"Quantum of Solace" ... 'เจมส์ บอนด์ 007' ภาคนี้ ..รักมาก แค้นมาก และ มันส์มั่ก..มากกกกกกก!!!
ย้อนกลับไปอ่านรีวิวของภาคก่อน "Casino Royale" ได้ที่บล็อกนี้เลยครับ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=20-11-2006&group=2&gblog=39 หัวข้อที่ขึ้นต้นนี้ อาจจะดูแปลกๆ และแปร่งๆไปบ้าง ที่ใช้คำว่า ภาค แทนที่จะเป็นคำว่า ตอน ..อันเคยหมายความถึง ภารกิจจบในตอนๆหนึ่ง เฉกเช่นธรรมเนียมที่ "เจมส์ บอนด์" เจ้าของรหัสนักฆ่าใน MI6 ว่า '007' เขาเคยเป็นให้เห็นเช่นมานับ 20 ตอน แต่งานนี้ เห็นทีจะเลี่ยงไม่ใช้คำปกติของหนังแฟรนไชส์ ไม่ได้เสียจริงๆ.. เพราะตอนที่ 22 ของหนังสายลับอมตะชุดนี้ เล่นสานต่อภารกิจก่อนเก่าที่ยังไม่จบสิ้นเด็ดขาดจาก "Casino Royale" ซึ่งจวนเจียนที่จะต้องปล่อยผ่านให้ตอนใหม่ ใช้คำว่าภาคใหม่ น่าจะดูมีความหมายกว่าเยอะ"Quantum of Solace" ...เดินเรื่องต่อจาก เหตุการณ์ตอนจบของภาคก่อน เมื่อสายลับนายบอนด์ ได้ตามล้างตามเช็ด อีกหนึ่งศัตรูที่เดินเข้ามาขวางทางปืนของเขา อย่าง "มิสเตอร์ไวท์" ได้เรียบยุทธ์ ..หลังจากนั้นอีกเพียง 20 นาที (จากข้อมูลที่ได้รับมาในการอ่านเรื่องย่อ) ก็บังเกิดมหกรรมการไล่ล่าทางรถยนต์ ที่ทำให้เราได้เห็นถึงความสาหัสสากรรจ์ เพียงน้ำจิ้มของ บอนด์ ในภาคใหม่ ..ที่จะมีอะไรให้ต้องบาดเจ็บ หรือกระทั่งปวดใจ กันอีกเยอะ เรื่องราวในภาคนี้ จะเป็นการตามสืบไปถึงต้นตอขององค์กรที่ มิสเตอร์ไวท์ ได้บอกเอาไว้ว่า มันใหญ่ยักษ์ และมีคนอยู่มากมายในโลกที่อยู่ร่วมอาศัยในกลุ่มที่มีชื่อว่า "ควอนตัม" .. ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ระดับตัวเล็กๆ อย่างนกต่อ สายสืบ ที่แอบซ่อนอยู่อย่างลับๆตามที่ต่างๆ ลามไปถึงตัวบิ๊กๆ ที่มีทั้งนักบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม นักธุรกิจมือบริหารชั้นอ๋อง คนในแวดวงการเมือง การทหาร ตำรวจ ยันถึง ผู้มีอำนาจบารมีระดับโลก ที่คอยคุมหางเสืออยู่เป็นเบื้องหลังอีกต่างหาก ภารกิจนี้ นอกจากบอนด์จะต้องเดินทางพลิกโลกไปล่าค้นหาความเป็นจริงขององค์กรล่องหนที่ MI6 ไม่เคยจะได้กลิ่น รู้รสชาติ มาก่อนแม้เพียงเศษผง ..ก็ถึงทีแห่งการสะสางชำระหนี้แค้น ที่เขาเคยมีสุมอกเป็นหนักหนา มาตั้งแต่เมื่อเขาได้รู้ว่า ถูกผู้หญิงแสนดีที่เขารักมากที่สุดอย่าง "เวสเปอร์ ลินด์" หลอกใช้มาตลอด และงานนี้ เขายอมจะทำทุกอย่างที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แค่เพื่อให้รู้ว่า ใครกันแน่ที่ทำให้ เวสเปอร์ของเขา ต้องตกอยู่ในอันตรายได้ถึงเพียงนั้น ปกติแล้ว ตามธรรมเนียมของหนังชุด 007 อย่างที่เคยเป็นๆกันมาแต่ไหนแต่ไร คงจะเป็นที่รู้กันดีว่า สายลับเจ้าเสน่ห์เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวผู้นี้ มักจะมีคาแรกเตอร์สุขุม นุ่มลึก เอาไว้ฉาบหน้า แต่ก็มีหลายจังหวะจะโคนที่เราจะเห็นความเจ้าชู้กรุ้มกริ่มต่อหน้าสาวๆ และกวนโอ้ยในทุกทีที่อยู่ต่อหน้าตัวร้าย ...แต่ก็อย่างที่เคยเป็นมา คราวแต่ที่ เจมส์ บอนด์ ได้รับการปรับโฉมยกเครื่องใหม่ ที่พยายามเข้าใกล้อารมณ์ของปุถุชนคนเดินดินมากกว่าเดิมถึงที่สุดใน Casino Royale ..ก็บังเกิดการพลิกบทประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ที่ทำให้ใครต่อใครมองว่า แฟรนไชส์เรื่องนี้ ยังจะมีลมหายใจได้อีกยาวนาน ..โดยไม่ต้องไปสนว่า การปรับเปลี่ยนที่ว่า กำลังจะทำเพื่อเดินตามรอย สายลับที่อายุอานามน้อยกว่าอย่าง 'เจสัน บอร์น' ได้เคยสำเร็จมาหรือไม่ เมื่อมาถึงภาคใหม่ที่ต้องกลับมาเดินรอยตาม ภาคก่อนที่สร้างเอาไว้แล้วสำเร็จเสร็จสิ้นไปด้วยความปลาบปลื้มเสียมาก ..ก็เลยกลับกลายเป็นปมด้อย และเป็นประเด็นหลักที่มุ่งตรงไปสู่ความคาดหวังครั้งใหม่ ซึ่งน่าจะหยั่งรากลึกฝังเข้าไปถึงความพอใจของคนดูได้มากกว่าคราวที่ใครต่อใครหลายคน เคยยี้ ว่ามันไม่น่าจะใช่อ่ะ กิ๊ฟ ยิ่งในงานนี้ ชื่อของ "แดเนียล เครก" ก็ได้กลายเป็นภาพจำซ้อนทับตัวตายของคาแรกเตอร์ เจมส์ บอนด์ ซึ่งยังเคยมีดารานับเป็นเลข 5 เป็นตัวแทนกันมาก่อนด้วยอย่างนี้แล้ว ..มันก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น แฟน จะรู้ึสึกกับภาคนี้ในแง่ดีมาแต่ต้น และวาดฝันว่ามันจะต้องเป็นหนัง เจมส์ บอนด์ ที่ดีแน่ๆ แต่ถ้า เจมส์ บอนด์ เรื่องที่ว่านี้ จะไม่มี ประโยคไม้ตายเด็ดๆอย่าง "My name is Bond, James Bond" จะไม่มีการพูดสั่ง ว้อดก้า มาร์ตินี่ สูตรเขย่า ไม่คน อันคุ้นหู (แต่ก็ยังมีให้กิน) และไม่ถือธรรมเนียมของฉากเปิดที่ต้องเริ่มด้วยการยิงปืนใส่หน้าคนดู (หากก็ไม่ต้องใจหายไป ..มันยังมี เพียงแต่งวดนี้มาแปลกไป) แล้วหนังเรื่องนี้ มันจะใช่ เจมส์ บอนด์ ในความวาดฝันของแฟนๆ ได้จริงหรือ? การเข้ามาเป็นครั้งแรก ในการทำหนังสกุลบอนด์ ของผู้กำกับฝีมือคุณภาพในหนังหลากแนวอย่าง "Finding Neverland" , "Stranger than Fiction" ถึงล่าสุดกับ "The Kite Runner" .. ชื่อของ "มาร์ก ฟอสเตอร์" อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักในตอนแรก เมื่อมองว่าเขายังเป็นคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำหนังทุนสูง สเกลยักษ์ ..ยิ่งมามองว่า มันเป็นหนังที่อยู่ในความคาดหวังระดับสูง ของคอหนังแอ๊คชั่น-สายลับเช่นนี้ด้วยแล้ว ก็เหมือนว่ายังน่าจะมี ผู้กำกับที่เข้มข้นในฝืมือคนอื่นๆ มารับหน้าเสื่อดูแลต่อที่ดีกว่านี้ได้อีก แต่มันก็ได้กลับกลายเป็นที่ต้องยอมรับว่า คิดถูก ในทันทีทันใด ..ที่ใครต่อใครได้ดูหนังตัวอย่าง แล้วก็จะได้เห็นว่ามันยังมีทั้งความยิ่งใหญ่ในฟอร์มงานสร้างตามแบบฉบับของหนังสกุลบอนด์ ยืนยัน นั่งยันไปถึงเรื่องของอารมณ์หนังที่ต่อยอดความหลังจากภาคก่อนได้อย่างน่าสนใจดีแท้ ..ไม่น่าผิดหวัง ที่ให้ ฟอสเตอร์ มาคุมงานเช่นนี้ หากแต่ถ้าหนังตัวอย่าง นั้นนับเป็นเรื่องของความประทับใจแต่แรกเจอแล้วละก็ เห็นท่าว่าคงทำเอาใครต่อใครบางคนที่เคยคิดหวังไว้มากว่ามันจะน่าโดนใจสุดๆ เห็นทีต้องบ่นอุบว่า ผิดหวัง และเสียดาย เป็นแน่... เมื่อในหนนี้ สายเลือดแห่งความเป็นบอนด์ ของ Quantum of Solace กลับจะมีความเข้มและข้นน้อยกว่ากับอีก 21 ตอนที่ผ่านพ้นมา แต่สำหรับผมที่(ถือว่าเป็นแฟนหนังบอนด์ กับเขาคนหนึ่ง) ได้รู้อยู่แล้วว่า หนังภาคใหม่ในที่นี้จะมีจุดประสงค์อันใดเป็นสำคัญในการนำเสนอ ก็เลยคิดถึงจุดที่เคยเป็นที่ชอบใจของแฟนทั่วๆไป ไว้น้อยเอาอย่างมาก ..หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่หวั่นคาดหวังอะไรในยิบย่อย นอกจากการจะดูว่ามันเป็นหนังแอ๊คชั่นอีกเรื่องที่เจตนาจะเน้นขายความมันส์กันสุดกู่ เหนือสิ่งอื่นใดและด้วยเหตุฉะนี้แล้ว Quantum of Solace จึงได้สามารถทำหน้าที่ของการเป็นหนังแอ๊คชั่นที่ดี สำหรับผม ..เมื่อมันสามารถนำพาเวลา 107 นาทีที่แสนจะสั้น(ในหนังบอนด์ที่มักจะยืดกว่านี้ได้อีก) ให้กลายเป็นเรื่องของความสนุกขนาดยาว ที่แน่นเอี้ยดไปด้วยความตื่นเต้น เร้าระทึก และชวนให้ร้อนใจ อยากจะรู้ตอนจบของเรื่องราวในเร็วนาที ส่วนของเหตุการณ์ที่ถูกนำมาต่อความยาวสาวความใหม่ในภาคนี้ ถูกทำการเล่าเรื่องออกมาได้ไม่ยืดเยื้อเท่ากับเมื่อคราวของ Casino Royale ที่ต้องการจะปูพิ้นความเป็นมาของ สายลับ 007 เมื่อครั้งยังเป็นมือใหม่ ..อีกทั้งปมประเด็นที่ค้างคาในภาคก่อนหน้านั้น ก็มาพร้อมกับความตั้งใจและเจตนาที่ให้คนดูได้เห็นว่า เจมส์ บอนด์ อึด ถึก และพรั่งพร้อมไปด้วยความบ้าเสียแค่ไหน เมื่อเขาต้องเคลียร์กับความรู้สึกเก่าๆที่ฝังในให้ใจเจ็บ และพบพากับเหตุการณ์ความผิดพลาดที่กลายเป็นสิ่งที่ต้องพาลจดจำไปถึงวันตาย อันที่จะนำมาซึ่งการปรับตัวเองให้กลายเป็น เจมส์ บอนด์ ตัวจริงเสียงแท้ที่เราเคยคุ้นมานานเนิ่นในภาคต่อๆไปนี่เอง ฉะนั้นแล้ว หากสิ่งที่เห็นในตอนตื้น จะทำให้ต้องเพียรบอกกับตัวเองว่า มันไม่ได้พยายามจะรักษาธรรมเนียมภาพจำของหนังสกุลบอนด์ อันพึงปฏิบัติสืบมา ..แต่ถ้าลงเจาะลึกกันไปถึงรายละเอียดเนื้อในกันจริงๆ ของเหตุการณ์ และจิตใจ ก็จะพบว่า Quantum of Solace ได้เข้าใกล้ความเป็นบอนด์ มากไปกว่าภาคที่แล้วเสียซะอีก ไม่่ว่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์ขันที่ชัดเจน ในความกรุ้มกริ่ม ปนๆกวนโอ้ย มากขึ้น ..มีห้วงความสุขุมที่เด่นกว่าเก่า ที่ถึงจะยังคงสภาพอีโก้อยู่สูง แต่ก็ทำให้เราเห็นภาพของสายลับที่ดื้อเงียบ มากกว่าจะดื้อด้านในคราวภาคก่อน ..รวมไปถึง พัฒนาการของความรู้สึกในช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจ ที่มีให้เห็นกันทั้ง ยังคงบุ่มบ่ามไร้เหตุไร้ผล ไปจนถึงช่วงท้ายที่เรารู้ว่า เขากำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เราต้องแน่ใจว่าคุ้นเคยยิ่งๆขึ้น หนังภาคนี้ อาจจะต้องใช้สมาธิในการติดตามอยู่ค่อนข้างสูง เพราะตัวหนังเดินเรื่องบู๊ดาหน้าลุยเต็มสปีด ไม่มัวมาสนใจในการทำอารมณ์ใดๆให้มากเข้า (เพราะจะว่าไป ภาคที่แล้ว ก็เอื้อเวลาให้พี่บอนด์ แกได้ทำใจ ให้เกิดอารมณ์แค้นมามากอยู่) ..มิเช่นนั้น ถ้าจะรู้สึกว่ามันขาดหายในความเป็นดรามาไปก็ขอให้หวั่นได้ แต่อย่าไปคิดมาก เพราะถึงอย่างไรแล้ว เรื่องของความแค้น มันก็ไม่ได้มีเหตุมีผลอะไรที่จะต้องหาเวลามาเคลียร์เรื่องของอารมณ์กันอยู่แล้ว.. เอาแค่ให้ตัวละครตัวนั้น ต้องมาจมปลักกับหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่เหนือความรับผิดชอบผู้คนปุถุชนทั่วๆไป ในห้วงเวลาที่เพิ่งสูญเสียหัวใจให้กับใครคนหนึ่งที่เพิ่งหยุดหายใจไปแหม่บๆ มันก็หนักหนามากมายที่ จะอธิบายความหมายของคำว่า 'เจ็บปวด' ได้สมบูรณ์แบบไปแล้วทีมเขียนบทหนังที่ได้ยกทีมเดิมทั้งดุ้นจาก Casino Royale มาว่าความกันต่อในภาคใหม่.. ยังคงทำหน้าที่ของการเล่าเรื่องในแบบฉบับของพวกเขา(และปัจจุบันบังคับ)ได้สนุก ..แม้จะไม่ได้เรียกว่า สมบูรณ์แบบ ไปซะทีเดียว เพราะเรื่องบางเรื่องก็ดูจะมีความผิดพลาดในมุมของความเป็นไปได้ให้เราเห็น แต่กับการรักษาความสมจริงของพฤติกรรมและอารมณ์มนุษย์ตามทำนองที่เคยเป็น บวกด้วยการใส่ลูกเล่นใหม่ๆ ที่จับเอาแพะมาชนแกะ ให้กลายเป็นเรื่องของ "ควอนตัม" ซึ่งยังจะขมวดเล่าได้ยาวอีกหลายภาคนั้น ก็ผสมรวมกลายเป็นเสน่ห์ ที่ทำให้หนังภาคนี้มีอะไรให้เราได้คิดต่อยอด เมื่อหนังจบ แม้จะต้องทำใจว่าบางอย่างยังไม่เคลียร์ในการดูรอบแรก ..แต่เมื่อยิ่งได้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวในหนังมากเท่าไหร่ ก็อาจจะค่อยๆปะติดปะต่อได้เอง หรือบางทีกับบางคนก็อาจจะมีการพี่งพารอบสอง(ขึ้นไป) เพื่อช่วยเพิ่มความแน่ใจได้เป็นปลิดทิ้ง ในส่วนที่เป็นความฉลาดของบท อาจจะมีให้เราพอลุ้นๆในการแก้เงื่อนกลที่ซับซ้อนขององค์กรที่เป็นปริศนาได้บ้าง (ซึ่งน่าจะแก้ได้มันส์กว่านี้ในภาคต่อๆไป) ..แต่ที่เป็นสิ่งปลักหลัก ทำให้ผมใส่ใจในภาคนี้ อย่างการเป็นหนังแอ๊คชั่น ..ในภาคใหม่ ได้อัดเต็มเนื้อกว่าภาคก่อน และแน่นไปด้วยความมันส์อย่างเต็มอิ่ม โดยก็ยังมีพื้นของความรู้สึกแฝงปนเข้ามาไม่มาก แต่ก็เป็นไปตามสมควร เมื่อหนังเรื่องนี้ถูกกำกับโดยผู้กำกับที่เก่งกาจในการควบคุมนักแสดง อย่าง ฟอสเตอร์ ขณะเมื่อตราบใดที่แรงไม่หมดสิ้น และพี่บอนด์ก็ยังคงจะต้องดาวดิ้น พลุ่งพล่านไปด้วยน้ำโห พร้อมๆกับสายตามาดมุ่งที่พร้อมจะฆ่าคนทุกคนที่อยู่รอบข้างเขาได้ตลอดเวลา.. นั่นก็จะนำพามาซึ่ง ฉากแอ๊คชั่นทั้งเล็กและใหญ่ ที่จัดใส่กันมาไม่หวาดไม่ไหว ให้คนดูได้แต่เหนื่อยแทนพี่บอนด์ที่ต้องเจออะไรหนักๆหนาๆขนาดนี้ตลอดเวลา ข้อกล่าวหาที่มีคนบอกว่า อะไรต่อมิอะไรในหนังภาคนี้ได้ลอก กับอีกหนึ่งหนังสายลับรุ่นน้องอย่าง บอร์น มาเลียนในที่นี้แล้ว.. ผมกลับไม่รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นแต่อย่างใด ...หากมันจะเป็นก็แค่ บอนด์ ในเวอร์ชั่นที่ อึด ถึก บ้า และขี้เกียจจะประนีประนอมกว่าที่ผ่านๆมาเสียซะมากกว่าแต่ถึงต่อให้จะมีข้อแม้อื่นใดนอกจากนั้น มาพาดพิงบอกกล่าวว่าหนังเรื่องนี้ น่าผิดหวัง มีเรื่องให้เสียดาย หรือกระทั่งไม่สนุกอย่างที่ควรจะเป็น จากปากคำของใครก็ตามทีแล้ว.. ก็เห็นท่าว่าอย่างหนึ่ง ที่ทุกคนคงจะคิดเหมือนๆกัน โดยพร้อมเพรียง ไม่ผิดเพี้ยนไป ก็คือ การแสดงเป็น เจมส์ บอนด์ ครั้งที่ 2 ของ "แดเนียล เครก" ..ที่ยังคงให้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมเหมือนเดิม แม้ตัวละครบอนด์จะมีพัฒนาการของการเป็นสายลับที่เชี่ยวสนามมากขึ้นในภาคนี้ ..แต่คนที่เป็นเจ้าของบทบาท ก็ยังคงได้รักษาจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ในเบื้องหน้าของสุภาพบุรุษพยัคฆ์ร้าย สมกับที่เคยได้ชื่นชม(เกินกว่าจะคาดหวังไว้)มาแต่หนก่อน ส่วนกับตัวละครของคนอื่นๆแล้ว ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดี สมพร้อมตามที่บทหวังจะให้เป็น ..ไม่ว่าจะเป็นหน้าเก่า(ที่ซ้ำกว่าพี่บอนด์เสียอีก) เจ้าป้า "จูดี้ เดนซ์" กับการเป็น "M" ที่สมเกียรติและสนุกกับการปรากฎบนจอบ่อยขึ้น ..ไปจนถึงหน้าใหม่ กับสาวบอนด์(ตัวจริง) (ที่เป็นผู้หญิงของผู้ชายจากเกมคอมฯ กับ Hitman หรือ Max Payne ก็ไม่รุ่งซะเลย) "โอลก้า คูรีเรนโก้" ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ที่เธอยังไม่โดนพี่บอนด์เจิม ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง หรือสาวบอนด์(ตัวเทียม) "เจมมา อาร์เทอตัน" ที่แอ๊บใส ซื่อ บริสุทธิ์ ถูกเปคพี่บอนด์ แต่ทำได้แค่โดนเจิมเพียงสิวๆ (แล้วเธอก็......ต้องไปดูเอาเอง!) และ "แมธธิว อมัลลิก" ใช้สายตาได้คุ้มมาก (ถ้าใครเคยได้ดู "The Diving Bell and the Butterfly" จะรู้สรรพคุณข้อนี้เป็นอย่างดี..และยอดเยี่ยม) ..กับการเป็นตัวร้ายที่มีมิติเพียงน้อยมุม แต่ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเต็มที่สุดๆกับการเป็นคู่ปรับของพี่บอนด์อย่างเพียงพอแล้ว (แม้จะไม่ได้เข้าใกล้คำว่า ผู้ร้ายของหนังบอนด์ที่คลาสสิค เลยซะทีเดียวก็ตามที)"Quantum of Solace" ... เมื่อพี่บอนด์เขารักมาก และแค้นมาก อย่างไม่ต้องหาสาเหตุอื่นใดมานั่งเทียนเล่าอ้างที่จะต้องพร่ำพรรณนาว่าจะเอาคืนให้จบ ..ผมก็ได้พบกับหนังสายลับที่มันส์มั่ก..มากกกกกกกก ที่ไม่จำเป็นจะคาดหวังอะไรในเรื่องของธรรมเนียมที่ควรเป็นของหนังบอนด์ เพราะถ้าให้ติดใจในจุดเล็กจุดน้อยที่ต้องมี ผมก็คงคิดว่า ภาคต่อของบอนด์ฉบับตีความใหม่ ในงานนี้ ช่างน่าผิดหวัง แม้โดยส่วนตัวจะยังคงเหมือนคนอื่นๆ ที่ชอบภาคนี้น้อยกว่า Casino Royale อันลุ่มลึกกว่าในทุกด้าน ..แต่ในเรื่องของความสนุก เน้นบันเทิง ถือว่า คุ้มค่าเต็มอิ่ม กับการทำมันออกมาเป็นหนังแอ๊คชั่น เกิดมาลุย เช่นนี้ ถ้าใครเป็นแฟนบอนด์ ก็ควรจะได้ดู แต่อย่าไปหวังถึงความเป็นบอนด์อย่างเคยๆเป็นหนักหนา ..ส่วนคนที่เป็นแฟนพันธุ์ทาง ผู้ชื่นชอบหนังดูเอามันส์ เป็นหลักใหญ่ สมดังใจคิดแน่นอน ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ..ครับเกรด A ... { }"สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนังได้ที่ //vreview.yarisme.com " ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date : 07 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2551 0:43:52 น.
8 comments
Counter : 6952 Pageviews.
โดย: หวาน (Phumpanit ) วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:45:36 น.
โดย: patra_vet วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:05:57 น.
โดย: Clear Ice วันที่: 11 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:12:41 น.
โดย: buddhi IP: 222.123.80.31 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2551 เวลา:13:20:57 น.
โดย: พะแนน IP: 202.143.157.195 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2551 เวลา:8:52:34 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:13:27:29 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30