"Hellboy II : The Golden Army" ... เด็กเวรตัวแดง กลับมาใหม่ ไฉไลกว่าเดิม
ถ้าไม่ใช่เพราะเครดิตอันยอดเยี่ยมจากงานชิ้นก่อน กับหนังแฟนตาซีจินตนการบรรเจิดทั้งน้ำตา อย่าง "Pan's Labyrinth" เป็นตัวการแล้ว ...การกลับมาหนใหม่ของผู้กำกับเลือดเม็กซิกัน "กิลเลอร์โม เดล โตโร" กับหนังภาคต่อที่แสนภาคภูมิใจของเขา อย่าง "Hellboy II : The Golden Army" ก็ย่อมจะเกิดความรู้สึกน่าดูได้ด้วย ความน่าชมของหนังตัวอย่าง ที่แอบมีลุ้นให้เราคิดสะระตะเอาว่า คงสนุกกว่าภาคแรก ซะละมั้ง หลังจากภาคแรกของ "Hellboy" ถือเป็นการประเดิมเปิดตัวอย่างเป็นทางการบนแวดวงคนหนังฮอลลีวู้ดของ พี่ เดล โตโร (ก่อนหน้า ก็เคยไม่เป็นทางการ ในหนังฮีโร่แวมไพร์ "Blade II" ..ที่วันนั้นตัวผู้กำกับดันไม่โด่งดังเท่าดาราผิวหมึก "เวสลี่ย์ สไนปส์" ..แต่ในวันนี้ ถือเป็นคนละเรื่อง) ...ความทะยานอยากของผู้กำกับไฟแรงสูง ก็นำพาให้เขาโชติช่วงกว่า กับการสั่งสมฝีมือคุณภาพจนเข้าฝัก และได้รับการยกย่องด้วยใจจากทั้งคนดูและนักวิจารณ์ ที่ยึดให้ เขาวงกตของฟอน เป็นอีกหนึ่งงานดี ที่เข้าขั้นมาสเตอร์พีซในหมู่มวลหนังแฟนตาซีด้วยกัน (ถึงมันอาจจะดูสลดล้น หดหู่เกิน อันเกิดจากความซาดิสม์ บวกใจอำมหิตของพี่ เดล โตโร ก็ตามทีเถอะ) ทั้งนี้ ยังเหมือนเป็นมาตรฐานที่จะทำให้เราอยากคาดหวังว่าหนังเรื่องต่อๆไป ในตระกูล เดล โตโร ควรจะออกมาในเกณฑ์ที่เป็นหนังดี โดยถ้วนทั่ว ซึ่งก็ไม่ละเว้นกับหนังภาคต่อ ที่เคยมีภาคแรกเป็นหนังดูสนุก เพียงพอกล้อมแกล้ม ..หากก็มีผู้กำกับคนเดียวกัน แต่ความคมและเข้มเปลี่ยนแปลง พาลมาทำให้เราคิดหวังว่าภาคนี้ น่าจะออกมาดีกว่า ภาคที่แล้ว ที่ผมพูดอย่างนั้นไป ไม่ได้หมายความว่า Hellboy ภาคแรก ไม่ใช่หนังที่ดี เพียงเพราะถ้ามองในเรื่องของความบันเทิงเป็นหลัก ก็ตอบโจทย์คนดูได้ดีในระดับหนึ่ง ...แต่ถ้าลองยึดเอาเรื่องส่วนประกอบอื่นๆที่กลายมาเป็นความน่าจดน่าจำแล้ว การแหวกประเพณีหนังฮีโร่ของ เดล โตโร ในหนนั้น ยังดูเก้ๆกังๆ อิหลักอิเหลื่อไปกับความที่หนังไม่เอาให้สุดสักทาง คล้ายว่ามีอะไรบางอย่างที่กั้กเอาไว้ แต่ไม่อาจเสนอออกไป ด้วยเพียงเพราะ ความเป็นหนังขายตลาดมันบังหน้าให้ต้องคิดแบบเพลย์เซฟเอาไว้ก่อน (โดยกรณีนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องไปเคลียร์กับสตูดิโอผู้สร้างเจ้าเก่าเสียมากกว่า) ในเมื่อการสั่งสมประสบการณ์ บวกความฉกาจฉกรรจ์ที่เข้าขั้นใกล้ออสการ์แบบเฉียดๆมาได้ เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าฝีมือระดับนี้ มีของอะไรสะสมก็ต้องปล่อยออกมาให้หมดๆไป ...มิเช่นนั้นแล้ว การได้รับไฟเขียวจากสตูดิโอเจ้าใหม่(ยูนิเวอร์แซล) ให้มีสิทธิ์และเสียง ทำอะไรตามแต่ใจอย่างเต็มที่ จึงเป็นเรื่องดีที่ทำให้เราได้เห็น อีกหนึ่งครั้งแห่งการรังสรรค์นิมิตรภาพจินตนาการบทใหม่ ที่ถ้าไม่ใช่เพราะความกล้าคิด กล้าทำ จะนำพา ..มันก็ย่อมคล้ายจะเป็นความบ้าคลั่งสุดกู่ ที่แสดงออกซึ่งลายเซ็น กิลเลอร์โม เดล โตโร ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลอกลายมือของพี่ท่านออกมาได้เหมือนเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว "The Golden Army" ...เปิดเรื่องราวในภาคที่สอง (เสมือนจะเริ่มต้นย้อนความให้ใหม่กันอีกสักที) กับการนำเสนอชีวิตในวัยเด็กของเจ้าหนู "เฮลล์บอย" ที่เติบโตมากับ "ศาสตราจารย์ บลูม" (ซึ่งแท้จริง ตายไปแล้วแต่ภาคแรก) ผู้เป็นทั้งผู้จัดการชีวิต ควบคู่ด้วยตำแหน่งพ่อ ..ทั้งนี้ทั้งนั้น หนังเลือกจะไม่เสียเวลาให้มีบทดรามาความสัมพันธ์พ่อ-ลูก แต่กลับใช้พื้นที่ตรงนี้ เพื่อเล่ารายละเอียดความหลังเป็นมา ของตำนาน "หุ่นจักรกลทองคำ" ที่เชื่อกันว่า กษัตริย์แห่งโลกเทพนิยาย เคยหวังพึ่งจะใช้พวกมันทำสงครามดับมนุษย์ให้สิ้นฤทธิ์ หากผลลัพธ์ที่ให้คืนกลับมาก็เปลี่ยนเป็นความเสียใจ ที่ทำให้ต้องระงับการจองเวร ด้วยการให้สัญญาว่าจะ เกี่ยวดองกันทางฉันท์มิตร พร้อมมอบส่วนหนึ่งในสามของมงกุฏ(ที่มีไว้ควบคุมบัญชากองทัพหุ่น) ฝากมนุษย์ให้ดูแล แทนใจที่รักสงบ เจ้าชาย "นูอาดา" ผู้เคยบอบช้ำเจ็บใจยิ่งนัก เมื่อครั้งที่ท่านพ่อเลือกจะทำสัญญาสงบศึก ให้โลกมนุษย์รอดพ้นจากหายนะที่เขาหวังจะเอาชนะ ...ถึงเวลาได้คืนกลับมาอีกหนหนึ่ง ด้วยเหตุและผลที่เขาวาดหวังว่าโลก(ในตอนนี้ ..ปี 2008) ควรถึงคราวกาลอวสานได้สักที และในครั้งนี้เขาก็จะขอเป็นผู้ที่เปิดประตูปิดตายของ กองทัพหุ่นทองคำ ให้ออกมาเพ่นพ่านถล่มโลก โดยไม่สนว่าเขาจะต้องฝ่าศพใครไป แม้กระทั่งพ่อบังเกิดเกล้าก็ไม่หวั่น เมื่อถึงคราวที่เหตุอันเป็นภัยต่อโลกอันใหญ่ยักษ์ ยากจะควบคุมได้เพียงกำลังมนุษย์ตัวเล็กๆจัดการจนเสียหมด ..ก็ถึงเวลากลับคืนสมรภูมิของพลพรรคเด็กเวร ที่จะกอบกู้โลกของเราให้คืนมาสู่ความสงบอีกจนได้ และงานนี้ เหนื่อยหนักแน่!... เมื่อ เฮลล์บอย พร้อมสองสหายคู่ชีพ.. "ลิซ" แฟนสาวพลังไฟ และ "เอ๊ป ซาเปี้ยน" มัจฉาพลังจิต จำเป็นที่จะจำใจต้องต่อกรกับศัตรูรายสำคัญ ที่มีความหมายต่อการล่มสลายของโลกกลมๆโดยตรง อีกทั้งนี้ก็ยังจะต้องรับมือ อีกหนึ่งสมาชิกใหม่ที่เข้ามาร่วมก๊วน(แต่เน้นจะกวนหัว..หมอง) "โยเเฮน เคร้าส์" และสุดท้าย ก็คือ ศึกรอบด้านที่กำลังจะเดินหน้ากรูเข้ามาพิสูจน์ความเป็นฮีโร่ของเด็กเวรผู้นี้ ...เขาพร้อมหรือยัง ที่จะเป็นมิตรแท้ของคนทั้งโลกได้โดยสมัครใจ??? ถึงแม้ว่า Hellboy II จะถือเป็นงานขายบันเทิงเอาผ่อนคลาย ที่อาจไม่ต้องหวังอะไรจะไปไกลให้ถึงออสการ์เช่น Pan's Labyrinth ..แต่ ผกก. เดล โตโร ก็ยังสู้จะบรรเจิดให้เต็มที่ กับการพาเราหลงทางพิศวง ไปสู่ความพิศดารผิดโลก เมื่อสัตว์ในเทพนิยายปรัมปราเพ้อฝัน ลุกขึ้นมามีชีวิต ปฏิสัมพันธ์ และเดินร่วมพื้นดินเดียวกันกับมนุษย์เป็นๆถึง เดล โตโร จะผ่อนปรนกับชีวิต เครียดให้น้อยลง เน้นเพลิดเพลินจรุงจิตมากขึ้นกว่าคราวก่อนเยอะๆ.. ก็ไม่ยอมผ่อนสมองให้กับความคิดช่างครีเอท ที่เขาบันเทิงไปกับมัน พร้อมๆกับการสร้างความสนุก ที่เข้มและข้น ให้คนดูได้ปลดปล่อยใจ มารับชมความเพ้อฝัน ที่กลายมาเป็นความจริงเพียงเวลาชั่วครู่ จะด้วยฝีมือที่ครบครัน ครบเครื่องกว่า เมื่อครั้งสมัยทำภาคแรก หรือจะรวมเป็นเรื่องของความลงตัวที่มีมากขึ้นกว่าหนก่อน ในสัดส่วนของหนังที่ปะปนไปด้วย ฉากแอ๊คชั่น ความเป็นแฟนตาซี มีมุมดรามาซึ้งๆ แล้วก็ไม่วายแอบหวาน โรแมนติกในบางเวลา... พี่เดล โตโร ก็ถือว่าสามารถได้ทั้งนั้น โดยไม่นำเอาความเป็นตัวของตัวเอง มาชักพาให้หนังล่องลอย ออกนอกทิศนอกทาง ..เพราะหากจะว่าไปแล้ว พลอตเรื่องที่มีหลากหลายแนวในภาคสองนี้ ก็ยังอาจจะดูมากล้นจนเกินพื้นที่ไปเสียด้วยซ้ำ ที่จะเล่ามันออกมาได้เนื้อๆเน้นๆหมดทุกอย่าง แต่กระนั้นแล้ว ด้วยผลของการเฉลี่ยน้ำหนักที่ทำได้ค่อนข้างดี จึงพอจะมองข้ามจุดอ่อนตรงนี้ ไปเน้นๆเอาน้ำๆ จากความมันส์ที่หนังตั้งใจได้อยู่ ซึ่งจากที่ภาคแรก เคยเป็นที่บ่นอึงของคนดู ว่ากั้กนู้นกั้กนี่ ..หากมาในภาคนี้ ก็พร้อมใจกันชมว่าสนุกกว่าอย่างเห็นได้ชัด และที่ชัดเจนว่าเป็นเสน่ห์ อันเสริมส่งให้หนังภาคสองหนนี้ออกมาดูดี ไม่จืดชืด ก็ยังคงต้องรวมไปถึง เหล่าคาแรกเตอร์ตัวละครหลักๆ ที่มีบทบาทให้สนุกกับหนังได้มากขึ้น และ งานโปรดักชั่นออร่าอล่าม ที่ดูอลังจับจิต ก็คล้ายจะประหนึ่งว่านี่คือ Pan's Labyrinth เวอร์ชั่นสว่างไสว หัวใจ Feel Good "รอน เพิร์ลแมน" ดูจับติด และสวมวิญญาณเป็น เฮลล์บอย ได้เข้าถึงกว่าคราวก่อน(ที่บทเคยเอื้อให้เขาเป็นพระเอกได้แค่แกนๆ) และงานนี้ พี่แกก็ยังพกพาความฮามาเต็มพิกัด ที่ช่วยพลิกภาพไอ้แดงโข่งดุร้ายในภายนอก ให้กลายเป็นยักษ์เชื่องๆ ที่ขอให้มีเรื่องเกิด ถึงค่อยจะกัดคืน (หากบังเอิญที่เรื่องมันเกิดบ๊อยบ่อย ..งานนี้ ก็เลยยังเห็นพี่แกกัดกับใครๆเขาไปทั่วเช่นเคย) ..ส่วน "เซลมา แบลร์" และ "ดั้ก โจนส์" ที่มีบทบาทมากขึ้น ก็ล้วนต่างทำหน้าที่สมทบชั้นดี ที่รวมมาเป็นทีมได้..Work ซึ่งทำให้คนดูมีความรู้สึกร่วมกับการผจญภัยของพวกเขามากขึ้น ...ทั้งนี้อีกหนึ่งผู้มาใหม่อย่างคาแรกเตอร์ "โยแฮน เคร้าส์" แม้อาจจะออกมาน้อยฉาก แต่กลับให้ได้มาก แล้วก็กลายเป็นมากในเรื่องของความฮาที่ขโมยซีนชาวบ้านเขาไปทั่ว ในส่วนงานโปรดักชั่น ตามสไตล์เดล โตโร ที่ยังโดดและเด่น เป็นมันวับ กับการนำเสนอจินตนาการอันหลุดกรอบความเพ้อฝัน ..ก็ดึงดูดพาคนดูให้หลงไปอยู่ในโลกแห่งนี้ ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นแค่ภาพในหนัง แต่ใจก็ยังเลือกจะรู้สึกเชื่อ หากแม้มันจะจบ ออกจากโรงไป แล้วก็ไม่เกิดอารมณ์เพ้อใดๆติดตรึงกลับมาก็ตามทีเถอะ แต่ที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่ใจเชื่อ ..ก็คือ กลิ่นของ Pan's Labyrinth ที่โชยฟุ้ง ตามมาหลอกหลอนใจ ได้ตลอดทั้งเรื่องนี่สิเออ เหอๆ ทั้งนี้ ก็ยังเสียดายอยู่ไม่น้อยที่ Hellboy 2 น่าจะเข้มข้นกว่านี้ได้อีก ถ้า "The Golden Army" จะมีบทบาทความคุ้ม ให้สมค่ากับเกียรติที่ถูกตั้งชื่อห้อยท้ายหนังซะหน่อย ...และความเฉียบที่คมไม่กริบ ความสดที่ไม่ใหม่ ก็คือ ส่วนเล็กๆน้อยๆ ที่ยังผลให้ งานของ พี่เดล โตโร หนนี้ ไม่เชิงจะได้ใจใครไปเต็มๆ ...ถึงจะชอบ ก็ไม่เต็มที่ แม้จะสนุก ก็ยังรู้สึกว่ามันย่อมน่าจะมีมากกว่านี้ได้อีกเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นแล้ว "Hellboy 2 : The Golden Army" ก็เป็น หนังซัมเมอร์อีกเรื่องที่ไม่น่าจะสร้างความผิดหวังให้กับใครได้เป็นแน่ ...แม้อาจจะยังไม่กินใจอะไรนักหนา แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหนังบันเทิงที่ดี แม้อาจไม่เอาใจตลาดกันสุดกู่ แต่ก็ไม่ตามใจคนทำจนล่มที่ปากอ่าว เฉกเช่นก่อนหน้าที่ Hancock พยายามแล้ว.. แป้กสนั่น!!! เกรด B+ ... { } "สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนังได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน" Can't Smile Without You ...เพลงคลาสสิคน่ารักๆ ที่ถูกนำมาใช้กับฉากน่ารักๆ น่าอมยิ้มของสองซี้ 'เรด' และ 'เอ๊ป' ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 16 กรกฎาคม 2551
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 1:50:00 น.
6 comments
Counter : 5675 Pageviews.
โดย: nanoguy IP: 125.24.114.156 วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:2:33:18 น.
โดย: palmy_yoyo วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:30:18 น.
โดย: palao วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:20:53:52 น.
โดย: เทพ IP: 58.8.110.163 วันที่: 18 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:06:07 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 23 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:57:44 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30 31
รู้สึกภาคนี้มันครีเอตก็จริง แต่มันก็เป็นอย่างเดียวที่ดูเป็นเดลโตโร่
เพราะอย่างอื่นมันก็คือหนังฮีโร่ธรรมด๊า ธรรมดา ที่ยุคหลังเอาไปทำกันหมดแล้ว ไหนจะปัญหาความรักเอย ปัญหาเรื่องคนไม่ชอบ ต้องปกปิดตัวเอง บลาๆ (ซึ่งไอ้ข้อหลังนี่ไม่รู้จะใส่มาทำไมน่ะ เพราะตอนแรก - และภาคแรก - ก็เห็นคนออกจะอยากรู้อยากเห็น แกมนิยมชมชอบพวกนี้ดีออก อยู่ดีดีบทนึกจะเกลียดขึ้นมาก็เกลียด+รังเกียจกันง่ายๆซะงั้น)
เอาเถอะ เพลง Can't Smile without You ก็เพราะดี
แต่รำคาญยัยเจ้าหญิง เธอมาเพื่อทำ "ตอนจบ" clicheๆ แบบนี้แค่นี้ใช่มั้ย เซ็ง 55+