูก็จะได้ผ่อนคลาย พร้อมรับรู้ถึงด้านความลึกของอารมณ์ ที่นักแสดงผู้เป็นตัวละครแต่ละคนได้ปลดปล่อยออกมาเห็นอย่างชัดเจน และเข้าใจในความเป็นเขาหรือเธอโดยลึกซึ้ง และก็ด้วยความพยายามอันชาญฉลาดของบทหนังอย่างนั้นเอง ...จึงทำให้เราโคตรสะเทือนใจ กับการตายจากไปของตัวละครทีละคน ทีละคน ทีละคน และทีละสองคน เป็นที่สุด (เว้นไว้อยู่หนึ่ง...ที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไง หายไปกับเฮลิคอปเตอร์ซะงั้น) 5. แม้หนังอาจจะพยายามค่อยๆ ปล่อยรายละเอียดของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวมหีมานี้ ทีละส่วนทีละมุม ไปจนถึงภาพสุดท้ายที่ให้เราเห็นกันเต็มๆรูปหน้า ฉายจะจะสองลูกตาของกรู (ห่างกันประมาณ ที่รับรู้ได้ถึงลมหายใจของมัน...หยึ่ยยย!!!) แล้วก็ตาม ...แต่กรู เอ๊ย ผม ก็ยังมิอาจสามารถรู้ได้ว่า มันคือตัวอะไรกันแน่ฟะ...? จนกระทั่งวันนี้ที่รู้ว่า มันมีจุดเล็กๆบนภาพของฉากหนึ่งที่เฉลยถึงความเป็นไปทั้งหมด (มีอะไรบางอย่างตกตูมลงทะเล ในฉากสุดท้ายที่ร็อบและเบธไปเที่ยวขึ้นชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน) จนแม้ได้พยายามไปตามเก็บ side story เข้ามาในหน่วยความจำเพิ่มเติมทีละนิดทีละหน่อย จนปะติดปะต่ออะไรได้เข้าใจมากขึ้นกว่าที่เห็นบนจอแล้วก็ตามที ...กรู ก็ยังไม่รู้ว่า มรึง คืออะไรกันแน่ฟะ ไอ้สาดดดดด!!? สรุปว่า ...ที่ดูหนังไป มันได้อะไรบ้างวะเนี่ย สาดดดดดดด!!?ความเป็นไปของหนังกับผมทั้งปีหมู แห่ง 2007 ที่ผ่านมา ...ได้สรุปลงสู่บล็อกแล้ว ขอเชิญติดตามความประทับใจของผม OncE UPoN'-'a MaN ตามติดทั้ง 5 สาขา และร่วมให้คอมเมนต์ แห่งความประทับใจของคุณกันได้ครับผม ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ [The Best of 2007] 10 หนังดูที่'โรง'สุดประทับใจ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=16-01-2008&group=9&gblog=14 5 หนังดูที่'บ้าน'สุดประทับใจ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=12-01-2008&group=9&gblog=13 5 หนัง'โรง'อยากลืมเป็นที่สุด //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=10-01-2008&group=9&gblog=12 5 ฉากน่าจดจำในหนังสุดประทับใจ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=09-01-2008&group=9&gblog=11 15 การแสดงยอดเยี่ยมในหนังสุดประทับใจ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=07-01-2008&group=9&gblog=10 ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 24 มกราคม 2551
Last Update : 24 มกราคม 2551 0:00:28 น.
10 comments
Counter : 3072 Pageviews.
โดย: งึมๆ IP: 124.157.205.234 วันที่: 24 มกราคม 2551 เวลา:0:23:15 น.
โดย: notekrab29 วันที่: 24 มกราคม 2551 เวลา:0:33:50 น.
โดย: มิสเตอร์ฮอง วันที่: 24 มกราคม 2551 เวลา:0:48:40 น.
โดย: Opey วันที่: 24 มกราคม 2551 เวลา:8:20:01 น.
โดย: kengCAD วันที่: 24 มกราคม 2551 เวลา:8:36:00 น.
โดย: Clear Ice วันที่: 24 มกราคม 2551 เวลา:9:29:22 น.
โดย: skyblue IP: 58.137.10.194 วันที่: 24 มกราคม 2551 เวลา:11:39:35 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 24 มกราคม 2551 เวลา:16:55:16 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30 31