"Sweeney Todd" ... 'ความแค้น' ไม่เคยช่วยอะไร รังแต่จะช่วยให้ตายไวกว่าเดิม (เช่นเดียวกับ 'เซ็นเซอร์')
เราเคยได้ดูได้เห็นในเรื่องราวเนื้อความของ 'ความแค้น' บนแผ่นฟิล์มมาอยู่มากมายหลากหลายประเด็นแล้ว ...เราเคยได้สนุกทะลุจักรวาล เมื่อ ลุค สกายวอร์กเกอร์ พยายามตามล้างตามล่า คนที่ฆ่าอาจารย์ที่เขารัก (หากสุดท้ายกับเจอเรื่องที่ทำให้แค้นใจตัวเองมากกว่า) ใน "Star Wars" ...เราเคยลุ้นเลือดสาด เมื่อ เดอะ ไบรด์ ต้องเพียรเดินทางข้ามโลกเพื่อปลิดชีพของผู้สมรู้ร่วมคิดเคยฆ่าเธอ ใน "Kill Bill" ...และก็เคยระทึกหดหู่ใจสุดกู่ กับการเก็บบัญชีแค้นที่เคยทำให้คนๆหนึ่งตายทั้งเป็นมาฟรีๆ ในตระกูลหนังไตรภาคของผู้กำกับ "ชาน-วุค พาค" (หนึ่งในนั้นก็คือ "Oldboy" ที่ทุกคนต้องจำภาพฉากตัด..อวัยวะบางชิ้น..ได้จนติดตา) แต่ถึงกระนั้นแล้ว สารบบของ 'ความแค้น' ก็ยังไม่เคยมีวันจะได้จบสิ้น... ตราบใดที่วัฏจักรของการโดนกระทำ ที่ต่อเนื่องไปสู่การเป็นผู้กระทำกลับ ยังคงเป็นเรื่องที่สากลโลกต้องพบเจอ และสามารถนำมันมาขายเป็นหนังได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น แม้กระทั่งกับผู้กำกับที่ได้ชื่อว่า 'เซอร์แด๊ก'ตลอดศก คลั่งความ'ติสต์ตลอดกาล อย่าง "ทิม เบอร์ตัน" ก็มีอาจห้ามใจจะหยิบฉวยนำเรื่องราวแสนสากลนี้ มาขายเป็นหนังเรื่องล่าสุดของตัวเอง ที่ก็ยังเคยได้ชื่่อว่าสร้างมาจากละครเวทีที่เข้าขั้นอมตะอีกเรื่องในโลกของบอร์ดเวย์"Sweeney Todd : The Demon Barber of Fleet Street" ... เป็นเรื่องราวเนื้อความของ 'ความแค้น' ที่ถูกจุดประกายมาจากหนังสือนิยายเก่าแก่ที่ว่ากันว่า มันนำมาเขียนจากเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง ...โดยมีลอนดอนในช่วงยุควิคตอเรียน เป็นฉากหลังแห่งความแค้น ของชายหนึ่งคน ที่ต้องสูญเสียความเป็นคนที่มีความสุข ไปด้วยข้อกล่าวหาจากใครบางคนที่ยัดเยียดความทุกข์อย่างตั้งใจ 15 ปีต่อมา ของชายที่ชื่อ "เบนจามิน บาร์กเกอร์" ...ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขาไปจนสิ้นเชิง กระทั่งกับชื่อเก่าก็ยังถูกลบล้าง และกลับมาสู่วังวนแห่งการเอาคืน ที่ตั้งชื่อแห่งความแค้นให้กับตัวเองเสียใหม่ว่า "สวีนนีย์ ทอดด์" แม้ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตจะไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ก็ยังอยู่หนึ่งสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน แถมยังได้รับการสืบทอดแห่งแข็งแกร่ง และรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ...นั่นก็คือ คมมีดเล่มเก่าที่ยังอยู่ในมือของ สวีนนีย์ กับฉากหน้าที่เขารับบทเป็นช่างตัดผมมือเยี่ยม เพียงผู้เดียวแห่งถนนฟลีท สวีนนีย์ ได้สู้อุตส่าห์เก็บงำความแค้นที่ยังฝังอกมาตลอด 15 ปีทีผ่านพ้น ...เพียงต้องการจะทำทุกวิถีทางเพื่อปาดคอผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวที่เคยแย่งของรักของเขา สองสิ่ง ไปตลอดกาล ...เมียสุดที่รัก และลูกสาวแสนงาม คือ สองสิ่งที่มีชีวิต และยังเคยเป็นชีวาที่ไม่อาจคาดฝันว่าจะทำให้เขาต้องมีชีวิตที่ทุกข์ทนเยี่ยงนี้ ด้วยน้ำมือของผู้พิพากษาใหญ่แห่งลอนดอน นาม "เทอร์ปิน" จากฉากหน้าของการเป็นช่างตัดผม ซึ่งโกนหนวดได้เนียนที่สุดบนถนนฟลีท... เขาเลือกจะใช้งานบังหน้าเพื่อเป็นการระบายความแค้น เข่นฆ่าผู้คนที่มีฐานะลาภยศสูงกว่า ใช้มีดคู่ใจปาดคอเลือดสาด อย่างไม่เว้นหน้าและไม่สนว่าใครจะมาเอาคืน... ถ้านั่นจะเป็นการฆ่าเวลาที่ดีที่สุด ที่ทำให้วันที่เขารอคอยมาทั้งชีวิตสิ้นสุดลงตรงหน้าพร้อมกับการตายของ เทอร์ปิน ในที่สุด อ้าว!!! แล้วศพของคนที่ตายไป จะเอาไงดีล่ะ? ...ก็จะยากอะไรเล่า ในเมื่อเบื้องล่างร้านตัดผมของสวีนนีย์ ก็ยังมีร้านพายเนื้อของ "มิสซิส เลิฟเว็ตต์" รองรับรอคอยจะเอาเนื้อของ..(ก็นั่นแหละ).. มาทำเป็นไส้ในของพาย ที่ขายดิบขายดีที่สุึดแห่งถนนฟลีท เลยทีเดียว ...หยึ๋ยยยย!!!(ตั้งแต่บรรทัดนี้ จะมีการ SPOILER เรื่องราวในหนัง...ถ้ายังไม่ได้ดู อย่าเพิ่งอ่านจะดีกว่า ) เรื่องราวของความแค้นใน Sweeney Todd อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องราวที่มาจากพิมพ์เขียวเดียวกัน กับหนังอีกหลายต่อหลายร้อยเรื่องที่่ว่ากันด้วย การโดนกระทำ และต้องเอาคืนอย่างสาสม ...แต่กับสิ่งที่แตกต่างออกไปจากสารบบของคำว่า 'ความแค้น' ในตอนจบของหนัง ก็คือ ความจริงที่มันไม่ได้ช่วยอะไรเอาไว้ให้มันดีขึ้นได้เลย วันเวลา 15 ปี ที่ต้องแลกไปกับความทุกข์แสนสาหัส อาจจะเป็นเหตุผลที่ฟังแล้วขึ้นสำหรับการเอาคืนของคนหนึ่งคนที่สูญเสียความสุขอย่างสิ้นเชิงและถาวร... แต่แล้วมันจะสร้างความสะใจทำให้สภาพจิตของเขาดีขึ้นกว่าเดิมได้เหรอ ? เริ่มต้นแต่มีดคมแรกที่ปาดลงไปบนคอของเหยื่่อที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่เกี่ยวเนื่องอะไรด้วยเลย ...นั่นก็แสดงออกได้ว่า จิตของ สวีนนีย์ หลุดลอยจากความเป็นคน ไปจนถาวรแล้วจริงๆ แล้วเมื่อเลือดของเหยื่อรายแล้วรายเล่า ถูกปาดให้สาดกระจายเลอะเต็มใบหน้าและคมมีดที่กรีดเฉือน จากหนึ่ง เป็นสอง จากสอง เป็นสี่ จากสี่ เป็นสิบ... นั่นก็ยิ่งบ่งชี้ว่า สวีนนีย์ ไม่มีทาง และจะไม่มีวัน ได้หลุดจากตัวตนอันบ้าคลั่งที่เขาตั้งใจสร้างขึ้น ...ต่อให้เหยื่อรายสุดท้าย อย่าง เทอร์ปิน จะเป็นศพที่สิบ หรือ ศพที่ร้อย ก็ตามที ก็ไม่มีสิทธิ์จะหยุดความจริงที่เขาเลือกจะเป็นนี้ไปได้เลย นั่นยังไม่รวมกับการหลอกลวง ที่สวีนนีย์ พยายามใช้คนรอบข้างเป็นเครื่องมือระบายความแค้นจนไม่ลืมหูลืมตา ...แม้กับคนที่รักเขา และเชื่อใจเขามากที่สุด อย่าง มิสซิส เลิฟเว็ตต์ ก็ไม่เคยเป็นคนดีที่ได้อยู่ในสายตาเลยสักครั้ง การหลับตาเพื่อล้างแค้น... อาจเป็นวิธีการเอาคืนที่ดีที่สุดที่ทำให้งานของ สวีนนีย์ จบลงได้สมบูรณ์แบบ ...แต่มันก็เลวร้ายที่สุดเช่นกัน ที่ยิ่งทำให้เขาไม่เคยจะเปิดใจเพื่อยอมรับกับอดีตที่เลวร้าย ไม่รับความหวังดีจากคนที่อยากให้ปัจจุุบันของเขาไม่ต้องจมปลัก ...ช่างน่าเสียดายและสงสารที่คำว่า "ให้อภัย" คงไม่มีวันได้หลุดจากปากของคนๆหนึ่งที่ชีวิตทั้งชีวิต ที่เหลือยอมจะอุทิศให้กับการเป็นฆาตกรอย่างสมบูรณ์แบบ และก็เป็นอย่างที่ผมคาดคิดเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อ เทอร์ปิน ไม่ใช่ศพสุดท้ายที่ได้สังเวยความกระหายเลือดของ สวีนนีย์ ...แต่คนที่โชคร้ายในท้ายที่สุดคนนั้น กลับเป็นหญิงแก่สติเลอะเลือนคนหนึ่ง ที่ช่างมีใบหน้าเหมือนกันกับอดีตผู้หญิงคนที่เขารักมากที่สุด สวีนนีย์ ทอดด์ จบเรื่องราวทุกอย่างได้โดย การฆ่าเมียของตัวเองตายด้วยน้ำมือและคมมีดคู่ชีวิตตัวจริงของเขา ...นี่คือ ความจริงที่โหดร้ายที่สุดที่เขาต้องกลับมาเผชิญ และสามารถบรรลุมันลงได้ ด้วยจิตใจที่ไม่หลงเหลือความเป็น เบนจามิน บาร์กเกอร์ ที่แสนดีผู้นั้นอีกต่อไป ไม่ใช่แค่ฆ่าเมียเท่านั้น ...เขายังเกือบฆ่าหญิงสาวอีกคน ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวของเขา (แต่ก็โชคดีที่มีอะไรบางอย่างเบนความสนใจไป และสุดท้ายอะไรบางอย่างนั้นก็ทำให้เขาไม่มีวันได้เจอใบหน้าลูกสาวคนเดียวของเขาได้อีกเลยตลอดทั้งชีวิต) ...และสวีนนีย์ก็เลือกจะจบวังวนแห่งการเอาคืน ด้วยชีวิตของผู้หญิงอีกหนึ่งที่รักเขา แต่เขาไม่เคยรู้ตัวเลย ในสิ่งที่เธอพยายามทำเพื่อเขามาโดยตลอด ก็อาจจะถือเป็นเรื่องที่น่าสมควรอยู่เหมือนกัน สำหรับจุดจบของ มิสซิส เลิฟเว็ตต์ ที่มีจุดเริ่มต้นของความมีใจ เป็นเหตุจำเป็นที่ทำให้เธอต้องโกหกปิดบังความเป็นจริงของอดีดคนรักของสวีนนีย์ ...แต่มันเป็นเรื่องที่ผิดเหรอ ? ที่ผู้หญิงที่แอบรักและห่วงใยในผู้ชายคนหนึ่งเลือกจะไม่บอกความจริง เพียงต้องการให้ผู้ชายคนนั้นเลิกจมปลัก และตื่นลืมตาขึ้นมาเพื่อยอมรับความจริงที่เป็นอยู่ ... มิฉะนั้น เลิฟเว็ตต์ จึงย่อมไม่ใช่คนที่ผิดในเรื่องนี้ ...หากแต่วิธีที่เธอเลือกมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่สุดที่จะทำให้ สวีนนีย์ จบเรื่องราวทุกอย่างได้อย่างมีความสุขเช่นกันฉากสุดท้ายของ Sweeney Todd ที่เป็นการจบซึ่งเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกนำพามาด้วยความแค้น ถือว่าเป็นฉากที่ยอดเยี่ยมและทรงพลังเป็นที่สุดในความคิดของผม... เมื่อคมมีดคู่ใจที่เขาศรัทธา กลับเป็นเครื่องมือที่ร้ายกาจที่สุด ที่ปลิดชีวิตชายชื่อ สวีนนีย์ ทอดด์ ด้วยน้ำมือของคนนอกที่ได้รับรู้ความชั่วร้ายพยาบาทอันสมบูรณ์แบบที่เขาได้สั่งสมสร้างมาตลอดทั้ง 15 ปี ...มันเป็นได้ทั้งความสะใจ และสะเทือนอารมณ์ ที่บ่งนิยามอันแท้จริงของความแค้น ได้รุนแรง(จนเลือดสาด) และงดงาม(อย่างเจ็บปวด)เป็นที่สุด เท่าที่ผมดูหนังแค้นๆฆ่าๆมาพอสมควร ...ก็เพิ่งมีเรื่องนี้ ที่สื่อสารในจุดจบของคำว่า "แค้น" ได้ดีโดนใจผมที่สุด (จบการ SPOILER ) "Sweeney Todd" ... เป็นอีกหนึ่งหนังที่ได้รับการยกย่องอย่างเป็นเอกฉันท์จากบรรดาคนดู นักวิจารณ์ ที่หลงในความหม่นหมองประคองอารมณ์ในแบบฉบับของ "ทิม เบอร์ตัน" จนได้ชื่อว่าเป็นงานมาสเตอร์พีซอีกชิ้นหนึ่งของจอมเซอร์แด๊กคนนี้ ...และสำหรับผมแล้ว ก็เห็นควรหลงใหลในสิ่งที่เขาว่ามาโดยไม่มีข้อโต้เถียง และยังถือว่าเป็นงานของน้าทิม ที่ชอบมากที่สุด เข้ามาแทนที่ "Big Fish" อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หลังจากมัวไปหลงสร้างหนังสดใสนิ้งหน่อง อย่าง Big Fish , Charlie and the Chocolate Factory (กระทั่งกับ Corpse Bride ...ที่พยายามดาร์กสุดๆ ก็หลุดเข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้ เพราะมันก็ถือเป็นหนังการ์ตูนที่ก็มีอะไรให้เด็กๆพอเพลินได้อยู่ ...เง้อ!!!) ...การกลับมาสู่หนังที่ขายความเป็นตัวเองได้สุดๆของน้าทิม จึงเป็นสิ่งที่แฟนๆรอคอยอย่างแท้จริง แม้กับผมที่ยังไม่ได้ดู Edwards Scissorhand หรือ Sleppy Hollow แบบเต็มๆ ก็มิอาจปฏิเสธว่า เสน่ห์แบบดาร์กๆ เป็นสิ่งที่ดูจะเหมาะเหม็งเป็นที่สุดของน้าทิมเขาแล้วล่ะ และก็ไม่น่าผิดหวังใดๆเลย กับ "ช่างตัดผมหฤโหดแห่งถนนฟลีท" ...น้าทิม สร้างเสน่ห์ของความหม่นหมองประคองอารมณ์ตามแบบฉบับของเขา ให้เข้ากันกับการเป็นหนังที่ใช้ 'เพลง' เป็นไดอะล็อกเล่าเรื่อง ควบคู่กับการสร้างความเสียวสยอง ต้นคอสะเทือน กับฉากปาดที่สาดกระจายเต็มไปด้วยเลือด ...อารมณ์ดิบๆของน้าทิม เป็นตัวขับเคลื่อนหนังให้เดินหน้าไปด้วยความมีพลัง สร้างความรู้สึกให้น่าติดตามไปกับพลอตเรื่องราวที่มีสาระสำคัญเพียงแค่การล้างแค้นเอาคืนซึ่งๆหน้า ...ถึงจะเนิบนาบราบเรียบในการเล่า แต่ภาพของหนังก็สามารถตรึงคนดู และนำสายตาของพวกเราจ้องมองไปสู่ฉากต่างๆที่เอาความเป็นหนังเพลงมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยก็อาจจะติดขัดอยู่บ้างที่ ความคาดหวังมันคลาดเคลื่อนกับความจริงไปพอสมควร ...เพราะถ้าวัดเอาความเป็นหนังเพลงมาเป็นประเด็นหลัก ผมยังรู้สึกว่าไม่ค่อยอิ่มในตรงนี้จาก Sweeney Todd ...เมื่อเทียบกับบอร์ดเวย์ขึ้นจออย่าง Chicago หรือว่า Hairspray ...หนังเรื่องนี้ยังใช้เพลงมาเป็นตัวดึงความสนใจจากคนดูได้เพียงเข้าขั้นแค่ดี ยังไม่ใคร่แข็งแรงและทรงพลังสักเท่าไหร่ แต่ถึงกระนั้นแล้ว กับความเป็นจริงที่ผมได้เห็น(ไม่ใช่เรื่องที่ได้คาดหวัง) ...ผมกลับมองว่า นี่เป็นหนังดรามา ทริลเลอร์ ที่ใช้เพลงเป็นไดอะล็อก มากกว่า การจับนักแสดงมาร้องเพลงเต้นๆ แล้วให้เรื่องทุกอย่างถูกเพลงดึงความสนใจ และความสนใจทั้งหมดที่ผมมีต่อหนัง ก็ล้วนตกอยู่กับ ทิม เบอร์ตัน และดารานำชายยอดเยี่ยม(ในใจผมอีกคน) "จอห์นนี่ เดปป์" เป็นสำคัญ ซึ่งป๋าเดปป์ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังอีกเช่นเคยกับบทบาทที่เหมือนจะรวมเอาทุกคาแรกเตอร์ที่เขาเคยเป็นมา ใส่ลงไปในตัวละครตัวหนึ่งในหนังเรื่องเดียวกันเรื่องนี้ ที่ได้โชว์ศักยภาพของการเป็นนักแสดงคุณภาพที่ 'ป๋า' มาก สมชื่อสมญานามที่แฟนๆป๋าเทิดทูนเอ๊ดเวิร์ด มือกรรไกร ...ได้กลายมาเป็น สวีนนีย์ ทอดด์ ที่มี...ใบหน้าอารมณ์เดียว ตายด้านแทบตลอดทั้งเรื่องแจ๊ค สแปร์โรว์ ...ได้กลายมาเป็น สวีนนีย์ ทอดด์ ที่มี...ความซื่อ แอบคด ซ่อนอยู่ใต้เปลือกหน้าที่เดาไม่ได้ ทายใจไม่ถูก เจมส์ เอ็ม. แบร์รี่ (Finding Neverland) ...ได้กลายมาเป็น สวีนนีย์ ทอดด์ ที่มี...ความอบอุ่น อ่อนโยน ในช่วงเวลาที่เขาเคยเป็น เบนจามินป๋าเดปป์ สามารถกลืนวิญญาณของการเป็นฆาตกรนักโกนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ...ชนิดที่ภาพเก่าๆ บทบาทคุ้นตาเหล่านั้น ไม่มีโอกาสแทรกแซงนิมิตรภายในสองลูกตาของผมได้เลย ...อาจแม้จะมีความคล้ายคลึงในบางลักษณะ แต่มาดดิบๆ กับคาแรกเตอร์ที่เลือดเย็นสุดขีดคั่น ของ สวีนนีย์ ทอดด์ ก็ยังคงกินขาดไม่ต่างกับตัวละครหลายบทบาทก่อนหน้ากันเลย ฉะนั้นแล้ว การเข้าชิงออสการ์อีกหนึ่งหนของ จอห์นนี่ เดปป์ ในปีนี้ ...จึงเป็นเรื่องที่เห็นสมควรสำหรับผม อาจจะเว้นเพียงแต่ โอกาสได้ไปก็คงจะน้อยอยู่เต็มประดากันอยู่ดี (เมื่อเทียบกับ เดเนียล เดย์-ลูอิส ที่แรงยิ่งๆ ก็ยากจะโค่นลงได้ในตอนนี้)ส่วนกับการแสดงของดาราคนอื่นๆ ...ก็นับว่าทำหน้าที่ได้รับอย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน ถึงจะไม่เด่นเด้งอะไรมาก แต่ก็ช่วยขับดันให้การแสดงของเดปป์มีพลังแข็งแรง พอๆกับการเป็นตัวประกอบที่ดึงคนดูให้เกาะติดจับเรื่องราวเพื่อตามดูไปถึงฉากสุดท้ายของหนังและชีวิตของพวกเขาว่าจะลงเอย จบลงกันเช่นไร อะไรๆเท่าที่พูดมาทั้งหมดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของความดีแทบทั้งนั้น ...จะมีมาเสีย จนเฮีย(ไม้โท)อยู่อย่างเดียว ก็คือ 'โมเสค' นับสิบๆฉาก ที่บดบังทัศนวิสัยและงานศิลปะเสียจนยับเยิน ...พาลทำให้ความดีที่น่ายกย่องของหนังต้องสะดุดใจ ไม่ให้มีใครอยากจะมาทนเห็นมันได้ในโรงหนังประเทศไทยที่สุดแสนจะอาภัพความพอดี ของคำว่า 'มาตรฐาน' 'ความแค้น' ไม่เคยช่วยอะไร รังแต่จะช่วยให้ตายไวกว่าเดิม คือ สิ่งที่ Sweeney Todd พยายามพร่ำบอก ...ก็ไม่ต่างไปกับ บรรดาคุณๆท่านๆนักการภาร'เซนเซอร์'หรอก ที่แค้นหนังมันรุนแรงไปก็ไม่ช่วยอะไรเลย หากรังแต่จะทำให้วงการหนังในเมืองไทยตายไวกว่าเดิม ไม่อยากจะพูดคำนั้นเลยจริงๆ ...แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ได้พูึดออกไป เพราะอย่างหนึ่ง นี่มันคือความจริง และอย่างที่สอง นี่คือสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ กับคนหลายคนที่เขาโตพอจะรู้ว่า อะไรที่พยายามบังๆอยู่มันคือ 'มีด' และ 'เหล้า' ...แม้กับเด็กอนุบาลก็คงไม่มีใครโนเนะบอกว่านั่นคือ 'อมยิ้ม' และ 'นมขวด' เสียหรอก"Sweeney Todd" ... นี่คือ หนังดีระดับยอดเยี่ยม สมกับการได้รับตีตราว่าเป็นอีกชิ้นงานระดับมาสเตอร์ของ น้าทิม เบอร์ตัน ...และนี่เป็นหนังที่ผมไม่อยากให้พลาดจากการดูในโรงเลย ถ้าบังเอิญว่า มันจะไม่มีอะไรมาเกะกะบังลูกตา พาลให้อารมณ์เสียเซลฟ์ จนจำเป็นต้องแบนกันโดยถ้วนหน้าเยี่ยงนี้ สำหรับใครที่ยังอยากจะไปดูในโรง ...ก็ขอให้นึกว่ามันมีแมลง มีกองทัพยุงมาบินว่อน บังจอก็แล้วกัน ...ซึ่งมันคงไม่ช่วยอะไรหรอก ก็แค่มองโลกในแง่ดีเท่านั้นเอง เหอๆ (หัวเราะด้วยความขมขื่น)ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ...(ถ้าดีวีดีของแคททาลิสท์ออกเมื่อไหร่ ต้องรีบจัดมา อย่าให้เสีย..หรือโหลดบิท แผ่นเถื่อนก็ตามแต่) ครับเกรด A ... { }คุยแหกโค้ง..สุดท้าย Oscar 2008 : นอกเหนือไปจากสาขาดารานำชายที่ป๋าเดปป์ได้ลงชิงชัยแล้ว กับสาขางานโปรดักชั่นอย่าง เครื่องแต่งกาย และกำกับศิลป์ ก็นับว่าน่าลุ้นอยู่ แต่ทว่าผมไม่อยากตัดสินอะไร เพราะไม่สันทัดในกรณีนี้เอาซะเลย ...รู้แค่สวยไม่สวย เท่านั้นเอง ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันความเป็นไปของหนังกับผมทั้งปีหมู แห่ง 2007 ที่ผ่านมา ...ได้สรุปลงสู่บล็อกแล้ว ขอเชิญติดตามความประทับใจของผม OncE UPoN'-'a MaN ตามติดทั้ง 5 สาขา และร่วมให้คอมเมนต์ แห่งความประทับใจของคุณกันได้ครับผม ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ [The Best of 2007] 10 หนังดูที่'โรง'สุดประทับใจ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=16-01-2008&group=9&gblog=14 5 หนังดูที่'บ้าน'สุดประทับใจ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=12-01-2008&group=9&gblog=13 5 หนัง'โรง'อยากลืมเป็นที่สุด //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=10-01-2008&group=9&gblog=12 5 ฉากน่าจดจำในหนังสุดประทับใจ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=09-01-2008&group=9&gblog=11 15 การแสดงยอดเยี่ยมในหนังสุดประทับใจ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=07-01-2008&group=9&gblog=10 ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2551 0:05:58 น.
11 comments
Counter : 11148 Pageviews.
โดย: pabo IP: 58.9.18.221 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:07:41 น.
โดย: amoderndog (amoderndog ) วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:48:00 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:32:14 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.91.21 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:4:15:04 น.
โดย: lion IP: 218.186.9.3 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:54:59 น.
โดย: รักแห่งสยอง IP: 203.185.130.105 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:39:40 น.
โดย: สีนิล IP: 124.120.232.51 วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:30:44 น.
โดย: จูน IP: 58.9.112.41 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:09:16 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.95.185 วันที่: 3 มีนาคม 2551 เวลา:0:44:02 น.
โดย: จิ๊บ IP: 115.87.158.151 วันที่: 10 มิถุนายน 2556 เวลา:16:27:35 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
ตอนดู sleepy hollow นั่นว่าหลอนแล้ว
มาเจอบาร์เบอร์จอมโหดนี่เข้าไป โอย สาแก่ใจจริงๆ