Julie & Julia และ Whip It ... สองหนังพลังหญิง ที่ผู้ชาย(อย่างผม)เป็นปลื้ม(มากมาย)
ประกาศ...ประกาศ!! ผมมี Twitter เป็นของตัวเองแล้วนะครับ.. ใครสนใจจะ follow ผม ก็ขอชวน follow เข้ามากันที่.. //twitter.com/once_upon_a_man มีอะไรไวว่อง อยากจะบอก อยากจะพูด จะรีบมาอัพเดทที่ทวีตทันทีทันใดเลยนะครับ ..ขอขอบคุณที่รับผมเป็นเพื่อนครับ ก็ไม่รู้อะไรมาดลใจ จึงทำให้ผมผู้แสนจะแมนทั้งแท่ง(จริงๆนะ ไม่ได้ปกปิด เร้นลับสิ่งใดไว้ ) รู้สึกเกิดอาการตกหลุมรักหนังที่ว่าด้วยเรื่องพลังหญิงขึ้นมาอย่าง Julie & Julia และ Whip It ..ทั้งๆที่ก่อนหน้าจะได้ดูก็ไม่คิดอะไรมาก คาดว่าคงจะเพลินๆ ยิ้มๆ ออกจากโรงอย่างมีความสุข สบายดี ก็จัดว่าเกินพอ เพราะเท่าที่เคยดูหนังพลังหญิงมาหลายๆเรื่อง มีน้อยเรื่องจริงๆที่จะประทับใจ โดยเฉพาะที่จำได้แม่นยำก็คือ The Devil Wears Prada ..ในขณะที่หนังที่เขาเรียกว่า Chick-Lit (หนังที่มีผู้หญิง เป็นศูนย์กลาง ของทุกสิ่งทุกอย่าง ..ขณะผู้ชายก็แค่ตัวประกอบ) เรื่องอื่นๆที่ผมได้ดู ก็มักจะไม่ทำอะไรให้ผมโดนใจมากมาย นอกเสียจากเข้ามา เก็บความน่ารัก(ของหนัง หรือดาราคนเล่น)กลับบ้านไป ซะมากกว่า ซึ่งในกรณีของเรื่องสองเรื่องที่ว่าข้างต้น ก็คงต้องเป็นเรื่องที่ถูกยกเว้นเอาไว้เช่นเดียวกับ นางมารสวมปราด้า ..ในฐานะที่หนังทั้งสองนี้ ยังมีอะไรที่มากกว่าความน่ารักสอดแทรกไว้อยู่ข้างในJulie & Julia ผลงานกำกับชิ้นล่าสุดของ นอร่า เอฟรอน ผู้ที่เคยทำให้ ทอม แฮงค์ส กลายเป็นโรแมนติกแมนใน Sleepless in Seattle มาแล้ว ..คราวนี้เธอกลับมาพร้อมกับเรื่องราวของผู้หญิงสองคน ที่ต่างคนก็ไม่เคยได้เจอหน้ากัน และพวกเธอยังต่างก็อยู่ในช่วงเวลาคนละยุคคนละสมัยกันเลย แต่กระนั้น คนหนึ่งก็ได้เป็นแรงบันดาลใจให้อีกคนอยากจะยึดถือเป็นแบบอย่าง ผู้หญิงที่เกิดมาก่อน ก็คือ จูเลีย ไชลด์ ..แม่ครัวคนดังชาวมะกันที่ได้ดิบได้ดีเพราะสามารถทำอาหารฝรั่งเศสที่ยุ่งยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายได้สำหรับแม่บ้านทั่วๆไป ..และหนึ่งในแม่บ้านเหล่านั้น ก็ต้องรวม จูลี่ เพาเวลล์ ไว้อีกคนหนึ่งด้วย เธอยึดถือ จูเลีย เพื่อเป็นแบบอย่างในเรื่องของความอุตสาหะที่จะทำเรื่องยาก ให้ลุล่วงอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ซึ่ง จูลี่ ก็มีเป้าหมายในชีวิตว่า ภายในระยะเวลาหนึ่งปี เธอต้องสามารถทำรายการอาหารฝรั่งเศสที่อยู่ในคัมภีร์ของ จูเลีย ให้เสร็จสิ้นทั้งหมด ..พร้อมกันนั้น เพื่อจะได้บำบัดความใคร่อยากเป็นนักเขียนของตัวเอง เธอก็อยากได้นำเสนอเรื่องราวความยุ่งยากของตัวเอง ผ่านทางไดอารี่บล็อกประจำวัน เพื่อแบ่งปันความสุขสู่เพื่อนร่วมโลกไซเบอร์ให้ได้รับรู้ไปด้วย แต่ภายในเวลาหนึ่งปีแสนสั้น กับรายการอาหารนับร้อยๆอย่าง ที่รอคอยอยู่ตรงหน้า เพียงแค่เปิดหนังสือ.. นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ทำอะไรก็มักจะไม่รุ่ง แถมยังออกจะเป็นคนที่สมาธิสั้นอีกต่างหาก ...แล้ว จูลี่ จะเดินตามรอย จูเลีย ได้สำเร็จแน่หรือ? แม้ Julie & Julia จะมาพร้อมโจทย์ที่ดูเรียบง่ายสำหรับการทำหนังคอมเมดี้ สักเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องมีอะไรให้เล่ามากมาย นอกจากจะพุ่งเป้าไปสู่ การเดินตามรอยผู้หญิงคนหนึ่งของผู้หญิงอีกคน เพื่อจะเอาชนะตัวเองให้หลุดพ้นซึ่งความเอียงอายที่ล้อมกรอบเธอเอาไว้ ..แต่เมื่อมาว่ากันในส่วนของการหาผลลัพธ์แล้วละก็ ผู้กำกับเอฟรอน ก็ยังคิดทะลุกรอบไปอีกขั้น เพื่อจะทำให้มันกลายเป็นหนัง(กึ่ง)ชีวประวัติอีกเรื่องหนึ่ง ที่พูดถึงคนที่มีตัวตนอยู่จริงๆ ไม่ใช่แค่การหยิบมาอ้างอิงแค่ในนามไว้เฉยๆ และด้วยวิธีการคิดที่ซ้อนซับ เช่นนี้นี่เอง ..ที่ช่วยยกระดับให้ Julie & Julia กลายเป็นหนังคอมเมดี้อีกเรื่องหนึ่ง ที่ดูมีอะไร มากไปกว่า ความน่ารัก(ที่ควรจะมีอยู่แล้ว) ...และทำให้ผมรู้สึกว่า นี่เป็นหนังคอมเมดี้ ที่โดนจริตผมถึงมากที่สุดของปีนี้เลยทีเดียว ซึ่งถ้าว่ากันตามเรื่องตามราวแล้ว Julie & Julia อาจจะยังมาพร้อมสูตรสำเร็จ ที่ทุกคนคาดหวังกันแต่ต้นได้เลยว่าตอนจบ มันต้องแฮปปี้เป็นแน่ ..อีกเมื่อรวมถึงเนื้อเรื่อง กับสถานการณ์ตามรายทาง ก็ไม่ถือว่ามาเหนือ หรือเกินคาดเดาสักกันเท่าไหร่ ...แต่กระนั้น ในสูตรของมัน ก็ยังทำให้ออกมาสนุก ได้ด้วยการพลิกแผลงในส่วนของวิธีการเล่า ที่ให้อารมณ์แบบเดียวกับเวลาทำอาหาร แล้วดันใส่เครื่องปรุงผิดพลาด แต่ก็สามารถแก้คืนได้ด้วยการเพิ่มนู้น ลดนี่ จนสุดท้ายก็ออกมาด้วยผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับความเพอร์เฟกต์ ถ้าว่ากันตามปกติแล้ว กับการเล่าเรื่องของหนังที่พูดถึงคนสองคน(หรืออาจจะเป็นแค่คนเดียว หรือมากกว่าสอง)ในสองช่วงเวลา ..ทุกๆคนคงนึกออกว่ามันมักจะมาพร้อมกับการสลับสองช่วงเวลา ดำเนินในเรื่องไปพร้อมๆกัน ซึ่ง Julie & Julia ก็ไม่ได้แตกต่างจากตรงนี้ไปซะทีเดียว ...แต่เมื่อมาเมียงมองในส่วนของการแบ่งน้ำหนักแล้ว จะเห็นได้เลยว่า หนังเรื่องนี้ ค่อนข้างใส่ใจกับตรงนี้ กันเป็นอย่างดีเลยทีเดียวเพราะในขณะที่เรื่องราวทั้งคู่ ก็เล่าความเหมือนและแตกต่าง ในตัวของมันเองอย่างเป็นเส้นขนานไปด้วยกัน ..แต่เมื่อถึงเวลาต้องแบ่งวรรค เพื่อจะให้อีกยุคสมัยได้ดำเนินต่อไปแล้ว ก็ยังหามีหนังอยู่น้อยเรื่องมาก ที่จะสามารถส่งมอบไม้ต่อได้อย่างรู้จังหวะ และสัมพันธ์กันไปแบบไม่มีขลุกขลักเลย ซึ่งจะทำให้หนังทั้งเรื่องวิ่งมุ่งสู่เครดิตตอนจบได้อย่างราบรื่น แล้วมันก็น่าปลื้มตรงที่ Julie & Julia เป็นหนึ่งในหนังน้อยเรื่องเหล่านั้น ที่สามารถหักล้างอุปสรรคสำคัญของความต่อเนื่องได้อย่างราบคาบ ..ทำให้หนังเรียงร้อย ทุกสิ่งอย่างออกมาได้ดูลงตัวที่สุด แม้กระทั่งว่าเรื่องราวแบบคู่ขนาน มันจะมองเห็นไปถึงช่องว่างแห่งความต่างทางรสนิยม(ของคาแรกเตอร์และช่วงเวลา)อย่างสิ้นเชิง ก็ตามทีเถอะ นอกเหนือไปจากการดำเนินเรื่องที่ราบรื่น และสนุกไปกับการเล่าที่พลิกแผลงในระหว่างทาง อันไม่ว่าจะด้วยเป็นมุขตลก หรือว่าการตัดสินใจกระทำบางสิ่งอย่างของตัวละคร ที่มีผลลัพธ์เหมือนเคยเห็นมาก่อน แต่แอบผันเปลี่ยนในรูปแบบออกไปบ้าง (ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่จูลี่ กับคนรักของเธอ มีปากเสียงใส่กัน ..ความน่ารักมันเกิดตรงที่ จูลี่ เลือกจะไม่ง้อคนรักโดยตรง แต่กับระบายความรู้สึกผิดผ่านบล็อกของเธอ เพื่อให้พยานนับพันได้รู้เห็นว่า เธออยากจะขอโทษจริงๆ ..แล้วมันก็สำเร็จอย่างที่ต้องเป็นไปตามสูตร) ...อีกสิ่งอย่าง ที่โดนใจผม ในหนังเรื่องนี้ ก็คือ การทำให้เราเห็นถึงความพยายามอันแรงกล้าของคนเพศแม่ ที่เมื่อถ้าตั้งใจทำอะไรจริงๆจังๆแล้ว ความขยาดกลัวสำหรับเพศพ่ออย่างเราๆ มันก็จะเกิดขึ้นโดยทันที ซึ่งหนังก็ได้แสดงให้เห็นผ่านทั้งตัว จูลี่ และจูเลีย ที่ต่างมีแนวความคิดคล้ายกัน แต่รสนิยม และวิธีการ(อันเป็นไปตามยุคสมัย) กลับทำออกมาไม่เหมือนไม่คล้ายซะทีเดียว ..โดยอย่าง จูลี่ ก็ได้ประกาศศักดาให้ทุกคนในโลก(ไซเบอร์)รู้ว่า เธอไม่เป็นโล้เป็นพายในเรื่องอื่น แต่เธอก็ยังเชี่ยวชาญกับเรื่องอาหารเป็นที่สุด ..ส่วน จูเลีย ก็เอาความชอบในเรื่องของการกิน มาเป็นตัวตั้งผลักดันให้เธออยากจะเป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องทำอาหารมากที่สุดในโลกใบนี้ สาระของ Julie & Julia ไม่ได้มีเพียงแค่ การเป็นหนังหญิงสอนใจหญิงอีกเรื่องหนึ่ง ที่อยากจะทำให้ผู้หญิงกล้าลุกขึ้นมาสู้รบปรบมือกับผู้ชาย อย่างไม่ต้องกลัวเกรงว่าจะอ่อนแอกว่าในทุกๆเรื่อง ..แต่มากกว่านั้น มันก็ยังแอบสอนให้ผู้ชายอย่างเราๆรู้ไว้ด้วยว่า เราไม่ควรจะดูถูกผู้หญิง เพียงถ้าเราไม่(ยอม)เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ ยิ่งโดยเฉพาะกับการดูถูก สองดารานำในเรื่องด้วยแล้ว ..นี่คือสิ่งต้องห้ามเลยทีเดียว สำหรับคอหนังอย่างเราๆ การพบกันตอนต้นปี ใน Doubt อาจถือว่าน่าประทับใจ สำหรับการพบกันของคนหนึ่งที่เก่งตัวแม่ และอีกคนที่สามารถอย่างดาวรุ่งมุ่งแรง ..แต่เมื่อพวกเธอทั้งสอง ต้องมาโดนแยกและกีดกันอย่างสิ้นเชิง ในหนังเรื่องนี้ เมอรีล สตรีพ และ เอมี่ อดัมส์ ก็ทำให้เราเห็นถึง ความโดดเด่นมีองค์ของแต่ละคน อย่างชัดเจนได้อีก โดยเฉพาะคนแรกที่คงไม่ต้องบอกหรอกว่า ออสการ์รักเธอมากแค่ไหน และในปีนี้ก็คงไม่ต่างจากที่เคยเป็นมาไปได้เสียหรอก (ยิ่งถ้าปีนี้ มีคนแข็งๆน้อยด้วยแล้ว ..ก็ยิ่งมีสิทธิ์จะเกิดได้อีก) หากการเล่นเป็นคนที่มีอยู่จริงจะถูกมองว่ายากเย็นแสนเข็ญ ..แต่สำหรับเจ้าป้า มันเป็นเรื่องที่ง่ายดายไปเสียหมดจดเลยจริงๆเหอะ ถึงจุดนี้(ที่เข้าสู่เดือนสุดท้าย)แล้ว ผมก็กล้าพูดได้เลยว่า Julie & Julia คือ หนังคอมเมดี้ที่น่ารักมากที่สุดในรอบปี ..ใครที่(คิดว่า)ยังคงขาดแคลนซึ่งรสชาติแห่งความละมุนละไมจากการดูหนังใดๆในช่วงปีนี้ ขอชวนให้ไปดูหนังเรื่องนี้กันโดยพลัน ...เชื่อผมเถอะว่า คุณจะออกจากโรงหนังมาได้ความอิ่มเอม และถ้าหนังสามารถประสบความสำเร็จในเรื่องของการตอบโจทย์ความบันเทิงของคุณด้วยแล้ว ความสุขล้นในหัวใจอย่างถึงที่สุด ก็อาจจะเกิดขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน Whip It ขึ้นชื่อว่า กีฬา คิดเผินๆก็มองว่า เป็นเรื่องที่เหมาะที่จะให้ผู้ชายเขาเล่นเขาสนุกกันมากกว่า ..แล้วถ้ากีฬานั้น ได้ขึ้นชื่อว่า ดุเดือด เล่นกันแรง แบบเอาให้เจ็บ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งดูแต่จะไกลจากความน่าสนใจของผู้หญิงเข้าไปอีก แต่กระนั้น เหนือฟ้า ก็ยังมีหญิงผู้นอกคอก ..และผู้นอกคอกกลุ่มหนึ่งในหนังเรื่อง Whip It ก็คือ ผู้หญิงที่นิยมจะได้รับบาดเจ็บจากการกีฬา ที่เรียกว่า สเก็ต ...ซึ่งมันไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่เด็กๆจะเล่นได้เสมอไป หากถ้ากีฬาที่ว่านี้ มันดันอยู่ใต้ดิน อยู่ในที่ๆขอบเขตของความรุนแรงมันไม่ได้จำกัดวงเอาไว้ สาวน้อยวัย 17 นางหนึ่ง บลิส คาร์เวนดาร์ ไม่ค่อยปลื้มใจสักเท่าไหร่ ที่แม่ของเธอ แสนภูมิใจเหลือเกินที่จะชอบส่งเธอเข้าไปประกวดนางงาม (เพื่อให้หวังตามรอยแม่ที่เคยเป็นนางงามระดับเมืองมาก่อน) โดยไม่เคยถามถึงความสมัครใจ หากคิดไปเองล้วนๆถ้วนๆว่า แม่เป็นอย่างไร ลูกมันก็ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น มาตลอด จนเมื่อถึงขีดสุดของความทนแล้ว เธอก็ได้ไปบังเอิญพบกับโลกใบใหม่เข้าอย่างจัง... อันเป็นโลกที่แหวกจากที่เธอเคยเห็น และโลกแห่งนี้ ก็เต็มไปด้วยการแสดงออกที่ไม่ต้องทุกข์ทน อยากทำอะไรก็ใส่ให้ตัวเองได้เต็มที่ ..กระทั่งสามารถต่อยใครก็ได้ ถ้าหมดความอดทน ฉะนั้นแล้ว ในเมื่อโลกอุดมคติ(ที่แม่สร้างขึ้น) เธอคงอยู่ร่วมอย่างสบายใจไม่อาจได้ ..ก็ขอสวมรองเท้าสเก็ต ใส่สนับ หนีไปรับมือกับความไร้คติ(และสติ)ของผู้คนที่มีใจรักในสิ่งเดียวกัน คือ ความบ้าบอ เสียจะดีซะกว่า นี่คือ เนื้อเรื่องหลักๆของ Whip It ..หนังคอมเมดี้-ดรามา ฝีมือการกำกับหัดตั้งไข่ของนักแสดงสาว ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ที่ได้แสดงออกมาซึ่งความมากสามารถของเธอ ไปสู่อีกระดับหนึ่ง หลังจากที่เคยอำนวยการสร้างหนังมาก็พอสมควรแล้ว ...และสำหรับครั้งแรกครั้งนี้ของ สาวดรูว์ ก็พิสูจน์ออกมาซึ่งคุณภาพ ที่ยังให้ได้เหนือกว่าความคาดหมายเอาไว้เสียอีก แม้หนังอาจจะเล่าเรื่องออกมาอย่างหามีความแปลกใหม่เลยไม่ ..แต่ถ้าพิจารณาถึงมันในมุมที่นี่เป็นครั้งแรกของผู้กำกับมือใหม่แล้วละก็ สิ่งอื่นใดนอกจากนั้น ล้วนแต่สอบผ่าน ด้วยคะแนนในเกณฑ์ที่ดีกันหมดเลย แล้วยิ่งถ้ามองว่า มันเป็นหนังอินดี้เล็กๆ ที่นำเสนอตัวเองออกมาให้ดูกันง่ายๆ เข้าใจแบบชิลๆ หาไม่มีกระไดให้ต้องปีน หรือต้องใส่ใจลงไปค้นหาถึงความลึกลับภายในอะไรด้วยแล้ว ..ผมว่า ความเรียบๆ แต่สมูธของ Whip It ก็คือ เสน่ห์อันน่าหลงใหล ที่ทำให้เราได้รู้จักตัวตนของ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ มากขึ้นกว่าเดิม เสียด้วยซ้ำ หากการเป็นนักแสดงของเธอ มันได้ถือกำเนิดมาจาก E.T. แล้ว ..ก็คงจะพูดได้อีกครั้งหนึ่งว่า Whip It คือ ผลงานที่สามารถแจ้งเกิดเธอ ในฐานะผู้กำกับได้อย่างเต็มตัว ...ซึ่งถ้าสมมติว่านี่เป็นหนังเรื่องเดียวที่เธออาจจะได้เคยกำกับ มันก็คงต้องถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง อีกเรื่องหนึ่งในชีวิตของเธอได้ด้วยเหมือนกัน การพิสูจน์ตัวเองในฐานะผู้กำกับของ สาวดรูว์ มาพร้อมกับการทำหนังที่วางตัวไม่ให้ซีเรียสกับตัวเองมากเกินไป ..จากที่ดู หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่มันน่าจะทำให้หนักและเข้มข้นได้ มันก็ถูกลดโทนลงให้กลายเป็นเรื่องพื้นๆที่วัยรุ่นทุกคนน่าจะเคยได้เจอ ..ไม่ว่าจะเป็นความไม่เข้าใจในครอบครัว (ที่น่ายินดี ตรงที่แม่ไม่สุดโต่งกับลูกจนเกินเหตุ) ความโกรธเคืองของเพื่อนสนิท (ที่สุดท้าย ต่อให้เจ็บปวดใจ ยังไงก็ตัดไม่ขาด) หรือกระทั่งเรื่องความรักในวัยระเริง (หนังก็หาทางออกที่บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น ให้นางเอกได้เติบโต และเข้มแข็งกับเรื่องที่เป็นความธรรมดา) ..ทุกอย่าง ล้วนดูผ่อนปรน แต่ก็ไม่ได้ปล่อยผ่าน จนกลายเป็นเรื่องเวิ่นเว้อ ที่ไม่ใช่สาระอะไรสำหรับหนังหนำซ้ำ เมื่อกลับมาคิดต่อยอดถึงสาระเหล่านั้นกันอีกหน ..ก็จะเห็นได้ว่า Whip It คือหนัง Feel Good ดีๆนี่แหละ ที่ถ้ามองเรื่องราวใดๆในมุมที่เข้าใจโลก เข้าใจคนอื่น (ไม่ใช่สักแต่เข้าใจไปเอง ว่าโลกนี้ มีเราอยู่ตัวคนเดียว) ทุกสิ่งอย่างย่อมมีทางผ่อนปรน ให้กลายเป็นเรื่องเบาๆ แต่สร้างความหนักแน่นให้กับชีวิตของเราได้ ผมว่าตรงนี้แหละ ที่ทำให้เราเห็นด้านที่อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ ของผู้กำกับ ดรูว์ ..มากไปกว่าจากที่เราเคยเห็นในหนังที่เธอเสแสร้งแสดงเป็น ไม่ใช่แค่การกำกับที่คุม(เรื่องราวของ)หนังทั้งเรื่องได้อยู่เท่านั้น ..หากว่ากันที่เสน่ห์ของตัวนักแสดงด้วยแล้ว ก็ถือเป็นอีกเรื่องที่บ่งชี้ได้เลยว่า สาวดรูว์ กำกับการแสดงเป็นอีกเช่นกัน โดยเฉพาะกับนางเอกของเรื่อง ที่รับบทโดย อดีตหนูจูโน่ท้องป่อง เอลเลน เพจ ..เธอเล่นได้น่า(ให้ตกหลุม)รักยิ่งกว่าที่เป็นในหนังที่ส่งให้เธอชิงออสการ์เรื่องนั้นเสียอีก แล้วกับคนรอบข้างบริวารของตัวนางเอก ยกตัวอย่างเช่น มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เด็น (อดีตยัยป้ามหาภัยแห่ง The Mist ) คริสเตน วิก และ(ตัวของผู้กำกับ ที่โดดลงมาเล่นเป็นตัวประกอบสักนิดๆหน่อยๆด้วย) ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ..เธอเหล่านี้ ก็ช่วยเสริมส่งความน่าติดตามของหนังเรื่องนี้ให้ทบเพิ่มเข้าไปอีก ...แถมทั้งแต่ละคนต่างก็มีภาพ(แม้จะแค่ไม่กี่นาที)ที่น่าจดจำด้วยกันทั้งนั้นด้วยสิฉะนั้นแล้ว ถ้าถามว่า Whip It เป็นหนังที่น่าดูมั้ย? ผมก็เอ่ยได้เลยว่า น่าดู ..ยิ่งถ้าถามว่าเป็นหนังดีมั้ย? ผมก็ขอบอกว่า มันดี ดูสนุก ได้บันเทิง และมีสาระน่าสนใจในตัวของมัน ...ที่ถึงอาจไม่แปลกใหม่อะไรนัก แต่ยังไงก็ดูแล้วไม่ซ้ำซาก และยังจะน่าพอใจมากๆ ถ้าดูมันเพื่อความผ่อนคลายให้กับชีวิต นี่คือ หนัง Feel Good ที่อยากขอให้ใครๆช่วยลองให้โอกาสกับผู้กำกับน้องใหม่ ที่หัดตั้งไข่ แต่น่าจะเติบใหญ่ได้ หากให้การสนับสนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ..ซึ่งลึกๆก็หวังเอาไว้ว่า Whip It คงจะไม่ใช่แค่ก้าวเดียว ในชีวิต คนดังโลกฮอลลีวู้ดเพียงเท่านั้น ...เพราะหลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบ ต้องยอมรับเลยว่า ผมตกหลุมรัก ดรูว์ แบร์รีมอร์ ได้อีก สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ก็ขอให้เลือกดูหนังสองเรื่องนี้ กันอย่างตามสบายใจได้เลย เพราะผมขอคอนเฟิร์มว่า มันล้วนมีความดีความชอบ และต่างจะส่งคุณออกมาจากโรงอย่างมีความสุขแน่แท้ ...แต่ถ้าเป็นคนมัก(อยากดู)มาก หรืออาจจะเลือกเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ถูกแล้ว ก็ชวนเบิ้ลสองไปเลยจะเป็นไรไป!Julie & Julia -> เกรด A ... { } -> ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ...ฉายเฉพาะที่ "Paragon" ครับWhip It -> เกรด A- ... { } -> ขอแนะนำ ...ฉายเฉพาะที่ "House R.C.A." , "Paragon", "SFW Central World" ครับ ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date : 16 ธันวาคม 2552
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 13:53:31 น.
1 comments
Counter : 2538 Pageviews.
โดย: L IP: 58.9.101.145 วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:14:15:20 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ